620127_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ศาสนาพุทธพ้นจากความเห็นสุดโต่งในอันตคาหิกทิฏฐิ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/17gTlKcVsPHAvcObUMIirTtLuvoTHhlvlP25nJpIglwU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1qvXO62F6CtHKTgC4fn0BpvOZrG0lDAE5
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำเดือนยี่ปีจอ ตอนนี้ถ้าเราดูข่าวก็จะมีแต่เรื่องหาเสียงเขาหาเสียงประมาณเดือนเศษก็ได้มาเป็นส.ส.เป็นตัวแทนประชาชนเป็นรัฐมนตรีมาดูแลความเป็นอยู่ของพวกเรา มาบอกเราแค่เดือนกว่าๆมันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ที่ผ่านมาไม่เห็นว่าจะได้ทำอะไรที่เป็นการเสียสละเพื่อประชาชน พวกเขาเข้าไปแล้วทำไม่ดีเราก็ต้องปวดหัวเมื่อยที่จะไปไล่รัฐบาลที่ไม่ดีอีก
คนที่เป็นนักการเมืองคือผู้ที่ทำงานเสียสละเพื่อประชาชนได้บุคคลที่เราเห็นว่าท่านได้เสียสละเพื่อประชาชนมาตลอดก็คือในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานมาตลอดพระชนม์ชีพ เป็นตัวอย่างนักการเมืองที่เสียสละเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
พ่อครูว่า…ฟ้าไทพูดถึงเรื่องการเมืองหรือเรื่องธรรมะ การเมืองก็ดีเรื่องธรรมะก็ดีมันก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือเรื่องของมนุษย์ พูดแล้วก็พูดอีกพูดซ้ำอยู่นั่นแหละ ถ้าการเมืองคนจะไปทำงานการเมืองมันไม่มีธรรมะแล้วมันจะเป็นการเมืองที่ดีได้อย่างไรพูดกันแล้วพูดกันอีกก็เข้าใจชัดเจน เพราะฉะนั้นคนที่แสดงพูดว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองคนนี้นั้นพูดอย่างง่ายเห็นแก่ตัว ทั้งเป็นคนโง่และเห็นแก่ตัว กูจะทำชั่วก็ปล่อยให้กูทำชั่ว เห็นแก่ตัวที่จะเป็นคนโง่ โง่ในการทำชั่วคนอื่นจะช่วยไม่ให้ทำชั่วก็โง่บอกว่าอย่ามาช่วยกู เป็นความโง่ยกกำลัง ความชั่วก็ยกกำลัง คนพวกนี้ ตัวเองมีกะจิตกะใจจะไปช่วยว่าอย่าชั่วมากกว่านี้ ดันทุรังเตือน เขาจะห้ามจะไม่ใยดีจะไม่สนใจก็ช่างเถอะ ปิดปากไม่อยู่ รับรอง
นักการเมืองต้องทำให้เกิดธรรมะจึงเป็นนักการเมืองที่ดี นอกจากคุณไม่อยากเป็นนักการเมือง จะอยากเป็นนักตะกละตะกลาม หรือว่าทำเป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงชีพตนได้ อย่างร่ำรวย โกงก็จะเอา เป็นแหล่งหาเงินก้อนโตในประเทศ มีทั้งอำนาจมีทั้งทรัพย์สินที่จะต้องจัดการ เพราะฉะนั้นก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม ไปอย่างนี้ อย่างน้อยก็กินตามน้ำไป ดีไม่ดีกินทวนน้ำอีก คนเรามีกิเลสเห็นแก่ตัว ไม่เคยกลัวความชั่วความดี
เดี๋ยวอ่านคอลัมน์คุณกาแฟดำ สุทธิชัยหยุ่น Title ว่าความเป็นอมตะของหลวงพ่อคูณ
งานพิธีพระราชทานเพลิงศพครูใหญ่พระเทพวิทยาคม หรือ “หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ” เป็นกรณีพิเศษ เป็นโอกาสที่ได้รำลึกถึงความเป็นอัจฉริยะของท่าน(พ่อครูว่า..ชื่อของหลวงพ่อคูณเขาก็มองว่าเป็นอัจฉริยะอย่างหนึ่งแต่ไม่ใช่อาริยะ)
ภาพนี้ผมกับคุณสุภาพ คลี่ขจาย มีโอกาสสัมภาษณ์หลวงพ่อคูณเป็นพิเศษเมื่อ 23 ปีก่อนที่วัดบ้านไร่ เป็นการสนทนาธรรมที่ยังได้สาระด้วยภาษาธรรมดาๆ
แม้จะออกอากาศในรายการ “Nation News Talk” มานานแล้ว แต่ก็ยังมีคนถามหาอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ล่าสุดผมเข้าไปเช็กใน YouTube มีคนมาดูกว่า 2 ล้าน views แล้ว ท่านผู้ใดสนใจยังสามารถเข้าไปชมได้เสมอ เพราะคำสอนของท่านเป็นอมตะ คนยุคไหนสมัยใดก็สามารถจะเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ (พ่อครูว่า…คนในโลกเขาจะดูเรื่องอย่างนี้ หลวงพ่อคูณมีเจตนาให้คนรับประโยชน์ คนก็จะได้รับประโยชน์อย่างนั้น สนใจต้องการได้นิยมชมชื่นแบบหลวงพ่อคูณ มันหมายถึงอะไร
มันหมายถึงความเป็นคนทุกวันนี้จะเอาแต่อย่างนี้ แต่อย่างที่อาตมาให้นี้ไม่เอา ไม่สน นี่มันเป็นเรื่องของ พีนอมินอล status quo เห็นปัจจุบันว่าเป็นอย่างนี้อยู่ ว่า คนเรายากมากที่จะให้หลุดออกมาจากเดรัจฉานวิชา หลวงพ่อคูณไม่มีอะไรเลยนอกจากเดรัจฉานวิชาในชีวิตทั้งชีวิต เป็นเรื่องนอกรีตของศาสนาพุทธ 100% เอาอะไรมาเป็นตัวที่ทำให้คนนิยม สละสิ่งที่ได้มา ให้เป็นประโยชน์ต่อคนนั้นคนนี้ หลวงพ่อคูณก็อาศัยกินใช้เลี้ยงชีพ ในสิ่งที่ตัวเองได้รายได้ผ่านมาจากการบริจาคการซื้อพระเครื่อง อะไรเยอะมากเลย แล้วหลวงพ่อคูณก็บริหารเงินเหล่านี้ด้วยวิธีการบริจาค ปริมาณเยอะมันได้เยอะ เพราะว่าคนโง่มันเยอะ หลงใหลได้ปลื้มอย่างนี้ก็เอาเงินมาซื้อแท่งพวกนี้ ขายจนกระทั่งราคาเป็นแสน เอาขี้มาทาสีมาเป็นก้อน ขออภัยที่อาตมาพูดสัจจะความจริง อาตมาไม่ได้เกรงใจ ไม่ไว้หน้าใครด้วย พูดสัจธรรมเพื่อทำให้มันชัดเจน เพราะว่ามันเสียเวลาไม่มีเวลาที่จะไปแนะนำแล้วก็ต้องต่อจิ๊กซอไปจนกว่าจะถึงเรื่องให้มันราบรื่นหน่อย มันต้องจับคอตีเข่าเลย จึงรู้สึกรุนแรง
ขออภัยนะศาสนาพุทธเสื่อมจนคนนิยมชมชื่นแบบนี้ พูดก็พูดอีกขออภัยอย่างมาก อย่างที่อาตมาพูดมันเป็นโลกุตรธรรมเป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ แต่คนไม่เอา แล้วจะไปเอาอย่างนั้น อาตมาจึงเหลือใจจริงๆ มันเกินจะพูดเกินจะทำอะไรเกินจะบรรยายสุดจะบรรยาย หรือจะแสดงออกมา เหลือใจ ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาให้เกิดสะดุดหรือฉุกคิดว่า ถ้าไม่งมงายจนกระทั่งไม่โงหัวขนาดนั้น
อย่าว่าแต่หลงเดรัจฉานวิชาเลย ในระดับสมาธิก็งมงายในสมาธินั่งหลับตา แล้วไปนั่งสมาธิกัน เป็นของทิ้งที่พระพุทธเจ้าอุบัติพุทธศาสนาขึ้นมา ท่านก็จัดการเลย ท่านตีทิ้งนั่งหลับตา พระไตรปิฎกเล่ม 9 ตั้งแต่พระสูตรแรก ก็บอกไว้เลย ทั้ง 13 สูตรในล.9 รวมทั้งปัจจัยเนื้อหาสาระและอื่นๆจนครบ
ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่เหลือเค้าเดิมเลย บริหารกันอย่างไสยศาสตร์อันไม่มีในยุคพระพุทธเจ้าเลยเอามาใส่ในศาสนาพุทธ ในยุคพระพุทธเจ้ายังไม่มีจารีตประเพณีขนาดนี้ที่เอามาปรุงแต่งกันเป็นจารีตและพิธีกรรม ให้สังเกตดูว่าวิธีการในศาสนาพุทธ กระแสหลักกับชาวอโศกเทียบกันดู อย่างกับก้นเหวกับฟากฟ้าเลย เราก็มีพิธีกรรมอยู่ในกรอบขอบเขตที่ไม่ได้เสียเวลาฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย
ถามที่เขาเป็นอยู่ไม่ได้ขึ้นมาอยู่ขอบเขตของศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตระเลยมันเป็นโลกียะที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วโลกียธรรมควรจะดีกว่านี้ พวกเราก็มีโลกียธรรม น่าสังเวชใจอย่างมากเลย อาตมาเกิดมาในยุคนี้ ก็มาพยายามนำเอาธรรมะ วันนี้ไม่พูดแล้วเรื่องการเมือง ขอพูดถึงเรื่องธรรมะลึกๆ ธรรมที่แรงและหนัก
อาตมาจะพูดถึงเรื่องของอันตคาหิกทิฏฐิ 10 พูดชื่อนี้คนก็กุมขมับแล้ว
อันตะคือ สุดโต่ง มีคนที่ยึดถือความสุดโต่ง10 ประเด็น
แบ่งสามหมวดได้ คือโลก อัตตา ความเป็นสัตว์
ความเป็นสัตว์ความมีชีวะที่อยู่ในโลกยังไม่ตาย
เข้าใจว่าสัตว์ตายไปแล้วยังมีอยู่ก็คือสุดโต่ง สัตว์ตายแล้วไม่มีอยู่ก็คือสุดโต่ง สัตว์ตายแล้วมีอยู่และไม่มีอยู่ก็สุดโต่งไปอีกอย่างหนึ่ง
ตายแล้วจะมีอยู่ก็ไม่ใช่จะไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ ก็อีกอย่าง
มีมุมที่คนยึดถือต่างกัน
ความเป็นโลกนั้น ยึดถือว่าโลกนั้นเที่ยง ยึดถือว่าโลกนั้นไม่เที่ยง ยึดถือว่าโลกนั้นมีที่สุด ยึดถือว่าโลกนั้นไม่มีที่สุด ก็อีก 4 มุม
ส่วนอัตตากับสรีระ อัตตาก็อันนั้นสรีระก็อันนั้น เหมือนกัน
ส่วนโลก นั้น โลกเที่ยงโลกไม่เที่ยงโลกมีที่สุดโลกไม่มีที่สุด
อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง — the ten erroneous extremist views) คือเห็นว่า
-
โลกเที่ยง (The world is eternal.)
-
โลกไม่เที่ยง (The world is not eternal.)
-
โลกมีที่สุด (The world is finite.)
-
โลกไม่มีที่สุด (The world is infinite.)
-
ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น (The soul and the body are identical.)
-
ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง (The soul is one thing and the body is another.)
-
ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก (The Tathagata is after death.)
-
ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก (The Tathagata is not after death.)
-
ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก ก็ใช่ ไม่เป็นอีก ก็ใช่ (The Tathagata both is and is not after death.)
-
ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก ก็มิใช่ ย่อมไม่เป็นอีก ก็มิใช่ (The Tathagata neither is nor is not after death.)
ศาสนาพุทธมีการเรียนรู้เรื่อง rebirth ศาสนาอื่นไม่มีการเรียนรู้เรื่องนี้ ศาสนาอื่นตายแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า นอกจากพระเจ้าจะให้ใครลงนรกก็อีกเรื่องหนึ่ง ส่วนสัตว์อนาคตนั้นมีหลายนัยยะ แต่แล้วก็ยังมีอยู่ได้แล้วย่อมไม่มีอยู่ ตายแล้วมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ ก็ไม่ใช่
ก็เลยแยกกันไป มาเรียนรู้กับความเป็นสัตว์ ก็คือเรียนรู้สัตว์โอปปาติกะ เพราะความเป็นสัตว์ที่เป็นร่างกายมีสรีระนั้นไม่ยาก การตายหรือไม่ตายทางสรีระนั้นใครก็รู้ มันง่ายไม่ต้องไปเรียนหมอ ไม่ต้องไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มาก็รู้ ใครตายก็รู้แล้ว คนที่สลบแต่ยังไม่ตายก็อาจจะแยกลำบากหน่อย แต่ถ้าเรารู้ว่าสลบก็ยังมีลมหายใจนะ แต่ถ้าตายแล้วไม่มีลมหายใจเลยมันก็รู้ได้ไม่ยาก
ผู้ที่เรียนรู้จักทำให้สัตว์โอปปาติกตายเรียบร้อยตั้งแต่สรีระร่างกายเรายังไม่ตาย ทำให้จิตวิญญาณนั้นตายได้แล้ว จะให้เกิดก็ได้เป็นอมตะบุคคล ไม่ใช่อมตะแบบหลวงพ่อคูณ อันนั้นอม-ตะ ไม่ใช่อมตะ
เป็นผู้ที่อยู่เหนือความเกิดความตาย อยู่ในมูลสูตรข้อที่ 9 ตายก็ได้ไม่ตายก็ได้ ตายแล้วจะให้ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ หรือจะตายจะไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ อย่างอาตมานี้ อาตมาเป็นอมตะบุคคลแล้ว อาตมาสบายใจมากที่ได้เปิดเผยไปแล้ว ไม่ต้องมังกุ อุทธัจจะเก้อเขินอะไร อาตมาเป็นแล้วก็พูดโดยซื่อจริงใจ
เพราะต้องเกิดต่อไปอีกเพราะว่าตั้งปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต ตอนนี้ก็เป็นโพธิสัตว์ ระดับ 7
อาตมา รู้วิธีที่จะตายอย่างนั้นได้ แต่ยังไม่อยากตายตอนนี้ เกิดมาหลายล้านชาติแล้วลงทุนไปเยอะแล้วไม่ถอย
อยู่ที่เรียนรู้ความเป็นสัตว์แล้วก็ทำให้สัตว์ตายได้จนสนิท พระอรหันต์สามารถทำให้สัตว์โอปปาติกะตายได้ ทั้งสรีระทั้งชีวะทั้งความเป็นอัตภาพ สมรรถภาพหมดเลยไม่เหลือ แยกธาตุเป็นอุตุธาตุ พีชธาตุ เจตนาแยกธาตุให้เป็นอุตุธาตุไปเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าเหมือนพวงมะม่วงที่ตกมาแล้วแตกกระจายพวงมะม่วงนั้นก็จะไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ อาจจะมีที่ติดอยู่กับขั้วไม่แตกกระจายไปหมด แต่นอกนั้น 10 ลูก 20 ลูกแตกกระจายไปหมด มันก็จะไม่รวมมาให้เป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้วอย่างนี้เป็นต้น ดั่งปรินิพพานเป็นปริโยสานดับความเป็นโลกความเป็นอัตตาความเป็นสัตว์ได้หมดเลย
โลก ถ้าจะพูดถึงโลกวัตถุก็คือ โลกลูกที่เป็นวัตถุ เป็นโลหะธาตุไม่ใช่ ดาวบางดวง ชีวะเกิดไม่ได้เพราะสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม โลกลูกใดที่เหมาะสมให้เกิดชีวะได้ พ้นจากพีชนิยามมาเป็นสัตว์จิตนิยาม ก็เริ่มต้นเป็นอัตตา พืชมันก็ยึดตามสัญญาสังขารปรุงแต่ง
ส่วนสัตว์มีขันธ์ 5 ครบ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ศาสนาพระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้โลก อัตตาความเป็นสัตว์ จนมีพลังงานสามารถละลายอัตตาจนกลายเป็นอุตุนิยาม ส่วนของโลกไป แม้จะมีเศษของพีชนิยามก็เติมตัวเป็นจิตนิยามไม่ได้อีกแล้ว
ผู้ใดที่เรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์แล้วก็ล้างจิตวิญญาณ จิตเจตสิกต่างๆให้หมดความสุขหมดความทุกข์ได้ ผู้นั้นจะอยู่เหนือโลก เหนืออัตตา เหนือความเป็นสัตว์ มีความเฉลียวฉลาดมีภูมิธรรมมีปัญญา
ปัญญานี้เป็นคำที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นของศาสนาพุทธศาสนาเดียว แต่ศาสนาอื่นก็เอาไปใช้ จนกลายเป็นความหมายถึงความฉลาดทั่วไปซึ่งผิด ปัญญานี้ใช้ความเฉลียวฉลาดที่ผิด แต่ก็ไปห้ามเขาไม่ได้ เราไม่สามารถบัญญัติคำอื่นที่ดีกว่าปัญญาได้
ปัญญาคือความฉลาดของพระพุทธเจ้าที่เป็นสิ่งวิเศษ ที่คนไม่สามารถรู้ได้ง่ายๆ จะเกิดปัญญาได้จะต้องมี อัญญธาตุ ยังไม่มีใครมาอธิบายรายละเอียดของธรรมะตรงนี้ ศาสนาของพระพุทธเจ้ายืนยาวมา 2500 กว่าปี ตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ 2607 ปี แล้ว
ศาสนาอื่นสอนความดีความชั่ว ศาสนาพุทธก็ถือว่าต้องทำดีเป็นเรื่องสามัญ พยายามพากเพียรให้ดี ไม่ต้องเอาพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้หรอก ปราชญ์คนอื่นในโลกก็รู้ได้ มันไม่เที่ยงหรอกในยุคนี้สมมุติอย่างนี้ ประเทศนี้สมมติอย่างนี้
สุข ทุกข์ ยิ่งใหญ่มาก เป็นความยึดถือที่ผิด เป็นการอุปาทานหลงไปในเรื่องลมๆแล้งๆแล้วเอามาแย่ง แย่งสุขกัน สุขในการได้ลาภยศสรรเสริญ ได้รับอำนาจบาตรใหญ่ ได้คำสรรเสริญเยินยอ สุขในการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็หลงว่าเป็นสุข เพราะฉะนั้นมันจึงเป็น อัตตาหมดเลย เป็นการยึดถือตัวตน
อัตตาตัวเราต้องการกาม ไม่มีตัวตนก็ไปอยากได้กามคุณ 5 ไม่ได้ อยากได้โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รวมทั้งหมดก็คือ กาม ได้ภายนอกแล้วสั่งสมเป็นภายใน
พระพุทธเจ้าถึงมาสอนให้ล้างข้างนอกออกหมดก่อน การล้างภายนอกออกหมด แล้วก็ไม่ได้หนีจากการสัมผัสภายนอก ศาสนาพุทธนั้นอยู่เหนือไม่ได้อยู่หนี จะมีความแรงหนักหนาสาหัสอย่างไรเราก็อยู่เหนือ ทำอะไรเราไม่ได้ ไม่สามารถสร้างความหวั่นไหวในจิตของเราได้ เห็นโลกทั้งโลก อะไรก็แล้วแต่ ก็คือสิ่งที่คนปั้นแต่งขึ้นมา มันไม่ทำให้เราประหลาดอะไร ไม่ได้เห็นจะต้องน่าได้น่ามีน่าเป็น อะไรที่เราควรได้ควรมีคนเป็น อะไรที่เราไม่ควรได้ควรมิควรเป็นจะไปหอบมาทำไมเสียเวลา เสียแรงงานเสียทุนรอน มีเท่านี้ก็สบายแล้ว ถ้าหากร่างกายเรามีน้อยแค่นี้ก็แข็งแรงอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง อยู่กันอย่างสะดวกสบายดี แล้วจะไปหอบมาทำไม ที่จะต้องมาดูแลรักษาป้องกัน กลัวไฟไหม้ กลัวตกน้ำ กลัวโจรปล้น
สิ่งเหล่านี้มันรวมทั้งโลกเลยที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และก็เพราะอัตตาตัวเองโง่ ไม่ได้เรียนรู้อัตตาจนตีแตก ว่าคนเรามันไปมีอุปาทานตัณหา ก็ล้างอุปาทานตัณหาหมด ก็จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง อยู่สัมพันธ์กันไปอย่างพอเหมาะพอควร อยู่กันอาศัยกันไปในชีวิต
อาตมาทำงานมาจะ 50 ปีแล้ว ทำมาตั้งแต่พ.ศ. 2513 ตอนนี้ปี พ.ศ. 2562 ประมาณ 49 ปีแล้ว ไม่ใช่น้อยแล้ว มีพวกเราที่เข้าใจสัจธรรมของโลกเข้าใจอัตตาความเป็นสัตว์ พวกเรายังมีความเป็นสัตว์ เป็นพรหมสัตว์ เป็นเทวะสัตว์ ไม่เป็นสัตว์นรกไม่เป็นมาร ไม่เป็นสัตว์ชั้นต่ำ
เทวะ แปลว่าความเจริญความสูง
อาตมาเขียนไว้ตอนกลางคืน
เทวะ คำนี้ ในสามัญสำนึกของคนทั้งหลาย หมายเข้าไปถึงความเป็นเทพ หรือความเป็นเทวดา หรือพระเจ้า เทพเจ้า ไม่ได้อยู่ตื้นเขินเพียงความเป็นคน แต่จะหมายถึงนามธรรมขั้นจิตวิญญาณทีเดียว คำว่าเทวนี้จึงยิ่งใหญ่นิรันดร์กาล โดยเฉพาะความเป็นมนุษย์
ในห้วงแห่งความหมายเหมือนของคนทั่วไป คำว่าเทวซึ่งหมายถึงความเจริญความดีงามความสูงส่งหมายถึงสัตว์สวรรค์ ไม่ว่าในชาวโลกีย์หรือชาวโลกุตระ ก็จะมีนัยยะเบื้องต้นดังกล่าว เทพหรือเทวะนี้
ซึ่งมันตรงกันข้ามกับคำว่า บาป หรือผี หรือ หมายถึงสัตว์ชั่วสัตว์นรกอะไรพวกนี้
ซึ่งมันตรงกันข้ามกับคำประชดประชันที่บอกว่าเป็นคนขั้นเทพ ภาษาซึ่งเละเทะไปหมดเลย
อาตมาเองรู้สึกว่า จริงๆแล้วในโลกยังหมุนเวียนอยู่ในความเป็นมนุษย์ มีคำว่าเทวยิ่งใหญ่ครองโลก มีแต่ศาสนาพุทธตีแตกในเรื่องความเป็นเทว ที่เป็นสภาวะคู่ เทวะแปลว่าสอง สิ่งที่ตีไม่แตก 2 นี้ก็จะอยู่นิรันดร ศาสนาพระพุทธเจ้าตีแตก 2 ทำให้เป็นหนึ่งได้ และไม่เกิด คุณอยู่โสดจริงๆ อยู่เดี่ยว ไม่เกิดเลยคุณทำเกิดไม่ได้ จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็แล้วแต่เป็นหญิงเดี่ยวชายเดี่ยวตายไม่ต้องเกิดได้ ศาสนาพุทธทำให้เป็นหนึ่งได้และทำให้เป็น 0 ได้ นี่คือความยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
เพราะฉะนั้น ทำให้เกิดความเป็นศูนย์และเป็นศูนย์ที่นิรันดรได้ ไม่มีการเวียนกลับมาอีก ไม่วนเวียนกลับมามี อัตภาพหรืออาตมันได้อีก ส่วนเทวนิยมนั้นปรมาตมันหรืออาตมันนิรันดร
ศาสนาพุทธทำให้ 0 ได้ อาตมาทำให้สูญได้แต่อาตมายังไม่สูญจะอยู่ไปอีก คุณตามให้ไปตลอดก็แล้วกันอีกกี่ชาติก็ไม่รู้ ถ้ายังไม่ถึงพระพุทธเจ้าก็ยังไม่สูญ จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็บอกเหมือนบอกอานนท์เราจะตายแล้ว พระอานนท์ก็บอกว่าตายยังไม่ได้พระเจ้าข้า แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเราปลงอายุสังขารแล้ว เราทำนิมิตให้เธอทักท้วงถึง 16 ครั้ง แต่เธอก็ไม่ทักท้วงเลย หมู่สงฆ์ก็เลยปรับอาบัติ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นิยาม 5 อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมะ นี้ก็สุดยอดแล้ว นักวิทยาศาสตร์ทางไบโอโลจี Epistemology ขนาดไหนก็แล้วแต่ ก็ไม่สามารถรู้เท่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าให้เอาเรื่องสุขเรื่องทุกข์มาศึกษามันเป็นเรื่องที่จุดชนวน คนเรามันวิ่งหาสุขอย่างเดียว แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป สุขมันไม่มี มันเป็นของหลอก เป็นอัลลิกะ ของอุปาทานว่ามี การเกิดขึ้นตั้งอยู่จึงเป็นทุกข์ หากสูญซะ หรือรับกระทบในโลกคุณก็สามารถ มีวสวัตตี มีอำนาจจิตที่ไม่ให้เกิดการหวั่นไหวในการกระทบ คือนิ่งกลางไม่มีอันตา ไม่มีปลายในอันตคาหิกทิฏฐิ
อันตา แปลว่าปลาย ฝ่าย ไม่ไปหาฝ่ายไหนเลย กระทบอย่างไรก็กลาง แข็งแรงอยู่อย่างนั้น เป็นผู้ที่ไม่มีโศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส
ผู้ที่เรียนรู้มีวิชาในปฏิจจสมุปบาท ได้เรียนรู้ สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะเวทนา ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ จึงเป็นผู้พ้น โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส
พวกเราได้คบ รู้จักอาตมามาบางคน 40 กว่าปี ที่สูงสุด นอกนั้น 30 10 20 ไม่ถึง 10 บางคนที่พบอาตมายังไม่ถึง 10 ปียกมือขึ้นซิ แม้จะไม่ถึง 10 ปีก็ตาม เท่าที่อาตมาสอนศาสนามาเกือบ 50 ปี เคยเห็นอาตมา โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส ไหม …ไม่เคย
อาตมาอาจจะไป นั่งโศกเศร้าอยู่ในห้องน้ำก็ได้นะ..
ในหลวง มีข่าวว่าทรงรำพึงอยู่ที่ศิริราช …ว่า เราไปทำอะไรให้เขา เขาถึงมาว่า
ฟังแล้วมันเศร้าใจจริง คนทำไมมืดบอดจนกระทั่งไม่รู้อะไร ในหลวงท่านแสดงรูปธรรมและชัดมาก ในสิ่งที่สุดประเสริฐตลอดพระชนม์ชีพ เป็นผู้ที่ไม่มีตัวตน ทำงานรับใช้มวลชนมาตลอด การเมืองและธรรมะอันเดียวกันตลอด พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) สุดยอด
ส่วนอาตมาคนมองไม่ออกว่าเสียสละเพื่อสังคม อาตมาเป็นราษฎรเป็นคนติดดิน เป็นคนคลุกขี้เลย คืออาตมาไม่ได้นึกว่า อาตมาทำสิ่งที่คนเขาไม่แสดงออก สามัญสํานึก ว่าอันนี้มันแรงมากไป แต่อาตมาไม่ถึงหยาบ แต่แรงไม่ไว้หน้า ไม่มีมารยาท อาตมาแสดงอย่างนั้นจริง เพราะว่าไม่ต้องการที่จะปกป้องความบริสุทธิ์สะอาดให้เข้าใจอย่างนั้นอย่างเดียว อาตมาเป็นสุดNude สุดเปลือย ไม่มีอะไรปิดบังเลยต้องการอย่างนั้นจริงๆไม่รู้ใครจะเข้าใจความหมายที่อาตมาหมายถึง อย่างจริงใจ แต่อาตมาหมายถึงอย่างนั้นจริง
เพื่อความง่ายไม่มีอะไรแอบแฝงมัวหมองเลยสะอาดง่ายชัดทุกอย่างเลย เจตนาของอาตมาเป็นอย่างไร แต่คนไม่เข้าใจหาว่าอาตมาพูดอย่างไม่มีมารยาท พูดไม่อ้อมค้อมพูดตรงเกินไป พูดอย่างเปลือกเปลือยทำให้ง่ายแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจกันอีก ไม่รู้จะทำอย่างไร
_คุณใบฟ้าถามมา
กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ
“ อันตคาหิกทิฎฐิ 10” ดิฉันเข้าใจแบบนี้กราบขอความถูกต้องด้วยค่ะ
กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ
“ อันตคาหิกทิฎฐิ ๑๐” ดิฉันเข้าใจแบบนี้กราบขอความถูกต้องด้วยค่ะ
๑. โลกเที่ยง = โลกนิโรธ
๒. โลกไม่เที่ยง = โลกสมุทัย
๓. โลกมีที่สุด = ปริโยสาน
๔. โลกไม่มีที่สุด = สันตติ (โพธิสัตว์)
๕. อัตตาอันนั้น สรีระก็อันนั้น = อุตุ พีชะ นิยาม
๖. อัตตาก็อย่าง สรีระก็อย่าง = จิต – กรรม – ธรรมะ นิยาม
๗. สัตว์ตายแล้ว ยังมีอยู่ = โสดา – สกทาคามี ภูมิ
๘. สัตว์ตายแล้ว ย่อมไม่มีอยู่ = ภูมิ อรหันต์
๙. สัตว์ตายแล้ว ทั้งมีอยู่และไม่มีอยู่ = อนาคามี ภูมิ
๑๐. สัตว์ตายแล้ว จะมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ = โพธิสัตวภูมิ(สิริมหามายา)
กราบขอบพระคุณด้วยเศียรเกล้า
ใบฟ้า นาวาบุญนิยม (พฤ. 24 มกราคม 2562 12.20 น.)
SMS วันที่ 25 มกราคม 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู)
พันธุ์ พอเพียง · มีเรือไม้ยาว 4 เมตร จะมอบให้บ้านราชครับ อยู่ผักไห่อยุธยา ถ้ารถบวรไหนผ่านช่วยมารับด้วยครับ โทร 081 839 0423 ลุงเฮง ครับ
นพดล ทองโคตร · ข้าฯ น้อย เห็นชอบขอรับขอเชียร์ลุงตู่เป็นนายกที่ดีกว่าคนอื่นๆที้เคยเป็นมา. ขอรับ
มาสู่อันตคาหิกทิฏฐิ 10 แม้ยากก็ต้องอธิบาย
อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง
-
โลกเที่ยง = โลกนิโรธ พ่อครูว่า อันนี้ก็ยังไม่น่าจะได้ แต่ที่จริงอธิบายเป็นก็ถูกหมด คำว่าเที่ยงคือนิรันดร แต่คุณใบฟ้าบอกว่าคือโลกนิโรธ ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็คือโลกนิโรธเที่ยงแล้วก็ถูกต้องพระอรหันต์ขึ้นไปดับความวนของโลกได้แล้ว โลกความวนคือโลกียธรรม โลกธรรม ที่เป็นอรหันต์แล้วโลกธรรมโลกียธรรมก็มีอยู่เป็นธรรมดา ตราบเท่าที่มีสัตว์โลกเกิดมาเป็น อเวไนยสัตว์ก่อนก็มีอวิชชาก่อนทั้งนั้น หลงอยู่ภายใต้อำนาจลาภยศสรรเสริญโลกียสุขทั้งนั้น ความวนของโลกมันก็เที่ยงแต่มันไม่นิโรธ
หากจะบอกว่าโลกเที่ยงคือโลกนิโรธก็ได้หากเป็นพระอรหันต์ จะบอกว่าไม่เที่ยงก็ได้
-
โลกไม่เที่ยง = โลกสมุทัย พ่อครูว่า…คล้ายกับโลกเที่ยงคือโลกนิโรธ แต่โลกไม่เที่ยงก็คือโลกสมุทัย มีเหตุอยู่ต้องดับเหตุจึงจะทำให้เกิดความเที่ยง ก็เข้าใจได้ คุณต้องดับสมุทัยหมดจึงมีโลกนิโรธ
3. โลกมีที่สุด = ปริโยสาน พ่อครูว่า..คือทำให้โลกนี้มีที่สุด ไม่หมุนไม่เวียนวน เป็นที่สุด ปริโยสานแปลว่าที่สุดมันก็ใช่ โลกมีที่สุดคือปริโยสานสำหรับพระอรหันต์ แต่ในโลกที่เป็นโลกิยะธรรมดามันก็ไม่มีที่สิ้นสุด
4. โลกไม่มีที่สุด = สันตติ (โพธิสัตว์) พ่อครูว่า…เป็นโพธิสัตว์รู้จักสันตติ รู้จักจุดต่อ สันตติหมายถึงที่ที่จะเชื่อมต่อ จะต่อหรือไม่ต่อโพธิสัตว์สามารถต่อก็ได้ไม่ต่อก็ได้ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าโลกไม่มีที่สิ้นสุด มีจุดสันตติ และคนที่มีจิตวิญญาณที่ทำได้จะต่อก็ได้ หรือจะมีที่สุดก็ได้ไม่ต่อก็ได้ ไม่สันตติ จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ หากจะเอาตายตัวนั้นไม่ได้ อยู่ที่เข้าใจเพราะฉะนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะว่าตัวเราเองเป็นผู้ตัดสินเอง -
อัตตาอันนั้น สรีระก็อันนั้น = อุตุ พีชะ นิยาม พ่อครูว่า….อันนี้อธิบายได้ยากกว่าอันก่อนๆมาก อัตตากับสรีระแยกกันไม่ได้ เมื่อเกิดมาเป็นจิตวิญญาณ สรีระมันไม่มีความเป็นอัตตาหรอก
สรีระคนตายมันไม่เหลืออัตตา หรืออย่างเก่งมีจิตยึดมั่นถือมั่น ตายแล้วไม่เน่าก็เลยเกิดพีชธาตุไม่ยอมตาย ยังยึดพลังงานไว้เป็นตัวตน เหลือพลังงานในโมเมนตัม
มนุษย์พืชเขาให้ท่ออาหารเข้าไปแม้ว่าไม่มีจิตวิญญาณรับรู้ไม่มีเวทนาแล้วแต่มันมีสัญญา(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…เหมือนโยมรจนา ถูกรถชน หัวใจยังเต้นอยู่แต่ว่าไม่มีจิตวิญญาณแล้ว
พ่อครูว่า…หากว่าจิตวิญญาณไม่มี co-efficient พุ่งขึ้นมาให้เป็นจิตวิญญาณได้แล้ว ก็ให้อาหารกับสังขารสรีระนี้ต่อไปจนกว่าจะหมดอายุขัยก็ตาย
สรีระ จริงๆเป็นธาตุภายนอก เป็นดินน้ำไฟลม มารวมกันกับอัตตา พีชะไม่เป็นจิตวิญญาณ พีชะเป็นพลังงานระดับพีชะเท่านั้น เรียกอัตตาไม่ได้ แต่ว่าสัตว์โลกมันมีอัตตานะ การแยกกายแยกจิต ต้องมาเรียนรู้กรรมฐานแรกของภิกษุ
พระพุทธเจ้าให้พิจารณากรรมฐาน 5 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ผมขนเล็บฟันก็ภายนอก หนังก็มีส่วนภายนอก ที่มันไม่รับรู้สึกได้ต่อเนื่องกับความรู้สึกได้ สามชั้น
การแยกกายแยกจิตนี้จึงยากมาก หากใครแยกได้ จะรู้จักการตายการเกิดที่ลึกซึ้ง
เล็บคน…เล็บมันมีส่วนที่เราตัดออกจากที่มันยาวออกมาแล้ว ผมก็เช่นกัน มันไม่รู้สึกเจ็บไม่รู้สึกอะไร นั่นเรียกว่าไม่ใช่กายของเราเด็ดขาดเลย เพราะมันไม่มีจิตร่วมเลย
ทีนี้ กายส่วนที่ไม่ได้ตัดออกไป แต่มันพ้นประสาทของเราแล้ว อันนี้ก็ไม่ใช่กายแล้วแต่มันมีชีวะ เป็นพีชนิยาม ที่ตัดออกไปก็หมดชีวะ เป็นอุตุ เปื่อยเน่าเป็นดินน้ำไฟลมไป มันไม่มีอาหารเลี้ยงแล้วก็จะเป็นดินน้ำไฟลมไป
ส่วนที่ยังอยู่กับร่างกายเรายังมีธาตุรู้ยังมีวิญญาณร่วม กายต้องมีจิตวิญญาณร่วม ถ้าไม่มีก็ไม่ถือว่าเป็นกาย
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า กายนั่นคือจิต มโน วิญญาณ แต่ทุกวันนี้ในภาษาไทยกายหมายถึงเพียงร่างกาย สรีระ
คำว่าบุญ คำว่ากาย คำว่าสมาธิ ทุกวันนี้ในศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว
กาย เป็นจุดเริ่มต้นในการปฏิบัติที่จะอธิบายต่อ ความหมายของคำสำคัญที่ผิด ศาสนาพุทธเป็นโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมมี 37 เขารวมหมวดอีก 9 คือบุคคล 8+นิพพาน1
แต่โลกุตระที่เราจะเรียนรู้มี 37 ตั้งแต่เริ่มต้นข้อแรกคือกายในกาย
กายก็เนื่องไปเป็นเวทนา หากแยกรูปนามไม่ออก จากรูปนามเชื่อมต่อมาเป็นความรู้สึกหรือเวทนาเข้าใจเหตุปัจจัยมันไม่ได้ คุณก็ไม่สามารถเรียนรู้ไปจนถึงตัณหาอุปาทานแล้วดับตัวเหตุตัวใหญ่นี้ คุณก็ไม่มีทางปฏิบัติ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมหลับตาไม่มีผัสสะไม่เกิดเวทนา โมฆะจากศาสนาพุทธเลย คุณไม่มีกายให้ปฏิบัติ กายต้องมีภายนอกจากภายนอกเป็นกาย กายเป็นเทวะ ธรรมะ 2
พระอรหันต์สัมผัสแล้วไม่เกิดปัญหาไม่เกิดอุปทาน เวทนาก็มีแต่เวทนาแท้
ต้องแยก เนกขัมมะกับเคหสิตะ เวทนา แล้วจะทำใจในใจของตนเองให้ออกจากกิเลสเป็นเนกขัมมะได้อย่างไร ต้องกำจัดแต่เคหสิตะ ไม่ใช่ไปกำจัดจิตทั้งหมดเลย จิตใจเป็นของดีแต่ไปทำลายมันได้อย่างไร
เจโตปริยญาณ 16 สราคะ สโทสะ สโมหะ ทำให้ลดได้เป็น วีตราคะ วีตโมหะ วีตโทสะ คุณทำได้ในจริตของคุณเป็นเจโตเป็นสังขิตตจิต ส่วนปัญญาเป็นวิกขิตตจิต แต่ละจริตก็ต้องรู้ตัวเองจะให้ไปในทางใดทางหนึ่ง เจโตจะกดข่มแรงก็แน่นไปตีไม่แตกสักทีดึงไม่ออกสักที ก็ต้องเปลี่ยนแปลง จนเอาตัวเหตุออกได้
ได้ดีก็เรียก มหัคตะ ทำไม่ได้ก็อมหคตะ
ให้เจริญต่อไปได้ สอุตรจิต
ทำได้เจริญสูงสุดเป็นอนุตรังจิตตัง
สมาธิสมบูรณ์ คือสมาหิตะ ไม่สมบูรณ์ อสมาหิตะ
ทำได้หลุดพ้นหมดเป็นวิมุติ ทำไม่ได้เป็นอวิมุติ
_อาอู๊ดถามว่า…เจโตกับปัญญา จะต้องไปอย่างใดอย่างหนึ่งหรือจะเอารวมกันได้
พ่อครูว่า…ได้รวมกันได้ อย่างดีด้วย ผสมผสานดี คุณต้องใส่สีเทา แต่ถ้าใส่ถุงมือข้างหนึ่งดำข้างหนึ่งขาวนั้นร่วมกันไม่ได้ มันต้องรวมกันให้ได้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องใส่สีเทาทั้งคู่ มันตลกใส่ถุงมือข้างหนึ่งขาวข้างหนึ่งดำ
เจโตปริยญาณ 16 เข้าใจไม่ยาก
กายในกาย ทุกอย่างก็ปฏิบัติกายในกายไปตลอดเวทนาในเวทนาไปตลอด กายนั้นเน้นภายนอกแต่ไม่ขาดภายใน
เวทนาก็ไม่ขาดภายนอก เวทนาต้องมีผัสสะต้องมีกาย ผัสสะ 6 ทวารร่วมกัน 5 ทวารนอกรวมกับทวารใน ทำงานร่วมกันตลอดเวลา
ที่นี้มาอธิบายอุปาทายรูป 24 พอมาถึง ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 ก็เป็น 10 แต่เวลาทำงานแล้วพอกระทบสัมผัสเป็นภาวรูปเหลือ 9 แล้วมันหายไปไหน 1
เพราะว่าตาหูจมูกลิ้นกาย เวลาคุณจะสัมผัสก็มีใจร่วมด้วยทั้งหมด เมื่อสัมผัสแล้วเสร็จ กายนี่ก็คือใจ ใจก็คือกาย สัมผัสนอกสัมผัสในก็คืออันเดียวกัน กายเลยแหว่งไปครึ่งหนึ่ง กายเป็นทั้งภายนอกทั้งภายใน เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นทั้งภายนอกทั้งภายในก็รวมเป็นหนึ่ง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตัวกายก็นับเอาใจด้วย อันเดียวกัน ก็เลยเหลือ 9
หากคุณเป็นคนตาย คุณมีแต่กายไม่มีใจ คุณก็เหลือแต่ร่างภายนอก 5 ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก ใจไม่มี แต่ถ้าคุณไม่เอาภายนอกเลย คุณเหลือแต่ใจ ภายนอกไม่รับรู้เลย ก็เป็น 9 อยู่
ไม่ต้องอธิบายภาษามาก พวกเราก็ทำได้อยู่ แต่โดยพยัญชนะภาษา เอามาอธิบายให้ชัดเจนครบครันเท่านั้นเอง
ในอุปาทยรูป พระพุทธเจ้าตรัสถึง รูปมี 28 นามมี 5
เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ในการปฏิบัติไม่ต้องไปท่องพระอภิธรรมเจตสิก 89 52 จำก็ยากตายชัก พระพุทธเจ้าให้มาใส่ใจในรูปที่ 28 ส่วนพวกรู้พยัญชนะเก่ง แต่ปฏิบัติไม่ได้ ถ้าได้เนื้อแล้วไปเอาสลากมาแปะก็สบาย
รูป 28 กับนาม 5 นี้สำคัญ
ไม่ใช่ นามหมายถึงเจตสิก 52 89 ไม่ได้ พวกนั้นเมาหมัด ถ้าคุณปฏิบัติรูป 28 นี้ไม่ได้ไม่มีทางบรรลุ
รูป 28 หมายถึงโลก กับอัตตารวมกันแล้วเป็นสัตว์โลกในนี้ ตามอันตคาหิกทิฏฐิไม่โต่งไม่แยกไปทางใดทางหนึ่ง ต้องมาสังเคราะห์สังขารกันในนี้
เริ่มต้น มหาภูตรูป 4
คนก็เริ่มต้นต้งแต่ปสาทรูป 5 คือที่มีระบบประสาททำงานได้ที่ ตาหูจมูกลิ้นกายโคจรรูป 4 คือมันออกไปทำงาน โคจรไปสัมผัสจึงจะเกิดภาวะรูป 2
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายครบ 5 เช่นคนตาบอดเป็นต้น ก็ไม่สามารถรู้ครบ
รูปนี้ มันครบกว่าทุกอย่าง เสียง กลิ่น รสก็เรียกว่ารูป คือเป็นสิ่งที่ถูกรับรู้แล้ว หูไปสัมผัสเสียงก็คือเรียกว่ารูป ไปสัมผัสกลิ่น รส ก็เรียกว่ารูป
เมื่อปสาทรูป โคจรรูปทำงานก็เป็นภาวะ
ภาวะ จะมี 2 เสมอ อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ คนไม่ได้แยกอิตถีภาวะกับปุริสภาวะออกแล้วทำ อิตภีภาวะให้เป็นปุริสภาวะ ทำให้เป็นหนึ่งได้ก็หมดสุขหมดทุกข์ สัมผัสก็ไม่มีเวทนาเก๊เกิด ไม่มีอะไรมาร่วมปรุงให้เกิดเวทนาเก๊ มีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริง
ถึงต้องปฏิบัติที่ภาวะรูป 2 จับอาการให้ได้ที่ หทยรูป ไม่ได้อยู่ที่สมองไม่ได้อยู่ที่หน้าไม่ดีอยู่ที่หัวใจสูบฉีดโลหิต ไม่ได้อยู่ที่กระเพาะไม่ได้อยู่ที่ปลายเท้า อยู่ที่กำหนดความรู้สึกตรงไหนได้ เวลามันผัสสะ แล้วรับรู้ความรู้สึกภายใน ตากระทบรูปก็รู้ที่ตา กระทบกลิ่นก็ได้กลิ่น หทยรูป จึงบอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน มันเกิดอาการรับรู้ความรู้สึกที่ตรงนั้นก็คือ หทยรูป ไม่มีสถานที่ไม่มีที่กำหนด แต่อยู่ในองคาพยพ อยู่ในคูหาสยังของเรา แล้วต้องมีปสาทรูปด้วยประสาทต้องทำงาน หากประสาทไม่ทำงานก็เป็นมนุษย์พืช
การปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะภายนอกก็โมฆะ
หลับตามีประโยชน์ 4 อย่าง
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
ศาสนาพุทธไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ พระอรหันต์ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ ดับสุขดับทุกข์ได้ เทวนิยมนี้อยากได้ความสุข แล้วถือว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของความสุข แล้วเป็นเจ้าของตลอดด้วย ถ้าเกิดว่าคนใดคนหนึ่งเกิดทุกข์ขึ้นมาก็ถือว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่พระเจ้าสู้ซาตานไม่ได้ ซาตานจะแทรกแซงมาให้คนเป็นทุกข์ ซาตานมันเก่งกว่าพระเจ้าเหนือกว่าอำนาจพระเจ้าทำให้คนเป็นทุกด้าน ส่วนของศาสนาพุทธนั้นทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ตัวเองทำเองทั้งนั้นอย่าไปโยนขี้หมาใส่พระเจ้า ความสุขความทุกข์อะไรก็พระเจ้า พระเจ้าอะไรจะมาใจร้ายขนาดนั้นทำให้คนทุกข์ ศาสนาพุทธถึงชัดเจนที่สุดเลยว่า ไม่ต้องพระเจ้าหรอก กรรมการกระทำของตัวเราเองทั้งสิ้น
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)