620218_เทศน์ทวช.งานพุทธาฯครั้งที่ 43 บ้านราชฯ เรื่อง เทวฺครองโลก ตอนที่ 4
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1g_Y72n3oq0OYvX_5Mo-8p3Pdecl_lQC_TkyVKtNtIwk/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1xZxliF2Ulg2Lx6rKNDaErAKF5q4DouG7
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้ก็เป็นวันมาฆบูชา …มีเสียงบอกมาว่า ช่วยบอกฝ่ายจัดมุมกล้องด้วย ว่าจอมอนิเตอร์อันใหญ่ มีช่างภาพไปยืนบังข้อความ ก็แก้ไขหากขยับให้คนได้อ่านตัวหนังสือบ้าง
มี sms ส่งมา
_Phanuphon Raphisirikun1 วันที่ผ่านมา
ทุกคนโปรดอย่าเข้าใจผิดนะว่าโพธิรักษ์เป็นพระเพราะคำสอนเขาขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหลายข้อจนโดนเถระสมาคมสมัยนั้นขับออกจากคณะสงค์ในสมัยนั้นเขาก็ออกมาตั้งลัทธิใหม่แต่งตีวเลียนแบบสงค์แต่งตัวคล้ายพระในพระพุทธศาสนาถ้าเป็นสมัยพุทธกาลก็เหมือนพระเทวฑัตปัจจุบันเปรียบเหมือนลัทธิใหม่แอบอิงพุทธแต่เขาก็มีฐานสัทราของเขาที่เขาในกลุ่มของเขาในอีสานตอนใต้อุบลยะโสธรประมาณนี้รวมกลุ่มจัดตั้งเป็นชุมชนที่ทำเกษตรแบบพอเพียงดำเนินการควบคู่กับการปฎิบัติตามแนวของเขาที่เขาตีความเองโดยโพธิรักษ์เป็นคนตีความเองและเผยแพร่แนวคิดเองในกลุ่มคนของเขาฉะนั้นทุกคนอย่าเข้าใจผิดในการทำตัวหรือปฎิบัติตัวของโพธิรักษ์อาจขัดหูขัดตาแต่ก็เป็นไปในแนวของเขาที่ประยุกค์เอาคำสอนพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าะสมบวกกับคำสอนและแนวคิดของตัวเองและหลักการพัฒนาแบบพอเพียงมาดำเนินการสร้างชุมชนใหม่ตามหลักที่เขาคิดฉะนั้นเราชาวพุทธขอให้แยกแยะความจริงและความเป็นมาของนายโพธิรักษ์นี้ให้เข้าใจเสียใหม่ว่าเขาไม่ใช่พระและไม่ใช่อรหันต์ใดๆทั้งสิ้นเพราะอรหันต์พระอริยะมีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้นแต่โพธิรักษ์ไม่ใช่พระในพระพุทธศาสนาเป็นแค่ผู้แอบอ้างเท่านั้นเพราะถูกขับออกจากความเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนาในข้อหาบิดเบือนคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเพียงแต่แอบอ้างคำสอนของพระองค์นำไปเผยแพร่กับคำสอนของตัวเองก็เท่านั้น..เพียงแต่คนรุ่นใหม่ๆไม่รู้ความเป็นมาของลัทธิอโศกของโพธิรักษ์จึงเป็นเหตุให้วิพากวิจารณ์กันเป็นวงกว้างอาจกลายเป็นความขัดแย้งได้..สุดท้ายนี้ก็ขอยันตามที่ได้รู้มาจากการติดตามความเป็นมาของโพธิรักษ์และชาวอโศกมาอธิบายแบบหยาบให้หลายคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่รู้จะได้เข้าใจกับคนกลุ่มนี้เขาไม่ใช่พระและชาวพุทธแต่เขาเป็นอีกลัทธิหนึ่งที่ดำเนินไปตามความเชื่อของเขาเองไม่มีอะไรมากก็แค่นั้นเองชาวพุทธที่ไม่รู้อย่าคิดมากนะครับ พวกเขาคือชาวอโศกลัทธิอโศกไม่ใช่ชาวพุทธก็ปล่อยเขาไปตามทางเขานะครับ..ดีชั่วอย่างไรอรหันต์หรือไม่ เราชาวพุทธทุคนคงกระจ่างแล้วนะครับขอให้ทุกคนจงมีแต่สันติครับ
ถ้าเขาไม่แต่งตัวเลียนแบบพระแต่ทำตัวเป็นคนธรรมดาภาพลักษณ์คงจะดีในทางพัฒนาชุมชนพอเพียงดูแล้วไม่ใช่พระอริยะตั้งแต่ต้นแล้วคำพุูดความต้องการเขายังเต็มเปี่ยมแบบปถุชนเราดีๆนี้เองเพียงเเต่มีศีลบ้าง
พ่อครูว่า…ก็ขอคุยกับคุณภาณุกรณ์นิดนึงก็เจตนาดีต่อคนทั่วไปนิดนึงบอกว่าอาตมาไม่ใช่พระ อาตมาเป็นสมณะโพธิรักษ์ ไม่ใช่พระถูกต้องแล้ว อย่าเข้าใจผิด ที่บอกว่าคำสอนเขาขัดกับคำสอนพระพุทธเจ้าหลายข้อ จนโดนเถรสมาคมสมัยนั้นขับออกจากคณะสงฆ์ในสมัยนั้น ก็หมายความว่าคุณภาณุกรณ์ว่า คือสมัยนี้ และตอนที่เขาขับคือ ประมาณ พ.ศ.2532 คณะสงฆ์ประชุมปกาศนียกรรมขับอาตมา แต่ก็ขอยืนยันว่า ที่เขาประกาศขับออกจากเถรสมาคมนั้นเขาทำผิดวินัย ทำอาบัติ เพราะว่าอาตมาประกาศตัวเป็นนานาสังวาสก็แล้วตั้งแต่ 16 สิงหาคม 2518 แล้วเรียบร้อยแล้ว เขาก็รู้แล้ว แต่เขาก็ดันกลับมาดึงกลับ เป็นการผิดวินัย ดึงอาตมาเข้าไปในคณะเป็นนานาสังวาสกันแล้ว แต่ก็ดึงกลับเข้าไปอีก แล้วก็ทำทีรวมตัวกันระหว่างธรรมยุตและมหานิกาย ซึ่งผิดวินัยทำก็เป็นการโมฆะเพราะเอา 2 นิกายมารวมกันไม่ได้ ผิดคณปูรกะ เอาต่างนิกายมาผสมกันแม้แต่คนเดียวก็ไม่ได้ คือ คณะหมู่ใหญ่ เขาทำอะไรไม่ใช่พุทธทั้งนั้นเลย ใครจะเข้าใจว่าทางเถรสมาคมนั้นเป็นพุทธหรือทางอโศกไม่ใช่พุทธก็ศึกษาเอาเอง เพราะทางโน้นเขาถือว่าเราไม่ใช่พุทธเขาถือว่าเขาเป็นพุทธ เขาก็แยกของเขาเอง เขาจะทำแบบนิกายก็เรื่องของเขาแต่เราไม่ได้เป็นนิกายเราเป็นนานาสังวาส เราก็ว่าก็ตำหนิไปในฐานะที่เป็นนานาสังวาสกันก็ตำหนิได้ ไม่ได้ไปถล่มทลายอะไรแต่เพียงแต่พูดบอกให้รู้ว่าอันนี้มันผิดนะ เป็นการพูดตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ปฏิกโกสนา ไม่ถึงขั้นไปทำร้ายทำลายอะไร
คำสอนของเราชาวอโศกกับคำสอนของเถรสมาคมนั้นย่อมต่างกันแน่ แต่ที่บอกว่าขัดกับคำสอนพระพุทธเจ้า เขาถือว่าของเขาถูกตามพระพุทธเจ้า ของเราผิดจากพระพุทธเจ้า เมื่อมันขัดแย้งกันแน่นอนเขาก็ต้องว่าเราไม่ถูกเขาก็ถือว่าเขาถูก ว่าเราผิดก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วเขาบอกว่าเขา ขับอาตมาออก แต่ที่จริงแล้ว เราต่างหากขับเขาออกจากคณะเรา ขับออกจากคณะอโศก ถ้าจะใช้คำว่าขับ
เขาบอกว่าเราตั้งลัทธิใหม่ เราก็ไม่ได้ตั้งลัทธิใหม่ เขาบอกว่าแต่งตัวเลียนแบบสงฆ์ เราไม่ได้แต่งตัวเลียนแบบสงฆ์แต่เราแต่งตัวเป็นแบบสงฆ์ แต่ของเขาก็แต่งแบบนั้น เราก็แต่งแบบนี้จะไปเลียนแบบอะไร เราแต่งให้ผิดไปจากเขาต่างหาก ไม่ได้เลียนแบบ เราไม่เคยห่มแบบมหานิกาย เราแต่ก่อนห่มแบบธรรมยุติ แต่ต่อมาเราก็เลิก และห่มให้แตกต่างจากเขาด้วยเจตนาอย่างนั้นจะได้ไม่ผิดกฎหมายด้วย จะบอกว่าเลียนแบบก็ไม่มี คนยังเข้าใจไม่ค่อยถูกต้องครบถ้วน
ถ้าเป็นสมัยพุทธกาลเขาบอกว่าเราเหมือนเทวทัต ตั้งลัทธิใหม่ นั้น ผู้ที่ไม่ถูกต้องออกนอกรีตก็เป็นเทวทัต ส่วนใครจะเป็นเทวทัตนั้น คนที่ทำให้แตกต่างออกนอกรีต ทำอะไรต่ออะไรที่ไม่เหมือนโดยจิตใจลึกๆเขา มันมีพฤติกรรมแบบเทวะ 2 อย่าง 1. คือบัญญัติ 2. คือสภาวะ สภาวะแท้ของเถรสมาคมเขาทำตนเป็นผู้ออกนอกเนื้อหานอกรีตของศาสนาพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง เขาก็ป็นผู้ออกนอกรีต
เขาบอกว่ามาตั้งลัทธิใหม่ แต่อาตมาพยายามดึงให้ไปเข้าหาลัทธิพระพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งลัทธิใหม่
และเราก็มีกระจายอยู่ทั่วประเทศไม่ใช่แค่นี้ เรารวมตัวจัดตั้งเป็นชุมชนก็ใช่แล้ว ก็ถูกต้อง ตรงนี้แหละเป็นความเข้าใจของคนไม่เข้าใจส่วนใหญ่มากเลย ที่ไม่เข้าใจตรงที่ว่า อาตมานี้มาคลุกคลีกับประชาชน มาสอนประชาชน ไม่อยู่เป็นส่วนสัดของพระ อาตมาก็ขอยืนยันว่า ความเข้าใจของเขามันผิดเพี้ยนมาไกลมาก ประชาชนกับพระในชาวพุทธ เป็นประชาชนและเป็นพระที่เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกัน รู้จักเวลาแยกก็แยก เวลาที่จะทำงานร่วมกันช่วยเหลือกันส่งเสริมกันก็ทำงานในเวลาที่ทำงานร่วมกัน เวลาแยกเป็นตัวสภาวะของพระก็มีเวลา อย่างพวกเรามีเวลา เวลาทำงานร่วมกันเวลาที่จะมาเกี่ยวข้องกันก็มีการแนะนำกันอยู่ช่วยกันบอกสัมมาอาชีพสัมมากัมมันตะ การกระทำทุกอย่าง สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ไม่ได้แยกส่วน แต่ของเขากลายเป็นศาสนาแยกส่วนไปหมด เพราะฉะนั้นความเข้าใจที่เขาคิดแยก พระจะมาเกี่ยวข้องกับคนเมื่อไหร่ ก็ต่อเมื่อ 1.คนเขามาวัด เอามาถวายของถวายอาหารถวายเงินถวายทรัพย์สินเงินทองเข้าของ เสร็จแล้วก็สวดมนต์ สวดมนต์ให้ฟัง สวดมนต์เสร็จก็กรวดน้ำแล้วกลับบ้าน มาวัดอีกทีก็มาอย่างนั้น หรือบางทีทำพระเครื่องเพื่อหาเงินหาทองประชาชนกับพระก็ยุ่งเกี่ยวกันอย่างนั้น
แต่ของเรานั้นแนะนำทางด้านสัมมาอาชีวะ พระของเราแนะนำทางด้านสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ มันก็ต่างจากเขาแน่นอน แต่พวกเขาเข้าร่วมกับประชาชนก็คิดอ่านจะจัดงานอะไรหาเงินอะไรอย่างที่พูดไปแล้ว มันก็ต่างกันอย่างนี้ นัย ละเอียดอย่างนี้ ในความรู้ของคนเข้าใจยังไม่ครบ เข้าใจตามทิฐิของตนเอง Concept ของตัวเองว่าตนเองเข้าใจอย่างนี้ ก็มองเพ่งความต่าง มันมีนัยต่างกันก็จริง
เขาว่า ทุกคนอย่าเข้าใจผิดในการปฏิบัติของโพธิรักษ์อาจจะขัดหูขัดตา มันก็จริง เขาก็บอกว่าเป็นไปในแนวของเขา ก็ถูกแล้วเราทำในแนวของเรา แต่เราไม่ทำผิดตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าหรอก เมื่อมันมีสองฝ่ายที่ทำต่างกันมันก็ต้องมีอันหนึ่งผิด คนหนึ่งที่มีตาดีปัญญาดี ก็จะเห็น 2 อย่างต่างกันว่าเป็นเทว อย่างไหนถูกอย่างไหนผิดอย่างไหนสัมมาอย่างไหนมิจฉา
แม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้าก็มีคน 2 หมู่ มีหมู่่ใหญ่กับหมู่เล็ก เช่น พระสารีบุตรเคยเป็นลูกศิษย์ของสัญชัยเวลัฏฐบุตร ต่อมาพระสารีบุตรชวนอาจารย์ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า อาจารย์ก็บอกว่าไม่ไป ก็ถามพระสารีบุตรว่า คนจำนวนมากหมู่ใหญ่ กับหมู่เล็ก พวกไหนที่เป็นคนฉลาด พระสารีบุตรก็บอกว่า หมู่เล็กฉลาด อาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตรก็บอกว่าเราจะอยู่กับคนหมู่ใหญ่ที่โง่ มากกว่าไปอยู่กับ หมู่เล็กที่ฉลาด…ที่คุณบอกมาก็ถูกแล้ว มหาเถรสมาคมก็เป็นหมู่ใหญ่ อย่างที่พระสารีบุตรกับสัญชัยเวลัฏฐบุตรพูดกัน หมู่ใหญ่นั้นโง่ หมู่เล็กก็ฉลาด แม้ในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน เขาเอาศาสนาพุทธมาทำอย่างผิดเพี้ยนก็เลยได้คนที่ผิดมาก เพราะคนโง่มากกว่าคนฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร ในยุคพระพุทธเจ้าก็ใช่อยู่ในยุคนี้ก็ใช่ไม่เห็นประหลาดอะไร ก็เป็นธรรมดา
เขาว่าเราประยุกต์เอาคำสอนพระพุทธเจ้าสมบวกกับแนวคิดตนเอง..ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้ สมบวก แต่ทำให้ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ไม่ใช่เอาของตัวเองมาบวก ของอาตมานั้นมีอยู่แล้วของเก่า แล้วก็ยืนยันว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ ก็เอาสิ่งที่ถูกต้องกลับคืนมา มันก็ต้องต่างกันเพราะทางโน้นทำผิดไปแล้ว ไปยึดมั่นถือมั่นผิดแล้วทั้งจารีตประเพณี วิธีปฏิบัติ การถือศีลธรรม แม้แต่การตีความของความหมายก็ผิดเพี้ยนไป
เขาว่า เราเอาหลักการแบบพอเพียงมาใช้ ก็คือว่าเราเอาของพุทธเจ้าที่เป็นแบบพอเพียงมาใช้อยู่แล้ว ไม่ใช่ของใหม่ ศาสนาพุทธจะเกิดชุมชนตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้าก็เกิดชุมชน หมู่กลุ่มของพุทธศาสนา คนที่มีลัทธิการประพฤติที่เหมือนกันอยู่ด้วยกันก็ได้ต้องมารวมกัน มันเป็นธรรมชาติธรรมดา น้ำไหลไปหาน้ำ…น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน เป็นธรรมชาติไม่ต้องไปจัดสรรมันก็เป็นของมันเอง ตามหลักธรรมชาติ
เราไม่ใช่พระแต่เราเป็นสมณะ เขาว่าเราไม่ใช่อรหันต์ภาวะอรหันต์มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้นก็จริง อรหันต์จริงมีแต่ในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องเท่านั้น
เขาว่าเราเป็นผู้ที่แอบอ้างเท่านั้นเพราะถูกขับออกจากสงฆ์จากศาสนาพุทธแล้ว ….ทุกวันนี้มันแยกกันชัดเจนอยู่แล้วด้วยสาระสัจจะแม้แต่สมมติโดยสมณะชาวอโศกกับเถรสมาคมนั้นแยกกันอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าคนที่ จิตที่แยกคิดรังเกียจ คิดข่ม ดูถูก คิดแยกไปเลยก็เป็นความหมายของคำว่านิกาย ก็กลายเป็น นิกาย คือไม่ใช่กายเดียวกัน กายต่างกัน คือ เขาแยกกายของเขาเอง จิตของเขาเป็นตัวแยกเองแต่เราไม่เคยมีนิกายเรามีแต่นานาสังวาส จิตใจของใครที่คิดและทำให้เกิดความรู้สึกหรือยึดถือเป็นความจริงเลย ก็เป็นจิตของใครของมัน เราไม่มีจิตที่เป็นนิกาย แต่เรามีจิตที่เป็นนานาสังวาส ก็ไปตรวจสอบดู จิตที่เป็นนิกายนั้นมันไม่ดีมันแรงมันเป็นอนันตริยกรรม ถ้าเป็นจิตที่เป็นนานาสังวาสก็ไม่เป็นอนันตริยกรรม ในพระวินัยนั้นนานาสังวาสอันไหนร่วมกันได้ก็ร่วมอันไหนร่วมกันไม่ได้ก็ไม่ร่วม ก็เป็นความปรารถนาดีของคุณภานุกรณ์
เราเองไม่ได้แต่งตัวเลียนแบบแต่เราก็แต่งเป็นของเรา
เขาก็ยังรู้จักว่าเรามีศีลอยู่บ้างแต่ทางเถรสมาคมนั้นไม่มีศีลแล้วมีแต่วินัย 227 แต่ของเรามีจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล แต่ทางเถรสมาคมทำไมมีแต่วินัย 227 ยิ่งมหาศีลเละใหญ่เลย เป็นเดรัจฉานวิชา พูดไปแล้วมันก็เหมือนกับไปดูถูกดูแคลน แต่มันก็ถูก
_supanut manit 3 วันที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
สัมมาวาจา…เป็นฉะไหน
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดไม่จริง ๑.
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดหยาบคาย๑.
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดส่อเสียด ๑.
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ๑.
ผมว่าท่านพูดเพ้อเจ้อมากไปแล้วครับ การพูดหรือการเปล่งวาจาออกมาแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟังและผู้พูด สิ่งนี้เรียกว่าเพ้อเจ้อ การพูดนั้นเป็นกรรม เป็นวจีกรรม พูดมากก็กรรมมากท่านไม่รู้เหรอครับ
พ่อครูว่า…คงจะให้อาตมาตรวจสอบว่ามีสัมมาวาจาไหม ซึ่งมันก็จริงเราตรงผ่าแสกหน้า เป๊ะเลย แต่หากอาตมาพูดไม่เป็นสาระเลยนั้นไม่ใช่ อาตมาพูดเป็นโลกุตระสาระสัจจะแท้เลย เขาสรุปว่าอาตมาพูดเพ้อเจ้อ …อันนี้น่าเห็นใจ คำพูดของเราที่พูดไปส่วนใหญ่เขาฟังไม่ออกก็เลยหาว่าพูดอะไรนะ เขาไม่รู้เรื่อง เขาก็เลยถือว่าเราพูดเพ้อเจ้อ พูดไปแล้วเขาไม่รู้เรื่องมันก็จริงเหมือนกัน ที่เราพูดนี้เป็นสาระสัจจะขั้นโลกุตระ เป็นเนื้อแท้ของศาสนาก็น่าเห็นใจเขาเหมือนกันที่รับไม่ได้ แต่อาตมาคงไม่มาพูดเอาใจเขาที่เป็นโลกียะ ซึ่งก็มีคนสอนที่เป็นโลกียะทำไม่เป็นโลกุตระก็มีเยอะแยะ เราก็ไม่ไปแย่งเขาสอนหรอก ในโลกนี้มันขาดโลกุตระก็มาเน้นเอาเวลาเอาทุนรอนมาสร้างสิ่งนี้ อย่างโน้นอาตมาก็ไม่เอาไม่พูด เขาก็หาว่าอาตมาพูดเพ้อเจ้อ ตามความเห็นตามความเข้าใจของเขา
สำหรับผู้ที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่เกิดประโยชน์สำหรับผู้ที่รู้เรื่องก็เกิดประโยชน์ อาตมาว่า เกิดประโยชน์ได้มากเลยนะ (สู่แดนธรรมว่า…เขาเป็นอเวไนยสัตว์) เขาเป็นอเวไนยสัตว์สำหรับฝ่ายเรา ผู้สอนพูดกันไม่รู้เรื่อง เขาก็เป็น เวไนยตามฝ่ายเขา เขาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรก็ถูกต้อง
เราก็รู้ พูดเรื่องกรรม อาตมาก็มีความรู้ การพูดเป็นวาจากรรมวจีกรรม และเป็นกุศลด้วย อย่าว่าแต่กุศลด้วย พูดแล้วคนที่ฟังเขาเอาไปทำเป็นบุญได้ด้วย พวกเราสามารถเอาคำพูดของอาตมาไปทำบุญได้ถูกด้วย ทำพลังงานให้เกิดการชำระกิเลสได้
คำว่าบุญ ทางเถรสมาคมพูดไม่เป็นอธิบายไม่เป็น เขาเอาคำว่าบุญไปทำเสียเป็นหมายความว่ากุศล ที่จริงแล้วบุญไม่ใช่กุศล บุญเป็นคนละเรื่องกับกุศล
กุศลคือสมบัติ ส่วนบุญคือทำความฉิบหายให้แก่กิเลส ส่วนบุญนั้นสั่งสมความดีงาม เขาก็เข้าใจไม่ได้ แม้แต่คำว่าบุญก็ต่างกันคนละขั้ว จะบอกว่าอโศกก็ไม่ว่า คำว่าพุทธของเขา ก็ต่างกัน เป็นการประพฤติปฏิบัติคนละอย่างจริง ก็ได้กรรมวิบากต่างกันคนละอย่าง
เขาเข้าใจศีลบ้าง เราเองเต็มทั้ง วินัย 227 และศีล 43 ข้อ แต่ของเขามีแต่วินัย 227
_A GOOD DAY A GOOD TIME 2 วันที่ผ่านมา
เขาสร้างอะไรค่ะ..สะไลเดอร์ล้างปาบ? อรหันสะไลเดอร์
พ่อครูว่า..พูดถึงสไลเดอร์ที่อาตมาสร้างอยู่นี้ คนไม่รู้จริงว่ากุศลจิตอันนี้ สถานที่นี้เป็นสถานที่ของประชาชน โดยเฉพาะชาวอโศกให้มา แล้วอาตมาก็มาสร้าง สถานที่นี้ให้เป็นเสนาสนะสัปปายะ เป็นสถานที่ที่ดี สัปปายะเจริญรื่นรมย์ เป็นที่น่าอยู่น่าพักผ่อนหน้ามาอาศัยอยู่ มาทำอยู่ทำกินก็ยินดีต้อนรับ แม้แต่จะมาพักผ่อนก็หาสร้างองค์ประกอบต่างๆให้คนได้รื่นรมย์ ไม่ใช่สถานที่ที่ไม่น่าเข้า แต่เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์พอเป็นไป ได้ออกกำลังกายได้พักผ่อน โดยเฉพาะอาตมาเน้นไปหาทางธรรมชาติ มีน้ำตกมีน้ำไหลมีสไลเดอร์ก็ตาม เด็กๆก็จะได้เล่นกัน เด็กๆดีกว่าจะไปเล่นเกมดีกว่าจะไปทะเลาะกัน แว้นๆที่ไหน เขาจะได้มากันก็จะได้ช่วยสังคมเจตนาดีตรงนี้เขามองไม่เป็น เขามองไปในแง่ร้าย เจตนาเสียหาย เอามายัดเยียดใส่อาตมา ก็มันเรื่องขอการเพ่งโทษ ผู้ที่มีแต่การเพ่งโทษก็จะได้แต่อาสวะเจริญยิ่ง ก็แล้วแต่
ถึงขั้นมาเรียกเราว่าอรหันต์สไลเดอร์
_Teeradash Angchuan1 วันที่ผ่านมา
สมณแบบนี้แหละผมชอบ อยากทำไรทำ ไม่ยึดติด ไม่สนว่าใครจะมองอย่างไร ขอแค่ท่านอยู่แล้วคนรอบๆตัวท่านมีความสุข ไม่เบียดเบียน ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติชนทั่วไป
พ่อครูว่า…คนนี้ก็เอาง่ายๆ
_Anan John2 วันที่ผ่านมา
ท่านทำเพื่อชุมชนเพื่อเด็กๆได้มีที่เล่นเพื่อชุมชนใกล้เคียงมาเที่ยว
พ่อครูว่า…คนนี้แม่นประเด็นนะ
_A Ph 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา…อรหันต์ไรพูดมากปานนี้
พ่อครูว่า…ก็ถูกแล้วคนทางโน้นเขาเข้าใจว่าอรหันต์ต้องเป็นอย่างหลวงพ่อเกษม หรืออาจารย์อะไรก็แล้วแต่ อรหันต์ของเขาก็ต้องอย่างนั้น แน่นอนเขาต้องมองเห็นอาตมาว่าพูดมากเหลือเกิน
อาตมาต้องพูดมากพูดเยอะ เพราะพวกนี้ก็ต้องเห็นอย่างนั้นจริง เพราะมันมีสิ่งที่จะต้องพูดอธิบายยืนยัน สิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูก มันมีเยอะเหลือเกิน ก็ต้องพูดสิ่งที่คิดให้รู้ว่าผิด ให้แก้ไขเสีย สิ่งที่ถูกเป็นอย่างนี้สิ่งที่ผิดเป็นอย่างนี้ทั้งคู่ ทั้งมีการปฏิบัติให้เห็นจนมาเป็นหมู่กลุ่มพฤติกรรมสังคมอยู่ทุกวันนี้ อาตมาได้ทำเต็มที่ อาตมามีเจตนาดี
_พี่หมา 882 วันที่ผ่านมา
ใส่เสื้อเท่มากไม่ใส่กางเกงด้วยละ
พ่อครูว่า..บางทีอาตมาออกกำลังกายก็ใส่กางเกง กันโป๊บ้างใส่บ้างไม่มีปัญหาอะไร เพราะเจตนาอาตมาไม่ได้ใส่กางเกงใส่เสื้อผ้า เพื่อไปออกไปเที่ยวอย่างเรื่องกามเรื่องโลก อาตมาใส่อย่างมีเจตนาอย่างไร คุณต้องรู้ว่า เจตนาของเขาเป็นไปเพื่อออกจาก หรือ เจตนาเป็นไปเพื่อเข้าสู่สิ่งที่สมควรแล้ว ออกจากสิ่งที่ไม่สมควรแล้วอย่างไร คุณต้องพยายามเข้าใจให้ดี
_Sorawut yimyam2 วันที่ผ่านมา
หลวงพ่อแกสร้างสุขให้ประชาชน แกทำแข่งกับสวนสยาม
พ่อครูว่า..นี่เราคัดเอามาเฉพาะที่เขาติติง ก็จะเอามาพูด บางทีเราก็จะได้ อธิบายความเป็นจริงให้เขาเห็นถูกต้องบ้าง ก็คัดมาบ้าง มีหยาบคายเยอะ เราไม่ได้เอามา สาดเสียเทเสียมีเยอะ ก็ไม่ได้เอามา
_มีคำถามว่า ธรรมะสองเอาไว้ทำอะไรคะ
พ่อครูว่า…ตอบ คำแรก ธรรมะสองเอาไว้ ผัดหมี่หรือทำก๋วยเตี๋ยว คือเอามาไว้สังขาร อันเดียวกันปรุงแต่งอะไรไม่ได้ อะไรก็แล้วแต่ ธรรมะหนึ่งนี้ปรุงแต่งอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมะ 2 มันมีอยู่ ครองโลก เทวฺครองโลก คนมันไม่รู้ทุกวันนี้ คนเกิดมาก็มี 2 ทันที
1.มีกาย มีธาตุดินน้ำไฟลม จับตัวกันเป็นทวัตติงสาการ กับพลังงานจิตเข้ามาจัดการ จนกระทั่งสามารถแยกเลิกจบพลังงานนี้ได้ก็สลาย คนรู้ว่าเลิกจากพลังงานที่จับตัวเป็นจิตนิยาม เมื่อจิตนิยามนี้จบ ก็จะเหลือแต่อุตุธาตุ ที่มีพลังงานโมเมนตั้มตกค้าง เมื่อพลังงานนั้นตกลงไปจากจิตนิยามแล้ว ที่เหลือดินน้ำไฟลม กับธาตุของอุตุนิยามที่มีโมเมนตัมเสื่อมลงไป แต่ทีนี้คนที่เข้าใจผิดไปนั่งสมาธิ พยายามดึงตัวเองไม่ให้ทิ้งร่างนี้ อันนี้เป็นตัวกูของกู จนกระทั่งเก่งในการยึดมั่นถือมั่น ตายลงไปแล้วพลังงานจิตนิยามก็ไม่ยอมออกไม่ยอม drop แต่มันต้อง drop เพราะมันไม่ใช่จิตนิยามแล้ว แต่เขาก็พยายามดึงไว้ เพราะฉะนั้นร่างกายเขาก็เหลือสภาพไม่เน่าทันที เป็นพีชะ เพราะฉะนั้นผู้ที่นั่งสมาธิ มีความยึดมั่นในตัวกูของกู ยึดถือในอัตภาพของเขา ก็จะเป็นตัวกูของกูพลังงานมันก็จะอยู่ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เน่า เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นสายพุทธ ที่ไปพากเพียรปฏิบัติในมิจฉาทิฏฐิ จนกระทั่งกลายเป็นศพที่ตายแล้วไม่เน่า มีผู้กราบเคารพศพที่ไม่เน่าคนผู้นั้นเป็นคนนอกลัทธิพุทธ เป็นคนแต่ไปกราบพีชนิยามที่เหมือนพืช แต่มันไม่สดอย่างนี้แล้ว ถ้าเอาอาหารใส่ไปเหมือนมนุษย์พืชที่ใส่ท่ออาหารเข้าไปใส่อากาศให้ มนุษย์พืชนั้นก็จะยังอยู่ ถ้าเป็นคนหรือเป็นพืชที่ไม่มีท่อใส่อาหาร ก็เหมือนกับพืชที่ดึงออกมาจากดินแล้วมันก็มีแต่วันจะเหี่ยวลงไป
คนที่ไม่เน่านี่เอาไปใส่โลงแก้ว ก็ยังผิด มันเป็นอุตุธาตุ พีชธาตุแล้ว ต้องรู้สถานะ แต่ทุกวันนี้คนไม่มีความเข้าใจในศาสนาพุทธอย่างที่อาตมาพูดนี้ก็เลยปฏิบัติผิด เพี้ยนไป
คำว่าธรรมะสองนี้ถ้าไม่รู้ก็ไปปฏิบัติผิด ไปปฏิบัติกับร่างกายที่ไม่เน่า ของพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรมากตายแล้วก็เผา จะได้ไม่ดูน่าเกลียดน่าชัง หากปล่อยไว้ก็จะเน่ามันก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นไม่นิยมแบบนั้น ศาสนาพุทธไม่นิยมแบบเน่า หรือแบบฝัง มีแต่เผาเลย ถ้าเอาไปฝังก็ต้องทำวิธีสมัยโบราณอีก หรือทำแบบมัมมี่ นี่ก็ตอบง่ายๆตื้นๆ พื้นๆ
ธรรมะ 2 เอาไว้ทำไม เทวะ คือธรรมะ 2
ธรรมะ 2 นี่แหละเอาไว้สำหรับจัดการชีวิตให้ดีที่สุดเจริญที่สุด เป็นคนที่
-
จุดสำคัญของศาสนาพุทธไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เป็นผู้ที่มีภูมิปัญญาไม่มีทุกข์ไม่มีสุข หมดเทวะ ทำให้ล้มล้างความเป็นเทวฺ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่ล้มล้างเทวได้ ผู้ที่บรรลุสูงสุดก็หมดสุขหมดทุกข์หมดธรรมะ 2 รู้ความจริงตามความเป็นจริง ว่านี้คืออันนี้อันนี้คือเย็นร้อนอ่อนแข็ง อันนี้คือแดงเขียวเหลือง อันนี้คือเสียงดังเสียงไม่ดัง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็รู้หมดตามความจริง ไม่มี 2 ไม่มีธรรมะ 2 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 มีแต่ความจริงตามความเป็นจริงไม่มี 2
ธรรมะ 2 เอาไว้เรียนรู้เทวะ เมื่อยังไม่ตายยังอยู่ในโลกก็ต้องอยู่กับสิ่งที่จริงอยู่กับหนึ่งเดียวในโลกไม่มีของเก๊ของปลอมเลย เราก็จะอยู่กับ 1 แล้วเราจะเรียนรู้ธรรมะพุทธเจ้าเรียนรู้ตอนสุดท้ายเลยว่า แม้ว่า1เราไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเราแล้ว 1นี้แม้แต่ธาตุดินน้ำไฟลมที่รวมตัวสังเคราะห์เป็นร่าง ทวัตติงสาการ จะมีความแข็งถึงขั้นฟันขั้นกระดูก หรือมีเนื้อมีหนังมีน้ำมูกน้ำเหลืองอะไรก็แล้วแต่ รวมกันสังเคราะห์กันเป็นร่างกายนี้ แล้วก็ดูแลใช้งานมัน
ธรรมะ 2 มีไว้ในชีวะนี้ แล้วอาศัยชีวะนี้เรียนรู้ถ้ายังเป็นมันอยู่ ก็จะเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดไม่ทำอกุศลอะไรเลย ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ทำแต่กุศลถ่ายเดียว เพราะว่า ได้ฆ่าพลังงานบาปพลังงานอกุศลออกไปจากจิตเราแล้ว
สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ไม่มีบาปอะไรเกิดอีกแล้ว อกุศลก็ไม่มี จากนั้นก็จะเหลือแต่ชีวิต จะอยู่อย่างทำกรรมใดๆก็มีแต่กุศลถ่ายเดียว กุสลัสสูปสัมปทา เพราะว่าได้ทำ สจิตตปริโยทปนัง ทำจิตของตนที่มีธรรมะ 2 จนสะอาดบริสุทธิ์ได้แล้ว ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตผู้นี้มีองค์ 5 แข็งแรงถาวร
บริสุทธิ์อยู่ตลอดปริสุทธา แม้จะปรุงแต่งอยู่กับอะไรอยู่ก็ยังสะอาดบริสุทธิ์ จิตใจก็เลยเป็น มุทุภูตะธาตุ แข็งแรงเร็วไวคล่องแคล่วทำกรรมกิริยาอะไรก็เป็นกรรมการงานที่ดี ไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยแล้วจิตใจก็ผ่องใสยิ่งขึ้นประภัสสรยิ่งขึ้น อย่างจิตของอาตมามีความประภัสสรยิ่งขึ้น ใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ยิ่งอยู่ก็เจริญยิ่งขึ้นมี ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ไม่ตกต่ำ นี่คือจุดสูงสุดที่ศาสนาพระพุทธเจ้าเอาธรรมะสองเอาเทวนี้มาไว้ให้คนศึกษา
แต่คนทุกวันนี้ แม้แต่ในวงการศาสนาพุทธเองเข้าใจเทวะไม่ได้ ตีเทวะไม่แตก undistinquish ตีเทวะไม่แตก แยกเทวะไม่ออก เอามาจัดการ จัดการทำให้ตนเองเป็นหนึ่งเท่านั้นแล้วอาศัยตามความเป็นจริงในฐานะที่เรายังมีชีวิต ก็เป็นชีวิตที่ดีที่สุด เท่าที่เรามีบารมี พวกเราแต่ละคนนี่มีบารมีต่างกัน แล้วก็เพียรพยายามทำสัมมาวายามะสัมมาสติ อยู่ให้ดีแต่ละคน ระวังไม่ให้เราเป็นคนทำอะไรผิด ทำอะไรชั่ว มีสังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธานอยู่ตลอด ด้วยการมีสติดูกายเวทนาจิตธรรม ดูองค์ประชุมของกายหรือเทวะ
กายคือ 2 รูปนาม เทวะ แล้วก็ดู ที่มันต่อเนื่องเป็นเวทนาไปเป็นปัจจัย ในเวทนามันมีกิเลส มันมีเวทนาที่ถูกกิเลสเข้าไปดึงดูดเอา เอาก็รู้กิเลสแล้วจัดการที่เวทนานั้น จะได้กลายเป็นจิตในจิต ที่ดีไม่มีกิเลส วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ไปเรื่อยๆ จนทำได้เก่งได้แคล่วคล่องก็ทรงธรรม มีอรหัตตมรรคอรหัตตผล อาศัยอรหันตธรรม สูงสุดแล้วไม่ลึกลับแล้วทำได้ถูกต้อง
ผู้ที่ทำไม่ได้ตีไม่แตกก็เป็นเทว จึงจำนนอยู่กับสุขกับทุกข์ ให้พลังงานจิตของตนเองต้องการสุข ไม่ต้องการทุกข์แล้วก็ตกเป็นทาสของอำนาจ อำนาจ ต้องการสุขไม่ต้องการทุกข์นี่แหละ บงการตนเอง ไปกระทบกับสิ่งอื่น ตั้งแต่ในสิ่งของก็ไปกระทบกับมัน
อันนี้ไม่ชอบ โยนทิ้งทำลาย ไปทำกับของกับคน กับสัตว์ ด้วยอำนาจไม่ต้องการทุกข์ต้องการแต่สุข ด้วยการที่เขาตีแตกๆไม่ออก สุขทุกข์บงการเขา ความสุขความทุกข์จึงเป็นนายที่บงการคนทุกคน ยิ่งเป็นนายที่บำเรอใจตนเท่าไหร่ก็ยิ่งแรง ไปกระทบกับสัตว์ไปกระทบกับของกับคน ที่จะต้องมาบำเรอใจตนเองตลอดเวลา นี่คือเทวะครองโลก เทวะครองคน
เทวะที่ตีไม่แตกนั้น เป็นจิตที่ต้องการสุขไม่ต้องการทุกข์ กลายเป็นปฏิกิริยาพลังงานออกไปกระทบสิ่งอื่น ให้สิ่งอื่นลำบาก ให้สิ่งอื่นเสียหาย ให้สิ่งอื่นเขาเดือดร้อน นี่คือ ความไม่รู้เป็นอวิชชาที่ลึกซึ้งสูงส่ง คำว่าเทวะครองโลกก็คืออย่างนี้
เราจะต้องมาเข้าใจให้ได้เลยว่า พลังงานของเรานี้ กลายเป็นว่าต้องไม่ให้เทวมาควบคุมเรา เราไม่มีเทวแต่เรามีตัวเราของเรา แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในตัวเราของเรา อาศัยทวัตติงสาการนี้ อาศัยอาการ 32 นี้ ทำงานมีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม อันเหมาะควร กัมมัญญตา ทำอยู่กับโลกอย่างสบาย อยู่กับสังคมอย่างมีคุณค่าประโยชน์ไม่ได้เป็นโทษอะไรเลยมีแต่คุณค่าประโยชน์
พูดมาถึงตรงนี้แล้วก็น่าเห็นใจคนที่เข้าใจเจตนาอาตมาไม่ได้ เขาทำของเขาก็เป็นบาปเป็นอกุศล มีแต่ได้แต่ทุกข์ เพราะเขาไม่รู้กรรมกิริยาของเขาที่มี สสังขาริกัง มีกิเลสมาปรุงแต่งอยู่ในจิตอย่างรุนแรงเต็มหน้าที่กิเลสด้วย คนแต่ละคนแทบจะเป็นตัวตนของกิเลสออกมาทำงานเป็นกายกรรมวจีกรรม มโนกรรมเต็มรูป ไม่มีความรู้ว่า กิเลสให้มันหยุดบ้างให้มันเบาบ้าง เขาไม่รู้จักกิเลส มันมาเป็นตัวเราของเราเมื่อไหร่ มันควบคุมทุกอิริยาบถ ถึงน่าสงสารมาก เทวจึงครองโลก ครองมนุษยชาติ ครองพฤติกรรมในสังคม
เรามาทำให้คนไม่ต้องตกเป็นทาสของกิเลส ยิ่งล้างกิเลสออก ไม่มีกิเลสมาบังคับควบคุมเรา เราก็เลยเป็นคนไม่มีตัวตน หรือตัวตนน้อย กิเลสลดน้อยจนกระทั่งผู้ที่เป็นอรหันต์กิเลสก็หมด เป็นอนาคามีกิเลสก็เหลือบ้าง ควบคุมไม่ให้กระทบคนอื่นได้ มีโทษภัยนิดๆหน่อย ถ้ายิ่งเป็นผู้ที่มีกิเลสมากก็ยิ่งเป็นภัยเป็นโทษต่อคนอื่นมาก
แต่เห็นได้เลยว่าในสังคมชาวอโศก การกระทบกันนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เดือดร้อนอะไรมาก มีแต่กระทบกันแล้วสัมพันธ์กัน สงเคราะห์กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยซ้ำไป จึงเป็นกรรมกิริยาเป็นพฤติกรรมที่ดี พัฒนาสังคมเราถึงไม่มีพฤติกรรมที่เหมือนอย่างทางโลกเขา
ชาวโลกเขาปองร้ายกัน ไอ้หนุ่มเจอสาว สัมผัสปองร้ายแล้ว ปองร้ายด้วยกาม หรือไม่ก็คนสองคน จะเป็นผู้หญิงผู้ชายก็ตาม สัมผัสกันด้วย ธาตุทางโทสะ ไม่ชอบก็ปองร้ายกัน จะทำร้ายกัน ธรรมะสองก็จะเป็นอย่างนี้เท่านั้น แต่พวกเราไม่ได้มีแล้ว สัมผัสกัน แม้แต่ศัตรูเขามองเราอย่างปองร้าย เราก็ต้องมองเขาอย่างปองดี ไม่ปองร้ายกับเขา อย่างนี้เป็นต้น เราเปลี่ยนคน จากแต่ก่อนนี้ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองเป็นทาสของกิเลส สัมผัสอะไรก็กลายเป็นร้ายไปหมด ร้ายตีกลับ เป็นกามนี่ร้ายตีกลับ ร้ายจะทำร้ายนี้ตรง ก็ชัดเจนกลับไปกลับมา เป็นเทว สองทิศง่ายๆ จะมีมุมเหลี่ยมต่างๆ ลีลาต่างๆจนคนเข้าใจผิด เราก็จะรู้มากขึ้นเราก็จะใช้อาการต่างๆ เคลื่อนไหวทางภายนอกไม่ว่าจะเป็นอาการทางกายทางวาจาโดยเฉพาะใจของเรา ต้องดูอาการใจของเรา จัดการตั้งแต่ต้นทาง จิตวิญญาณเป็นประธาน ให้เป็นตัวพลังงานขับดันออกมาให้เป็นวจีกรรมกายกรรมออกมาทำงาน เป็นกรรมกิริยาที่ดี ที่ไม่เป็นโทษภัย มีแต่กรรมกิริยาที่สร้างสรรค์เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา อย่างแท้จริง นี่เป็นคำสอนสูงสุด ประมวลลงมาแล้วจะทำให้คนเป็นเช่นนี้
อาตมาเกิดมาในชาตินี้ภาคภูมิใจที่เอาคำสอนพุทธเจ้ามารื้อฟื้นขึ้นมา จนกระทั่งมีคนมาฟังเข้าใจได้ เอามาประพฤติปฏิบัติจนกลายเป็นอาริยบุคคล กลายเป็นคนอาริยะเกิดขึ้นได้อยู่ในสังคมจริง อาตมาให้คะแนนเอง เพราะเขาไม่มีความรู้จะมาให้คะแนนอาตมาได้ นอกจากไม่รู้ว่าจะให้คะแนนอย่างไรแล้วก็มองเห็นว่าเป็นอะไรอรหันต์สไลเดอร์ เป็นอรหันต์มาทำสไลเดอร์นี้เองหรือ อาตมาทำยิ่งกว่าสไลด์เดอร์เยอะแยะเลย ทำเสนาสนะสัปปายะ สร้างสถานที่ให้มีบุคคลสัปปายะ รวมกันเป็นหมู่กลุ่ม เป็นสังคมมีรูปธรรมชัดเจน ว่าสังคมมนุษย์ควรเป็นอยู่กันอย่างนี้ คนที่มีภูมิปัญญาแสวงหาสิ่งที่ดี ไม่ได้โง่ มาสัมผัสแล้วก็จะรู้ได้ ไม่เพ่งโทษ
ไม่ต้องเอาศาสนาพุทธศาสนาเดียว คนศาสนาอื่นเข้ามาสัมผัสได้ ว่าคนหรือมนุษยชาติควรจะอยู่กันอย่างนี้ เราสามารถสร้างสาธารณโภคี อยู่กันได้อย่างมีกายกรรมเมตตา วจีกรรมเมตตา มโนกรรมเมตตา ลาภธัมมิกา สาธารณโภคี โดยมีหลักเกณฑ์ของศีลสามัญญตาทิฏฐิสามัญญตา คนมี พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
อยู่กันอย่างมีความระลึกถึงกันใครเป็นอย่างไรก็ถามไถ่ มีสิ่งที่น่าช่วยเหลือกัน มีเยื่อใยความรัก ที่ไม่ใช่ความรักอย่างหยาบ แต่เป็นความรักมิติที่สูงขึ้น ครุกรณะ เคารพกันตามฐานะ สังคหะ ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปในแต่ละวัน แต่ละเดือน ไม่มีการวิวาทกัน ในสังคมอโศกนี้ เราเอาตำรวจมาทำงานในนี้ก็ตกงาน หาเรื่องที่จะต้องชำระการวิวาทยาก มีตำรวจนั่งอยู่ในนี้หลายคน หางานทำไม่ได้เลย ต้องให้ไปถอนหญ้า หรือไปไล่ควาย มันชอบเข้ามากินพืชผักสีเขียวในนี้ พวกนั้นก็ชอบปล่อยควายเข้ามากิน เขารู้ว่าเราไม่จับไปเชือด ถ้าเป็นที่อื่นแบบนี้ไม่เหลือหรอก เหลือแต่กระดูกกับเขาเท่านั้นแหละ อยู่ที่นี่เขาก็ปล่อยมันเฉย ควายเข้ามาที่นี่ได้ก็ไปนอนไขว่ห้าง มันก็มากินพืชพรรณธัญญาหารเราเราก็ต้องไล่มันออกไป ให้ควายมันไปกินหญ้าที่อื่น
อาตมาพูดธรรมะละเอียดลออมุมเหลี่ยมต่างๆจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ก็ได้ประโยชน์สำหรับผู้ที่รู้เอาไปปฏิบัติประพฤติได้ จนเกิดเป็นมนุษย์สังคมถึงขั้นสาธารณโภคี อาตมาภาคภูมิใจมากเลยเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในโลก ที่บังเกิดขึ้นในยุคนี้ เป็นรูปธรรมชัดเจน พัฒนา นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายก็ต้องศึกษาให้ดีว่าอันนี้เป็นสุดยอด เป็นยอดอุดมคติของเศรษฐศาสตร์ ถ้าได้อย่างนี้ซึ่งไม่ง่าย ยาก
เพราะเศรษฐศาสตร์ที่ว่านี้ นักบริหารเศรษฐศาสตร์พยายามที่สุดที่จะหาเงินเข้ากองกลางให้มากที่สุด นี่เป็นหลักใหญ่ของเศรษฐศาสตร์ เพราะฉะนั้นนักบริหารจึงต้องพยายามให้คนเสียภาษีหรือทำรายได้ก็ให้เงินส่วนกลางมากที่สุด ผู้บริหารที่ดีก็จะได้เฉลี่ยเอาไปทำสาธารณูปโภคกับสังคมประเทศชาติ ให้เหมาะควร จะได้ไม่เกิดขัดสนการแก่งแย่ง ทะเลาะวิวาทในสังคมจะได้อยู่กันอย่างสงบ ต่างคนก็มีพอมีพอกิน เป็นนักบริหารที่ใช้หลักเศรษฐศาสตร์ในการบริหาร
ของเรานี้เป็นเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีก็บริหารอย่างที่เขาทำ แต่มันได้เข้มข้น เพราะแต่ละคนนั้น ทำงานแล้วเสียภาษี 100% แล้วก็รับบริการของสังคมพอกินพอใช้พอเพียงไม่เรียกร้องมาก มีจิตใจที่มีสันโดษ จะมีบางคนที่เรียกร้องมากหน่อยแต่มีน้อยคน เรื่องการทะเลาะแย่งชิงเบาะแว้ง วิวาทกันไม่ค่อยมี เป็นสังคมที่สงบสร้างสรรจนหมู่กลุ่มเรามีเหลือใช้ก็สะพัดไปให้ข้างนอก แล้วพวกเราไม่ได้เป็นนักขายเท่าไหร่ เราก็แบ่งแจกกันไปกิน เอาไปให้ก็เหลือ เขาก็พอกินของเขา จะให้ไปแจกจ่ายข้างนอกจริงๆเราก็ไม่เป็นนักจ่ายเราก็ไม่มีน้ำใจขนาดนั้น แต่ก็เอาไปแจกเถอะ อย่างในตอนชุมนุม เราก็เอากะหล่ำปลีไปแจกให้บ้านต่างๆ ให้เด็กเอาไปแจก คนในเมืองกรุงก็งงว่ามาจากโลกไหน เขาระแวงด้วยไม่ค่อยรับงงๆ
เราก็มีน้ำใจให้คุณเรามีพอเหลือกินไม่ได้เดือดร้อน
สังคมแบบนี้ถ้าเผื่อว่าผู้บริหารประเทศเข้าใจ เศรษฐศาสตร์บทนี้แล้วเอาหลักธรรม ลาภธัมมิกา สาธารณโภคีของพระพุทธเจ้า สร้างคนให้มี เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา โดยเอาหลักเกณฑ์ ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ให้ปฏิบัติกันทั้งประเทศให้สมกับที่มีชาวพุทธอยู่ 95 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ เอาความรู้หลักนี้ไปปฏิบัติ อาตมาว่าเมืองไทยจะวิเศษกว่านี้เยอะเลย
จนกระทั่งสามารถมี GDP Domestic ของตัวเองเหลือเฟือ แล้วส่งออกต่างประเทศ ผลผลิตของไทย ที่เป็น Domestic ขายอย่างถูกและไม่ขายแพงดีไม่ดีจะแจกข้างนอกด้วยเพราะมีเหลือเฟือ นี่คือพวกที่มี GDP เต็ม ของเราเองรายได้องค์รวมของเราเหลือ ไม่ใช่ทำเป็นตลก เอาอันนี้ไปขายเพื่อบวกส่วนเกินมามาก รีดจาก คนอื่นเขามามากแล้วมาบอกว่ามี GDP ของไทยมาก (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) นักเศรษฐศาสตร์ฟังอาตมาบ้าง
คนจะต้องหันมาเอากับระบบ บุญนิยมเพราะว่าทำให้สังคมมนุษย์อยู่ดีกินดีที่สุด ไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์สังคมศาสตร์ ขอยืนยันในอนาคตคนจะมาเอาอันนี้จริง
-
คนทุกข์มากขึ้น สาหัสมากขึ้น เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่รู้สึกอบอุ่น ไร้ความไว้วางใจ หวาดระแวงกันมากขึ้น ทำร้ายกันรุนแรงยิ่งขึ้น ทุจริตหยาบคายยิ่งขึ้น
-
ทรัพยากรของโลกร่อยหรอลง ขาดแคลน ไม่พอกันจริงๆ
พลโลกมากขึ้น
-
ไม่มีทางอื่นให้เลือกดีเท่าอีกแล้ว
-
มีตัวอย่างของสังคมที่ไปรอดในทิศทางนี้ให้ดูเป็นการยืนยัน ได้แล้วจริงๆ
-
ระบบบุญนิยมเป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ได้ด้วยกาละ จนคนต้องเชื่อในที่สุด
พวกเรานี้ ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วในระบบบุญนิยมนี้ เป็นระบบที่ยั่งยืนจริงจึงพิสูจน์ได้ด้วยกาละ
บุญคืออะไร ทุกวันนี้ในโลกทุกระบบทุนนิยมครอบครอง ถูกเทวครอบครอง โดยความไม่รู้ความเป็นเทว แล้วก็ตกเป็นทาส ทุน
ทุน คือ ลักษณะที่จะต้องสะสม ไม่สลายออก
บุญ คือ ลักษณะการสลายออก ภาษาที่แท้คือการให้ ให้อย่างไม่มีสาเปกโข ให้อย่างไม่มีจิตอะไรอยากจะได้อะไรต่อ ไม่มีสันตติ ให้แล้วก็จบ ตัดสันตติ จิตหยุด ไม่หวังอะไรไม่คิดอะไรต่อ นี่สูงสุดแล้ว ให้ได้เพราะอะไรเพราะเราพอกินพอใช้เราพึ่งพาตนเองรอดเราอุดมสมบูรณ์มีเหลือก็เลยต้องให้ นี่เป็นยอดเศรษฐศาสตร์แล้ว ไม่หวงแหน ไม่ขี้เหนียวด้วย
หลักสมบูรณ์ที่สรุปได้คือ
-
ไม่เป็นหนี้ 2. พึ่งพาตนเองให้รอด 3. ทำให้มากให้เหลือ 4. นำไปแจกจ่าย