620130_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนจริงจึงทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1k30gH4opLwuaD6TPXFOmUf7gyHTlH_TJDFLzUiX1Q3o/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=12RYX6-uKYeSm4ww7A3QMilEyZEsWF231
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เรามีศพมาตั้งอยู่ในศาลาด้วย พ่อครูจะได้แสดงธรรมหน้าศพด้วย เป็นลูกชายยายธรรมนูญ ก่อนหน้านี้มีน้องสาวยายธรรมนูญ มาวันนี้ก็พอดีลูกๆยายได้มางานศพป้า เขาเห็นว่าที่เราจัดงานศพเรียบง่ายดี ลูกก็คิดว่าน่าจะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้พ่อ ลูกได้ดูแลพ่อมา จ7 ปีที่พ่อนอนติดเตียง ต้องใช้ความพยายามในการดูแลอย่างมาก พรุ่งนี้จะได้ทำพิธีฌาปนกิจกัน
ตอนนี้ข่าวที่ออกกันมากคืองานศพของหลวงพ่อคูณ ทุกช่องต้องพูดถึง ทุกสื่อก็กล่าวถึง พ่อครูบอกว่างานศพมีดัชนีสังคมที่ดีขึ้น ม.ขอนแก่นพยายามไม่ให้เกิดการเรี่ยไรกัน การจะเอากระดูกหลวงพ่อคูณต้องล็อกกุญแจสี่ห้าชั้นกันคนเอาไปทำเครื่องรางของขลัง พ่อครูประเมินว่าภาพรวมของประเทศดีขึ้น
หลวงพ่อคูณก็รู้ตัวสั่งว่า ถ้าตัวเองตายเมื่อไหร่ให้รีบเอาไปที่มหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง ให้จัดงานศพที่เรียบง่ายที่สุด แสดงว่าหลวงพ่อคูณก็รู้เหมือนกันว่าถ้าตายที่วัดจะทำให้ยุ่งมากเพราะประชาชนจะวุ่นวายมาก ท่านก็ไม่ต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น
แล้วเอ๊ะ พ่อครูจะเป็นอย่างไร (พ่อครูว่า…อย่าเพิ่งคิดน่ามันไม่เที่ยง อาจมีวิธีการสมัยใหม่ให้ทำกัน) ยกเรื่องนี้ ให้แง่คิดว่า พ่อครูคงไม่เป็นเช่นนี้ ไม่ถึงขนาดนี้
เมื่อเช้านี้พ่อครูว่า บ้านราชฯให้ทำสองอย่างคือทำองค์ประกอบของเสนาสนะให้ดี ไม่ว่าจะเป็นข้าวผ้ายาบ้าน สถานที่ และทำจิตให้มีโลกุตระให้แน่น ตอนนี้มีพี่น้องหมุนเวียนกันมาร้านพิสูจน์จิตอาสา ที่จริงเราขายต่ำกว่าทุน มีคนเช็คราคาเปรียบกับกรุงเทพฯแต่เราขายถูกกว่ามาก ทำอย่างไรให้เกิดโลกุตระให้แน่น
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 28 ม.ค. 2562 (สำมะปี๋ซี่วิต)
_นันท์มนัส · คนดู ผ่านเฟส 30
_ปาลิตา ทองสุขนอก · ขอโอกาสถามว่า ถ้าเราไม่ใช่ชาวอโศกขอเป็นชาวบุญนิยมได้มั๊ยเจ้าคะ อยากเป็นชาวบุญนิยมมากกว่าเจ้าคะ น้อมกราบนมัสการเจ้าคะ
พ่อครูว่า…บุญนิยมคือ ผู้ที่ทำจิตให้รู้จักกิเลส แล้วสร้างพลังงานจิตตนให้ประหารละกิเลสได้ เหมือนกับสร้างระเบิดปรมาณู ที่มีแต่พลังงานจิต ระเบิดทำลายกิเลสได้หมดแล้วระเบิดก็หายไป ทุกวันนี้เข้าใจบุญไม่ได้ก็ไปสั่งสมบุญ เหมือนกับสั่งสมระเบิดมากแล้วนึกว่าตัวเองมีความดีงาม แท้จริงแล้วตัวเองมีกิเลสมากขึ้นต้อง สร้างระเบิดปรมาณูไว้ให้แก่ตัวเองมาก มันตรงข้ามกับสัจจะสภาวะความหมาย อันนี้สิทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม เดี๋ยวนี้ก็มีคำว่า กาย คำว่าเทวะ มันได้ทำให้สัจธรรมผิดเพี้ยนไปหมด
บุญนิยม หมายถึงลัทธิหรือหมู่ชน ถ้าหมายถึงคนก็หมายถึงคนที่เข้าถึงบุญ อย่างนิยมะ คือเที่ยงแท้ทำลายกิเลสได้ แม้จะไม่ใช่ชาวอโศกแต่ศึกษาบุญนิยมให้ได้มรรคผล
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูครับ เนื่องจากผมได้ฟังธรรมจากยูทูปของท่านคึกฤทธิ์ ท่านบอกว่ามรรคมีองค์ 8 แบ่งเป็นสามหมวด 2 หมวดแรกคือศีล 3 หมวดกลางคือสมาธิ 3 หมวดหลังคือปัญญา ถ้าจะปฎิบัติต้องย่นย่อให้เหลือ1 คืออานาปานสติ ให้นั่งเพ่งลมหายใจเข้าออก ไม่ให้สิ่งไม่ดีเข้ามาในจิตใจ ใครทำได้ในขณะนั้นแสดงว่าปฎิบัติมรรค 8 ได้สมบูรณ์ทุกข้อ เพราะการนั่งทำต้องใช้ความเพียรเป็นอันมากเป็นสัมมาวายามะ ครับ
ผมข้องใจมากๆเพราะท่านว่าเป็นพุทธวจนะ ผมจึงกราบรบกวนเวลาพ่อครูช่วยตอบให้ผมกระจ่างด้วยครับ กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงครับ
พ่อครูว่า…ถ้าเป็นดังที่ว่านี้ ท่านคึกฤทธิ์ก็คือเข้าป่าลงนรกแล้ว ผิดทั้งหมดทั้งมวลเลย แค่จะบอกว่ามรรคมีองค์ 8 นี้คือนั่งลง กำหนดลมหายใจเข้าออกนั่งสมาธิก็ผิด เพราะสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 252 ถึง 281 พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัมมาสมาธินั้นเกิดจากการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ นี่คือความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ของชาวพุทธทั้งหมด นั่งสะกดจิตดูลมหายใจเข้าออกก็เป็นวิธีของเดียรถีย์ที่ทำกันในยุคโน้น
ในยุคพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องอนุโลม ที่บอกว่านั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นก็เป็นการกระทำของผู้ที่ทำผิดทั้งหลาย สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีใครทำถูกเลย การนั่งสมาธิของเขาคือการสะกดจิต นั่งหลับตาสมาธิไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติทั้งหมด จักขุมาปรินิพโพติ ต้องมีปัญญาอย่างลืมตาไม่ใช่นั่งหลับตาปฏิบ้ติ ไม่ใช่เลยคนยึดมั่นถือมั่น แต่อาตมาก็ประกาศไปเขาก็ว่าอาตมาทำผิด
มรรคองค์ 8 ไม่ได้หลงผิดไปนั่งหลับตาแล้วสรุปว่าให้นั่งเพ่งลมหายใจเข้าออกไม่ให้มีจิตใจเข้ามาให้ดูแต่ใจ แต่ศาสนาพุทธนั้นให้จิตใจเรารับรู้ทางทวารภายนอกและภายใน ไม่ใช่ไปปิดประตูให้ไม่ให้อะไรเข้าเลยไม่ใช่
ในพระไตรปิฎกบอกว่าเหมือนปิดประตูรูเหี้ย 5 ประตู แล้วไปดูที่ทวารใจประตูเดียว อธิบายไปดูเหมือนจะดีนะ แต่ว่า อาตมาก็ยกหลักฐานที่ในพระไตรปิฎกมีอีกมากมายหลายสูตร ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติแบบลืมตาแล้วจะเกิดวิมุต วิมุตติญาณทัสสนะไปตามลำดับ ให้สัมผัสแล้วจิตใจคนก็ไม่เกิดกิเลสกามพยาบาทจนกระทั่งไม่เกิดวิหิงสา สัมผัสข้าวของเงินทองสัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย และกิเลสมันจะเกิดเป็นเวทนา คุณก็ไปหลงเวทนาเก๊ ที่ได้เสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
3 ข้อใหญ่ของศีลนี้แหละปฏิบัติให้ถูกเป็นโลกุตระ มันครบแล้ว อย่างลืมตาปฏิบัติ อาตมาพูดมาจะ 50 ปีแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ท่านคึกฤทธิ์ก็ยึดถือศรัทธาปิฎก แต่การปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ต้องลืมตาปฏิบัติยังมีโพธิปักขิยธรรม 37 จนสามารถจับตัวเป็นธรรมะ 2 พิจารณาจัดการกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมให้กิเลสลดลงไป ไม่ใช่ไปทำมั่ว แต่ให้ทำทีละคู่ ปฏิบัติลืมตา ตั้งแต่ข้าวของทรัพย์สินเงินทองสัมผัสกับสัตว์สัมผัสกับคน
สัมผัสกับวัตถุหรือสัมผัสกับพืช จะเกิดกิเลสเอาเปรียบเอารัดอยากได้ ก็ลดกิเลสไป และสัมผัสในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่เกิดสุขกับทุกข์ ส่วนศีลข้อ 4 ข้อ 5 ข้อยืนยันในศีลข้อที่ 1 2 3 จะปฏิบัติกายกับวาจาได้จะต้องมีใจปฏิบัติด้วย คนปฏิบัติแบบศาสนาพุทธลืมตาปฏิบัติ ใจก็ต้องลืม ให้พ้นจากความเมาหลง สุราเมระยะมัชชะ เมาอย่างหยาบกลางละเอียด
_รารา ลาลา….คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็พูดไปเรื่อย….โพธิรักษ์ไม่ได้บวชในพุทธศาสนา..บวชเอง ตั้งลัทธิเอง..บอกว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์..ถามจริงๆในพุทธกาลมีเจ้าลัทธิมากมาย..ที่พยายามที่จะหาทางหลุดพ้น..แต่ไม่สำเร็จ..สุดท้าย.ต้องออกบวชในพุทธศาสนา..จึงสาเร็จเป็นพระอรหันต์สาวก..ยกตัวอย่าง.ชฎิลสามพี่น้อง..มีอุรุเวลกัสสะปะ..คยากัสสะปะ.นทีกัสสะปะ..สามคนนี้มีบริวารเป็น1000คนอ้างตัวว่าเป็นพระอรหันต์..จนสุดท้ายพระพุทธเจ้าทรงทรมาน..ด้วยฤทธิ..จึงยอมขอบวชเป็นลูกศิษย์แบ้วก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์….แล้วโพธิรักษ์บวชเอง..ตั้งลัทธิเอง..มีด้วยเหรอที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์..555ตลก..เลิกหลอกลวงคนโง่ๆได้แล้ว..ยังไม่สายที่จะกลับตัวกลับใจใหม่..นรกนะครับ..กันอะไรครับ..หันซ้ายหรือขวา..ว่าจะไปทางไหนดี..
พ่อครูว่า…อาตมาขอยืนยันว่าไม่สามารถหลอกลวงคนโง่ได้ คนโง่นั้นอาตมาไม่ไปหลอกลวงเขาอยู่แล้ว อาตมาจะหลอกลวงคนมีปัญญา อาตมาไม่มีสิทธิ์ไปหลอกลวงคนโง่อาตมาหลอกไม่เป็น อาตมาจะหลอกคนมีปัญญาได้เท่านั้น แต่คนมีปัญญาจะฟังอาตมา ว่าท่านไม่ได้หลอกลวง ท่านพูดจริง ส่วนคนโง่นั้นเลิกเลยจะว่าอาตมาหลอกลวง เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมีปัญญา คนมีปัญญาจึงจะฟังอาตมารู้ได้ ส่วนคนโง่นั้น เชิญนิรันดรต่อไป คนโง่ จะอยู่กับความคิดเดิมของเขา เขาจะปฏิเสธสิ่งที่ต่างจากที่เขายึดมั่นถือมั่นแล้ว
โชคดีที่ ชฏิลทั้งหลาย ไม่เหมือนคุณคนนี้ คุณเข้าใจไม่ได้หรอกว่าอาตมามีธรรมะมาเอง ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 เป็นผู้รู้เองสยังอภิญญา แล้วอาตมาก็บอกว่าอาตมาเป็นคนนั้น คนที่เชื่อ เข้าใจดีก็ไม่ปฏิเสธ
ข้อ 10 นี้ท่านบอกว่า…สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) คนไหนตาดีก็จะเห็น อัตถิโลเก ก็จะเห็น
ถ้าอาตมาไม่พูดแล้วใครจะมาพูดแทนอาตมา
_ฮาปากอน 44 ….อรหันตรวจเลือดไม่ได้ ดูดออกแข็งเป็นพระธาต ใครทำเลือดออกตกนรกอีกกรรมเลย
_พีบอย แล็บ….ต่อให้ท่านโพธิรักษ์มรณะภาพไปอีกร้อยปี คำสอนของท่านพุทธทาส ก็ยังคงอยู่ แต่คำสอนของท่าน อีกร้อยปีก็ไม่มีใครจำได้
พ่อครูว่า…อาตมานี่อวดดีไม่ได้อวดเก่ง อาตมาเทียบนั้นเพราะอาตมาเป็นผู้เที่ยง ของท่านพุทธทาสคุณก็ศึกษาเอาเถอะ ส่วนของอาตมาก็มั่นใจว่าชัดเจนในตัวอาตมา อาตมาเองอธิบายได้ มากกว่าท่านพุทธทาส อธิบายได้ละเอียดกว่าท่านพุทธทาส อาตมาไม่ได้ตีทิ้งอภิธรรมด้วย เพราะท่านพุทธทาสไม่มีอภิธรรมเข้าใจพระอภิธรรมไม่ได้ เพราะว่าพระอภิธรรมเป็นสุดยอดธรรมะของพระพุทธเจ้า อธิบายจิตเจตสิกอย่างอาตมาท่านอธิบายไม่ได้ แล้วท่านก็เลยตีทิ้งเพราะท่านไม่รู้เรื่อง แค่นี้ก็หมายถึงว่าท่านพุทธทาสนั้นไม่ได้สามารถที่จะเป็นพระอาริยะขั้นที่เข้าถึงอรหันต์ อาจจะพอรู้ในความหมายของสัจธรรมศาสนาระดับหนึ่ง จะบอกว่ามีขั้นตอนก็มีขั้นตอน อาตมาไม่เปรียบเทียบ แต่จะบอกคนอื่น ว่าท่านพุทธทาสนั้นเป็นพระโสดาบันเท่านั้น เป็นผู้ที่ศรัทธาศาสนาพุทธดีและก็เป็นผู้ที่ชัดเจนในความไม่ยึดมั่นถือมั่นจนเลยเถิด มีความชัดเจนแต่เลยเถิด ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เลยไม่ได้อะไร แต่ได้ที่ว่าศาสนาพุทธมีวิธีอย่างนี้มีอนัตตามีจิตว่าง มีความสุญญตาเข้าใจแต่เข้าไม่ถึงสภาวะจริง ไม่รู้รายละเอียดในเวทนาในเวทนาไม่รู้ในเวทนา 108 ทำจิตในจิตทำเวทนาในเวทนา โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 ทำไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเมื่อท่านตีทิ้งสิ่งที่เป็นยอดหัวใจศาสนาพุทธ แล้วท่านจะเอาความเป็นพุทธไว้ตรงไหน ท่านก็ได้แต่พื้นฐานที่ศรัทธาศาสนาพุทธ
แต่สักกายะทิฐิท่านพุทธทาสก็ยังไม่รู้ กาย คืออะไร ธรรมกายท่านพุทธทาสเข้าใจถูกหรือยัง
กาย แปลว่า จิต มโน วิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
คำว่ากาย อาตมาแยกให้รู้มูลกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่มีทั้งส่วนเปลือกที่ไม่ใช่กาย แล้วส่วนไหนเป็นจิต ส่วนไหนเป็นอุตุ
เล็บ ส่วนที่หลุดออกไปจากร่างแล้ว ผมหลุดออกไปจากร่างแล้ว แน่นอนมันก็ไม่ใช่กายใครก็รู้ แต่ส่วนเล็บที่ติดกับตัวเราแล้วก็ไม่รู้สึกเจ็บ ฟันที่เป็นภายนอกก็ไม่เจ็บ ที่ไม่เจ็บก็ยังมีส่วนที่มีชีวะอยู่ได้ แต่ไม่เจ็บ แต่มีชีวะขั้นพีชะ
พีชะ ไม่มีเวทนาไม่มีความเจ็บปวด จึงต้องศึกษาว่าส่วนเหล่านี้ ตัดออกไปแล้วว่าไม่ใช่กาย แต่กายต้องมีจิตร่วมด้วย เป็นสามระดับง่ายๆ หากพิจารณากายในกายไม่ถูกก็ไม่เข้าใจเวทนาในเวทนาเพียงพอ จนสมบูรณ์แบบ เวทนา 108 จิตในจิตซึ่งแยกเป็น มโนปวิจาร เพื่อแยกและทำให้ได้ผลในเจโตปริยญาณ 16
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .