620224_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ มาจนร่วมกันกระทั่งรวยช่วยคนอื่นได้
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1zltlRaEjlpm_fWnrPQEdGLR1hrxIC6N1-mytWjUtyRI/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1o7P3wB9427rdTPKMDArf9-zow-zmVKid
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ศาสนาพุทธสอนคนให้เป็นคนพ้นทุกข์และช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ เพื่อไปช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ต่อไปอีก
พ่อครูว่า…วันนี้อาตมาเจตนาจะตำหนิ เรื่องที่ผิด ในวงการศาสนาที่ผิดและยังยืดยาวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ตำหนิเรื่องของการไปนั่งสมาธิหลับตาก็ตำหนิมามากแล้ว ตำหนิเรื่องเดรัจฉานวิชาต่างๆก็มาก วันนี้เจตนาจะตำหนิเรื่องสวดมนต์ สวดมนต์นี้เป็นเรื่องออกนอกรีตพระพุทธเจ้าไปไกลมากเลย มันทำลายศาสนาพุทธยับเยิน การสวดมนต์ในทุกวันนี้
ก็ขอโอภาปราศรัยกับ SMS
_SMS วันที่ 22 ก.พ. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_3867คำเดียวที่จำได้ไม่ลืมกับคณะลุงจำลอง9แกนนำกู้ชาติ! ลุงจำลองที่จูงมือน้องบอลขึ้นหลายเวทีสนามรบข้างถนนตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมปลุกใจมวลชนเสมอว่า พวกเรามาทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดินและมาทำบุญ!กบสิ้นโศก
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ของประเทศของโลก ตั้งแต่อาตมาเป็นภิกษุเป็นนักบวชออกไปเคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามรบ และเป็นสนามรบที่ศาสนาพุทธเป็นหลักนำด้วย การรบที่รบไปแล้วด้วยการประท้วงรัฐบาลล้มรัฐบาลไปแล้วถึง 4 5 รัฐบาล เป็นการประท้วงเป็นการรบชนิดที่ถูกหลักเป็นสากลที่สูงสุด รบด้วยความสงบไม่ใช้อาวุธ เอาความจริง ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ เอาความจริงออกมายันเขา คุณทำผิดคุณทำชิบหายวายป่วงอย่างนี้ ความถูกต้องเราก็พูดบ้าง จนเขาจำนนและเราได้รับชัยชนะ ไม่ต้องใช้อาวุธ ที่จะเกิดการ Error บ้าง มีการตายการบาดเจ็บก็ไม่ใช่ฝีมือเราเป็นคนทำ ฝีมือข้างรัฐบาลทรราชยุคนั้น เป็นคนทำ เขาทำบาปทำกรรมของเขาเองหมดไม่ใช่เรา มีความเสียหายมีคนตายบ้างแต่ไม่ใช่ฝีมือของเราเป็นฝีมือฝั่งตรงข้าม เราใช้ความสงบ เป็นเรื่องอจินไตยที่เข้าใจได้ยากมาก สันติอหิงสา ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ คมลึกแม่นประเด็น ยืนยันสัจจะและทำตามที่พูดนั้นจริงๆ
ธรรมะจึงนำหน้าการเมือง เป็นความละเอียดลึกซึ้งสุขุมเป็นนามธรรมที่มีคุณค่าสูงสุดของจิตวิญญาณที่มีการเสียสละอย่างไม่มีตัวตนเต็มที่เลย
ซึ่ง โลกจะต้องศึกษาตามเหตุการณ์จริงปรากฏการณ์จริงนี้ไปตลอดเลยเพราะมันสูงสุดแล้ว และก็ทำให้เกิดการรบชนะ รบด้วยความสงบสยบความรุนแรงได้สำเร็จ สำเร็จไป ทางโน้นก็สู้สุดฤทธิ์ตั้งนอมินีขึ้นมา รัฐบาลตนเองล้มออกไป เข้าประเทศไม่ได้ ก็ตั้งนอมินีขึ้นมา เราก็รบ รบด้วยยุทธวิธีที่สุดยอดสุดประเสริฐคือธรรมะ ก็ชนะหมดเลยตั้ง 4 5 รัฐบาล นี่เป็นการพิสูจน์ที่ยืนยันได้ เป็นสถิติจะต้องบันทึกได้ พาชนะตั้ง 4-5 รัฐบาล ไม่ใช่แค่รัฐบาลเดียวด้วย เราทำให้เกิดผลชนะไป เป็นรัฐบาลทรราชที่ชัดเจนตั้ง 4 รัฐบาล ก็พยายามสูงสุดเลย ยิ่งเห็นผลที่เสียหายคดโกงทุจริตทำเลวร้ายอะไรก็ยิ่งชัด นี่เป็นมาตรฐานที่สูงสุด
อาตมาก็ขออภัยที่จะต้องพูดต่อไปนี้ว่า อาตมา นำธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมามั่นใจในความหมายแต่พยัญชนะอาจจะไม่ตรงกันทีเดียว ความหมายอันเดียวกันก็คือมันเป็นเรื่องของมวลชนมันเป็นเรื่องของมวลมนุษยชาติเป็นเรื่องของประชาธิปไตย หรืออธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ อธิปไตยเพื่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
พยัญชนะบาลียืนยันนี่แหละคือประชาธิปไตยยิ่งใหญ่ ประชาธิปไตยมีหลักการง่ายๆคือ
-
การให้อิสระเสรีภาพแก่มวลมนุษย์ สามารถที่จะแสดงออกในสิทธิเต็มที่อะไรต่างๆ มันเป็นหลักการใหญ่
-
ผู้บริหารจะไม่ใช้อำนาจของตนเองเป็นใหญ่ ผู้บริหารต้องให้อำนาจประชาชนเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นผู้บริหารต้องไม่มีตัวตน ไร้อัตตา นี่เป็นเนื้อแท้เป็นหัวใจใหญ่ของประชาธิปไตย
ของพระพุทธเจ้ามีหลักการที่สำเร็จผลจริง คือเราปฏิบัติธรรมลดละตัวตนลดละกิเลสไปแล้วก็ไปเสียสละเพื่อมวลมนุษยชาติจริงๆเลย รับใช้โดยตรง ไม่ได้เอาไปเพื่อประโยชน์แลกเปลี่ยน ต้องการลาภแลกเปลี่ยน ได้ยศสรรเสริญแลกเปลี่ยนก็ไม่ พิสูจน์ยืนยันมาตั้งแต่ลงสนามมาพ.ศ. 2549 อาตมาจำได้อาตมาเดินนำ ไปลงที่สนามหลวงเลย มีภาพอะไรต่ออะไรยืนยัน
ไปถึงแล้วอาตมาก็พาไหว้พระสวดมนต์เป็นปฐมฤกษ์ ต่อจากนี้ก็จะได้เป็นหลักการต่อไปอีก วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ส่งท้าย เสร็จแล้วเราก็ มอบให้แก่พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่มอบแต่มันเป็นไปโดยอัตโนมัติของกลไกที่ต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ของสังคมโลก เพราะว่าพลเอกประยุทธ์อยู่ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก มีอำนาจหรือมีพลังควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยความมั่นคงของบ้านเมือง ต้องรับหน้าที่ ไม่รับหน้าที่มันก็ไม่ถูกมันก็ผิดอีก พลเอกประยุทธ์จึงต้องทำ ทำให้สอดคล้องกับจุดเชื่อมต่อได้อย่างสนิทเนียน ถูกจังหวะทุกอย่างมันจึงเรียบร้อยงดงามประเสริฐสุดเลย อาตมาพยายามย้ำ เขาก็หาว่า เอ็งมีส่วนไปร่วมก็พูดสิจะได้หน้า พวกเขายกย่องเท่าใดจะได้หน้าเท่านั้น ซึ่งอาตมาไม่มีกิเลสตัวอยากได้หน้าได้ตาไม่มีตัวตน คำพูดนี้ก็คงจะเป็นอจินไตยคิดเอาเอง เป็นเรื่องที่รู้ได้ยากแต่ก็ต้องพูดต้องยืนยันย้ำ เพราะคุณไม่เชื่อก็ต้องย้ำยืนยัน ก็ขออภัยที่ต้องพูดซ้ำๆ
ย้ำยืนยันเพื่อตอกหลักการให้แน่นไม่ใช่เพื่อเอาชนะคะคาน เป็นผู้แพ้ตลอดกาลนานอยู่แล้ว คนจะยุให้อาตมาแต่งเพลงผู้ชนะ อาตมาก็ไม่แต่ง อาตมาแต่งเพลงผู้แพ้ตั้งแต่พ.ศ 2498
บ่งบอกสภาพค้านแย้งเป็นสิริมหามายา ยุคนี้ สภาพอาการค้านแย้งนี้สูงมาก มันใช่หรือไม่ใช่อะไรจริงไม่จริงมันยังไม่ เป๊ะเลย มันกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
แต่การสู้นี้เป็นการสู้อย่างชั้นสูง classic คะแนนของพวกสงบสุภาพชนะ ได้คะแนนเรื่อยๆ พวกคุณหยาบคายเลวร้ายก็แพ้ๆๆ นี่เป็นลักษณะจริงที่เกิด
แม้แต่การเมืองขณะนี้ อาตมาก็ยังอุ่นใจที่ ถึงกระนั้นก็ตาม การเมืองของไทยตอนนี้หยาบคายน้อยลง ว่าไหม? เป็นผู้ดีขึ้นมาเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังแสดงความหยาบอยู่นั่นเอง ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้ลำเอียง อาตมาพูดจาก Phenomena ปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดในยุคนี้ ไม่ได้เดา เป็นเรื่องจริงปรากฏการณ์จริง Phenomena จริง เอามายืนยันไม่ใช่เอามาจากตำรา แต่เอามาจากสัจจะความจริงพฤติกรรมจริง ที่มันเกิดจริง อาตมาก็เอามายืนยันอ้างอิง
คนเกิดยุคนี้ได้เห็นได้ประสพการณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ได้เห็นได้พบและสัมผัสครบถ้วนเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่จะได้โชคก็เป็นโชค อาตมาถือว่าเป็นโชคมากกว่าเคราะห์ เพราะว่ามันไม่ได้รุนแรง ถ้าเป็นทางเคราะห์ก็อาจจะรุนแรง คำว่าเคราะห์กับคำว่าโชคนี้ใช้กันผิดๆเยอะ เป็นเคราะห์ร้าย หรือโชคดี บางคนจะไปตายแท้ๆ แล้วยังบอกว่าโชคดีที่ไม่ตาย แล้วความตายมันดีหรือไง บอกว่าโชคดีที่ไม่ตาย แต่ไปตายมันดีหรืออย่างไร ที่จริงแล้วมันเคราะห์ดีต่างหากที่ไม่ตาย ถ้าตายนั้นเป็นเคราะห์ไม่ใช่โชค คนที่อยู่ดีๆก็ตายบางคนตายโหงมันเป็นเคราะห์ไม่ใช่โชค คำพูดที่พูดอยู่ทุกวันนี้หลายอย่างสับสนก็ต้องน่าเห็นใจมันต้องมีสภาวะและมีความลึกซึ้งในความแม่นสภาวะ ความคมชัดลึก
อาตมาดูแล้วเหตุการณ์องค์รวม แน่นอนผู้ที่เข้าสู้จนหมดเนื้อหมดตัวอย่างไรเขาก็ต้องสู้ เพราะเขาไม่มีทางเลือก ก็ต้องสู้จนหมดหน้าตัก เขาก็พูดเอง เขาไม่มีคำว่าแพ้ นอกจากตาย ตายแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ชาติหน้าก็ยังอาฆาตมาดร้าย ยังมีจองเวรจองกรรมอีก เขาไม่รู้จักเรื่องการอโหสิ บาปบุญเป็นการจองเวรจองกรรมเขาไม่รู้เรื่องธรรมะเลย ไม่รู้จะทำอย่างไรเขาก็ทำบาปด้วยเขาไม่รู้
ขณะนี้ส่วนของ นัย สุดท้ายก็จะแบ่งเป็น 2 ขั้ว ขั้วที่ผิดกับขั้วที่ถูก 2 อย่างเท่านั้นแหละ ขณะนี้ขั้วที่ถูกมีเหตุปัจจัยมีสถานะจริง มีอะไรปรากฏการณ์จริงยืนยันมากขึ้น ขั้วที่ผิดก็ต้องแพ้ไปตามสัจธรรม แต่เขาก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ ตายก็เป็นตาย แพ้จนกระทั่งหือไม่ได้เลยอย่างนั้นเขาถึงจะต้องหยุด แต่ที่เขาหือได้อยู่เพราะว่าเมืองไทยให้อิสระเสรีภาพเต็มที่ ทั้งที่เหตุปัจจัยหลักฐานอะไรต่างๆมันชัดเจนอยู่แล้ว ตอนนี้ดูซิว่าพรรคทษช. จะรอดหรือไม่รอด ก็เป็นเครื่องชี้บ่งอย่างหนึ่งของอัตรา progression ratio ของการดำเนินก้าวหน้าไป อาตมาว่ามันมีอัตราก้าวหน้าไม่ถอยหลังหรอก
การจะเอาความสงบสยบความรุนแรงไปสู้กับเอ็ม 79 ได้อย่างไร พวกที่หน้ามืดตาบอดก็จะฆ่าเอาเท่านั้นมันไม่รู้เรื่องหรอก แต่เขาก็ไม่ฆ่า อันนี้แหละเป็นเรื่องลึกลับลึกซึ้ง ลึกล้ำลึกล้น ที่คนเข้าใจไม่ได้ว่าธรรมฤทธิ์ ในโลกนี้มีธรรมฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่
ธรรมฤทธิ์ เกิดจากจิตวิญญาณของมนุษย์ในกลุ่มนั้นๆ สรุปแล้วค่าเฉลี่ยของจิตวิญญาณมนุษย์คนไทยมีค่าเฉลี่ย จิตวิญญาณของคนไทยมีค่าเฉลี่ย average มาสู่ความดีงามถูกต้อง มวลความไม่ดีมีน้อยกว่า ความเข้าใจความเป็นมวลของความดีงามความถูกต้องมันมากกว่า มวลของผู้ที่ไม่ถูกต้อง
_ทฤษฎี บอร์เด้น · สมณโพธิรักษ์ ท่านมีภูมิ เกิดจากปัญญาใจที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณ ของท่านจริงๆ เป็นของที่ติดตามข้ามภพข้ามชาติ ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเข้าใจจริงๆ เพราะพุทธะ สอนด้วยปัญญาที่เกิดในใจของท่านอย่างแท้จริง คนที่ไม่เข้าใจและไม่มีปัญญาในจิตในตนเองจริงๆ
สาธุ สาธุด้วยใจ ท่านแสดงออกมาด้วยความเมตตา จากจิตวิญญาณแห่งพุทธะจริงๆ จากปัญญาเกิดจาก ใจของท่านจริงๆ
_ชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า · ผู้มิจฉาทิฐิย่อมตำหนิพระอาริยะ
_นันท์มนัส · สภาวะ มี 2คือ สภาวะ จริง กับ สภาวะความรู้ อธิบายเพิ่ม ให้ ด้วยค่ะ
การเสียสละเป็นการรักษา หลักนิติรัฐ ยอมติดคุก คนเหล่านี้ต้องได้รับการจดจำ “แกนนำทั้ง 6 “ …..อย่าเสียใจ ต้องจดจำเขาผู้เสียสละ///อ.ปานเทพ
พ่อครูว่า…สภาวะจริงเป็นสิ่งที่ลงคะแนนแล้วสรุปแล้วอนุมัติแล้ว ตัดสินแล้วสมบูรณ์แบบแล้ว เป็นสิ่งที่ให้คะแนนว่าใช่ถูกต้อง อันนี้คือความจริงความแท้ ส่วนความรู้นั้น การรู้โดยภาษาโดยบัญญัติโดยความหมายโดยรู้จักประโยชน์ความรู้ยังไม่ได้กระทำ ยังไม่ได้ปฏิบัติ ยังไม่ได้เกิดสภาวะจริง ยังไม่เกิดความเป็นจริงของกายกรรมวจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรม เป็นมโนวิญญาณเลย ถ้าหากมโนกรรมได้สั่งสมอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
_มนูญ ณ นคร : ขออภัยนะครับ ผมศรัทธาพ่อท่านครับ แต่ผมขอแย้งนิดนึง ที่พ่อท่านแปล อัตตาวาทะว่าไม่ให้พูดคำว่าอัตตาได้อย่างไร เมื่อสอนเรื่องอัตตา ซึ่งอันนี้ผมว่าไม่น่าจะถูกนะครับ คนที่ตำหนิพ่อท่านมา เขาหมายถึงว่า คำพูดของพ่อท่านเต็มไปด้วยอัตตา ซึ่งก็เหมือนกับที่เขาตำหนิว่า มีอัตตานุทิฐิ แต่อันนี้พ่อท่านแย้งได้ถูกต้อง คือท่านไม่มีทิฐิที่เต็มไปด้วยอัตตา ขออภัยนะครับหากผมแย้งมาผิด ด้วยความเคารพจริงๆ แต่ทั้งหมด ผมเชื่อมั่นว่าพ่อครูไม่มีอัตตาวาทะ เพียงแต่ท่านแปลพยัญชนะผิดเท่านั้นเองครับ
พ่อครูว่า…อาตมาว่าไม่ได้แปลผิดนะ
คำว่า อัตตา + อวาทะ(ไม่มีคำพูด) ก็เป็นอัตตาวาทะคือไม่มีคำพูดในอัตตา มันก็จะอย่างไร คำว่า อัตตาเป็นบาลี คำว่าอาตมันเป็นสันสกฤต มันก็ต้องใช้คำพูดอาตมาเลี่ยงไม่ออก จะบอกว่าไม่ให้พูดคำว่า อัตตา ไม่ให้พูดแล้วอาตมาก็ต้องไม่พูด
อัตตวาทุปาทานไม่ได้หมายถึงยึดถืออัตตา ยังไม่เข้าถึงเลย มันยึดถือได้แค่คำพูด ได้แค่เปลือกผิวสะเก็ตของอัตตาเท่านั้นเอง อัตตวาทุปาทาน จึงอยู่ในข้อที่ 4 ของอุปาทาน 4
กามุปาทาน สีลัพพตุปาทาน ทิฏฐุปาทาน อัตตวาทุปาทาน
-
กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ บำเรอรูปรสฯ) .
-
ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน)
-
สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม)
-
อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . .
(พตปฎ. เล่ม 11 ข้อ 262)
_view6 view6 เพราะพวกพระมันไปผูกกับอภินิหาร พุทธห้ามอวดตรงนี้ แตุ่พุทธแท้ๆ คือทำได้จริง ซืงจะต้องบอกความจริงตรงนี้ ให้หลายคนได้รู้ แต่หลายๆทั้ง พระและคน มันทำไม่ได้เอง เอาแค่ที่ตัวเองทำได้ แต่อันไหนทำไม่ได้ พระไทยแมงตีทิ้ง คนอื่น ละเมิดพระพุทธศาสนาและพระพุทธเจ้านิพพาน หูตา จมูก ลิ้น กาย และจิต /เอาแค่นี้พระไทยแมงยังไม่รู้เอาแต่เข้าสมาธิ และจะไปนิพานได้ไง
พ่อครูว่า…สมาธิของศาสนาพุทธไม่ต้องเข้าต้องออก สมาธิคือสั่งสมจิตสะอาดที่บริสุทธิ์ตกผลึกตั้งมั่นขึ้นไป ตั้งมั่น มันไม่ได้เข้าออกตามพฤติการณ์พฤติกรรมที่ไปนั่งหลับตาและต้องเข้าสมาธิออกสมาธิ อย่างนั้นไม่จบสักที ซึ่งไม่ใช่ของศาสนาพุทธ การนั่งหลับตาสมาธิไม่ใช่ของศาสนาพุทธ อาตมาก็เมื่อยที่พูด พวกตีกินนั่งหลับตาสมาธิอ้างอิงอันนั้นอันนี้ อ้างอิงจรณะ 15 อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา สัมผัสของกินของใช้ แล้วก็พิจารณาของกินของใช้ด้วยสัมผัส 6 ตาหูจมูกลิ้นกาย และก็เป็นผู้ตื่น
ชาคริยา ตื่นขึ้นมารับรู้หมดไม่ใช่ไปนั่งหลับอยู่ในโน่น เขาก็แปลว่าตื่นในหลับอีก ต้องเป็นการตื่นออกมาไม่ใช่ ตื่นอยู่ในหลับ ไม่รู้พระพุทธเจ้าไปตร้สอยู่ที่ไหนว่า “ตื่นในหลับ” ชาคริยาแปลว่าตื่นออกมา “ตื่นในหลับ”แปลว่าเข้าในรู ออกมาจากรูตื่นสู่แสงสว่าง อาโลกะ มีแสงสว่าง มีพระอาทิตย์มีโลก มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลกะ อย่างนี้เป็นต้น พยัญชนะเหล่านี้ยืนยันสัจธรรม
ปัญญาหรือความตรัสรู้นั้นไม่ได้อยู่ในการนั่งหลับตาเอา ต้องมีเหตุปัจจัยครบทั้งข้างนอกข้างในภายนอกภายในจึงจะเรียกว่าปัญญา มีแต่ภายในเราเรียกว่าแค่ สัญญา ในมหาจัตตารีสกสูตร ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ สัมมาทิฏฐิ
มีการทำการงานประกอบอาชีพปลูกมะระ ลองกองอะไรพวกนี้ได้ มีการงานอาชีพมีกัมมันตะการกระทำอยู่อย่างเป็นธรรมชาติสามัญอย่างตื่นอยู่ ไม่ใช่พูดไม่ได้ ก็มีวาจาพูดอยู่ได้ด้วย ไม่ใช่ไม่คิดไม่นึกจิตให้นิ่งแล้วจิตจะตั้งมั่นแข็งแรงหยุด เอ้อ มันคนละความหมาย คนละทิศทางเลย ไอ้นั่นมันสมถะ สมาธิแบบสมถะอันนั้นน่ะ มีแต่จิตหยุดนิ่งแข็งทื่อ มันไม่ใช่ปัสสัทธิ สมถะก็แปลว่าสงบ ปัสสัทธิก็แปลว่าความสงบ ขยายความไปถึงวิเวกก็ยิ่งไม่ใช่ เขามีทั้ง กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก กิเลสมันไม่เหลือเลย จิตวิเวกสงบจากกิเลส กายก็สงบจากกิเลส แต่มันไม่ใช่สักอย่างที่เขาทำกัน
_คอตต้อนบัด ยูโย …เร็วและง่ายที่สุดคือลมหายใจเรา(อานา ปานะ)นั้นแหละอัศจรรย์ที่สุด พิจารนาขันธ์ทั้ง5จะรู้ความจริง รู้แล้วต้องปฏิบัติด้วยจึงได้ผล จิตเกิดดับ แต่สัตตานังที่ไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตน ถ้าเราเห็นการเคลื่อนที่และเกิดดับของจิต เราจะพบวิมุตติ แล้วตั้งมั่นที่จะปฏิบัติ นั่นเป็นเหตุแห่งนิพพานโดยที่สุด( อาวุโสจงชี้แนะด้วย)
พ่อครูว่า…ขันธ์ 5 มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร การอยู่แต่ภายในมันไม่ครบ ไม่เหลือรูปภายนอกเลย ไม่ครบขันธ์ 5 มีแต่เวทนาสัญญาสังขาร เวทนาความรู้สึกก็แคบหยุดแค่ความรู้สึกไม่พอใจในใจ เวทนา เป็นความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สัญญาคุณก็ไปกำหนดอยู่รูเดียว กำหนดรู้ตรงนี้ อย่างเก่งมากหน่อยก็ไปดึงเอาความจำออกมาเยอะแยะ ซึ่งเป็นของเก่าทั้งนั้น ไม่มีอะไรใหม่ไม่มีอะไรที่จะพัฒนาไปเลย สัญญาเก่า โดยเฉพาะมันไม่ครบ นามธรรม
นาม 5 มี 1.เวทนา 2.สัญญา 3.เจตนา 4.ผัสสะ 5.มนสิการ คุณได้แค่เวทนาภายใน สัญญาก็ำหนดแค่ภายใน เจตนา เจตนาจะต้องมีการรู้จักข้างนอก
เจตนาจะต้องมี 1. กามภพ 2. รูปภาพ 3. อรูปภพ แต่นี่กามภพคุณก็ไม่ได้กำหนดรู้ ก็ไปจมอยู่กับรูปภพอรูปภพ เพราะไม่มี ผัสสะ เจตนาของคุณก็ไม่บริบูรณ์ ผัสสะก็ไม่มี มีแต่ผัสสะภายใน คือ มโน
คุณทำใจในใจของคุณ คุณก็ทำใจในใจของคุณอยู่ในนั้น ของเก่า คนแล้วคนอีกในใจ ไม่มีเหตุปัจจัยอื่นมาให้คนเลย คนเละอยู่แต่ของเก่า ยิ่งเละใหญ่ ยิ่งคนก็ยิ่งเละ ไม่ได้มีการวิเคราะห์วิจัยเปรียบเทียบอะไรเลย
เพราะฉะนั้น เรื่อง นั่งหลับตานั้นไม่มีในของพุทธ ในจรณะ 15 ก็ชัดเจน เบื้องต้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้วิชชาจรณะสัมปันโน ไล่มาตั้งแต่สังวรศีล
-
ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. ปรารภความเพียร (อารัทธวิริโย)
-
คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ
-
ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา
-
ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน
-
ศรัทธา (เชื่อมั่น) 13. ทุติยฌาน
-
หิริ (ละอายต่อบาป) 14. ตติยฌาน
-
โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป) 15. จตุตถฌาน
-
แทงตลอดในพหูสูต (ล.13/34)
โภชเนมัตตัญญุตา คุณไม่ได้สัมผัสของกินของใช้อะไรเลย ตื่นก็ตื่นอยู่ในหลับ พูดเอาเองนะ ตื่นอยู่ในหลับ พระพุทธเจ้าไม่เคยพูด คุณจะตื่นอยู่ในหลับ ขี้หมาน่ะครับ คุณจะตื่นอย่างไร อาตมาอนุโลมกับคุณก็ได้ การหลับอาตมาก็มีสติเต็มอยู่ในการหลับ แล้วก็พิจารณาธรรมะได้ บางทีอาตมาหูก็ยังได้ยินเลย แต่อาตมาไม่เจตนาจะรับอาตมาจะตัดทิ้งด้วย ก็เลยพิจารณาอยู่แต่ภายใน จะบอกว่านี่คือตื่นในหลับ อาตมาก็อนุโลมให้ได้ แต่จริงๆแล้วมันไม่เต็มมันไม่ตื่นมันไม่ ชาคริยาอะไรเลย ชาคริยาคือตื่นเต็ม ทำตนเองให้ตื่นออกมา ไม่ใช่หลับลึกลงไป ให้ตื่นออกมาไม่ใช่หลับลึกลงไป ต้องตื่นขึ้นมา นี่ภาษาไทยนะ
มันเข้าหูก็ยังไม่เข้าแล้วจะไปเข้าถึงเข้าใจได้อย่างไร
แม้แต่ผลสัทธรรม 7 ตอนนี้ยังไม่ขอลงลึก
_KIE THE SKY 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)….
อันนี้ก็ลอกมาไม่ได้เข้าใจเนื้อความแห่งธรรมบทเลย ไม่เข้าใจเหตุและผลของการบัญญัติอาบัติ ยกมาทั้งพระไตรปิฎกก็ยังเป็นโมฆะบุรุษอยู่ดี..เอ้า ตามๆกันไป เข้าป่าเข้าดงไปหมดละ..เจตนาของสิกขาบทคือเพื่อยังคนที่ไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส และยังคนที่เลื่อมใสแล้วให้เลื่อมใสยิ่งๆขึ้นไป
ถ้าเหตุมันเป็นกุศล ท่ามกลางเป็นกุศล ผลมันย่อมเป็นกุศลโดยลำดับ ทรงบัญญัติเหตุแห่งอนาบัติไว้ คือ ไม่ต้องอาบัติ
1. ภิกษุให้สวดพร้อมกัน 2. ท่องพร้อมกัน 3. อนุปสัมบันผู้กล่าวอยุ่สวดอยุ่ซึ่งคัมภีร์ที่คล่องแคล่วโดยมาก 4 .ภิกษุวิกลจริต 5.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล ฯ
ควรเข้าใจธรรมโดยอรรถและคาถามากกว่านี้ค่อยลอกมา น่าอาย การสวดมนต์พร้อมกันกับอนุปสัมบันย่อมทำได้ เพราะไม่ใช่การสอนธรรม คุณคงไม่เข้าใจคำว่าสอนธรรมโดยบท คือกล่าวสอนพระบาลีโดยที่ละบท ทีละบาท อันทำให้อุบาสกที่ท่องยากลำบาก เกิดความเบื่อหน่ายในธรรม เสื่อมศรัทธา พูดง่ายๆคือบังคับให้สวดมนต์ที่สวดยากๆเป็นบาลีนั่นแหละ แต่ถ้าสวดมนต์ได้อยู่แล้ว ไม่เรียกว่าสอนธรรมบท เรียกว่าการสวดมนต์หรือท่องมนต์โดยพร้อมเพรียงกัน..อโหสิกรรม
พ่อครูว่า…อาตมารู้ดี เพราะอาตมาประกาศตนเป็นอรหันต์ ไม่มีอนาคต แม้แต่สงฆ์ก็ยกสติวินัยให้อาตมาด้วย อาตมาต้องเป็นพระอรหันต์จริงด้วย สงฆ์ก็ต้องยกสติวินัยให้ด้วยประกาศรับรู้กันในหมู่สงฆ์ หมู่สงฆ์นี้ท่านรับรองว่าอาตมาเป็นอรหันต์ จะแสดงธรรมอะไรอนุโลมปฏิโลมอะไร จิตก็สะอาดอยู่เสมอ เหมือนกับเปื้อนแสดงกรรมกิริยาเหมือนลิงก็ตามจะแสดงหนักก็ตาม ไม่ได้มีจิตที่ไร้เมตตา ที่ไม่มีกรุณา มีแต่ประโยชน์เพื่อผู้อื่นทั้งนั้นอย่างไม่มีตัวตน อาตมานี่แหละเป็นผู้ไม่มีอาบัติแล้ว อนาบัติแล้ว อาตมาก็มีในเรื่องเหล่านี้แต่คุณยังสับสน ศึกษาให้ดีๆ
…ท่านพุทธโฆษาจารย์แปลอนุปสัมบันว่าคือผู้ไม่ได้บวช จะเป็นปุถุชนหรืออริยชนก็ถือว่าเป็นอนุปสัมบัน แต่อาตมาแปลว่าอุปสัมบันคือผู้ที่มีภูมิพอจะรับฟังเข้าใจได้แม้จะบวชหรือไม่บวชก็ตาม แต่อนุปสัมบันคือผู้มีภูมิไม่ถึงที่จะรับฟังได้ถึงแม้จะบวชหรือไม่บวชก็ตาม ผ่านพิธีบวชห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ไม่ถือว่าเป็นอุปสัมบันได้หมดหรอก อาตมาไม่เสียเวลาสอนเขาหรอกเพราะเขาเป็นอเวไนยสัตว์
สู่แดนธรรมว่า.. เขาบอกว่าถ้าภิกษุส่วนมากลงมติว่าให้สวดพร้อมกันได้ถือว่าไม่อาบัติ
ที่จริงสวดคือสังสาธยาย ท่องกับสวดมันไม่เหมือนกัน ท่องคือให้จำได้จะท่องเสียงดังหรือท่องในใจก็ตามเพื่อให้จำเข้าไปได้ ท่องไม่ได้เพื่อประสงค์ให้ผู้อื่นรู้แต่สวดนี้ประสงค์ให้ผู้อื่นได้ยิน
ที่อาตมาเห็นว่า มุสาวาทวรรค ข้อที่ 4ใน พระวินัย วินัยท่านออกมาภายหลังจากหลักเกณฑ์ของศีล วินัยที่บอกว่า อนุญาตให้สวดพร้อมกันได้ก็มาเกิดทีหลัง เพราะหมู่ในปัจจุบันมีมติยกให้ก็ตาม แต่ของเรายังไม่ได้อนุญาตยังถือตามหลักเดิมของพระพุทธเจ้าอยู่ ตามหลักเดิมคืออย่าเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้า คือคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง เป็นบทใดก็แล้วแต่ เอาไปท่องพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ต่อหน้าอนุปสัมบัน ต่อหน้าคนที่เขาฟังแล้วไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง เช่น เอาพระอภิธรรมไปสวดพร้อมกันให้ฆราวาสทั้งหลายฟัง แล้วมันจะรู้เรื่องหรือ มันเสียประโยชน์เสียเวลาเสียแรงงานไม่เข้าท่า ต้องสาธยายไม่ต้องไปสวดท่องให้ฟัง อธิบาย ซึ่งอาตมาผ่านพวกนี้มาตั้งแต่บวชใหม่ๆ พยายามเอาพระอภิธรรมมาอธิบาย เขายิ่งหลับหนักเข้าไปอีก เพราะเขาเป็นอนุปสัมบันจะไปฟังไหวอย่างไร
อภิธรรมนั้นอาตมาก็เอามาอธิบายในตอนหลังๆ เช่น รูป 28 บุญ กาย สมาธิ ธรรมะ 5 อุตุนิยาม พีชะนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ก็เอามาอธิบายตอนหลังไม่ได้อธิบายตั้งแต่แรก ตอนแรกก็พากันให้เลิกเนื้อสัตว์ เอ็นดูสัตว์ มากินมังสวิรัติให้มาประหยัดมัธยัสถ์อดทนอะไรต่างๆนานา ฝึกอย่างโน้นอย่างนี้ต่างๆ ใกล้เคียงพระป่าด้วยซ้ำไปในยุคแรกๆ ไปเอาประวัติเก่าๆมาตรวจสอบเลย ทั้งพูดทั้งพาทำตั้งแต่สมัยอยู่ธรรมสถานแดนอโศก จนกระทั่งออกมาที่สันติอโศกก็ตาม มามีศาลีอโศก ศีรษะอโศก ขยายตัวเป็นสังคมกลุ่มมาเรื่อยๆก็ตาม ก็ยังค่อยๆพัฒนา อนุโลมปฏิโลมมา เหมือนอนุโลมให้กับผู้ที่ยังไม่ค่อยได้มาจนถึงทุกวันนี้อนุโลมมาเยอะด้วยจนกลายเป็นเหมือนว่าเราเสื่อมจากธรรมแล้ว อันนี้แหละที่อาตมาจะได้ขยายความทุกวันนี้เราเสื่อมหรือเราเจริญ
ทุกวันนี้อโศกเสื่อมลงหรือเจริญขึ้น จะได้มาขยายความต่อ
_Phanuphon Raphisirikun16 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เราชาวพุทธอย่าไปว่าแกเลยครับนี้ไม่ใช่พุทธนะครับเป็นลัทธิหนึ่งที่แยกออกจากพุทธก็มีคำสอนของพุทธผสมกับคำสอนของเขาเองมีชื่อว่าลัทธิอโศกโดยเถรสมาคมองค์กรพุทธบ้านเราไม่ยอมรับมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ใช่พุทธเพราะคำสอนบางอย่างบิดเบือนจึงถูกขับออกจากพุทธตั้งเป็นลัทธิใหม่ชื่อว่าอโศก
..เมื่อคนรุ่นใหม่ยังไม่รู้ก็โปรดเข้าใจนะเขาจะทำอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับพุทธิเราถ้าเรารู้ความเป็นมาและเข้าใจก็ปล่อยเขาไปตามสิทธิ์พลเมืองที่เขาพึงจะเชื่อในลัทธิ์ความเชื่อของเขาแต่ถ้าเขาอ้างคำสอนพระพุทธเจ้าเอาไปประยุกต์เข้ากับคำสอนของตัวเองแล้วเที่ยวสั่งสอนคนอื่นในนามศาสนาพุทธไม่จำเป็นที่เราชาวพุทธจะกล่าวโทษหรือด่าเขาหรอกแต่กรรมที่บิดเบือนคำสอนหรือตีความเองของเขาถือว่าหมิ่นคำสอนของศาสดามันบาบยี่งใหญ่นักเพราะทำให้คนเชื่อผิดๆกรรมจะลงโทษเขาเองและหนักเพราะทำให้คนอื่นหลงผิดเชื่อผิดๆแต่ที่เขาอยูมาได้นานอาจเป็นเพราะความดีที่เขาทำกับชุมชนเช่นพัฒนาชุมชนของเขาต่างๆตัวนี้เลยเป็นตัวค่ำจุนเขาอยู่แต่ถ้าหมดบุญเมื่อไหร่รับรองลงนรกยกแก๊งแน่นอน
พ่อครูว่า…มันงงๆอยู่นะ บอกว่า มันอยู่ได้เพราะความดีหรือความไม่ดีกันแน่
ความดี มันไม่หมดหรอกสำหรับคนที่ยืนหยัดยืนยันได้แล้ว
_เทพ3วิ ติดคริ9หน9 ชั่วโมงที่ผ่านมา
1.คือไส่ชุดเหมือนฆราวาสก็อาบัติ
2.ติฉินนินทา ถึงขั้นไส่ความภิกษุหมู่อื่นที่ไม่ใช่พวกตน ยังภิกษุหมู่อื่นให้แตกแยก ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม 1 ใน 5 ข้อ
3.เถียงว่านั้นคือธรรมนั้นคือวินัย จัดเป็นอธิกรณ์
4.ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นเตือนไม่ฟังต้องสังฆาทิเสส
5.พูดอวดคุณที่ไม่มีในตน ว่าตัวเองเป็นอรหันต์ จัดเป็นอกรณียกิจ และจัดอยู่ในปาราชิก 4
พ่อครูว่า…คือปรับหมดเลยล้มละลาย
อาตมาไม่ได้ใส่ชุดเหมือนฆราวาส ก็ในวาระที่เราจะต้องใช้สมควรแก่กาล สมควรแก่เวลาจะทำ เช่นออกกำลังกาย ก็นุ่งกางเกงให้ไม่โป๊ลำบากลำบนยกแข้งยกขา ให้มันดูดี เสื้อก็ใส่พอสมควรเวลามันหนาว มันสมควรที่จะต้องใส่ กันนั่นกันนี่บ้างก็ไม่ได้ใส่โชว์อวดข้างนอกอะไร ใส่อยู่ภายในในวาระที่พวกเราเข้าใจกันแล้ว แต่สื่อสารมวลชนถ่ายไปหมดทุกวันนี้เปิดเผยออกไป อยู่ข้างใน ก็ถ่ายออกไปให้ข้างนอกเขาเห็นหมด อาตมาก็เลยกลายเป็นโป๊ทุกอย่าง ทุกบรรยากาศเป็นการรายงานความจริง ก็เอา ผู้ที่ติดใจจะเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างอิงตำหนิก็กล่าวไป
คุณว่าอาตมาติฉินนินทาใส่ความ อันนี้คุณว่าอาตมา อาตมาไม่ได้ใส่ความใคร คำว่าใส่ความคือเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้องสิ่งที่ผิดไปยัดเยียดใส่เขา อาตมาว่า คือสิ่งที่เขาผิด ภิกษุที่เขาผิดนั้นอาตมาไม่ได้ใส่ความ อาตมาพูดว่าเขาผิดจริงๆแล้วเขาก็ผิดจริง ขอยืนยันมั่นใจ ภิกษุคนไหนที่อาตมาว่าไปแล้ว ตนเองไม่จริงอย่างที่อาตมาว่าก็ย้อนแย้งมาสิ อ้างอิงมาสิ เอาตัวตนมาสิ
อาตมาไม่ได้ทำให้ภิกษุแตกแยก อาตมารู้ดีว่าการทำสังฆเภทเป็นอนันตริยกรรม เช่นเอาง่ายๆในสังคมพุทธเมืองไทยมันมีมหานิกายกับธรรมยุต อาตมานี่แหละบวชทั้งธรรมยุตและมหานิกายเลย สวดญัตติใส่สองญัตติในนี้เลยและไม่เคยหนี พยายามจะรวมด้วย ไม่เห็นใจอาตมาบ้างเลย อาตมาก็ปฏิบัติตามธรรมวินัยของพุทธเจ้า แม้แต่นานาสังวาส อาตมาประกาศนานาสังวาสทั้งธรรมยุตและมหานิกายและปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้าที่อนุญาตให้ทำได้ อาตมาก็ปฏิบัติให้ตรงตามนั้น แม้แต่พูดตำหนิก็ตำหนิอย่างปฏิกโกสนา ไม่ได้เลยเถิด ไม่ได้อุกโกตนา (พูดผิดหยาบร้ายแรง) สรุปว่าไม่ได้พูดผิดจากพระวินัยของพุทธเจ้า
แม้แต่การปฏิบัติตน สงฆ์หัวนอกที่มาในนี้ อะไรที่จะมาร่วมกันได้มาจำพรรษาร่วมกันได้ บางทีก็ลงปาฏิโมกข์ร่วมกันได้ ถ้าคุณไม่มีอาบัติใด แม้แต่นิสสัคคิยปาจิตตีย์ หรือปาจิตตีย์ก็ให้ปลงเสีย นอกนั้นก็แน่นอนถ้าเป็นอาบัติหยาบก็เข้าหมู่ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์เป็นปาจิตตีย์ก็ให้ปลงเสีย มาร่วมปาฏิโมกข์ได้ พระวินัย 227 ข้อมาสวดร่วมกันได้
ปาติโมกข์ทุกวันนี้อาตมาก็เอาแค่พระวินัย 227 ข้อมาอ่าน ทุก 15 วัน ส่วนศีลนั้นอาตมาก็มี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล สมณะชาวอโศกถือศีลหมด ปฏิบัติตามศีลไปตามลำดับแล้วก็จะบรรลุผลไปตามศีลแต่ละข้อ ไปตามลำดับ ตามจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
มหาศีลนั้น ถือเหมือนกันหมดอย่าว่าแต่ภิกษุเลย ในชาวอโศกแม้เป็นฆราวาสก็ไม่ละเมิดมหาศีล เพราะอาตมาไม่ได้พาฆราวาสทำเดรัจฉานวิชา ชาวอโศกไม่มีแม้แต่เดรัจฉานวิชา อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเข้าใจให้ได้ แต่ทางเถรสมาคมทางหมู่สงฆ์ใหญ่นั้นมีเดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด จนน่าเกลียดด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่าเดรัจฉานวิชาเป็นอย่างไรการผิดมหาศีลเป็นอย่างไรละเมิดไปหมดเพราะไม่ได้ศึกษาศีล
ไปถามในพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ถามว่าพระมีศีลเท่าไหร่ เขาก็จะบอกว่ามี 227 ซึ่งอันนั้นไม่ใช่ศีลอันนั้นเป็นพระวินัย
สมัยพระพุทธเจ้ายังไม่ถึง 227 ข้อด้วย สมัยพระพุทธเจ้ามีแค่ 150 ข้อเองไม่มีใครตั้งเพิ่ม ที่จริงแล้วมีมากกว่า 227 ข้อ กฎระเบียบของเถรสมาคมนั่นแหละเป็นพระวินัย แต่เขาก็ไม่เอาจริงไม่ใส่เข้าไป ก็ดีแล้วมันไม่เลอะ ถ้าใส่เข้าไปอีกมันจะเลอะเข้าไปใหญ่
มีอธิกรณ์ข้อหนึ่งที่เถียงกันว่าอันนี้ธรรมอันนี้วินัยก็มาอธิกรณ์แต่อาตมาไม่ได้เถียง อธิกรณ์แปลว่าฟ้องร้อง คุณก็เข้าใจไม่ได้ อาตมาไม่เคยฟ้องร้องไม่เคยอธิกรณ์ มีแต่พูดฟรี ด่าฟรี ไม่เคยฟ้องร้อง อาตมาทำแค่ด่าฟรี แค่ปากหอก มุขสตี แทงด้วยหอกจากปากคำพูด เป็นทิฏฐาวิกัมม์ ไม่ได้เคยทำ อุกโกตนา อักโกสะ ปฏิกโกสนาก็ไม่ได้ทำ ทำแค่ทิฏฐาวิกัมม์ แค่เป็นความเห็น แสดงถึงความเห็น ไม่ได้ลงมือลงไม้ ไม่ได้ไปยื่นฟ้องร้องอะไร ไม่ได้อธิกรณ์ ไม่เคย
เป็นนานาสังวาสกันอธิกรณ์กันไม่ได้ ได้แต่ว่ากันไปว่ากันมา อย่าให้เกินเป็น อุกโกตนา อักโกสะ ปฏิกโกสนา
และที่ว่า ภิกษุว่ายากสอนยาก คุณมาว่าอาตมาอย่างไร ว่าผิดๆด้วยแล้วอาตมาจะเปลี่ยนไปตามผิดคุณว่าได้อย่างไร อาตมาก็ยืนหยัดอยู่ในสิ่งถูก คุณก็หาว่าอาตมายึดมั่นถือมั่น อาตมาดื้อดึงดัน อาตมานั้นยืนหยัดยืนยันในความถูกไม่เปลี่ยนแปลงคุณก็หาว่า อาตมาว่ายากสอนยาก ใครกันแน่ที่กำลังว่ายากสอนยาก
หากอาตมาว่ายากสอนยากก็ไม่เจริญเอง แต่ถ้าคุณว่ายากสอนยากแล้วยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผิดยืนยันว่าใช่ ก็คุณนั่นแหละคุณจะได้แค่นี้
บอกว่าอวดคุณที่ไม่มีในตน ว่าไม่เป็นอรหันต์ แต่อาตมามั่นใจว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ผู้ที่ไม่มีความจริงไม่ได้เป็นโสดาบันก็บอกว่าเป็นโสดาบัน ไม่ได้เป็นอนาคาก็บอกว่าเป็นอนาคามีก็เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน แต่อาตมาก็เป็นมาแล้วตั้งแต่โสดาบัน สกทาคามีอนาคามี อรหันต์ จนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ได้เพิ่งพูดด้วย พูดมานานแล้ว ระดับ สยังอภิญญาเลยนะไม่ได้แค่ระดับปัจเจก ปัจจัตตัง ปัจเจก สยังอภิญญา ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ สัมมาสัมพุทธะ มี 5 ระดับนี้คุณพอเข้าใจหรือไม่ คุณ 5 ขั้นนี้คุณเข้าใจดีหรือยัง อาตมาว่าอาตมาเป็นคนเข้าใจดีแล้วเอามาอธิบาย
อธิบาย ปัจจัตตัง ปัจเจก สยังอภิญญา ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ สัมมาสัมพุทธะ 5 ระดับนี้อาตมาเป็นคนนำอธิบายขึ้นในยุคนี้ ยังไม่มีในตำราเล่มไหนอธิบายอย่างอาตมาหรอก อธิบายเหมือนกันแต่ไม่ใช่ไม่ได้เรียงลำดับอย่างที่อาตมาพูดนี้
ขอแนะนำว่าคุณควรปฏิบัติให้เป็นลำดับ เรียนศีล สมาธิ ปัญญาให้ดี แล้วคุณจะได้สัจธรรมจากสิ่งเหล่านั้น
พ่อครูว่า…เมื่อกี้ค้างไว้จะอธิบาย…อยู่ได้เพราะความดีหรือความไม่ดีกันแน่
จริงๆแล้วเราอยู่ได้ด้วยความดี แม้ว่าความดีนั้นจะเป็นรูปธรรมเรื่องเข้าใจได้ง่ายๆเรื่องหยาบก็ยืนยันได้ เช่น ความดีที่พวกเราทำ ความดีของโลกีย์ที่เขาบอกว่ารวยดีก็เถอะ แต่พวกเรานี้มาทำตนเองให้เป็นคนจน ดีกว่ารวย
คนที่เข้าใจความลึกซึ้งอันนี้ว่า คนเรามาปฏิบัติเป็นคนจนดีกว่า เขาจะรวยก็รวยได้ แต่เขากลับไม่รวยกับเสียสละออก เขาก็ต้องเหลือน้อยลง แล้วเขาก็ยินดีอยู่กับความจนอย่างนี้อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ อย่างพอมีพอกินอุดมสมบูรณ์ ยังมีเผื่อแผ่เกิดการแจกจ่ายคนอื่นด้วย เป็นสภาพเหมือนรอบเชิงซ้อนของคนที่รวมหมู่กันแล้วก็มีพฤติกรรม เป็นเศรษฐศาสตร์ แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ระดับ Post Doctor ก็ยังไม่กระเตื้องเลยเรื่องนี้ แก้ปัญหาให้คนมาเป็นคนจนแบบนี้แหละแล้วสังคมจะสงบสุข เจริญยาวนาน ยั่งยืนด้วย
ไปแข่งกันรวยนั้นเป็นสมบัติผลัดกันชมมันไม่จบมันไม่แล้วมันไม่สงบ ยืนยันได้เลยถ้ามาจนศูนย์แล้วก็สบายพออยู่พอมีพอกิน ปฏิบัติตนเป็นผู้มักน้อยสันโดษแล้วก็แข็งแรงอายุยืนยาวมีความสุขสบายดีทุกอย่าง ไม่ได้ทรมานทรกรรมอะไรเลยไม่มีทุกรกิริยา ดีทั้งมวล สิ่งเหล่านี้เป็นนัยยะที่ลึกซึ้งต้องมาศึกษาให้ดี ไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆ อาตมาก็เข้าใจพวกที่จบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้เข้าใจได้ง่ายๆ จึงเห็นใจอยู่ ก็ค่อยๆแสดงไป
หมู่ชาวอโศกมาเป็นคนจน อันนี้เป็นความดีที่คนมีภูมิปัญญารู้ได้ว่าคนมามักน้อยสันโดษไม่แย่งชิงเขาเป็นคนสร้างสรรค์ ตนเองพึ่งตนเองได้ มีเหลือเฟือเพื่อแจกจ่ายคนอื่นอีก เผื่อแผ่แก่คนอื่นได้อีกเขาพอเข้าใจขึ้นได้แล้ว คนเหล่านี้ก็ยกย่องนับถือชาวอโศก เพราะ ชาวอโศกปฏิบัติแบบนี้มันทวนวกระแสชาวโลกเขา แบบรวยนั้นคนก็เข้าใจกันผ่านมากันหมดโลภโมโทสัน เป็นตัวกูของกูเป็นโลกธรรมธรรมดา แต่นี่มันไม่แล้วจะรวยก็ได้ แต่มันไม่รวยมาแย่งของคุณหรอก แล้วก็ชวนกันมาให้มาอยู่พอกินพออยู่แค่นี้ก็พอ แล้วก็ช่วยกันสร้างสรรให้มีมากมีเกินแล้วก็สะพัดให้แก่คนอื่นต่อไป มันเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่โอ้โห สุดยอด มันมีแต่สร้างสรรและก็เสียสละ สร้างสรรและก็เสียสละสร้างสรรและก็เป็นผู้ให้ สร้างสรรและก็เป็นผู้ที่อุปการะผู้อื่น รังสรรและเป็นผู้เกื้อกูลผู้อื่น ส่วนตัวเองนั้นก็ไม่ได้ทรมานตนเองเลยไม่ได้ลำบากลำบนใจอะไร ทั้งกายทั้งใจไม่ได้ลำบาก เขามีระบบวิธีอยู่กันในหมู่นี้ เป็นสาธารณโภคี
คำว่าสาธารณโภคีนี่แหละมันจะยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งโลก ศัพท์ภาษาอังกฤษเต็มๆจะใช้ Welfare มันก็ยังไม่ครอบคลุม ต้องมารวยร่วมกันจนร่วมกัน อาจจะช่วยคนอื่นได้
“มาจนร่วมกันกระทั่งรวยช่วยคนอื่นได้”
คมเสียไม่มี บาดเลือดไหลซิบๆ จนคนเดียวช่วยคนอื่นไม่ได้ ต้องมาจนร่วมกัน มาจนร่วมกันกระทั่งรวยช่วยคนอื่นได้ คนจนร่วมกันนี้มันเป็นคนเจริญ เพราะเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีสมรรถนะ มีความสามารถ แล้วไม่สะสม นิยามแค่นี้ ขยันหมั่นเพียรมีความสามารถ สามารถแล้วก็ขยันสร้างสรรค์อยู่มันก็เกิดผลผลิต แล้วตนเองก็กินน้อยใช้น้อยไม่ได้ทรมานตัวเองเลย สุขภาพแข็งแรงพออยู่พอกินสบายไม่เดือดร้อนอะไรเลย เสร็จแล้วเราก็ไม่สะสมเป็นของตนเองเอาออกไปร่วมกันเป็นส่วนกลาง แล้วก็ช่วยกันสะพัดให้แก่ผู้อื่น มันสุดยอดจริง
ถ้ามีกรรมการรางวัล nobel prize มีปัญญา ก็จะให้ nobel prize อาตมามานานแล้ว เรื่องเศรษฐศาสตร์บทนี้
มีคนเข้าใจเศรษฐศาสตร์เรื่องนี้คือในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้คนมาจน เอาแบบคนจนขาดทุนของเราคือกำไรของเราท่านตรัสสั้นๆ แล้วท่านก็พาทำ แต่อาตมานั้นทั้งพาทำและพาให้เกิดผลจริงมายืนยันจนเกิดเป็นหมู่กลุ่ม มีชุมชนอโศกอยู่ ตั้งแต่ไม่รู้ตอนนี้รวบรวมเป็นเก้าชุมชนที่เป็นหลัก อยู่ในประเทศแม้จะเกาะกลุ่มเล็กน้อยอยู่ในประเทศอื่นก็มีอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ก็มี เดนมาร์คมีกี่คน มีคนเดียวเรียกหมู่ได้อย่างไร อย่างละ 5 คนจึงจะเรียกเป็นหมู่ สวิสก็มีเกิน 5 คน อเมริกาก็มี อะไรอย่างนี้เป็นต้น ดาบบุญก็เคยไปเผยแพร่ที่อเมรริกา หมอเขียวไปอเมริกาต่อยอดไปอีก
สรุปแล้วพวกชาวอโศก เป็นชุมชนที่มีหลักตามหลักเศรษฐศาสตร์ โลกุตระ เศรษฐศาสตร์โลกุตระนั้น ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์แบบโลกีย์ ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนแล้วให้เป็นได้จริงด้วย คนจนผู้ยิ่งใหญ่คนจนมหัศจรรย์เป็นคนจนจริง แต่ช่วยเหลือคนอื่น คนจนที่ช่วยคนรวย สั้นๆ คนจนที่ให้คนรวย ว่างั้นเถอะ คนรวยก็เอา ตะกละ แต่คนจนก็ยิ่งให้ ไปห้ามเขาไม่ได้หากเขาไม่ผิดกฎหมายทางโลกยังยอมให้เขาดูดเอาตามวิธีการตามกลเม็ดที่เขาเลือกก็ได้ เขาก็ได้ไม่มีจบไม่มีพอรวยเท่าไหร่ก็ไม่มีทางขายออก แต่ของเราจนเท่าไหร่ก็ไม่กลัว ของเขานั้นกลัว กลัวจะจน รวยเท่าไหร่ไม่รู้จักพอ กลัวแต่จะจน แต่นี้จนเท่าไหร่ก็ไม่กลัวจะรวย
จนจะไปกลัวรวยทำไม เราไม่รวยแล้วจะไปรวยทำไม ใครรวยบ้าง….
ต้องมาจน จนจนไม่กลัวรวย เพราะแน่นอนเราไม่เอารวย ฟังทันไหม
1.มาจนให้เห็น
2.มาขยันให้เห็น
3.มีการสร้างสรรผลผลิต
4.นำผลผลิตเหล่านั้นมาสละออกไม่สะสม แม้แต่คงคลังก็มีบ้างนิดหน่อย ไม่ต้องมีมากจนกลัวจะไม่พอใช้กลัวจะขาดแคลน ต้องไว้ใจตนเอง ไว้ใจคนในกลุ่ม ไว้ใจสมาชิกของสังคม ว่าอย่างไรก็ไม่ลำบาก อย่างไรก็ไม่ run shot ก็มีคนสุขภาพแข็งแรงดีมากพอ มันไม่ป่วยพร้อมกันครึ่งหนึ่งหรอก มันก็มีป่วยนิดหน่อยคนที่แข็งแรงก็จะช่วยคนอื่น ทำให้เกิดการสร้างสรรอย่างอุดมสมบูรณ์ขึ้นไปอยู่ได้ ไม่ขาดแคลน ไม่ขาดตอน
มีความเป็นจริงได้มีความไม่ประมาทในตัว ด้วยเหมือนกันไม่ใช่ทำเป็นประมาทอวดดี ก็ไม่ได้ประมาทอะไรจริงๆ ทำอย่างเข้าใจที่พอเป็นไปได้ในเหตุปัจจัย
สมณะฟ้าไท…พ่อครูค้างไว้ว่า ทุกวันนี้ชาวอโศกเสื่อมลงหรือเจริญขึ้น
พ่อครูว่า…
อโศกเสื่อมลงหรือเจริญขึ้น ขอยืนยันว่าอโศกเจริญขึ้น อัตราการก้าวหน้าของอโศกเรานี่ มวลชน ดูว่าไม่มีการก้าวหน้าด้วยมวลมากนัก แต่คุณสมบัติ คุณธรรมก้าวหน้าอันนี้อ่านกันยากรู้กันยาก ถ้ามัวแต่นับหัวนับตัวตนมันก็ง่ายแต่นี่คุณธรรมนามธรรมมันยาก
จิตวิญญาณของพวกเราทุกวันนี้กล่าวถึงอาริยชนเข้าใจกันง่าย และเข้าใจกันลึกด้วย และเป็นได้ด้วย เป็นได้ลึกขึ้นสูงขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่พูดไปก็คนที่ไม่มีภูมิ ไม่มีความรู้หรือเข้ามาหยั่งรู้ความจริงอันนี้ก็แน่นอนพูดไปก็ไม่รู้ได้ เป็นเรื่องอจินไตย แต่ที่อาตมาพูดไปนี่ พวกคุณก็มีภูมิธรรมที่จะรู้เท่าอาตมาพูดบ้าง
อาตามาก็ขอพูด ที่อาตมาพูดไปอย่างมั่นใจนี้พวกคุณเห็นตามที่อาตมาพูดบ้างไหมว่าชาวอโศกสูงขึ้นเจริญขึ้น …เห็นตาม
อย่าหลงตน ต้องตรวจสอบตัวเองตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกแล้วซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์ว่าใช่ไหม เราบรรลุธรรมอย่างนั้นอย่างนี้จริงๆมันก็จะเกิดปัญญาที่อ่านอาการของจิต เจตสิก ต่างๆว่า อ๋อ อย่างนี้เป็นกิเลส อย่างนี้กิเลสลด อย่างนี้ความรู้สึกหรืออารมณ์ อารมณ์มาทางโลกุตร มาทางเนกขัมมะทางอาริยะที่ทวนกระแสกับโลกียะ จิตมันพอจิตมันว่าง มันโล่งเบาสบาย มันไม่อยากไปแย่งชิงไม่อยากเป็นอย่างโลกโลกียะเขาเป็น มันเห็นว่าเป็นภาระเป็นทุกข์ มันเป็นเรื่องก่อสงคราม ก่อความเลวร้ายขึ้นไปเรื่อยๆ มันเห็นชัดๆเลย เราจะไปทำทำไม มันไม่มีคนดีมีแต่คนเสียคนเลวคนร้ายมันเห็นเป็นโทษ รู้จักความเป็นจริงตามความเป็นจริงของสิ่งที่มันเป็น เราก็รู้ว่าอันนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่ชั่ว อันนี้มันเป็นความเดือดร้อนวุ่นวายแก่ผู้อื่น แม้ตัวเราเองไม่ได้เป็นแล้ว ถ้ามันเกิดกับเรามันก็ไม่ดีทำให้เดือดร้อนได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้นซึ่งมันชัดเจน ในพฤติกรรมของความเป็นมนุษย์ ตัวเราเองคนอื่น ซึ่งมีสามัญสำนึกตรงกัน
แต่วิสามัญสำนึก มันกลับไม่เป็นภัยเป็นโทษกับใคร วิสามัญสำนึก มันไม่เป็นภัยไม่เป็นโทษกับคนอื่น ถ้าเราก็ไม่มีปัญหาได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากสบายๆแม้แต่มาจนเราก็ไม่ลำบาก หรือเราไม่กินเนื้อสัตว์ก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไร ไม่ได้มีจิตที่อยากจะกินฝืนข่มทรมาน เรามาไม่มีเงินใช้ มีน้อย เราก็ไม่ได้อึดอัดขัดเคือง มีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้นไม่มีปัญหาอะไร เราก็ยังทำงานได้อยู่ แม้แต่ไม่มีเงินก็ทำงานนี้ได้ ใครมีหน้าที่เอาเงินไปใช้จ่ายเป็นผู้ซื้อหาก็ทำ เหมือนอย่างพวกเราเป็นนักบวชไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อหา ให้ทางฆราวาสเป็นคนจับเงินจับทองซื้อ นักบวชเราก็ไม่ได้ไปละเมิดธรรมวินัยก็ไม่มีปัญหาก็เจริญได้
ฆราวาส มีไวยาวัจกรเขาก็ทำแทนหมดแล้วเขาก็รู้ด้วย ฆราวาสก็รู้หน้าที่ด้วย อย่าไปให้ท่านยุ่ง ไม่ดี เดี๋ยวเอาอาบัติไปใส่ท่าน เขาก็ป้องกันอาบัติให้อีกอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นความรู้หน้าที่รู้ฐานะ รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรกระทำ นี่มันเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนเป็นความถูกต้องที่สมบูรณ์แบบ มันจึงรวมกันอยู่แล้ว ต้องมีความสอดคล้องสมคล้อยเป็นไปด้วยกันได้ดำเนินไปได้ด้วยดีดำเนินไปเจริญ
อัตราการก้าวหน้าของชาวอโศกอาตมาว่า หลักอัตราการก้าวหน้าอยู่ในระดับบวก มันยังไม่ขึ้นไปถึงระดับคูณยังไม่ก้าวเร็ว มันกำลังสะสมมวลกับสะสมพลังงานในมวล สักวันหนึ่งมวลมากพอ พลังงานในมวลก็มากพอมันมากเกินระดับบวกก็จะเป็นระดับคูณ มันจะมากขึ้นไปและเป็นไปได้ในอนาคต อาตมาไม่พูดถึงระดับยกกำลัง ถ้าเป็นอย่างนั้นโลกจะยอมรับเลยล่ะ ไม่ต้องยกกำลังอะไร เอาแค่ยกกำลังสองก็พอ ไม่ต้องยกกำลังสาม
อโศกไม่ล้มเหลว มันลงหลักปักแหล่งลงรากปักเข็มปักหมุดปักตีนเป็ดอยู่ใต้บาดาลแล้ว ยึดรากแก้วมั่นคงแล้ว มีแต่จะก้าวหน้า เป็นแต่เพียงแรงเคลื่อนแรงเหวี่ยงอย่าเหวี่ยงเร็วแรงจนหลักนี้มันล้มก็แล้วกัน ต้องรู้ประมาณด้วยว่าเราแข็งแรงเท่านี้นะ หลักพออยู่นะ แรงจะเร็ว ทั้งเร็วและแรงมากต้องคำนึงถึงหนัก ต้องพึ่งพลังบวกกับลบ บวกคือ Static ลบคือ Dynamic เป็นพลังงานเคลื่อน ภาษาสากลเขารู้กันทั่วไป ในนามธรรมก็เหมือนกันและมันมีจริงอย่างนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นแก่นหลักของชาวอโศกมีอย่างแข็งแรงมั่นคง อาตมามั่นใจว่า ถ้าดึงหูพวกคุณออกนี่ อาตมาว่าก็ได้แต่หูไป ยอมให้หูขาด แต่ตัวไม่ไปใช่ไหม นี่อาตมามั่นใจอันนี้เพราะปัญญาธาตุรู้มันแน่ชัด ดีจริงๆดีอย่างไม่ผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลง ปัญญามันชัดเจนจริง คนฉลาดมาจนดีกว่า ตัวเองไม่ต้องลำบากต้องแบกหาม ต้องกักเก็บรักษากลัวมันหายอะไร กลัวโจรจะมาปล้นกลัวไฟจะไหม้ ไม่ต้องกลัวเลยเพราะมันมีน้อย
พัฒนาการ 10 ลำดับไปสู่ ความสัมบูรณ์ของสังคม
-
ตนเองรู้เข้าใจดีพร้อม แต่ยังทำไม่ได้
-
มีผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม แต่ยังทำไม่ได้
-
มีผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม แต่ยังทำไม่ได้ มีมวลกระจายทั่วไปมากขึ้นๆ
-
ตนเองรู้เข้าใจดีพร้อม และทำตามได้สำเร็จ
-
มีผู้รู้ตาม ศรัทธา เชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้น แต่ยังกระจายกันอยู่
-
มีผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้นรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม มีระบบระเบียบ
-
มีผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้น เพิ่มกลุ่มมากขึ้นเป็นเครือข่าย
-
มีผู้รู้ตาม เชื่อมั่นตาม และทำได้สำเร็จมากขึ้น เพิ่มมากกลุ่มหนาแน่นขึ้น ซับซ้อนสานกันเป็น “เครือแห” อย่างเป็นระบบ
-
กลุ่มเครือแหทั้งหลาย รวมกันเป็นสังคมสาธารณโภคี อย่างมีระบบ หยาบ-กลาง-ลึกล้ำ สัมพันธ์สานกันอยู่อย่างเข้าใจกันดี
-
สังคมสัมบูรณ์เป็นเอกภาพ โตขึ้นเป็นปีระมิด เพิ่มความสูงและมีฐานกว้างภาุ เจริญขึ้นๆ ไปอย่างได้สัดส่วน แข็งแรง ยั่งยืน สุขสำราญ.