620216_เทศน์ทวช.งานพุทธาฯครั้งที่ 43 บ้านราชฯ เรื่อง เทวฺครองโลก ตอนที่ 2
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1XqCyMhoUu932KDstYwjxLmu9vVI6PpStMUwIm47gUpU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1EW5v4Qyeh1kD9XyYkmFTzmDDaG7DQ4T_
พ่อครูว่า…วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก …เรามาต่อเลย วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้ว มีทั้งบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญคุณไปเรื่อยๆ ข้อสำคัญคือมารวมกันมาซับซาบความสัมพันธ์อันอบอุ่นที่คนมารวมกัน เป็นความสำคัญที่เราจะต้องอยู่ร่วมรวมกัน มันมีความเป็นอยู่ต่างๆ เกิดจากกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ที่อาตมาว่าทุกวันนี้ชาวอโศกรวมกันได้ โดยเฉพาะชุมชนที่เราอยู่นี้ ราชธานีอโศก อาตมาว่ามันมีบรรยากาศสัปปายะ 4 เสนาสนะ บุคคล อาหาร และก็ธรรมะ มันสมบูรณ์พร้อมอาตมาว่า มันละเอียดเนียนลึกซึ้ง มันครบทั้งความเป็นอยู่ทั้งด้านเศรษฐกิจ ทางด้านสังคม ทางด้านการเป็นอยู่ร่วมกัน บริหารกัน อภิบาลกัน ดูแลกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีสาราณียธรรม 6 มีอย่างใช้ได้เลย
เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สาธารณโภคี
สาธารณโภคีนี่แหละสำคัญมากในโลก ชุมชนที่ไหนในโลกก็ยังทำไม่ได้ เช่น ในครอบครัว แค่ครอบครัวนะ เขายังเกิดสาธารณโภคียาก พ่อแม่ลูกใช้เงินกันคนละกระเป๋า ถ้าเอาของใครไปใช้ต้องเอามาคืนนะ บางครอบครัวจะคิดดอกเบี้ยกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาไปแล้วต้องใช้คืน ซึ่งแค่ด้านเศรษฐกิจข้าวของเงินทองก็เป็นตัวกูของกู แม้แต่ในสังคมครอบครัว ในหมู่บ้านไม่ต้องห่วงเลยไม่ได้ หมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งไม่ได้ มีสักกลุ่มหนึ่งที่จับตัวกันเพื่อทำอย่างนี้อย่างน้อยก็ไม่เห็นสภาพจริง แต่ของเรานี่ทำได้เป็นชุมชนเป็นเครือแห แบ่งแจกกันหรือยืมกันได้ โดยไม่มีดอกเบี้ย อาจจะมีบ้างเล็กๆน้อยๆก็ไม่ถือสากันเป็นสามัญปกติ นอกนั้นเป็นไปได้อย่างดี
โดยเฉพาะการบริหารอภิบาลดูแลกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีสาราณียธรรมชัดเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สาธารณโภคี มีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ถ้าไม่ปฏิบัติจิต สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ คุณลักษณะที่มาจากจิต 7 อย่างนี้มันไม่เกิด ถ้าเผื่อว่าปฏิบัติธรรมไม่ถูกต้อง ไม่สัมมาทิฏฐิจะไม่เกิดผลให้เห็นได้อย่างแท้จริง
ทุกวันนี้อาตมาก็ยังย้ำยืนยันมาตั้งแต่ต้น ว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้มันมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิมันนานแล้ว พระศาสดาปรินิพพานไปแล้วมันก็เริ่มเสื่อม เสื่อมมาๆๆ ความรู้ของผู้ที่รับมาจากต้นตอจริงๆ จะเข้มข้นต่อ 100% ทีเดียว มันจะเข้มข้นอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง 100 200 300 ปี คิดดูตามช่วงประวัติศาสตร์ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปไม่ถึง 500 ปี พระเจ้าอโศกมหาราชต้องจัดการ ขจัด ภิกษุที่เลวร้าย เข้ามาทำลายบ่อนไชศาสนา เพราะฉะนั้นผ่านมาถึง 2500 กว่าปีทุกวันนี้ มันกลายเป็นเรื่องผิดเพี้ยน ไปไกล ไกลจนไม่เหลือเชื้อของโลกุตรธรรม อาตมาต้องมารื้อฟื้นใหม่ ยังดีนะที่ท่านพุทธทาสมากล่าวคำว่าโลกุตรธรรม แล้วก็ตีฆ้องร้องป่าวให้ได้ยินคำว่าโลกุตรธรรมขึ้นมา แม้แต่ว่ายังไม่มีหลักเกณฑ์เนื้อหาอะไร แม้แต่นิยามคำว่าโลกุตรธรรม จะเข้าไปถึงปรมัตถ์จิตเจตสิกโลกุตรธรรมคือมี อัญญธาตุ ต้องมีธาตุจิตอื่นที่จิตโลกียะมันมีไหมล่ะ
ปหาน 5
เดิมคนเราก็มีจิตโลกียะธรรมดา จนมีความเห็นทวนกระแสที่ทวนตรงกันข้ามกันเลย เกิดความเห็นใหม่ความรู้ใหม่ อัญญธาตุ และก็เป็นพหูพจน์คือ อัญญา ตั้งต้น เดินทางสวนทางกันปฏิโสตัง ขยับไปเรื่อยๆจนก้าวหน้าก็เป็นจุดเริ่มต้น เข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วก็ปฏิบัติเป็นสัมมาปฏิบัติ จนมีผลเป็นสัมมาผล เกิดโสดาปัตติผล ตามความเห็นตามทิฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อมีสัมมาปฏิบัติก็จะมีสัมมาปฏิเวธ เป็นสัมมาผล แล้วค่อยเดินทางสะสม นี่คือการหมุนรอบเชิงซ้อน มีปาร์ปฏิสรณะ ปฏินิสสัคโค
ปฏิสรณะคือเดินทางไปเรื่อย ปฏิคือทวนไปทวนมา สรณะคือสงคราม แล้วก็ได้ผลเป็นสวรรค์ สัคคะ แล้วก็ล้างสัคคะไปในตัว ไม่ติดสวรรค์ ได้ดีแต่ไม่เอาดีไม่ยึดดีเป็นตัวเราเป็นปฏินิสสัคคะ ไปเรื่อยๆ จนจบเป็นปฏินิสสรณะ อีกทีหนึ่ง ไม่รบแล้วแต่อาศัย
สรณะ คือแปลความอีกคำว่าหนึ่งว่าที่พึ่งที่อาศัย สรณะ มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะ มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่อาศัย ก็เป็นคำกลางๆว่า ผู้ที่ยังรบไม่เสร็จยังต้องกำจัดกิเลส การกำจัดกิเลสนี่แหละคือสงครามของแต่ละคน กำจัดไปตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าไปตามลำดับ ผู้ใดปฏิบัติได้ลำดับดีมาก เรียงลำดับไม่ขรุไม่ขระไม่วกไปวนมาไม่เสียเวลาแล้วเสียเวลาเล่า เป็นปัญญาธิกะ ก็จะสั้นที่สุด บรรลุสู่ความเป็นอรหันต์ได้เร็วที่สุด ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้เร็วที่สุดเหมือนกันปัญญาธิกะ 20 อสงไขย กับเศษแสนมหากัปป์
ถ้าเป็นศรัทธาก็เป็น 40 อสงไขย กับเศษแสนมหากัปป์ ถ้าเป็นวิตักกะก็ 80 อสงไขย กับเศษแสนมหากัปป์
เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งใจเข้าใจปริยัติแล้วเอาไปปฏิบัติ ปริยัติให้ดีแล้วปฏิบัติให้ตรงแล้วมันจะเร็วที่สุด ปริยัติปฏิบัติปฏิเวธ มันหนักหนาสาหัส
อาตมาเข้ามาปางนี้มาช่วยฟื้นฟู มาช่วยเอาเนื้อกลับมาแท้ๆต้องแข็งต้องขืนยืนหยัดยืนยันว่าอาตมานี่แหละเป็นตัวจริง มันกลายเป็นมิจฉาทิฐิไปยึดมั่นถือมั่นเอาความผิดเป็นความถูก ไม่ต้องเอาอะไร เอาแค่ศีลก็ไปยึดถือพระวินัย 227 ข้อไม่เหลือศีลเลย มหาศีลนี่แหละมันเป็นเดรัจฉานวิชาทั้งศาสนา ทั้งวงการศาสนาครอบคลุมเต็มไปด้วยมหาศีลเลย ละเมิด มีแต่จุดธูปจุดเทียน รดน้ำมนต์ สวดกันเป็นเทวนิยม อาบัติกันตลอด ทำอะไรไม่ได้เป็นโลกุตตระเลย
แค่เอามหาศีลมาจับ แล้วไม่เข้าใจจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล จุลศีลคือสิ่งที่พาปฏิบัติไปตามลำดับ มหาศีลคือศีลที่ละเอียดเป็นอธิศีลสูงขึ้นของจุลศีลอีกที ก็ไม่เข้าใจกันแล้วได้แต่แค่วินัย 227 ไปถามเลยว่าพระถือศีลเท่าไหร่ อาตมาพูดมา 50 ปีแล้ว ภิกษุของศาสนาพุทธถือศีลเท่าไหร่ ก็บอกกันว่า 227 ข้อ ยังดีที่เหลือเชื้อของศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ซึ่งก็คือจุลศีลแท้ๆ เอาไปย่นย่อตัดออกมาจากจุลศีล ยังเหลือ 10 ข้อก็ยังดี แล้วบอกว่า 10 ข้อนี้เป็นของใครก็เป็นของเณร พระไม่เกี่ยว เอ้อ!ตลกนะ พระต้อง 227 ไม่ใช่ศีล 10 บอกว่าศีล 10 เป็นของเณร ศีลข้อ1 ก็เข้าใจไม่ละเอียดลึกซึ้งใจ คุยกันไปตบยุงกันไป.. พระ อันนี้เรื่อยเปื่อยไป ดีนะที่ยังไม่ไปล่าเสือดำกิน ไม่รู้ว่าพระกรรมฐานจะไปล่าเสือดำกินหรือไม่ ออกป่า ขออภัยพูดไปว่าเขาแรง
นั่นคือการไปหลงผิดไปยึดเอาการปฏิบัติเพื่อให้เกิดศีลก็ตาม ให้เกิดจิตเป็นสมาธิก็ตาม ก็ไปเอาแบบหลับตา ทุกวันนี้ก็ยังไม่โงไม่เงยเลยบอกว่าสมาธิต้องหลับตา สมาธิไม่หลับตามันคืออย่างไร มันเป็น concentration ส่วนภาษาทางหลับตามันคือ meditation หลับตาเพ่งอยู่ภายในจิต ส่วน Concentration คือสมาธิของผู้คนธรรมดาสามัญ แต่เมื่อปฏิบัติที่จะให้ concentrate มันจะยิ่งใหญ่มันเก่งก็ต้องศึกษาตามตำรับทฤษฎีพระพุทธเจ้า จะเป็นสมาธิที่พิเศษ อาตมาใช้คำว่า supra concentration ไม่ใช่ super เป็น supra Concentrate ชั่น ไม่ใช่สมาธิแบบโลกียะ สมาธิแบบโลกียก็เป็น mundane แต่นี่คือ supra mundane เหนือชั้นกว่าสามัญปกติ การหลับตานั้นได้แค่สมถะสงบ ได้ไม่ใช่ไม่ได้ ได้สงบ แต่สงบสมถะ มันไม่ได้สัมมาสมาธิ ไม่ได้สงบตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือมันไม่มีปัญญาญาณวิชชา ปัญญาแล้วก็ญาณก็คือว่ามีปัญญาสูงขึ้น ครบจบเรียกวาวิชชา
มีปัญญา คือความรู้โลกุตระ ญาณ ก็คือความรู้โลกุตระ วิชชาก็คือความรู้โลกุตระแต่เดี๋ยวนี้เอาไปใช้ปนเปกันเละเทะ มันไม่ได้มีความรู้จริงแบบนั้น เพราะความรู้มันไม่ครบพร้อมไปด้วยจักษุ อาโลกะ มันไม่พร้อมไปด้วยจักษุ อาโลกะ ครบสมบูรณ์ก็เป็นจักษุญาณปัญญาวิชชา อาโลกะ เต็มบริบูรณ์แบบนี้ตามพระพุทธเจ้าตรัสยืนยัน ความเป็นปัญญาหรือความรู้ของโลกุตระ ที่เป็นญาณ เป็นวิชชา ต้องมีจักษุต้องลืมตาเห็นแสงสว่างของแสงอาทิตย์ส่องโลก แล้วเราก็ลืมตารับรู้แสงสว่างกระทบอะไรมาที่ตาก็เห็น
สรุปแล้วเห็นด้วยทวาร 5 ภายนอกครบ เป็นชีวิตปกติสามัญ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาอยู่ในภพในทวารเดียวในภวังค์ไม่ใช่ อันนั้นมันขาดไปอีกตั้ง 5 ทวาร นอกจากขาดไป 5 ทวารแล้วนั่งอยู่ในภพปั้นความคิดอะไรเอง ฝันเพ้อ หลงว่ามันเป็นของจริง เข้าใจว่าปัญญาจะเกิดต้องหลับตา นิ่งไม่คิดไม่นึกเลยปัญญาจะโพล้ะขึ้นมา อันนั้นไม่ใช่ปัญญา เป็นแต่เพียงสัญญาของเก่าขึ้นมา จิตนิ่งกับความเป็นของเก่า เป็นบุพเพนิวาสานุสติ มันเกิดขึ้นของเก่าเกิดมาแล้วก็เห็นว่าอันนี้มันเกิด เกิดอยู่ยาวนานมั้ยบางทีก็เกิดอยู่ไม่นาน หรือมีอะไรต่อเนื่องเป็นเรื่องราวยาวขึ้น จนกระทั่งรู้จักแม้ที่สุดระลึกได้ ว่าเราปฏิบัติธรรมมาแล้วเราเป็นใคร จนกระทั่งรู้ว่าอรกันต์นี่เราเป็นโพธิสัตว์ระดับนั้นระดับนี้นี่ เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ อย่างอาตมาถึงได้รู้ระดับของโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาผ่านมาจริงจึงรู้ระดับต่อจากนี้เราก็เป็นมหาโพธิสัตว์ระดับ 8 ของเราระดับ 7 แล้วก็จะไปเป็นระดับ 8 มหาโพธิสัตว์สูงสุดขึ้นไปก็จะเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันดับที่สูงสุดเป็นสัมมาสัมโพธิญาณ มันก็มีหลักฐานอาตมาเอามาบรรยาย อาตมาเองเป็นคนที่กล่าวถึงโพธิสัตว์ พระสมณะโคดมเป็นระดับที่ 9 ระดับที่ 8 เป็นมหาโพธิสัตว์ ก็มีความซับซ้อนกันคล้ายๆกันเรียนกันมา ของพราหมณ์ก็ก้าวเหมือนกันอย่างนี้เป็นต้น เป็นปางต่างๆ ถ้ามันมีเนื้อหาแล้วอธิบายเทว พราหมณ์พวกนี้ก็เป็นเทวคู่เหมือนกับอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เทวนี้ก็ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นเทวนิยม พราหมณ์ เมื่อมาตีแตกแยกแยะได้ก็มาเป็นพุทธอย่างที่เราเป็นกัน
พราหมณ์จะมีลักษณะผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นในปางต่างๆ เป็นส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ เราก็จะเห็นเป็นความลึกซึ้งเป็นลำดับ การไปหลงผิดว่าการนั่งหลับตาเป็นสมาธิแน่วแน่ ก็ได้แน่วแน่อยู่อย่างนั้นไม่คลี่คลายออกจากความแน่วแน่มีแต่อัปปนาตัวเดียว อยู่ในภพภายในไม่คลี่คลายไม่พัฒนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา ถึงจะมีพัฒนาการสูงขึ้นไปกว่านั้นก็ไม่เกิดได้ แต่แน่วแน่ อัปปนาอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่สมบูรณ์ด้วยการจะมาพบสัตบุรุษฟังธรรมจากสัตบุรุษอย่างเต็มที่ยินดีบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่บริบูรณ์ในอวิชชาสูตร จักร 4 ก็ตาม ปัญญาวุฒิ 4 ก็ตามไม่บริบูรณ์ ฟังธรรมไม่บริบูรณ์ คบหาสัตบุรุษไม่บริบูรณ์ หรืออ่านแล้วตีความเองหรือเชื่ออรรถกถาจารย์มากกว่าอาตมา เป็นต้น ข้อแตกต่างระหว่างอาตมากับอรรถกถาจารย์ก็มีเยอะที่เห็นต่างจากอาตมา หรือไปเชื่อตามอรรถกถาจารย์หรือไปตีความเองไม่ตรงกับที่อาตมาอธิบาย ฟังธรรมก็ไม่ได้สัทธรรมบริบูรณ์ ความเชื่อถือศรัทธาก็ไม่บริบูรณ์ เชื่อนะ แต่ไม่เชื่อเต็ม เชื่อแค่ 50 60 70 80เปอร์เซ็นต์ มันก็ไม่ครบไม่รู้ เชื่อแค่ 90% มันก็เลยไม่ค่อยบริบูรณ์
เพราะฉะนั้นจึงทำใจในใจตัวนี้แหละสำคัญคือมนสิการ จนทำใจในใจไม่แยบคายไม่ถ่องแท้ ไม่ลงไปถึงที่เกิด จุดเกิดเลย โยนิโส คำว่าโยนิ แปลว่าการเกิด โส คือตรงนั้นแหละ โยนิโส คือ ตรงที่เกิดตรงนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ผู้หญิงเขาถึงเรียกการเกิดที่เกิดว่า โยนี โยนิ ตรงที่เกิดเรียกว่าโยนิ โยนี ตรงนั้นแหละโยนิโสจุดแดนเกิดตรงนั้น ทำให้เกิดอยู่ตรงแดนเกิดตรงสัมภวะ ปภวะ การอุปถัมภ์ แต่นามธรรมมันยากกว่าเป็นหทยรูปของใครของมัน โยนิโสฯตรงหทัยตรงนี้นะ แล้วในแต่ละคนมันบอกได้ว่าอยู่ตรงไหนไหม อยู่ตรงหัวใจช่องที่ 4 ไหม มีน้ำเลี้ยงเป็นสีน้ำเงินเขาว่ากันอย่างนั้นเลยนะทางอภิธรรมเขาอธิบายกัน ซึ่งมันไม่ใช่ มันเป็นนามธรรมของเรา อยู่ในคูหาสยัง ครรโภทร อยู่ในกายยาววาหนาคืบกว้างศอกมีสัญญาและใจ หทยรูป ก็ไม่ใช่ไปยึดผิดตามพระอภิธรรมที่ว่าอยู่ที่หัวใจห้องที่ 4 หัวใจมันเรื่องของร่างกายสูบฉีดโลหิต แต่สมองคืออุปกรณ์ให้จิตใจใช้
การปฏิบัติธรรมต้องมีสติ สัปชัญญะ ปัญญา สามเส้า ยังขยายได้อีกหลายคำ
สัมปชัญญะ = ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้
สัมปชานะ = รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่
สัมปาเทติ = เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ
สัมปัชชติ = ความรู้จากการแยกแยะขจัด
สัมปาเปติ = การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา = ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .
สัมปัชชลติ = เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง
สัมปัตตะ, สัมปันนะ = การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น)
สัมปฏิเวธะ = ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในรอบนั้น
ปฏิสาเรสฺสามิ = จักทำให้เขาสำนึก
ปัจจเวกขันตัสสะ = ได้สำนึก)
มันมีพยัญชนะที่ละเอียดกว่านี้อีก อาตมาเอามาแค่นี้ทำตามนี้รับรองว่าเป็นพระอรหันต์ได้ แค่นี้ก็เหลือกินแล้ว
การมนสิการถึงการทำใจเป็น อาตมาแปลเป็นภาษาไทยว่าอย่างนั้น คือการทําใจในใจ เป็นกิริยามนสิกโรติ เป็นคำนามการทำใจในใจ เมื่อเราทำใจในใจเป็น อ่านใจในใจของตนเองได้แยกแยะได้มีสติปัฏฐาน 4 ทำให้ตัวเองมีสติสัมปชัญญะ สัมปชานะ
สติคือระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งข้างนอกข้างใน เป็นกายเป็นจิต ทั้งเป็นรายละเอียดของสรีระและมีองค์ประกอบสำคัญของสังขารต่างๆ มีสัมปชัญญะรู้ข้างนอกข้างในสัมพันธ์กันเป็นปกติ แล้วก็มี สัปชานะ รู้ตัวละเอียดลออยิ่งขึ้น ได้ดีขึ้น และก็ทำใจของตนได้ทำใจของตนเป็น ทำได้ทำเป็นก็คือโยนิโสมนสิการ มีสัมปชติ เกิดขึ้น แล้วมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไปกลายไปเป็น สัมปัชลติ เร็วขึ้นร้อนแรงขึ้นก็สลายละลายกิเลส ก็เป็นแรงไฟโหมหลอมละลาย สัมปัชชลติ
จนเกิดผลเห็นผลขึ้นมาเป็น สัมปัตตะ ก็รู้ความจริง ได้ผลขึ้นมาจับตัวเสร็จ ใจค่อยๆสงบลง เย็นลงๆด้วยสัมมาวิมุติ รวมตัวกันเป็นสัมปัตตะสัมปันนะ สัมปฏิเวธะมีจิตทบทวนอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำมากขึ้นสิ่งนั้นก็รวมตัวกันมากขึ้น เป็นความเป็นที่สมบูรณ์ขึ้น มีทั้งความเป็นและความรู้เรียกว่าวิมุตติญาณทัสสนะ มีสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ เป็นวิมุตติญาณทัสสนะขึ้นไปเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้นผู้ที่หลับตาทำจะไม่เห็นความจริงที่เข้าไปมีเหตุปัจจัย เป็นข้อมูลต่างๆที่เป็นของจริงที่มีทั้งข้างนอกและข้างใน เข้าไปรวมกันสังเคราะห์สังขารกัน ทำให้ผู้ปฏิบัติรู้รายละเอียดและหยาบ แต่ถ้ารู้เพียงภายนอกก็ไม่ครบ
ความรู้ที่มีแต่เพียงภายนอกก็ไม่เป็นปัญญา ความรู้ที่ความคิดแต่ภายในแตกฉานอยู่ภายในนั่งระลึกอยู่แต่ภายใน ปั้นเอาเองอะไรก็ได้อยู่ภายในก็ไม่รู้ทั้งหมด แล้วก็หลงบอกว่าเป็น วิปัสสนูปกิเลส 10 ก็จะหลงไป
นั่งหลับตาไม่เชื่อว่าลืมตาปฏิบัติก็จะหลงอีกนานยึดมั่นถือมั่น ทุกวันนี้พวกนั่งหลับตาและบอกว่าได้ปัญญาได้วิมุติได้นิพพานได้นิโรธ พุทธศาสนิกชนในเมืองไทย คุณว่าคนเชื่อมั่นในการนั่งหลับตาแล้วจะได้เป็นอะไร กับการลืมตาที่อาตมาพาปฏิบัติที่พยายามสอนมา 50 ปี คุณว่าคนจำนวนไหนมากกว่ากัน …พวกนั่งหลับตาก็ยังมากกว่าอยู่นั่นเอง 50 ปีแล้วนะ อาตมาจะต้องพยายามอยู่ไปให้ได้จนเลยอีก 50 ปี บวช 36 สอนมาได้ เกือบ 50 ปี อายุ 85 แล้ว บวกไปอีก 50 ก็เป็น 136 เอง ยังไม่ถึง 151 ปีนะโอ้โห จะฝืนไปอีก 50 ปีคุณฟังดูซิ ดูหน้าไว้คนหน้านี้จะทนไปอีก 50 ปีไหวไหม มีแต่ความพากเพียรพยายามก็แล้วกัน
ผู้ที่ไปหลงว่าปัญญาจะเกิดได้ในขณะนั่งหลับตามีสมาธิ เป็นสมาธิเต็มรูปเลยหลับตาปฏิบัติเข้าใจว่าสมาธิแบบนั้นคือต้องไปนั่งในภวังค์อยู่ในภพในชาติหลับตาเกิดสมาธิสุดๆแล้ว ปัญญาก็จะเกิดโผล่ขึ้นมา พรึ่บ ผลั๊ว ปึ๊งขึ้นมาเลย ปัญญาก็จะปึ๊งขึ้นมาเลย มหาบัว ว่ากันอย่างนั้นเลย มันน่าสงสารน่าเห็นใจ แล้วก็ยึดถือลักษณะอย่างนั้น พูดตรงๆเลย อาตมาตอนลิงลม อมข้าวพอง ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าทุกวันนี้ ที่อาตมาเริ่มต้นปฏิบัติรื้อฟื้นตัวเองปฏิบัติตั้งแต่เป็นฆราวาส มานั่งหลับตา แม้แต่บวชเป็นพระแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าตอนเป็นฆราวาสหรือเป็นพระก็มีอาการ ปึ๊ง ก็ยังหลงอยู่อย่างนั้นแต่ไม่นานอาตมาก็เข้าใจ เพราะอาตมาเองต้องผ่านตรงนี้ จึงรู้เข้าใจว่าได้ว่า มันยังไม่ใช่ การนั่งหลับตานี่ แต่ก่อนนี้อาตมาก็ยังไม่ตีมหาบัวหนักขนาดนี้เพราะยังเกรงใจสังคมเข้าใจเรายังไม่ได้ ต้องเข้าใจกาละเทศะฐานะ สัปปุริสธรรม แต่ตอนนั้นต้องบันยะบันยังมากขึ้น เป็นเหตุปัจจัยที่ต้องย้ำยืนยันหนักขึ้นมีน้ำหนักให้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องหลงผิดกันไปหนักหนาสาหัสอย่างทุกวันนี้
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ นี่คือปัญญาที่ก้าวหน้าสามชั้น ปัญญาคือความรู้แบบโลกุตรธรรมพัฒนามาอย่างถูกต้องปฏิบัติไปจะเกิดมีอินทรีย์มีกำลังของความรู้ อินทรีย์ 5 เป็นต้น เป็นศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเพิ่มขึ้น จนเต็ม เป็นพละ 5 มันค่อยๆพัฒนาการ ต้องมีกระบวนการ จะพัฒนาเป็น ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 พร้อมกับโพชฌงค์ 7
โดยเฉพาะตัวสำคัญคือธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ และตัวหลักของมรรคก็คือสัมมาทิฏฐิ ต้องมามีสัมมาทิฏฐิ 10 เป็นต้น แล้วก็ต้องปฏิบัติโพชฌงค์ 7 มีสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ แล้วก็จะเกิดจิตที่พัฒนาการเป็นจิตที่เป็นปัสสัทธิ เป็นสมาธิเป็นอุเบกขา อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อุเบกขาก็เป็นฐานของความจบเป็นฐานนิพพาน ก็สั่งสมทำให้เกิดสภาพมีหมุนรอบเชิงซ้อน ระหว่างโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 เป็นหลัก ปฏิบัติให้เต็มรูปก็กลายเป็นสติปัฏฐาน 4 ด้วยความมีสัมมัปปธาน 4 สังวรสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 แล้วก็ประหารให้ถูกตัว ปหานปธาน ได้ผลแล้วก็เป็นภาวนาประธานและก็ต้องทำซ้ำ อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำอย่างที่ได้ผลนี่แหละ ทำซ้ำทำให้บ่อย อาเสวนา ภาวนา ๆๆ ให้พหุลีกัมมัง ให้มาก มันก็จะตกผลึกลงเป็นสัมมาสมาธิที่แข็งแรง
สุดท้าย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
ต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 และต้องปฏิบัติในขณะลืมตา ปฏิบัติให้เกิดสัมมาสมาธิ ปฏิบัติด้วยมรรคทั้ง 7 องค์ ในมหาจัตตารีสกสูตรพูดไว้ชัดเจน ไม่ใช่ไปนั่งปฏิบัติหลับตาสะกดจิต แต่ต้องลืมตา ทำงานอาชีพเลี้ยงชีพทำอาชีพอยู่ก็ให้เป็นสัมมา ทำกรรมการงานอันใดอยู่กัมมันตะ การกระทำต่างๆก็ต้องให้สัมมา ต้องอย่าให้เป็นปานาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ก็มีการปฏิบัติทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นกามคุณ 5 ไม่ใช่ปฏิบัติแค่ทวารเดียว
คุณหลับตาปฏิบัติจะเป็นสัมมาสมาธิที่ไหน ก็ต้องมีสัมมาสังกัปปะ มีองค์ประกอบภายนอกมากระทบสัมผัสแล้วใจก็มีการสังกัปปะ วิจัยกิเลสในจิตออกได้ ทำกิเลสให้ตายได้เป็นผลสำเร็จอย่างวิเศษ แล้วสั่งสมเป็นสัมมาสังกัปปะ องค์ธรรม 3 ของตักกะ วิตักกะ สังกัปปะก็สังเคราะห์สังขารได้ผลตกผลึกลงไป อัปปนา ทำอย่างนี้แหละ ตักกะ วิตักกะ ทำอย่างเข้มข้นในเจริญเป็น พยัปปนา เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนอย่างนี้แหละเป็น เจตโสอภินิโรปนา
ของพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้แช่แข็งอยู่ที่ อัปปนาตัวเดียว นั่งหลับตาสมาธิมี อัปปนาตัวเดียว แต่พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนาไม่รู้เรื่อง แต่การปฏิบัติแบบสัมมาสมาธินั้นจะมีความแข็งแรงเข้มข้น เป็นเสาเข็มร้อยเข็ม แปลว่าไม่ได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษ ไม่เชื่อว่ามีสัตบุรุษ ยังเชื่ออย่างอื่นอยู่ มันก็กระจาย มีน้ำหนักของสัทธรรมที่ฟังไม่บริบูรณ์ ก็มีศรัทธาไม่บริบูรณ์ ปฏิบัติโยนิโสมนสิการก็ทำใจในใจไม่บริบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเมื่อทำใจในใจไม่บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะของคุณก็ไม่บริบูรณ์ ภายนอกภายในไม่บริบูรณ์ มันจะเอียงโต่งไปภายในหนักเกินไป ต้องมาสู่ภายนอกรับรู้มีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี มีสัปปายะมีบุคคล ร่วมกันทำอย่างพวกเราทำกันนี้มีเครื่องอาศัยเครื่องกินเครื่องใช้อะไรต่างๆ แม้แต่สิ่งที่เป็นอาหาร 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหารครบวิญญาณ4
ช่วยกันทำตั้งแต่ กวฬิงการาหาร ปลูกผักปลูกพืช เราไม่เลี้ยงสัตว์ก็สมบูรณ์แบบ คำข้าวที่กินเข้าไปเลี้ยงสรีระ มีผัสสาหาร ต้องมีผัสสะทุกคนไม่ใช่ไปอยู่ในที่คนเดียว ไปหลงอยู่ที่เราอ่านแล้วตีความเอาเองหรือเชื่อเองหรือเชื่ออาจารย์อื่นอีกเยอะแยะ ไม่เชื่อว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา เป็นผู้ที่จะมาสืบสานศาสนาต่อเชื่อศาสนาต่อไปอีก พูดไปแล้วเหมือนกับยกตัวยกตน แต่นี่เป็นการอธิบายสัจธรรมยืนยัน อ้างอิงหลักฐาน กว่าจะทำการโยนิโสมนสิการเป็น ทำใจในใจเป็น อรรถกถาจารย์ อาจาริยวาทต่างๆ ไปเน้นความเข้าใจ ไปเน้นความเข้าใจความเฉลียวฉลาดไม่มาเน้นการทำใจในใจ อาตมาต้องมาดึงมาว่า โยนิโสมนสิการคือการทำใจในใจให้เป็น แต่ความรู้นั้นก็มีให้เป็นสัมมาทิฏฐิและเอาไปปฏิบัติให้ได้ ต้องเอาความรู้ปริยัติให้ครบก่อนแล้วค่อยมาทำ คุณก็ไปเสียเวลากับปริยัติเสียเวลา ไม่ทำอย่างเป็นลำดับอย่างที่อาตมาพาทำ ทำตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ไล่เรียงกันไป เขาก็ไม่เชื่อ มันก็ไม่ได้
ปัญญาจะได้ครบต้องมีองค์ 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มรรคมีองค์ 8
ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ก็คือโพชฌงค์ 7 ย่นย่อมา สัมมาทิฏฐิก็เอามาจากสัมมาทิฏฐิ 10 อย่างนี้เป็นต้น แม้แต่สัมมาทิฏฐิ 2 อย่าง ปรโตโฆสะ กับ โยนิโสมนสิการ แค่ทิฏฐิ 2 จะมีสัมมาทิฏฐิได้จะต้องมีปรโตโฆสะ คุณก็แบ่งใจปรโตโฆษะ มาฟังอาตมาให้เต็มที่เข้านั่งใกล้ เงี่ยโสตสดับ ก็ไม่เต็มใจมาฟัง เครื่องมือที่จะได้ไปทำงานมันก็ไม่ครบ เพราะไม่ได้มาฟังอย่างเต็มใจและเปิดจิตเปิดใจ ดีไม่ดีก็เป็นชาล้นถ้วย ใส่เข้าไปนิดนึงแต่ล้นออกเยอะ เมื่อไหร่จะได้อุปกรณ์ครบพร้อมได้อานิสงส์จากการฟังธรรมสมบูรณ์แบบ ไม่เกิดอานิสงส์การฟังธรรม 5 ประการ
-
ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง สุณาติ)
-
ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง ปริโยทเปติ)
-
ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง วิหนติ)
-
ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) .
-
จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ ปสีทติ)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 202)
แค่ฟังอาตมาก็ไม่เกิด 5 ข้อนี้แล้วมันจะได้ครบอย่างไร มันก็กะพร่องกะแพร่งเสียเวลาน่าสงสาร ไปไหนก็ไปไม่ได้แล้วนะ พวกเรานี้ ไปไหนก็ไปไม่รอดเพราะว่าไม่มีดีกว่านี้ ถ้ามีดีเกินนี้ก็ไปแน่ อาตมาก็ฝากไว้ด้วย ไปเจออาจารย์ที่ดีกว่านี้ ฝากไว้ด้วยบอกให้อาตมาทราบด้วย อาตมาอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน ถ้าไปเจอโพธิสัตว์ผู้พี่จริง อาตมาก็จะได้ค่อยยังชั่วขึ้นกว่านี้ แต่นี่ 50 ปีแล้วเหนื่อยพอสมควรแล้วนะ ผู้พี่มาอีกองค์อีกคน โอ้โห มันจะเร็วขึ้นกว่านี้เยอะเลยนะใช่ไหม แต่อาตมาก็เชื่อพระพุทธเจ้าว่า สยังอภิญญาคืออาตมาหรือผู้อื่นเป็นสยังอภิญญามากกว่าอาตมาก็ยิ่งดี นี่พูดไม่ใช่คำท้าทายเล่นลิ้นอวดตัวอวดตน (สู่แดนธรรมว่าผู้พี่ควรมาก่อน)แต่ก็ยังไม่มีใครมา หากมาจริงๆอาตมาก็พอจะมีปฏิภาณรู้อาตมาก็จะไปช่วย แต่ผู้น้องพอมีอยู่ ผู้น้องทำไปบ้างแล้ว ทำไปก่อนอาตมาทำไปเยอะพอสมควร แต่ยังไม่กระจ่างเป็นรูปธรรมเยอะมีนามธรรมบ้างแต่ก็ยังไม่เท่าอาตมา อาตมาพูดไปเดี๋ยวจะไปยกตนข่มท่าน ไม่งาม
ก็หลงปัญญาก็ไม่ชัดเจน สมาธิ เมื่อมีปัญญาเป็นตัวประธานความฉลาดทิฏฐิมันผิด สมาธิมันก็ผิดไปด้วยเพราะว่าปัญญาเป็นธาตุรู้ ปัญญานี่ก็ย้ำไม่รู้เท่าไหร่แล้วว่าเป็นธาตุรู้ เฉพาะ พยัญชนะคำว่าปัญญาเป็นของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า
ป + อัญญา ซึ่งอัญญา เป็นธาตุรู้แบบโลกุตระ ก็เป็นปัญญา
เพราะฉะนั้นอัญญา ความรู้ใหม่ความรู้แบบโลกุตระมันก็จะพัฒนาเป็น กัญญา เป็นฆัญญา คือฆ่าทำลาย กัญญาก็จะเป็นคนเจริญพัฒนาขึ้น ธัญญา ก็มีอาหารเสริมมีน้ำนม มีสัญญาความกำหนดรู้เป็น มัญญติ กำหนดหมายสำคัญมั่นหมายฉลาดขึ้นเป็น ปัญญา
มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็น ภัญญา เป็นอาหารใหญ่ ภ.สำเภาคือความเจริญรุ่งเรืองขึ้น ก็มาเป็นเครื่องหมายเป็นคำกล่าว สรภัญญะ คำกล่าวพูดให้เกิด เป็นศร เสียบแทงให้ถึงจุดระเบิดจุดหัวใจเลย ก็จะเกิดความเจริญขึ้นไป โดยพยัญชนะ มัญญะ ถ้าไปลงตัวก็เป็นความหยิ่งผยอง นี่คือพฤติบท ของแต่ละอาการกิริยากับพยัญชนะก็จะพัฒนาการไปเรื่อยๆ
เมื่อเกิดการสะสมพฤติกรรมใหม่ ปัญญาเป็นธาตุรู้โลกุตตระของพระพุทธเจ้า ก็จะเกิดเป็นคนโลกใหม่ ซึ่งเป็นคนละโลกกับโลกียะโดยเฉพาะเลย จิตก็จะสั่งสมเป็นสมาธิเป็นสัมมาสมาธิ สัมมานี้เป็นคำของพระพุทธเจ้ากำกับเข้าไป ว่าจะต้องเป็นของท่าน ถ้าไม่ตรงก็ไม่เป็นสัมมาสมาธิ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
เป็นสัมมาเข้าไปจนกระทั่งสั่งสมทุกสัมมา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ด้วยสัมมาวายามะ กับสัมมาสติ ช่วยกันอย่างเป็นเทวะคู่หูเป็นหวังเฉาหม่าฮั่น หรือเป็นพระสารีบุตรเป็นพระโมคคัลลานะ เป็นแม่นมกับแม่เลี้ยง เทวะ นี่ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะคู่ที่ต้องมีลักษณะ อิตถีภาวะ ปุริสสะภาวะ สอง เป็น Nuclear Fission Nuclear Fusion เป็นภาวะ 2 นี้ช่วยกันมาตลอด จะเข้าใจคำว่าเทวะ มันรวมทั้งหมดเลย แต่ละคู่แต่ละคู่ สลับไปสลับมาด้วยบางทีก็ผสมกัน บางทีก็แยกแตกตัว แตกตระกูลแตกกิ่งก้านสาขาออกไปอีกเยอะแยะเลย
นั่งหลับตาสมาธินั้นไม่ใช่ของพุทธแน่นอน แต่ก็นั่งหลับตา สมาธิเข้าไปอยู่ในภวังค์ไปอุปการะมากช่วยได้ แม้แต่ทุกวันนี้ อาตมาเข้าช่วยเพื่อที่จะย่อยเพื่อระลึกเตวิชโช เพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณเพื่อจะเข้าไปดูรายละเอียดใน จุตูปปาตญาณ อาตมาไม่มีปัญหาในเรื่องอาสวักขยญาณเพราะหมดอาสวะแล้ว แต่ว่าเอามาเก็บรายละเอียดในเรื่องของการเกิดการดับ
การนอนหลับก็ต้องหลับตา อาศัยการนอนหลับ บางทีมันปรุงเพลินไม่ค่อยหลับเราก็ต้องหยุดให้มันนอนหลับ ต้องอย่างนั้นนะ ก็ต้องรู้จักพักรู้จักเพียร
เราไม่พักอยู่ (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป
เราไม่เพียรอยู่ (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท
เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว (โอฆมตรินติ)
เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้
เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้
เราไม่พัก เราไม่เพียร ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ
(พตปฎ. เล่ม 15 ข้อ 2)
ทำการเตวิชโชก็เหมือนการลงบัญชีว่าเราจบหรือยัง อาสวะสิ้นหรือยังแน่นะๆ สั่งสมอดีต ในทุกปัจจุบันเราก็ทำได้ไม่เพี้ยนเปลี่ยนแปลง สัมผัสอะไรกิเลสก็ไม่เกิดขึ้นเลย (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) คุณก็จะรู้ตัวจะเข้าใจ
การนั่งหลับตาสมาธิไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า แต่การนั่งหลับตานั้นเป็นการอุปการะ ผู้โดยเนื้อแท้แล้วว่าไม่ใช่ของพุทธ ด้วยเนื้อแท้ด้วยสัจจะมันไม่ใช่ของพุทธ ของพุทธเจ้านั้นต้องลืมตาปฏิบัติตามมรรคทั้ง 7 องค์ ปฏิบัติในขณะเลี้ยงชีพอาศัยกินมีสัมมาอาชีวะ มี 5 ระดับ
-
การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
-
การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
-
การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
-
การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
-
การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
ปฏิบัติในขณะคิดในขณะพูดก็เป็นสัมมาสมาธิ โดยเฉพาะในขณะนึกคิดปรุงแต่งความคิดอยู่ก็ให้เกิดสมาธิที่เป็นสัมมาสังกัปปะ ในสังกัปปะ 7 เป็นต้น ก็จัดการให้จิตของเรามีโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจของเราเป็นอภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ทำบุญเสร็จ ก็จบอปุญญาภิสังขารแล้ว ทำซ้ำอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง สั่งสมเป็นอเนญชาภิสังขาร
ผู้แปล อปุญญะ วนไปเป็นบาปอีกก็ผิด เพราะปุญญาภิสังขารฆ่ากิเลสให้หมดแล้วเป็นอปุญญาภิสังขาร ก็ทำต่อโดยไม่ต้องใช้บุญแล้ว ทำให้มากตกผลึกเป็นอเนญชาภิสังขาร จิตที่เป็นอุเบกขาก็เจริญขึ้นด้วยองค์ 5 ของอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่มากมาย
ปฏินิสสัคคะ แปลว่าสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่เป็นสวรรค์แล้วแต่ไม่เอาสวรรค์ นิสัคคะ คือ สวรรค์ที่ไม่เอาสวรรค์แล้ว เลยสวรรค์ไปถึงไหนๆแล้วไม่เรียกว่าสวรรค์ตีสวรรค์ทิ้งเรียกว่าพวกดับสวรรค์ แล้วก็ทำทบทวนเป็นปฏิ ทั้งปฏิ ทวนไปตั้งแต่ รู้ แล้วก็ทำได้ผลทำซ้ำ ทวนแล้วทวนอีก ปฏิเวธ แทงแล้วทวนอีก ทำครบไม่ให้เหลืออะไรเลย ถ้าเป็นการเล่นกล เขาเอาคนใส่เข้าไปในลัง เสร็จแล้วก็เอามีดแทง ถ้าไปเล่นกลนี้มันก็แทงแล้วแทงอีก แทงให้พรุนแทงให้ทะลุ เปิดออกมาคนยังไม่ตาย จนไม่เหลือสิ่งที่จะไม่ถูก ไม่มีเอกเทศไหนๆที่ จุนสีจะไม่ซึมซับเข้าไปถึง แช่ เหมือนกับเราลงแช่ในอ่างที่มีน้ำใส่จุนสี แล้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆที่ จุนสีจะไม่ซึมซับเข้าไปถึง จะซึมซับไปครบทุกมุมทุกซอก
มหาจัตตารีสกสูตร อาตมาถือว่าเป็นสูตรที่ครบ ข้อ 252-281 มี 30 ข้อ
นั่นคือสมาธิแบบพุทธเป็นสมาธิของอาริยชนแบบโลกุตระมันคนละโลกคนละแบบกับพวกที่นั่งหลับตาแบบโลกียะอันนั้นเป็นของปุถุชน แต่ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นของโลกุตระ ถ้าไปหลับตาก็เป็นของปุถุชนแบบโลกียะ
ความสงบใจแต่ที่จริงแล้วมี 2 แบบ ที่ใช้ภาษาไทยว่า สงบแบบพุทธ กับไม่เป็นแบบพุทธ
ความสงบใจแบบไม่เป็นพุทธนั้นปฏิบัติได้แล้วเป็นสมถะถ่ายเดียว ส่วนความสงบแบบพุทธนั้นได้ปัสสัทธิด้วย
ด้วยคือได้สมถะด้วยนะ แล้วได้ปัสสัทธิด้วย
สมาธิคือจิตใจที่ปฏิบัติฝึกฝนให้กำจัดกิเลสออกจากจิต แต่การไปนั่งปฏิบัติหลับตาก็คือคิดว่าจะให้กิเลสออกจากจิต มันก็จะยิ่งแข็งตัวยิ่งจะสะกดแน่นในการหลับตาปฏิบัติ แต่เขาเข้าใจว่ามันไม่มีเพราะมันถูกเก็บถูกมัดมือมัดตีน ถูกใส่ถัง ขื่อคาไว้ เขาเอาเสือใส่ถังพลังสูง นั่งหลับตาสมาธิคือจับเสือใส่ถังพลังสูง เสือไม่ออกไปกัดไปขบหรอก
สมาธินั่งหลับตาคือจับเสือใส่ถังพลังสูง ก็เสร็จเสือหมด
เพราะฉะนั้นถ้าไปนั่งหลับตาจะได้แต่สมถะถ่ายเดียว แต่ถ้ามาลืมตาปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิอย่างพระพุทธเจ้าจะได้ทั้งความสงบใจและได้ทั้งปัสสัทธิ
สมาธิคือจิตใจที่ได้ปฏิบัติฝึกฝนให้กำจัดกิเลสออกไปจากจิต แล้วจิตจะตกผลึกลงเป็นความสงบ เป็นจิตที่ตั้งมั่น ความสงบจะตกผลึกทั้งสมถะและปัสสัทธิเป็นธรรมะ 2 เป็นความสงบ 2 แบบ
ถ้าไม่ใช่แบบพุทธก็จะได้แต่ความสงบที่ตั้งมั่นเป็นสมถะถ่ายเดียวคือ ได้ความสงบใจที่เกิดจากการ กดข่มอย่างเดียว ภาษาบาลีว่า วิกขัมภนะ ไม่ได้กำจัดกิเลสออก แต่ในปหาน 5 มีวิกขัมภนะ
-
วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .
-
ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .
-
สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด สลัดออกได้เก่ง) .
-
ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ ทวนไปมา) .
-
นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที เก่งจนเป็นปกติ)