620219_เทศน์กัณฑ์พิเศษเนื่องในวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 43 ปี 2562
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1ozOwGfcah7wp6p0iPxyC6RO15kw8snhnW7eQyJwuxRo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1bIy9xb9rUBO13Id-14wibIy2enEp8vHE
พ่อครูว่า…วันนี้วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันมาฆบูชา มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าถ้ามีคนมามากเหมือนงานพุทธาภิเษกก็คงจะทำให้เป็นเหตุปัจจัยให้พ่อครูอายุยืนขึ้น …ก็ใช่
_ถือว่า เป็นการตอบแทนบุญคุณของลูกโลกต่ออาตมา ได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…ได้ จะเป็นการตอบแทนพระคุณต่อต่อมาก็ได้ ทันที นักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ อ.เป็นต้น นาประโคน
แม่ครูหนูก็เสียชีวิตแล้ว กำลังเอาศพเดินทางมาฌาปนกิจที่บ้านราชฯ
สดุดีนักสู้จากแม่ฮ่องสอน
สุดเหนือสู่ลุ่มเจ้า พระยา
บุกเดี่ยวเที่ยวแสวงหา อโศกไซร้
ครูหนูสุกัญญา สตรีโสดาสาวเหนือ
ข้ามสะพานแผ่นไม้ หมู่บ้านทรงไทย
ฝังชีวิตฝากไว้ ในกรุง
ช่วยพ่อเพิ่มเผดิมผดุง เผด็จแท้
สันติอโศก ฝูงยุง ดุกว่าเสือดง
เก่าคร่ำคร่า ชราแล้ว ง่อมแล้ว อำลา
มรดกตกทอดให้ ล้านหา
ปากพูดมือล้างพราง แนะเจ้า
สืบทอดอย่าละวาง คุณค่า แม่เอย
เสียงรุกเสียงปลุกเร้า สืบเชื้อ บรรพชน
พึ่งเกิดแก่เจ็บแล้ว พึ่งตาย
สิ่งที่พ่อท่านหมาย สืบสร้าง
ดึงพุทธกลับอโศก กลายคืนสู่สามัญ
ร้อยรักอโศกห่อนร้าง สืบรู้ ริปูสลาย
19 ก.พ. 2562 อ.เป็นต้น นาประโคน
พ่อครูว่า…พวกเราก็ ที่เอามาอ่านนี้ก็เป็นเนื้อหาของพฤติกรรมมนุษยชาติ พฤติกรรมของสังคมชาวอโศกเราจริง แต่ละคนก็มีแนวทาง ศีลสามัญญตาทิฏฐิสามัญญตา ถือศีล ถือพรตแบบนี้ มีสัมมาทิฏฐิเดียวกัน ซึ่งต่างจากที่อื่นนะ ชาวอโศกถือศีลก็ต่างจากที่อื่น ปฏิบัติให้เกิดสมาธิก็ต่างจากที่อื่น ยิ่งปัญญาแล้วยิ่งต่างจากที่อื่นชัดเจนที่สุดเลย
ปัญญานี้ต่างมากต่างจากที่อื่นเขาชัดเจนมาก เพราะว่าเป็นความรู้ในระดับโลกุตระ ปัญญานี่ ความรู้ที่เรียกว่าโลกุตระคืออะไร ต่างจากความรู้ที่ไม่ใช่โลกุตระคือโลกียะอย่างไร
โลกียะก็เป็นความรู้ของเทวนิยม เป็นความรู้ วนเวียนแค่ระดับ ดี-ชั่ว พยายามปฏิบัติตนให้ดีที่สุด ดีที่สุดแล้วก็ หลงเหลิงแล้วก็ตกนรกใหม่ วนอยู่อย่างนี้มีแต่ดีกับชั่ว ความรู้ของชาวโลกียะหรือเทวนิยมไม่รู้จักเรื่องสุขเรื่องทุกข์ นี่แหละเป็นประเด็นหลักประเด็นสำคัญมาก โลกุตระนี้ให้รู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ คนเราติดสุขติดทุกข์ ดีนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ติดสุขติดทุกข์ หายใจก็แสวงหาความสุขใส่ตัว ไม่ใช่แสวงหาความดีนะ
มีศาสนาพุทธศึกษาสุขทุกข์ และรู้ความจริงสูงสุด ตรงที่ว่า แม้สุขนี้ ก็ไม่ใช่ความจริงเป็นความหลอก เป็นสิ่งที่มนุษย์หลงติดยึดแล้ววนเวียนอยู่ในโลกียะอยู่ในโลก มีอัตภาพไม่สูญสิ้น เพราะไม่มีความรู้จริงในเรื่องของการยึดมั่นถือมั่น ความเป็นตัวตน ในอัตตา ในอัตตนียา
ศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้อย่างถ่องแท้ อย่างชัดเจน ทะลุทะลวง จึงสามารถที่จะ ลบล้างหมดความยึดถือในสุขได้ เป็นผู้ที่มีอาการในจิตที่เรียกว่าผู้ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกศัพท์ว่าอุเบกขาเวทนาหรืออทุกขมสุข ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ที่สุดในเรื่องของมนุษยชาติที่มีจิต บริสุทธิ์ สามารถทำให้จิตเจตสิกของตนเอง เกิดคุณสมบัติ เกิดบรรลุธรรม ทำจิตให้มีอาการ อาการของความไม่สุขไม่ทุกข์นี่แหละได้ ใครสามารถรู้จักอาการนี้ในจิตของตัวเองบ้าง ลองยกมือขึ้นสิ (มีคนยกมือ)
ทดสอบต่อมาก็คือ เรารู้แล้วไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างนี้ แล้วต่อมาถามว่า ใครสามารถลดสุขลดทุกข์นี้ได้ บ้างแล้ว(ยกมือมาก)
ลดทุกข์ลดสุขได้แล้วบ้าง ระดับที่ 1 เราเรียกว่าโสดาบัน ในเรื่องในโลกที่เราต้องเกี่ยวข้องในเบื้องต้นเราเรียกว่าอบายมุข ขั้นต่ำที่สุดเราเคยติดยึด ต้องสุขต้องทุกข์ตั้งแต่ หาอะไรมาบำเรอใจตัวเอง ในแต่ละวันแต่ละวัน เราติดหนัก ติดมาก เราก็สามารถเรียนรู้แล้ว ปฏิบัติละล้างได้ จนจิตเราในอบายภูมินี้ไม่มีแล้ว จิตกลางอุเบกขาอทุกขมสุข ทั้งที่ในโลกก็มีความสุขอยู่อย่างการปรุงแต่งกันจัดจ้านกว่าเก่าด้วย ปรุงแต่งมาหลอกล่อคนในสังคมหนักหนาจัดจ้านขึ้น แต่เราก็หลุดพ้นมาได้ อยู่อย่างอุตระ เป็นโลกุตระอยู่เหนือมัน มันทำอะไรเราไม่ได้ มันไม่เกิดจิตที่ต้องเสพสุขทุกข์กับมันอีกแล้ว นี่คือ ขั้นตอนของโสดาบัน
ผู้เป็นโสดาบันนี้ต้องรู้สังโยชน์ 3 รู้ว่าจิตที่ยึดตัวตน สักกายะ มันยึดอย่างนี้ ความติดความยึด บำเรอตัณหาแล้วก็เป็นสุขทุกข์เป็นเวทนาสุขทุกข์ เรารู้สภาวะเหล่านี้แล้วก็มีวิธีปฏิบัติ ปฏิบัติด้วยการ ปหาน 5 วิกขัมภนปหาน ตทังคปหาน สมุจเฉทปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน ปฏินิสรณปหาน พ้นไปจนถึงขั้น สกิทาคามี ก็ค่อยๆ คลายเบาบางลง จนกระทั่ง ข้างนอกกระทบสัมผัสอย่างไรก็ไม่รู้สึกอยากได้ไม่รู้สึกลำบาก สามารถมีฌานมีความสามารถเผากิเลสได้ แต่แม้ก็ยังเหลือในจิตเรียกอนาคามีภูมิ รูปราคะ อรูปราคะ ยึดถือในมานะ อุทธัจจะ เราก็สามารถอ่านรู้อาการในจิตได้ เราก็มาล้าง สิ่งที่เหลือในอนาคามีภูมิเป็นอรหันต์
ผู้ที่ล้างสิ่งที่เราเคยติดสัมผัสในโลก มาเป็น สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เราก็รู้จักอาการของ อรหัตตผล ในเรื่องที่เราติดเยอะ เป็นอรหัตตผลในเรื่องนั้น
แต่ก่อนนี้ กินหมากพลู สูบบุหรี่ สูบยา เล่นไพ่ที่เป็นอบายมุข เราอ่านอาการนั้นออก แล้วเราก็อยู่กับโลกที่มีสุขมีทุกข์อยู่ แต่ก่อนเราเคยเสพสิ่งนี้ จนเราหลุดพ้นอยู่ในโลก เราก็เฉยเหนือมันได้ นี่เป็นตัวอย่างเป็นโครงสร้างที่การปฏิบัติของพุทธเจ้ามีเป็นไปตามลำดับ โสดาบัน สูงขึ้นมาก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้หยาบ เป็นสิ่งที่เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นสกิทาคามี ลาภยศสรรเสริญ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ เราก็ไม่ต้องเสพเมื่อสัมผัสอีกได้ ทำได้ตามโครงสร้างที่เราเคยได้
วิกขัมภนะ แปลว่า กดข่ม เป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่มีใครปล่อยให้กิเลสราคะ โทสะ โมหะ มันออกมาเพ่นพ่านหมด ตามสัญชาตญาณ แม้คนไม่รู้ธรรมะก็เป็นสามัญธรรมดามีการ กดข่ม ยิ่งรู้ว่าต้องข่มมากกว่าแต่ก่อนก็ยิ่งข่มได้ ก็จะข่มไว้มาก แต่ข่มมันไม่ถาวร มันก็ได้ ยิ่งกดข่มได้นาน
แต่สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยงของไม่จริง เป็นกิเลสยั่วยวนกวนคน เราไปยึดติดมันก็ทุกข์แล้วก็หลงว่ามันเป็นสุข เมื่อไม่ได้เสพสมใจ ก็เป็นทุกข์ เป็นธรรมะ 2 เป็นเทวะ คู่ ศัพท์ทางวิชาการว่าเทวะ แปลว่า 2 สุขทุกข์ ปีนี้อาตมาหยิบมาฉีกหน้าเทวะ ประกาศอธิบายไม่ใช่น้อย ซึ่งอาตมาก็พึ่งจะตื่นเรื่องนี้เหมือนกัน เห็นว่าในโลกเป็นเช่นนี้
ทั่วโลก เทวะนี้ครองโลกอยู่ มีชาวพุทธที่สัมมาทิฏฐิ มีอโศกที่ปฏิบัติเลิกล้างดับความเป็นเทวะ นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญดับความสุขความทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ก็เป็นบุคคลที่
คำว่าสุขคำว่าทุกข์นี้บังคับให้คน ร้าย คนเลว หรือแม้แต่คนดีสุขทุกข์ก็บังคับ แต่เมื่อปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าแล้วมันไม่บังคับให้เราเลว แล้วเราจะมีปัญญาความรู้ว่าสิ่งใดควรประพฤติปฏิบัติให้ดีงาม ตามสมมุติโลก แม้ที่สุดตามปรมัตถ์ เราก็ปฏิบัติได้ชัดเจน จนสูงสุดได้ ชุมชนใดที่เขาบอกว่าไม่ทำบาปทั้งปวง แล้วละชั่ว ประพฤติดี ที่จริงนี่ก็ยังไม่ใช่แกนของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนอกจากไม่ทำบาปทั้งปวง สัพพปาปัสสะอกรณัง คือไม่มีบุญแล้วเมื่อบาปไม่มีบุญก็ไม่ต้องมี เพราะบาปบุญ
เป็นคู่ของเทวะเป็นคู่ แต่ตัวบุญเองเป็นเดี่ยว เป็นธาตุวันเวย์ เอกังสะที่จริงบาป อกุศล ทุจริต ถือว่าเป็นคำใช้แทนกัน คำว่าบุญถ้าอาตมาไม่เกิดมาขยายความแล้ว จะไม่รู้เลยที่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว
ปุุญญปาปปริกขีโณ คนไม่เข้าใจ ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสเช่นนั้น พระอรหันต์ทุกองค์ก็เช่นกัน ท่านเป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป แต่เขาจะเข้าใจว่าบุญต้องสะสม สุดท้ายไปชอบบุญ เอาบุญเป็นสมบัติหลอกล่อกัน คนไหนยังสร้างพลังงานให้เป็นบุญอยู่คนนั้น ยังซวย ต้องหมดบุญแล้วไม่ต้องทำบุญอีกแล้ว จึงสูงสุดเป็นอรหันต์ เมื่อเข้าใจผิดไปหลงว่าบุญเป็นของสะสม หมดท่าเลย ศาสนาพุทธเลยไม่มีเครื่องมือล้างกิเลส คำว่าบุญกลายเป็นกุศลหมดเลย ก็เป็นการสะสม ไม่ได้เกี่ยวกับสุขทุกข์
บุญคือกำจัดกิเลสที่ทำให้สุขให้ทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านเอาทุกข์มาล้างเหตุแห่งทุกข์ ในปฏิจจสมุปบาทเป็นเหตุทั้งหมด ตั้งแต่อวิชชา เป็นโสดาบันก็รู้จักสังขารวิญญาณนามรูปอายตนะเวทนาตัณหาอุปาทานภพชาติ ก็เรียนรู้ลดเหตุที่มันจะมาปรุงแต่งสังขารระดับอบาย แล้วก็ส่งขึ้นไปเรื่อย วิญญาณก็สะอาดขึ้น เพื่อปฏิบัติด้วยการรู้จักนามรูป ธรรมะคู่ แล้วปฏิบัติด้วยเกิด ผัสสะ อายตนะ ถ้าไม่มีผัสสะอายตนะไม่เกิด ไม่มีรูปนามสัมผัสกันขึ้นมา อายตนะก็ไม่เกิด และไม่เคยมีในที่ใดๆ เลย มีอยู่ในช่วงปัจจุบันที่รูปนามสัมผัสกันขึ้น จึงจะเกิดอายตนะ
เมื่อเลิกสัมผัสแล้วอายตนะก็ไม่ตกค้างไม่สะสมที่ใด อันนี้เป็นสิ่งละเอียด และถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่เกิด เวทนา ก็ไม่มีแดนที่จะปฏิบัติ มนสิการ ไม่มีสัมภวะหรือปภวะ แดนที่จะปฏิบัติการเกิดการตายของกิเลส เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการมีภพชาติ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ ที่มันเกิดจริง สัมผัสแล้วเกิดจริง ก็ต้องอ่านอาการในจิต ไม่ใช่เอาความจำขึ้นมาดับ เพราะฉะนั้นทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้หลับตาปฏิบัติ เพราะหลับตาไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน มันไม่มีธรรมะปัจจุบัน ที่จะพร้อมทั้งทวารนอกและทวารใน
ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนจนไปปฏิบัติมนสิการผิด เอาแต่ไปนั่งหลับตา แล้วจิตจะตกผลึกลงเป็นสมาธิ เขาก็เข้าใจเป็นเรื่องสมถะ นิ่งหยุดเป็นก้อนเป็นแท่งติดผนึก ตกผลึกแข็ง ด้าน มันเลยสลายยาก มันเลยยิ่งติดยึดหลงไปใหญ่เลย ตรงกันข้ามกับที่สามารถละล้างออกไปทีละส่วน แต่ยิ่งแข็งอัดแน่นผนึกเข้าไป มันตรงข้ามกันเลยศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงน่าสงสารมาก
อาตมาทำงานมา 49 ปี ตั้งแต่พ.ศ.2513 ปีนี้ 2562 ก็ 49 ปีเข้าไปแล้ว นี่มาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 43 มาฆบูชาจัดในงานนี้วันใดวันหนึ่งปีนี้ปีที่43 ก็มีคนอยู่ร่วมฟังประมาณนี้ นี่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ มีคนเปิดดูกี่เจ้า แต่ที่เขาฮิตกันเป็นล้านวิว ของเรา 50 วิว
แค่นี้ก็เส้นตื้นนะพวกเรา (ไมค์มันดับไป)
มันยืนยัน อาตมาทำงานมา 49 ปีเกือบครึ่งศตวรรษ ปีไหน้าก็ 50 แล้ว ก็พอได้รู้ได้เข้าใจ อาตมาจึงเห็นใจจังเลย ผู้ที่จะกอบกู้ศาสนา เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คืนมา ที่เป็นโลกุตรธรรม ไม่ง่ายเลย มันไม่ง่าย แต่ไม่ง่ายก็ต้องทำ เพราะมันไม่มีอะไรดีกว่านี้ในความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรดีขึ้นไปกว่านี้ในความเป็นมนุษย์ ไปทำความเข้าใจกับประโยคนี้เอาเอง
คุณจะไปได้ลาภยศสรรเสริญ ได้ความเทิดทูนยกย่องแบบโลกคืออะไรอย่างไร มันก็วนเวียนอยู่ไม่เที่ยง แต่โลกุตระมันเที่ยง มันเที่ยง เพราะมันรู้กิเลสและลดกิเลสได้จนกิเลสดับสนิทไม่เกิดอีกถาวรยั่งยืน เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” มีหลักฐานจากพระพุทธเจ้า อาตมาเอามาพูดบ่อย พูดนิดหน่อย นิจจัง พวกเราก็อสังกุปปังแล้ว เพราะว่ามันติดหูคล่องปากขึ้นใจ
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ทำตนให้เป็นคนที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ คนที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์แบบโลกุตระไม่ได้หมายความว่าเราไม่รู้จักโลกีย์ที่หมายถึงสิ่งที่เขาถือว่ากันว่าเป็นความดี ความไม่ดี ความดีความไม่ดีคือความไม่เที่ยงอย่างถาวรไม่เที่ยงอยู่ตลอดกาล นาน และสมมุติไม่ตรงกันด้วย คนกลุ่มนี้เผ่านี้สมมุติอยู่อย่างนี้ว่าดีอันนี้ไม่ดี ไปอีกที่หนึ่งที่นี่บอกว่าไม่ดีที่นี่บอกว่าดี เขายึดถือกันอีกแบบหนึ่งอย่างนั้นจริง เขายึดกัน
เอาง่ายๆที่ิอาตมาพาเป็น คนส่วนใหญ่ยึดว่ารวยดี แต่คนของเราบอกว่า รวยไม่ดี มาจนดีกว่า ซึ่ง เป็นปัญญาเป็นความรู้ความเห็นเป็นจิตใจของเราที่เห็นเช่นนั้น จนกระทั่งเห็นจริงแล้วมาทำตนเป็นคนจน เป็นคนจนที่หมดเนื้อหมดตัว แล้วก็อยู่กันอย่างสบาย องค์ประกอบของพระพุทธเจ้ามีหมู่กลุ่มมีเสนาสนะ มีอาหารเครื่องอาศัยมีบุคคลมีธรรมะ ไม่สะสมทรัพย์สินเงินทองทรัพย์สมบัติสบายไม่ต้องยึดต้องติด ไม่ต้องไปดูแลรักษา ไม่ต้องคอยระมัดระวัง อยู่กับหมู่นี้สบายอย่างสุขสงบ สุขแบบอุเบกขาสุขสบาย สุขที่ไม่ต้องดูแลรักษาไม่ต้องห่วงหาอาวรณ์ วันๆก็มีกินมีอยู่ข้าวมีกินดินมีเดินตะวันมีส่องพี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างทำ
พวกเราทำพวกเรารู้เข้าใจแล้วทำให้สำเร็จ ตามบารมีแต่ละคน มีธรรมะระดับโสดาบันสกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ในอรหันต์ซึ่งยากจะระบุว่าคนนี้เป็นอรหันต์ ในระดับของอนาคามี พวกเรายังพอรู้ แต่พอเป็นอรหันต์แล้วจะยาก เพราะมีอรหัตตมรรค อรหัตตผล แม้ยังเหลือเศษอยู่มีโลกจินตา ยังมีสิ่งที่ปรุงแต่งใหม่ หลายอย่างมีแง่เชิงมีนัย เราเคยติด ลองดูสิน่าจะดูดี เป็นเกิดจากเหตุปัจจัยในโลก จะไปสรุปว่าเป็นอรหันต์ อย่างใดที่แท้ เจ้าตัวเราผู้นั้นจะเป็นผู้เกิดปัญญาเฉลียวฉลาดที่จะเข้าไปรู้ว่า โลกคืออะไร อัตตาคืออะไร ที่สุดของโลกคืออะไร จนนไม่สงสัยไม่ลังเลแล้ว ว่าที่สุดก็ไม่ใช่ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่ ชัดเจนว่า มีที่สุดเป็นอย่างนี้เองโลก
สมมุติว่า สิ่งหนึ่งที่เขาสร้างขึ้น เอาง่ายๆ เสื้อผ้าหน้าแพร ทุกวันนี้เขาหยุดปรุงแต่ง เขาหยุดดีไซน์มั้ย ไม่หยุด แล้วเขาไม่มีหยุด แต่พวกคุณหยุดได้ เพราะโลกมันนิยม พวกที่จบได้คืออรหันต์ พูดถึงเสื้อผ้า คุณอรหันต์เรื่องเสื้อผ้าได้ พวกเราเข้าใจ อรหัตตผลคืออย่างนี้ในโลกมีของปรุงแต่งเหตุปัจจัยที่อยู่อาศัยยารักษาโรคเสื้อผ้า เครื่องบริขาร แม้เครื่องใช้ประกอบเราก็รู้ว่านี่คือบริขาร เราก็ไม่ติดยึดอะไรเราก็ใช้ประโยชน์ แม้โลกปัจจุบันจะสร้างเครื่องใช้บริการ ปัจจัย 4 เราไม่ติดยึดแล้ว บริขาร ที่ยึดกันเราก็ไม่ติดยึด เราก็เป็นอรหันต์
เกินกว่าบริขาร เราชัดเจนแล้วจะไปติดยึดมันทำไม สิ่งที่เราจะต้องใช้อะไรเป็นประโยชน์ สร้างประโยชน์คุณค่า เพื่อประโยชน์ตนเอง บางทีประโยชน์ตนก็ไม่ใช่มีแต่ทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่มันก็ต้องใช้ อย่างอาตมาเป็นต้น ต้องใช้เครื่องมือต้องเขียนอ่าน ต้องใช้ไมโครโฟน เป็นบริขารเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ต่อไป เราก็รู้ตัวเราเองแม้บริขาร แล้วก็ไม่ติดยึด มีเท่าที่ได้เราก็อาศัย แล้วก็ไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ไม่ใช้ก็หยุดจบเลิกไม่ต่อแล้ว ก็จบ ไม่โหยหาอาวรณ์ อยากได้อยากมีอยากเป็นมันก็เป็นอรหันต์แล้ว
อรหันต์จริงๆนั้นไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบใด โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ยุคนี้ก็ไม่ว่างจากอรหันต์ ถ้าเข้าใจดีปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พวกเราก็มีอรหันต์เยอะไป แต่เราไม่รู้ว่าเราเป็นอรหันต์
พูดไปนี่อรหันต์เยอะเลย อ้อ เราเป็นอรหันต์แล้วหรือ อ่านดีๆ
ถ้าอนาคามี อาตมาว่า พวกเราไม่ต้องพูดทำได้เข้าใจได้ แต่อรหันต์ตัดรอบยาก เพราะโลกทุกวันนี้มีเหตุมาก ยกตัวอย่างเสื้อผ้าหน้าแพร อย่างอาหารนี้หยุดปรุงแต่งหรือยัง อย่างบ้านก็ต้องอย่างนี้ๆ ดีไม่ดีสร้างบ้าน ผัวจะเอาอย่างนี้ เมียก็เอาอีกอย่าง ส่วนมากสร้างไม่เสร็จ เช่น เรือ ผัวจะเอาอย่างนี้เมียจะเอาอย่างนี้ หนักเข้าก็หั่นกันแบ่งกันคนละครึ่ง นี่มันมีมาแล้วนะ เวรจริงๆคนเราเนาะ มันมีสารพัดให้เราเอามาพูด มันก็มีมาให้มาพูด ไม่ใช่มุข แต่เป็นเรื่องจริง
ถ้าเข้าใจสุขทุกข์ก็เข้าใจเทวะ ตีแตกเทวะ เราก็อาศัยเทวดา เราไม่มีเทวแต่เราก็มีเทวอาศัยได้ เราก็มีธรรมะสอง รูปนาม มีสมมติสัจจะปรมัตถ์สัจจะ เราก็อยู่อาศัยมันไป เรารู้แล้ว ว่า ณ บัดนี้อย่างนี้ ใช้ขนาดนี้เราก็อาศัยก็ไม่เกิดอุปายาสะ ไม่เกิดโทมนัส ทุกข์ อุปายานะ เพราะว่าเรามีวิชชา ผู้มีวิชชาบริบูรณ์ก็ไม่มี โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ผู้ยังมีอวิชชาอยู่ก็ต้องเหลือเศษของ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ
อาการโศก คือหยาบกว่าเพื่อน โศกเศร้า พวกโรคซึมเศร้าคือพวกตัวโศกแท้ๆ โรคนี้มันเกิดหนักยุคนี้ แต่โบราณไม่มีโรคซึมเศร้านะ ยุคนี้มันมีโรคซึมเศร้า ตลก คือโศก
ปริเทวะ แปลว่า โศกมันควรพอแล้วแต่ไม่รู้จักตัดไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอ แหง่ๆๆ
ทุกข์คือผสมรวมกันไปหมดเลย ความไม่สบายทั้งนอกและใน
หากมีแต่ภายในเรียกโทมนัส
เหลือส่วนที่ไม่ได้เรียนรู้เหลือเศษอีกเรียกอุปายาสะ
โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ คือส่วนของความทุกข์โศกทั้งหมด ที่เราจะต้องเรียนรู้แล้วไม่ให้มีเลย จิตใจไม่มีความ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ก็เป็นวิชชา เป็นคนมีแต่อภิปโมทยังจิตตัง มีจิตใจเบิกบานร่าเริงอยู่ แต่เราไม่ได้ติดยึดในอภิปโมทยังจิตตัง ว่าเป็นเราเป็นของเราแต่เป็นฐานอาศัยเป็นอัตภาพอาศัยให้เราได้อาศัยอยู่ อย่างอาตมานี่พูดไปอาตมาเอาของตัวเองมาพูด ใครเคยเห็นอาตมา โศกะบ้าง ใครเคยเห็นอาตมาปริเทวะบ้าง หรือ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ รู้เปล่า อุปายาสะคืออะไร?
อาตมาไม่มี พูดขึ้นมาเหมือนอวดดีอวดรู้อวดอุตตริมนุสสธรรมเพื่อเป็นการศึกษา อยู่ด้วยกันมาตั้งนานเกี่ยวข้องสัมผัสกันอยู่ให้รู้ มีหรือไม่มี พวกคุณต้องรู้เองรู้จริง ชีวิตเป็นแล้วมันก็ได้ถาวรอยู่ที่ไหนมันก็สบาย ไม่ต้องร้องเพลงเบิร์ด สบายๆ แต่สุขสำราญเบิกบานใจ
อภิปโมทยังจิตตัง ทำอย่างถาวรได้
คนที่ไม่ต้องมีคู่ให้จิตมีสุขมีทุกข์ มันมีแต่ความไม่สุขไม่ทุกข์ กลางๆ สบายๆ มันก็ไม่มีพลังที่จะต้องไปกระทบใครไปเบียดเบียนใคร ไปแย่งเอาจากใคร ไปทำให้คนอื่นเขาถูกกระทบทุกข์ร้อน ที่เราต้องไปแย่ง ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ทางกามทางอัตตาก็ตาม เราก็ไม่ได้ไปแย่งกับเขา
เป็นแต่เพียงว่าเราอยากจะให้เขาพ้นทุกข์ พ้นทุกข์อริยสัจ หรือพ้นสุข ที่คุณไปหลงติดยึดอยูนี่แหละ สุขทุกข์มันไม่ได้แยกกันหรอก ทำให้เขา ช่วยเขา การช่วยเขา คือการไปบอกเขาว่าเขากระทุ้งให้เขารู้ความจริงว่าคุณยังมีตัวก้อนทุกข์ ก้อนเทวะ ก้อนสุข คนที่ติดยึด จะต้องได้อย่างนี้เป็นอย่างนี้มีอย่างนี้แล้วมันไม่ได้ มันก็เลยทุกข์มาก คนที่พอได้มาบำเรอลดทุกข์ไปได้บ้าง ได้สุขมาบำเรอนิดหน่อย ก็จะเป็นก้อนทุกข์ ลดลงๆๆ
ทีนี้คนที่ไม่เข้าใจก็ไม่รู้ว่าคุณลดความสุขได้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าเขาได้แล้วเขาจะต้องเลิก เขาอยากได้เพิ่มขึ้นอีก เช่น เขาต้องการรวยเท่านี้ เขาก็เลยได้รวยมาเท่าที่เขาต้องการ เขารวยมา 10 ล้านเขาก็อยากได้อีกเป็นร้อยล้าน เขาก็พยายามแย่งชิง แม้จะสุจริตก็ตาม ไม่ถึงกับทุจริต แทนที่คุณจะหยุด มันไม่หยุดนะความโง่ของคน มันยิ่งตะกละเพิ่มขึ้นใช่มั้ย ยิ่งสามารถยิ่งมีความสามารถการได้มามากเพิ่มเติมขึ้น ยิ่งย่ามใจ
ก้อนสุขคุณได้เพิ่มขึ้นคุณนึกว่าคุณได้เพิ่มแต่คุณมีก้อนทุกข์เพิ่มขึ้นด้วย เป็นอาสวะเป็นอุปาทานที่คุณยึดติดเราเสพอย่างนี้ได้ เราเคยเสพเคยเป็นเศรษฐีร้อยล้าน ถ้ามันเสื่อมไปในลาภยศสรรเสริญ เป็นไง ก็ทุกข์ พวกเรา หลายคนดีไม่เป็นเศรษฐีร้อยล้านมาก่อน หลายคน เป็นเศรษฐีร้อยล้านก็ทิ้งไม่ออก อาตมาเคยถาม มีเกิน 100 ล้านไหม..(เขาตอบ) มี…ยาก
พระพุทธเจ้าท่านมีสมบัติเกินร้อยล้านท่านทิ้งมาหน้าตาเฉยเลย แม้แต่อาตมาอยู่ทางโลก อาตมาก็น่าจะมีร้อยล้านนะ อาตมาหาเงินได้ตั้งแต่หนุ่มๆ ก้าวหน้าเกินกว่าใครใช้ได้ อาตมาเป็นคนขี่รถติดแอร์คันแรกของประเทศไทย ฟอร์ดคอร์แซร์ แอร์ต้องเอามาประกอบใส่รถ อาตมานี่ทำเป็นคันแรกของประเทศไทยนะ อาตมาเอาคันนี้แหละ ขี่รถติดแอร์ แล้วไดนาโม มันไม่สมบูรณ์แบบ แบตมันหมด ไดนาโมปั่นไม่ทัน อาตมาก็ต้องไปเข็นรถกลางถนน
อาตมาเทศน์มา บรรยายธรรมะมาเกือบ 50 ปีแล้ว อาตมาว่าอาตมาหมุนวนเวียนอยู่ในโลกุตระซ้ำซาก จนน่าเบื่อซ้ำซาก ทุกคนเบื่อบ้างไหม …ไม่เบื่อ
เช้าก็บวชชี กลางวันก็กินบวชชี เย็นก็กินบวชชีเบื่อบ้างไหม ?
หรือกลางวันใส่เกลือมากหน่อย พอตอนเย็นเติมน้ำนมแมวหน่อย อะไรอย่างนี้หลายรสหลายกลิ่น
มันก็มีเล็กๆได้น้อยเพิ่มเติมขึ้นแล้วคนรู้จักอันนี้เป็นธรรมรส แล้วก็ไปสู่วิมุติรส คนเข้าใจสารัตถะไม่เบื่อหรอก คนที่ฟังธรรมโลกุตระไม่รู้เรื่องหาว่าบ้าๆบอๆ ก็ด่ามาเยอะ พูดอะไรก็ไม่รู้ อรหันต์สไลเดอร์ ทั้งๆที่ ทำสไลเดอร์เป็นเครื่องข้างเคียงเล็กๆน้อยๆ แทนที่อาตมาจะสร้างวัด สร้างอะไรให้คนเข้ามาเพื่อที่จะมาปฏิบัติธรรม มาสัมผัสสัมพันธ์มาซึมซับกับสิ่งที่ดี ทางวัดต่างๆเขาก็มีบันเทิงเริงรมย์ มีการจัดงานฝังลูกนิมิต จัดงานพระเครื่อง เรียกคนเข้าวัด อาตมาก็จะทำลำธารแม่น้ำภูเขาน้ำตก นกร้อง ให้มีสไลเดอร์ เด็กๆเล่น ผู้ใหญ่ก็อาจจะเล่น ถ้าไปแย่งเด็ก เด็กก็อาจจะมองหน้า เพื่อจะให้เขาใช้พักผ่อน ไม่ได้ทำเป็นเครื่องมือหาเงินเลย สร้างเพื่อทำประโยชน์ให้แก่คนได้อาศัยใช้สอย ทุกวันนี้ดี คนก็มากันยิ่งเป็นวันพักผ่อน อาตมาก็หากระต๊อบมาให้นั่ง ปลูกหญ้าให้นั่งสบาย ก็สนิทสนมกันให้ประโยชน์แก่กันและกัน แทนที่จะจัดงานวัดอย่างบันเทิงเริงรมย์มีเดรัจฉานวิชชา อาตมาก็มาทำอย่างนี้แต่เขาเข้าใจไม่ได้
ไม่ออกนอกรีตไม่เป็นเดรัจฉานวิชาไม่เป็นไสยศาสตร์ไม่เป็นเรื่องสามัญธรรมดาธรรมชาติ อาจไม่ดูดดึง เท่ากับบันเทิงรื่นรมย์ เป่าปี่ตีกลอง เสกเป่าน้ำมนต์ จะได้บุญใหญ่ งานฉลองนี้ อาตมาไม่ได้ทำอย่างที่เขาออกนอกรีตนอกทาง คนไม่เข้าใจก็น่าสงสาร ตำหนิอาตมาหาว่า ไม่ทำอย่างพระอื่นเขาทำ จะบ้าหรือ อาตมาไม่ทำอย่างพระนอกรีต อาตมาตำหนิก็ต้องแก้คืน ที่เขาเป็นจารีตประเพณีติดยึดกัน เอาง่ายๆวัดไหนไม่จุดธูปจุดเทียนมีไหม ไม่มี!! วัดไหนไม่มีน้ำมูกน้ำมนต์ จุดธูปจุดเทียนเขาก็เลิกไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันยากมากเลย พูดแล้วเขาก็หาว่าเขาทำกันเต็มบ้านเต็มเมืองเอ็งมาพูดอยู่คนเดียว ก็ไปตรวจให้ดี หลักฐานในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าก็สอนทั้งนั้น
ซึ่งอาตมามีสิ่งที่เขาผิดต้องตำหนิกัน ผิดจนไม่เหลือความถูกเลย แล้วจะปล่อยให้ผิดไปเรื่อยๆ ใช่ไหม? ให้เน่าหนักขึ้นไปอีกเท่าไหร่ อาตมาก็ใจดำตายเลย มันไม่ได้ มันไม่มีทางเลี่ยง มันต้องทำ ไม่รู้จะทำอย่างไร
สัจธรรมพระพุทธเจ้าผ่านมา 2500 กว่าปี มันมีแต่เรื่องที่ไม่ถูกต้องกลายเป็นจารีตประเพณี กลายเป็นเรื่องที่ประพฤติปฏิบัติกันนอกรีต นอกจากนอกรีตแล้ว เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่ควรทำ เป็นเรื่องมอมเมา เป็นโทษภัยมาทำให้เสียหาย อาตมาก็ต้องทำงานแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องพยายามแก้กลับ เหนื่อยเท่าไหร่ก็ต้องทำ ยิ่งเห็นว่าได้ผลอยู่ พอเป็นไปได้แม้ยาก ก็เลยพยายามรักษาขันธ์
ให้อยู่นานๆ เพื่อที่จะได้รื้อฟื้น ช่วยเหลือกอบกู้ มนุษยชาติ กอบกู้พุทธศาสนิกชนขึ้นมาบ้าง
คนเต็มเลยนะ ตอนแรกกระพร่องกระแพร่ง อาตมานี่ก็แปลก เทศน์ใหม่ๆคนไม่ค่อยมี แต่เทศน์จนจบคนยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆแทนที่คนจะถอยหลังออก อันนี้เป็นเรื่องจริง แสดงว่าผู้ที่มารับธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ ยังสามารถที่จะแสดงโลกุตรธรรมให้รู้ได้ ก็ไม่รู้นะ ขณะนี้ทางโทรทัศน์หรือทางอินเตอร์เน็ต มันมีเพิ่มขึ้นไหม เมื่อกี้นี้ 57 ตอนนี้ 81 คนแล้ว
มันยาก พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่ท่านตรัสว่า พระพุทธเจ้าจะมีมาฆบูชา เราก็จะมีพระอรหันต์ จำนวนที่มา ก็จะมีจำนวนตามจริง เป็นเครื่องวัด ว่า ยุค พระพุทธศาสนาเสื่อมคนรับได้ยาก ในยุคของพระสมณโคดมเป็นยุค ท้ายสุดในภัทรกัปป์ ที่เป็นศาสนาพุทธที่มีคนนับถือมีมาฆบูชาครั้งเดียว 1,250 องค์ น้อยที่สุดแล้ว เศษหนึ่งส่วนสี่ของหมื่น
_มีปัญหามา…ถ้ามีคนมาล้อเราว่าเราชอบพี่คนนั้น ว่าเราชอบพี่คนนี้ แต่เราบอกพี่เขาไปแล้วว่าเราไม่ได้ชอบ แต่พี่เขาก็ไม่หยุดหนูควรทำอย่างไรดีคะ
พ่อครูว่า..ก็เฉยๆ เขาว่า แต่ก่อนโบราณว่า ถ้าเขาว่านี่เอาห้าหาร ถ้ามันไม่ลงตัวมีเศษก็ทิ้งไปเลย ถ้าห้าหารลงตัว อย่างหลวงปู่นี่เขาก็ว่า เขาไม่รู้ ก็เลยตำหนิ จะไปห้ามเขาได้อย่างไร ถ้าหากเราไม่มีสิ่งที่เขาว่านั้น เขาก็ว่าเราไปชอบพี่คนนี้ ส่วนหลวงปู่นี่ประเด็นคือไปเทศน์ว่าสิ่งนี้ผิดสิ่งนี้ถูก แล้วสิ่งนี้เป็นธรรมะ ธรรมะที่เป็นขั้นโลกีย์ขั้นโลกุตระ เขาก็หาว่า เทศน์ไปตำหนิไปว่าคนนั้นคนนี้ ที่มันต้องตำหนิเพราะความผิดมันหนัก มันเยอะไปทั้งหมด มันไม่เหลือ พูดเมื่อไหร่ก็ผิดเลยต้องไปตำหนิทั้งนั้นเพราะมันผิดหมด มันก็เลยต้องตำหนิหมด เมื่อชมเข้า ก็ชมตัวเอง หมู่ตัวเองอีก จริงๆ ที่พูดนี้ไม่ได้แกล้งพูด เป็นเรื่องจริง จะไปชมก็ไม่ค่อยได้เพราะว่าจะกลายเป็นชมตัวเอง ก็เลยต้องตำหนิให้มากเขาจะได้รู้ตัว ถ้าชมก็เลยต้องชมตัวเองพวกเราก็จะเหลิงอีกยิ่งเสีย ก็ต้องชมหน่อยๆนิดๆ อธิบายสัจจะความจริง ว่าอาตมาจำนน
แสดงธรรม เผยแพร่ธรรมะยุคนี้ มันต้องอย่างนี้สุดยากจริงๆ ยาก อาตมาก็โอ้โห เห็นใจพระพุทธเจ้า ขนาดครึ่งพุทธกัป ของพุทธองค์ 2600 กว่าปี มันไม่เหลือสิ่งที่ถูกต้องเลยเราต้องรื้อฟื้นขึ้นมา ขอพูดอีกที ถ้าอาตมาไม่มารื้อฟื้นนี้ก็หมด หมด เพราะไม่มีใครพูดโลกุตระกันแล้ว จนสามารถจะเข้าใจว่า โลกุตระคืออะไร จะรักษาโลกุตระต่อไป โดยการประพฤติตนให้เป็นโลกุตรธรรมอย่างไร ยังไม่รู้ชัดก็จะไปต่อโลกุตระได้อย่างไร มันก็ต่อไม่ได้ มันต้องรู้ ขนาดอาตมาพูดนี้จะเข้าใจกันแค่ไหนเชียว
ท่านพุทธทาสพูดโลกุตระ ก็ไม่ได้แจกแจงไปถึงปรมัตถ์ ที่ที่จะต้องปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาอย่างนี้ เป็นอภิธรรมจิตเจตสิกอย่างนี้มีอภิธรรมเวทนา 108 อย่างนี้ ท่านพุทธทาสยังไม่ถึงอธิบายได้เท่าที่ท่านพูด ที่พูดนี้เป็นความจริงไม่ได้ไปข่มท่านพุทธทาส พูดเรื่องจริง
แล้ว ท่านเป็นนักศึกษาค้นคว้า ก็เลยรู้ว่ามีโลกุตระ พระศาสนาพระพุทธเจ้าต้องมีโลกุตระ แม้ท่านจับได้ว่าโลกุตระมันจะเสื่อมไป ในอาณิสูตร กลองอานกะ แต่เนื้อแท้ถ้าไม่มีโลกุตระที่จะเอามาสอนได้ ได้แต่รู้บัญญัติ อาตมาก็ต้องขอบคุณที่ท่านเอาคำว่าโลกุตระมาพูดขึ้น ในวงการศาสนาพุทธ ตอนนี้อาตมาก็มาต่อภพต่อภูมิให้เป็นเนื้อแท้ของสภาวธรรมขึ้นมาได้ ก็พอเป็นไป แต่ก็ยาก จะยากอย่างไรก็ต้องทำ เพราะมันไม่มีอะไรที่ประเสริฐเท่านี้ดีกว่านี้
ในธรรมะพระพุทธเจ้า ในพวกเรานั้น ทุกวันนี้ก็มีว่า สังคมก็พยายามศึกษาว่า โลกุตรธรรมอันแรกคือโสดาบันนั้นเป็นยังไง แต่ก่อนก็จะเอาอรหันต์ เขามองพระอาริยะเป็นอรหันต์ไปหมดเลย ไม่รู้กันหรอกโสดาบัน แต่เดี๋ยวนี้มีแล้วเพราะเรานำขึ้นมา ให้มาเริ่มต้น มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
ถึงวันนี้อาตมาทำงานมาจะ 50 ปีแล้ว เรายังพูดอยู่ที่โสดาบัน ใช่ไหม ยังพูดกันอยู่ที่โสดาบัน สกิทาคามีก็โดยปริยาย ถ้าเราเข้าใจภูมิธรรมขั้นโสดาบันดี มันจะเข้าใจสกิทาคามีอนาคามี โดยพยัญชนะ ไม่มาก สกิทาคามีก็ ลด ราคะ โทสะโมหะ ได้มากขึ้น จนเป็นอนาคามีคือภายนอกทางตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัสแล้ว เราสบายว่าง เหลือแต่ข้างใน อุทธัมภาคียะสังโยชน์ ข้างในรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เราก็จะเข้าใจไม่ยากเพราะเรามีสภาวะมีเทวธรรมมา 2 รู้ในสัจธรรม ทั้งสองอย่างคู่ ไม่ใช่รู้แต่บัญญัติ
คนรู้สภาวะจริงมีน้อย เขาหลงผิด เช่นพระปฏิบัติออกป่ากรรมฐานพระธุดงค์ หมดสิทธิ์บรรลุธรรมเพราะไปหลับหูหลับตาปิดประตูรู้ เขาไม่มีสิทธิ์รู้ความจริงเพราะออกนอกรีตออกนอกทฤษฎีพระพุทธเจ้า พวกหลับตานี่ ศาสนาพุทธต้องลืมตาต้องมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา ต้องมีแสงสว่าง อาโลกตัองมีภพ แม้จะเป็นอนาคามี เราเหนือกามภพภายนอกแล้วคุณก็ไม่ต้องไปนั่งหลับตา ไม่ใช่ว่าอนาคามีแล้วมีแต่กิเลสภายในก็ต้องนั่งหลับตา ไม่ใช่ ต้องลืมตากระทบสัมผัสอยู่อย่างนี้แม้จะเหลือกิเลสในใจ ข้างนอกไม่มีกิเลสอีกแล้ว กิเลสสภาวะของกามไม่มี แต่รูปราคะ อรูปราคะ ก็มี ตกผลึกเป็นมานะ เป็นต้น ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องนั่งหลับตาเข้าไปภายในไม่ใช่ เรียนรู้ลืมตาตลอดจนกระทั่งตั้งแต่ต้นจนจบ ก็รู้แล้วคุณก็เป็น จักขุมาปรินิพพุโพติ เป็นผู้ที่นิพพานยังลืมตา นิพพาน ที่มีดวงตาเปิดจักขุมาปรินิพพุโพติ อย่างนี้เป็นต้น
คำเหล่านี้เป็นพยัญชนะภาษาบาลีของพระพุทธเจ้าที่เขาไม่รู้เรื่องกันแล้วว่าแทนสภาวะอย่างไร อาตมาก็เอามาพูด จนกระทั่งเขาแปลตามพจนานุกรมบาลีไทย เพี้ยนไป มันก็ยิ่งแย่
หลายคำ อาตมาก็ยังขอบคุณพจนานุกรมบาลี เช่นท่านแปลว่า กายคือหมวดของเจตสิก กายแปลว่าหมวดหมู่ กอง
ถ้ากายปัสสัทธิ คือหมวดของเจตสิก เวทนาปัสสัทธิ สัญญาปัสสัทธิ สังขารปัสสัทธิ กายสงบคือ เวทนาสัญญาสังขารสงบ แต่เขาไม่ได้พูดถึงปรมัตถ์ กายปัสสัทธิไม่ได้หมายความว่าร่างกายไม่กระดุกกระดิก ไม่ใช่เลย แต่คือหมวดเวทนาสัญญาสังขารสงบ ปัสสัทธิ
ยิ่งปัสสัทธิ สงบเท่าไหร่ กายก็ยิ่งเป็นกายปาคุญญตา แปลว่า กายยิ่งคล่องแคล่ว หมดทั้งร่างกาย เป็นมุทุภูตธาตุยิ่งคล่องแคล่วเร็วไว กายมุทุตา ซึ่งเขาไม่เข้าใจกันแล้ว มันไม่เป็นอภิธรรม มันกลายเป็นแยกรูปแยกนามผิดสภาพไป อาตมาจึงยากมากที่จะรื้อฟื้น
เขาเข้าใจคำว่ากายผิดคำว่าสมาธิผิดคำว่าบุญผิด แค่นี้อาตมาก็หนักหนาสาหัสที่จะรื้อฟื้นกู้กลับ แค่สามคำนี้มันก็เหนื่อย ศีลอีกคำ ปัญญาด้วย
จริงๆ ปัญญาไม่ใช่เฉโก ปัญญาเป็นความรู้ทวนกระแส เช่นเข้าใจคำว่า มารวยนี้ไม่น่ายินดี มาจนนี้น่ายินดี อย่างนี้เป็นต้น
การเข้าใจพยัญชนะที่ไม่ถูกสภาวะ โดยเฉพาะไม่เป็นโลกุตระที่กลับไปเลยก็เลยเละเทะไปหมด
โสดาบัน จะต้องมีญาณมีปัญญา พวกเราพยายามแจกแจงโสดาบันที่มีญาณ 7 แต่ก่อนเขาไม่พูดกัน ไม่พูดโสดาบันด้วย แต่โสดาบันก็มีญาณปัญญาแล้ว เขาก็ไม่พูดกันไปพูดอรหันต์เลย สมาธิก็ไปนั่งทำ คิดนึกปรุงแต่งไม่ได้ไม่ใช่ปัญญา มันเลยเพี้ยนไปใหญ่ หรือแปลสังขาร ปรุงแต่ง คำว่าปรุงแต่งอภิสังขาร ปรุงแต่งรู้คำว่าบุญ
อภิสังขารมีปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
ปัญญาหรือญาณ เป็นธาตุรู้โลกุตระก็อธิบายกันไม่ได้ เห็นความแตกต่างระหว่างเฉโก กับปัญญาโลกุตระเขาก็อธิบายแยกไม่ได้ แล้วจะมาอธิบายญาณของโสดาบันได้อย่างไร ญาณ7คือปัญญา แล้วเขาก็อธิบายไม่ถูกแล้ว
มีบางสำนัก พุทธวจนออกมาเยอะ แจกแจงอะไรมากมาย น่าขอบคุณ เขาแยกเป็นหมวดหมู่อาตมาดูแล้วขอบคุณที่เขาพยายามรวบรวม เอาจากพระไตรปิฎกพระสูตรต่างๆมารวมกันไว้ โอ้ดี ก็ต้องขอบคุณเขาในระเด็นนี้ ที่ทำ
ผู้ที่สามารถมีปัญญาเช่น ญาณ 7
ญาณ 7
ญาณที่ 1 รู้แล้วละ
ญาณที่ 2 ระงับดับกิเลส
รู้แล้วละ คือญาณ พระโสดาบัน มีตัวรู้กิเลส แล้วละกิเลส Past perfect tense แล้วก็ละได้ รู้วิธีระงับกิเลส กิเลสเบื้องต้นเสร็จแล้วขณะมีญาณก็มีฐานที่ 2 เป็นปริยุฏฐาน กิเลสระดับที่สอง กิเลสระดับแรกพ้นได้แล้ว วีติกมกิเลส มีของจริง เพราะฉะนั้นญาณปัญญา มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ข้อหนึ่งคุณต้องรู้จักกิเลสของคุณแล้ว ต้องรู้จัก สักกายะ แล้วคุณจะต้องมีเครื่องมือ ศีลพรต มีวิธีปฏิบัติอุบายเครื่องออกเพื่อจะกำจัดกิเลสที่เป็นสักกายะนั้น แล้วก็ทำได้ในขั้นหยาบขั้นต้น วีติกมกิเลสได้ ถือว่าคุณปัญญามีญาณนี้ เรารู้แล้วจริงถูกต้อง มันเป็นกิเลสจริงและกิเลสนั้นดับจริง ญาณข้อที่ 1 ของโสดาบันไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นเรื่องปรมัตถ์เป็นเรื่องจิตเจตสิกรู้จักกิเลสทำให้กิเลสลดและกิเลสลดได้ กิเลสชั้นต้น รู้แล้วละ ญาณ ขั้นที่ 1 จึงคือผู้ที่มี ปริยุฏฐานกิเลส กับอาสวะกิเลส
ญาณที่ 2 เมื่อรู้ว่าตัวเองทำได้แล้ว อ้อ อย่างนี้เอง ทำอีก อาเสวนา ภาวนา ทำอย่างที่คุณเคยทำได้แล้วที่เกิดผลอย่างนั้นแหละ ทำอีก ทำให้มาก อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำอย่างนี้แหละ ได้ผลแล้วรักษาผล ได้แล้วต้องทำซ้ำ ทำอย่างที่ได้นี้ให้มาก ได้แล้วไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ต้องมีญาณที่ 2 เพื่อรักษาผล
ญาณข้อที่ 3 เชื่อมั่นในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้แล้ว ใช่เลย นี่คือ ศาสนาพุทธ นี่คือธรรมะของพระพุทธเจ้า สามารถทำให้กิเลสเราลดได้อย่างนี้ จริง หมดกิเลสแล้ว พ้นทุกข์พ้นสุขนี้ได้ ก็จะยืนยันเชื่อมั่นเลยว่านี่ใช่แล้ว ธรรมวินัยของพุทธเจ้าไม่มีผิดเพี้ยนเป็นเช่นนี้
ญาณข้อที่ 4 ที่ได้แล้วทีนี้ได้เพชรมาเม็ดหนึ่ง โอ้ ใครอย่าเอาขี้ฝุ่นมาเปรอะเชียวฆ่ากันตาย ได้เพชรมาเป็นของหวง ญาณที่ 4 นี้ถ้าเราทำได้เราเองทำเปรอะ ไม่มีใครทำให้เราหรอก เหมือนเพชรทำเปรอะ แต่ท่านอธิบายว่าเหมือนกับเด็กเอามือไปถูกไฟ ก็รีบชักออก
เหมือนคุณรักษาศีลข้อนี้ได้แล้ว อย่าให้ตก ถ้าตกให้รีบแก้กลับ ถ้าไม่แก้กลับ ไปเติมเหล้าแม่โขง โซดา ไม่ใช่โสดาฯ
เพราะฉะนั้นปัญญาญาณข้อที่ 4 เราจะหวงแหน รักษาสิ่งนี้อย่าให้ตกต่ำอย่าให้เปื้อน เพราะฉะนั้นในคุณธรรมของ คุณสมบัติของโสดาบันที่มี
โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ จิตมันเข้ากระแสแล้วไม่มีทางตกต่ำ ถ้ายังตกต่ำอยู่คุณยังไม่ใช่โสดาฯ ได้แล้วก็เสื่อมอีก ได้แล้วก็เสื่อมอีก แต่ถ้าคุณยังรู้สึกว่าเราควรแก้กลับ แก้กลับก็คงมีหวังได้เป็นโสดาบัน ถ้าเสื่อมอีกแต่คุณก็ไปเลยก็ไม่เป็น สัจจะมันเป็นจริงเมื่อเข้ากระแสแล้วก็ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เมื่อไม่ตกต่ำและก็จะทำอีกได้เลย เป็นนิยตะ จากนั้นก็มีแต่จะสูงขึ้นไปถ่ายเดียว สัมโพธิปรายนะ
ญาณข้อที่ 5 นี้ อันนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ถ้าหากท่านไม่ตรัสอาตมาไปไม่เป็นเลย เขาหาว่าอาตมาปฏิบัติ ไม่มีวัด ให้ฆราวาสมาปนเปอยู่กับนักบวช พาพระมาทำงานอยู่กับฆราวาส
พระพุทธเจ้าตรัสว่าทำทั้งกิจตน ทำทั้งกิจท่าน ไม่ได้แยกนะ ไม่ได้แยกกันเลย ศาสนาพุทธจึงไม่ได้ปลีกแยก เอาเวลาหาสถานที่ต้องมีปลีกเวลาไปปฏิบัติ ไม่มี ศาสนาพุทธปฏิบัติธรรมอยู่กับหมู่กลุ่ม ตอนอยู่กับการงาน อาชีพปฏิบัติธรรมทั้งกรรมการงานกายกริยา ก็ปฏิบัติธรรม พูดอยู่ก็ปฏิบัติธรรม นึกคิดอยู่ก็ปฏิบัติธรรมกายวาจาใจอาชีพ ปฏิบัติการงานอาชีพก็คือปฏิบัติธรรม ไม่ได้แยก เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรมต้องไปหาที่นั่งสมาธิ ปลีกแยกออกป่าหาที่สงบ เป็นการออกนอกรีตพระพุทธเจ้าทั้งนั้น
ธรรมะพุทธเจ้าต้องมีผัสสะมีเหตุปัจจัยที่เป็นเหตุแห่งการปฏิบัติ ในมูลสูตร 10 มีผัสสะเป็นเหตุเป็นสมุทัย ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติกรรมฐานของศาสนาพุทธมีแต่เวทนาเท่านั้น เลิกไปเลยกรรมฐาน 40 กสิณ 40 ออกนอกรีตทั้งนั้น
กรรมฐานของศาสนาพุทธมีเวทนาอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่น แล้วก็ต้องมาเรียนกรรมฐานที่เป็นเวทนาที่เป็น เทวธัมมา เทวเยนะ แล้วก็แยกคู่สอง ทวเยนะเวทนายะ แล้วทำให้เวทนาเป็นหนึ่งให้ได้ นี่คือกิจคือการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ทำ 2 ให้เป็น 1 แล้วทำ 1 ให้เป็น 0
แต่เดี๋ยวนี้เขาปฏิบัติไม่ได้แยกแยะมีแต่ กดข่มจิต ไม่มีวิภัชวาที มีแต่เอกังสวาที กดข่มเอกจิต ไม่เป็นเอกัคคตา จิตตกผลึกสะอาดบริสุทธิ์รวมตัวลงเป็นหนึ่ง เขาไม่ได้มีสภาวะแบบนี้ เขาได้แต่กดข่ม มีเท่าไหร่ก็รวมกันหมดทั้งขี้หมูขี้หมา ไม่ได้แยกแยะเอาสิ่งสกปรกออกไปให้จิตสะอาด คุณจะทำอะไร มันมีขยะอยู่คุณก็เอาขยะมากองรวมกันแน่น มันต้องเอามาเลือกเอาขยะออกเอาขยะที่หยาบ ขยะเบื้องต้นที่เป็นอบายมุขออกก่อน จนเหลือแต่แกนจิตที่สะอาดขึ้นๆๆ จิตเอกัคคตา จึงจะเกิดเป็นจิตที่เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ อัคคะคือยิ่งใหญ่แต่ถ้าเอามาหมกหมัก ไม่ได้แยกแยะอะไรเลยเอาแต่อัดแน่นๆเข้า เสร็จแล้วบอกว่านี่คือสมาธิ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ อธิบายเป็นภาษาไทยเป็นอย่างนี้ มันน่าสงสารที่เขาได้ผิดเพี้ยนไปไกลมาก ศาสนาพุทธนั้นไม่ได้แยกจากชีวิตจากสังคมมนุษยชาติ ไม่ได้แยกจากการงาน ไม่ต้องเสือกชีวิตไปหาที่นั่งสงบที่พักที่หยุด ไม่ใช่ แต่ทำให้จิตมีกิเลสออก แล้วทำให้จิตสงบจากกิเลส ยิ่งคล่องแคล่วทำงานได้ดี เป็นกายกัมมัญญตา เป็นกายปาคุญญตา เขาไม่รู้จักสภาวะ กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา เขาอธิบายไม่ได้หรอก แต่อาตมาอธิบายนี้พอเข้าใจในสภาวะธรรมไหม…ได้
ศาสนาพุทธนั้นยิ่งมีกรรมกิริยามีอาชีพที่ดีขึ้น คล่องแคล่วขึ้น บริสุทธิ์สะอาดขึ้นมีคุณค่ามีประโยชน์ยิ่งขึ้น กิเลสที่ลดนั้นทำให้คนมีประโยชน์มีคุณค่า จะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง ทำงานช่วยเหลือโลกได้มาก
ญาณข้อที่ 6 เมื่อเห็นคุณค่าในด้านข้อที่ 5 ก็เลยยิ่งปักใจมั่นใจขวนขวายฟังธรรม ใครหนอมีคุณธรรมมากขึ้นก็จะแสวงหาสัตบุรุษที่มากยิ่งขึ้นดียิ่งขึ้น จนตนเองก็จะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมเอง เป็นผู้ที่จะเผื่อแผ่คนอื่นได้ รู้จักธรรมะรู้จักเทว ตีแตกแยกได้ อธิบายแสดงช่วยผู้อื่นได้ ก็จะเกิดการสืบสานเกิดการสืบต่อ ธรรมะพระพุทธเจ้าสูงขึ้นสูงขึ้นๆ
ญาณข้อที่ 7 ก็เป็นความยินดีปรีดาปราโมทย์ในธรรม ที่ตนเองได้รู้แจ้งแทงทะลุ ตามลำดับ โดยศีลโดยธรรมไปตามลำดับ จนรู้จักสมบูรณ์ถึงแก่นมีปีติปราโมทย์ มากยิ่งขึ้น
โสดาบันเท่านั้นจึงมีคุณลักษณะหรือมีญาณทั้ง 7 อย่าง
สกิทาคามีก็ต้องรู้ดีมากขึ้น อนาคามีก็รู้ดียิ่งขึ้น ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ไม่ใช่ศาสนาที่คลุมเครือ ศาสนาที่งมคลำ ยิ่งนั่งยิ่งมืดมัวเมายิ่งปั้นรูปร่างนิมิตปั่นเสกแต่ยิ่งกระจ่างชัดมีเหตุปัจจัยที่สมบูรณ์ เป็นเทวที่ยิ่งมี รูปร่างชัดๆๆ เช่น
เขาไปหลงเทวะ 6
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี
1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี
อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี
อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้
อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ
อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ)
ซึ่งเป็นเรื่องที่เลอะเทอะหนักเข้าไปใหญ่ โสดาบันเข้าใจแล้ว เทวะแบบนี้เทวะขี้หลอก วิมานหลอก
จตุมหาราชก็คือจิตวิญญาณที่แย่ที่สุด แย่งชิงมาได้ดุเดือด จตุมหาราช เขาไปเขียนรูปเป็นเทวดาที่เป็นยักษ์มาร เคยเห็นไหม เช่น ยักษ์วัดแจ้งวัดโพธิ์ นั่นแหละเป็นจตุมหาราชปั้นเป็นรูปร่างมีเขี้ยวงอกตาโปน จะเอามาให้หมด เป็นจตุโลกบาล ทั้ง 4 ทิศ จะเอามาอยู่ในการครอบครอง เอามาเป็นผู้ดูแลปกป้องบริหารใหญ่มาก อย่างที่เป็นกันอยู่ในคนมีพฤติกรรมแบบนี้ในโลก เช่นนักการเมืองทั้งนั้น พวกจตุมหาราช โลกบาล ยิ่งต่างประเทศใหญ่บอกว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ นั่นแหละพวกจตุมหาราช จาตุโลกบาล ฉันจะต้องเป็นใหญ่ฉันจะต้องบริหาร ฉันจะต้องมีอำนาจแบบนั้น ได้มาแล้วก็ชื่นใจ ดาวดึงส์มาบำเรออาการ 32
พอใจยินดีขึ้นสวรรค์ หอฮ่อ ก็ยิ่งยึดติด คุณก็ยิ่งจะต้องเกิดมาวนเวียนมีอาการ 32 เช่นนี้อีก นานเท่านาน คุณละอัตตาไม่ได้ ต้องศึกษาคำว่าเทวดาให้รู้ ต้องสลายเทวดา มันเป็นสัตว์ในตัวเรานะ แล้วก็ไปสร้างเป็นภาษาตัวตนแต่อธิบายไม่ได้ อาตมาอธิบายได้ทุกคนจึงไม่ติดเทวดา แต่ที่อื่นสอนให้ติดเทวดา ได้มาแล้วอยากให้ได้เป็นของตน ตลอดนิรันดร์กาล ยาวนานเป็นยามา จะต้องได้นับกาละเป็นของข้าตลอดกาล
ดุสิตา สูงขึ้นอีกมันซ้อนอีก จะไม่หยุดไม่พัก ดุสิตให้พักให้สงบก็ไม่พักไม่สงบ ยิ่งจะเบ่งใหญ่เป็น นิมมานรดี
นิมมานรดี สร้างเอง สร้างกอบโกย นิมมานรดีแปลว่าผู้สร้างผู้เนรมิต รดี แปลว่ายินดี หลงในสิ่งที่ตนเองสร้างได้ไม่มีวันจบไม่มีวันหยุด มีแต่จะสร้างก่อทำเพื่อตัวตนขึ้นมา มีความเป็นโลกเป็นอัตตา มหาศาล สุดท้าย
สร้างบริวารมีผู้อื่นมาช่วยสร้าง สุดท้ายตนเองเป็นใหญ่ไม่ต้องทำ คนอื่นเอามาให้แก่ตนเองหมดเลย ปรนิมิตวสวตี เป็นผู้มีอำนาจให้ผู้อื่นมาสร้างให้ได้หมดเลย ก็มีเท่านี้ 6 เทวดา
ไม่มีใครตีแตกเทวดาหรอกนอกจากโพธิรักษ์
เขามีแต่ให้หลงเทวดา เพราะเขาไม่รู้จักเทวไม่รู้จักเทวดา เป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ เทวนิยมเป็นของที่ไม่รู้ เขาก็จมอยู่กับเทวดา เป็นเทวบุตร แล้วก็กลายเป็นเทวะองค์ใหญ่ มหาพรหม เป็นเจ้าของความสุข แม้แต่ที่สุด ไม่น่าจะเป็นเจ้าของความทุกข์ แต่ว่าแยกไม่ออก เทวดาผู้ใหญ่ยจ เขาแยกไม่ออกเขามีสุขเท่าไหร่เขาก็มีทุกข์เท่านั้น แต่เขาไม่รู้หรอก เขาจะเอาแต่ความสุข ส่วนความทุกข์เขาไม่เอาแต่เขาก็ได้ เขาเป็นเจ้าอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ที่จริง สุขกับทุกข์เป็นอันเดียวกัน คุณเองทำเอง กรรมเป็นของของคุณ ตัวเองเป็นมรดกกรรมของตัวเอง ไม่มีใครทำให้ใครได้ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ผสมเป็นเผ่าพันธุ์ของตนเอง เมื่อเขาไม่รู้เขาก็สร้างสวรรค์ใหญ่ ก็คือนรกใหญ่ เขาก็ไม่รู้ เขาก็เลยกลายเป็นตกผลึก ผูกเชื้อเผ่าพันธ์ุกรรมพันธุ์ของสัตว์สวรรค์สัตว์นรก นานเท่านานนิรันดร์กาล ทุกวันนี้ก็อยู่อย่างนี้นานๆ ตีไม่แตก พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง
ศาสนาพุทธทุกวันนี้มีอยู่ในโลก แต่ศาสนาพุทธที่จะพูดโลกุตระอย่างที่อาตมาพูดนี้มีอยู่ที่นี่แห่งเดียวในโลก ขณะนี้นี่ขอยืนยัน ที่อื่นไม่มีพูดหรอก แม้แต่ในประเทศไทยยังมีอยู่ที่ชาวอโศกนี้เท่านั้น
โพธิรักษ์เอ๋ย เหมือนอวดดี ดูถูกคนอื่น อาตมาก็อยากพูดให้คุณสะดุดตื่น คุณนึกรู้ว่า แล้วอะไรคือโลกุตระแล้วมาศึกษาให้ดี มาฟื้นโลกุตระให้เกิดสมาธิที่สัมมาปฏิบัติให้เกิดสัมมาปฏิเวธเลย เกิดสัมมาผลของพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ริษยาหรอก ใครที่จะมาช่วยกันสืบสาน เชื้อของศาสนาพระพุทธเจ้าต่อไป
ในศาสนาพระพุทธเจ้ามีทุกวันนี้ โลกทั้งโลกเขารู้ขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นคนมาสนใจศาสนาพุทธ มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของยุคสมัย ทั้งเหตุปัจจัย ทั้ง คนแสวงหายอดของความสุข โลกุตรธรรมเป็นยอดสุดของความเป็นมนุษย์ เขาก็ไม่รู้กัน เพราะฉะนั้นอาตมาว่า ถ้าเราช่วยกัน สร้างโลกุตรธรรมนี้ขึ้นให้เป็นปึกแผ่น ให้มีรูปธรรมที่จนคนตาบอดเห็นได้
เมืองไทยจะเป็นเมืองมหาอำนาจทางธรรม เทวนิยมเขาก็จะค่อยๆรู้ตัวขึ้น ว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องเทวเลย มีแต่พุทธศาสนาเท่านั้นที่รู้จักเทว แล้วก็มายึดติดเทวแต่ใช้เทวใช้รูปใช้นามใช้ธรรมะ 2 จะอยู่กับธรรมะ 2 ที่เป็นประโยชน์คุณค่า โดยไม่ติดไม่ยึดธรรมะ 2 เลย ตายแล้วจะสูญก็ได้ไม่สูญก็ได้ เป็นโพธิสัตว์สืบสานเนื้อหาศาสนาต่ออีกก็ได้
เมื่อรู้จักภาวะที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาเทศน์บรรยายไปหมดแล้ว ว่า พระอรหันต์คืออะไร ทำอย่างไรและมาเป็นโพธิสัตว์อย่างไร
ก็ขอยืนยันว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ถ้ามาได้โลกุตรธรรมแล้วเราจะได้เป็นผู้ที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ชีวิตก็จะทำแต่กุศล จิตของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์ จิตเป็นประธาน เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเกิดอีก เราก็จะมีชีวิตต่อไปอีก จะเป็นชีวิตของคนที่มีคุณค่าต่อโลกต่อสังคมไปอีกนาน
ทีนี้คนมันเสื่อมไปจากศาสนาพุทธ ไปทำลายความหมาย ทำลายสาระสัจจะของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไปเยอะ มันก็เลยไม่เกิดคนชนิดโลกุตระอาริยะบุคคลขึ้น อาตมา มาปางนี้ชาตินี้มายืนยันว่าอาตมาเอาความถูกต้องที่ในโลกยุคนี้ แม้ประเทศไทยมันก็หมดไปแล้ว อาตมาเอามาประกาศเข้า ก็เลยยากเพราะเขาไม่รู้เขาเข้าใจผิดเขายึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผิด อาตมาก็เหนื่อย เพราะฉะนั้นอาตมาจึงต้องอยากให้พวกเรามารวมกันเป็นหมู่ รูปธรรมมันจะได้ชัด พฤติกรรมของโลกุตรธรรมอาริยธรรมก็จะชัด
ทุกวันนี้อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปี มีบุคคลมีมนุษย์ พวกเรานี้เป็นมนุษย์ที่เข้ามาเรียนรู้ธรรมะแบบที่อาตมาอธิบายแล้วก็มาประพฤติปฏิบัติจนเป็นสังคม เป็นสังคมที่มีเศรษฐกิจแบบไหน เขามองออกที่ไหน เถรสมาคมเขามองออกบ้างไหม ก็พอรู้แล้ว แต่เขามาทำอย่างเราไม่ได้ ถ้าเขาไม่รู้และเขาไม่เข้าใจว่าอาตมานี่แหละตัวถูกต้องเขาเอาเราตายไปแล้ว
อาตมาไม่สามารถลากจูงพวกเรามาถึงได้ป่านนี้ อาตมาทำมาได้ขนาดนี้แล้ว หันกลับไปโขกหัวเขา มันหมายความว่าอะไร มันก็หมายความว่า เขาจำนนแล้วเขารู้ชัดขึ้นแล้ว เออเอ็งถูกแต่อย่าเคาะหัวข้ามากนักเลย เท่านั้นแหละขณะนี้ อาตมาก็ต้องขออภัยที่ต้องเคาะอยู่อย่างนี้ จริงๆพูดเป็นรูปธรรม เท่านั้นเองไม่ได้เคาะหัวเขาจริงหรอก จะบอกว่าควรจะแก้กลับ ถ้าเกิดว่ามีคนกล้าในมหาเถรสมาคม ในวงการหลัก รับรองว่า มาเอาอย่างที่อาตมาพูด มาเรียนรู้ทำแบบนี้แหละ ถ้าเขากล้า ประเทศไทย จะอื้อหือ ฝันหวานด้วยลมกระซิบ มันจะเกิดไหมนี่ มันคงเป็นแค่ฝันหวานด้วยลมกระซิบ อย่างไรก็สาเปกโขต่อไปก็แล้วกัน
อาตมาหวังนี้ไม่ได้ลำบากอะไร อาตมาไม่ได้สร้างตัวตน อาตมาไม่ได้หวังเพื่อตัวเอง แต่อาตมาหวังเพื่อมนุษยชาติทุกคน ควรจะได้สิ่งนี้ได้จริงมากขึ้นไหม มันไม่ได้เป็นความหวังที่มีตัวตน หรือของๆตน แต่เป็นความหวังที่เพื่อทุกๆคน เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อสิ่งที่ดีงาม
นี่พวกเราฟังกันมาอาตมาไม่ได้แก้ตัวแต่อาตมา อธิบายเนื้อหาของธรรมะชัดเจนไหม ไม่ได้พูดกลับไปกลับมา แต่พูดสัจธรรม ตรงๆถูกๆต้องๆ
มีอากังเขยยะ ความปรารถนาดีมีฉันทะ มีอิสฉาวจร เป็นความต้องการที่ดี เพื่อให้เกิดขึ้นแก่สังคมมนุษยชาติ ซึ่งเป็นความปรารถนาดีที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้มีตัวตนไม่ได้พูดเพื่อที่จะให้เป็นตัวตนอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาว่าอาตมาเข้าใจสภาพที่จะแสดงวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่ไม่มีภพชาติ
จะบอกว่าเป็นความต้องการก็ใช่แต่เป็นปัญหาที่ไม่มีภพชาติ เป็นความต้องการให้มนุษยชาติเจริญก้าวหน้า ให้ยืนยาวให้มีสิ่งที่ถูกต้องมีสิ่งที่ประเสริฐเกิดขึ้น อาตมามั่นใจตัวเองมาก มั่นใจว่าอาตมาไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ได้ทำอะไรชั่ว ทำสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้นคนไหนที่เข้าใจแล้วทำไม่ได้ก็ต้องขออภัย อาตมาไม่ได้แกล้งที่จะทำให้เกิดความเสียหาย อาตมาทำความจริงที่ถูกต้อง แต่คุณไปทำความรู้ทำความจริงให้ดี คุณมาว่าอาตมาว่าจะมาทำลายศาสนา คุณไปศึกษาให้ดี ความผิดไม่ใช่ของอาตมา แต่เป็นของคุณ ไปศึกษาให้ดี อาตมาบอกให้ด้วยความปรารถนาดีด้วยความเมตตา
ยาก สิ่งที่เป็นธรรมะพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ว่าเป็น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เมื่อมีความรู้ความจริงแล้วเป็นตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง ตถตาไม่ได้หมายความว่ามันเป็นอย่างโลกๆอย่างนี้เอง ตถตา คือความจริงที่จริง ผู้ที่ทำให้เกิดความจริงที่จริงในตัวเองได้แล้ว จึงจะเห็น เพราะฉะนั้นตถตาตัวที่สองนี้ อ๋อ ความจริงเป็นเช่นนี้เองหรือ ทำให้กิเลสลดได้เป็นเช่นนี้เหรอจิตมันว่างจากกิเลสเป็นเช่นนี้เหรอ อาการของจิตโสดาบันเป็นอย่างนี้หรือ ตถตา
ตถตา อันแรกเป็นยถากรรม มันก็เป็นเช่นนั้นของมันแล ลูกฟักก็เถาเล็กๆลูกใหญ่ๆ มะม่วงต้นโตแต่ลูกเล็ก มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ห่านมันก็คอยาว เป็ดมันก็คอสั้น มันเป็นเช่นนั้นเอง ตถตาแบบนี้ ไม่ได้มีความหมายแบบนี้เลย ท่านพุทธทาสท่านอธิบายอย่างนี้ คือ ทำไมเข้าใจสภาวะ
ตถตา อันที่สองนี้คือมรรค อ๋อ เป็นเช่นนี้ รู้กิเลสลดกิเลสได้ ต้องทำได้ ยืนยันได้
ตถตา อันที่สาม
อาตมาพยายามหยิบคำที่มีในพระไตรปิฎกที่เอามาพูดพอได้ ให้เรารู้เรื่องและปฏิบัติได้เอามาขยาย อธิบายให้ปฏิบัติกัน ก็ได้ พวกเราก็เข้าใจ เช่น ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น คุณก็จะมีวิมุติจากการปฏิบัติศีล
วิมุติ เกิดโดยไม่มีศีลยืนยันไม่ได้ไม่ได้
ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ คุณไม่ทำร้ายมัน คุณก็หลุดพ้นเรื่องของสัตว์ สัตว์ก็มีชีวิตของมันอยู่ไปตามวิบาก อย่าไปยุ่งกับวิบากของมัน เราไม่ต้องไปเกี่ยวข้องเลยเรื่องสัตว์ในชีวิตเรา ถ้าจะเกี่ยวข้องก็เกี่ยวข้องกับพืช และ ของต่างๆ วัตถุดินน้ำลมไฟ อุตุนิยาม พีชนิยามก็พอแล้ว แต่จิตนิยามที่เป็นสัตว์ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องไม่ต้องไปสังสัคคะกับเขาหรอก มันไม่มีสวรรค์ สัคคะ แปลว่าสวรรค์หรือสังคณิกะ ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยว ไม่ต้องวุ่นวายกับสัตว์
อสังสัคคะ อสังคณิกะ แต่เขาอธิบายไม่ได้ ไม่ถูก ปฏิบัติไม่ได้ หรือว่าปฏิบัติได้แต่ปฏิบัติผิด แปลว่าไม่คลุกคลีกับหมู่กลายเป็นศาสนาปลีกเดี่ยว แล้วเป็นอรหันต์
มันทำให้อาตมาเข้าใจยากเป็นพวกทำบาปเพราะอธิบายธรรมะพุทธเจ้าผิดเพี้ยนมิจฉาทิฏฐิ เลอะเทอะอาตมาก็เลยยากหลายอย่าง แล้วเขาไปยึดถือตามครูบาอาจารย์เหล่านั้น เขาก็ต้องบอกครูบาอาจารย์เหล่านั้นอธิบายมาตั้งหลายร้อยปี นั่นแหละมันผิดมาหลายร้อยปีอาตมาถึงได้หนักหนาสาหัส แล้วมันจริงๆนะ ที่ถูกมันหมดไปแล้ว โพธิรักษ์เอาความถูกมาแล้วมันเอามาจากไหน อาตมาบอกว่าอาตมาไม่เคยมีอาจารย์ไม่เคยมีสำนักที่ได้เรียนมา แล้วยืนยันว่าตนเองถูกด้วย เขาก็เลยไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อก็แสดงว่าเขา
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ ไม่มีอยู่ (นัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ใครมาพูดว่าตนเองเป็นอรหันต์เป็นอาริยะคนนั้นไม่ใช่อรหันต์ไม่ใช่อาริยะ เข้าใจไปโน่นเลย อาตมาไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ปากเปล่า อาตมาแสดงความรู้และพาปฏิบัติมา พิสูจน์จนพวกคุณเป็นพระอาริยะกัน เขาก็ไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นพระอาริยะ เขาก็ไปเอาเอาริยะเก๊ อรหันต์เดา ที่พูดกัน เขาก็พูดกันไม่รู้ ไม่กระจ่างอย่างที่อาตมาพูด นอกจากกระจ่างแล้วยืนยันตามคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว เขาก็ยืนยันตามที่อาตมายืนยันไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
พูดไปแล้วก็เหมือนขอความเห็นใจบ้าง แต่ก็เป็นอย่างนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร พูดไปบ่นไปตามประสา แต่มันก็ต้องประกอบกัน ให้เห็นว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรค ที่มาค้านแย้ง อาตมายืนยัน ก็ต้องพูดให้รู้ ในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนใครจะเชื่ออาตมา อาตมาไม่ได้ไปบังคับใคร อาตมาไม่ได้มาครอบงำ มีคนหาว่าอาตมามาล้างสมองพวกคุณ อาตมาว่าพวกคุณนั่นมันยอมให้อาตมาล้างสมองไม่ง่ายหรอก แล้วใครไปบอกพวกคุณให้มาอยากให้ล้าง อาตมาอยากให้คนมาจับผิด มาอยู่ที่นี่สัก 5 ปีเพื่อจับผิด เสร็จแล้วคุณก็สรุปทำวิทยานิพนธ์มาเลยว่าอาตมาผิดอะไรบ้าง สัก 5 ปีมาเลย มาทำวิทยานิพนธ์เพื่อจับผิดอาตมา post doctor เลย หัวข้อว่า จับผิดโพธิรักษ์ อรหันต์สไลเดอร์ เอาเลย ทำหัวข้อนี้เลย เพื่อเสนอ post doctor เอาเลย
ขออภัย พูดเหมือนท้าทาย ขออภัย อาตมามั่นใจในความจริงความรู้ในสภาวะ ปางนี้ อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะอาตมาเป็นโพธิสัตว์เป็นสยังอภิญญา ที่จะต้องมารับผิดชอบ ที่จะต้องมากอบกู้ เอาความผิดเพี้ยนเลอะเทอะกลับคืนมา เพราะฉะนั้นต้องอาศัยกาลเวลาพิสูจน์คน มันจำนนเหลือเกิน อาตมาไม่ตายหรอกง่ายๆ มันมีความจำนน ลากสังขารเพื่ออยู่ยืนยันอธิบายให้มากยิ่งขึ้นๆ
ใครรู้สึกว่าเอ๊ะ เวลามันหมดแล้วนี่ อาตมายังนึกว่าเหลืออีก 5 นาที ที่จริงเลยมา5นาที
จะช่วยศาสนาไม่มีอะไรดีกว่าทำตนให้เป็นอริยะเจริญขึ้นๆขอให้ได้เถิดเทอญ