620308_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ้นทุกข์อาริยสัจได้ด้วยการแยกกายแยกจิต
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/12CJpztNMz9WhJ8B6b4J6WkE2bZ4sm-IGZjz7lOL3TDs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1ShIUJwqwKFu8CA0WH7rdRsvGGWoEtn8H
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ ที่ 8 มีนาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้อากาศก็ร้อนดี แต่ในยุคนี้เรื่องราวของสังคมก็ร้อนแรงตามไปด้วย มนุษยชาติก็ยังโชคดีที่มีโพธิสัตว์เกิดมาในประเทศไทยในยุคนี้ถึง 2 พระองค์ มาช่วยชาติให้พ้นภัย ในยุคนี้คนจะเจริญขึ้นได้ต้องมาอยู่กับโพธิสัตว์ ถ้าอยู่ห่างไกลก็จะเจริญหรือมาอยู่ใกล้ชิดฟังธรรมปฏิบัติตามถึงจะเกิด ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นอาริยะ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ทำใจในใจเป็น ท่านสอนเราให้เป็นคนรับใช้มนุษยชาติให้พ้นภัย สร้างองค์ประกอบ เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ เพราะท่านมีธรรมะสัปปายะในตัวท่านเองอยู่แล้ว
พ่อครูว่า…ความเห็นต่างหรือมีความเห็นร่วมกันมีจุดร่วมเพราะสัจจะมีหนึ่งเดียว สิ่งที่ยังไม่ลงตัวกันเป็นหนึ่งเดียวแตกต่างกันอยู่ก็เป็นสามัญของคนที่เห็นต่างกันอยู่ ก็ต้องเห็นใจกัน แจกแจง
คนที่มั่นใจแล้วว่าสุดยอด เห็นที่จบหรือจุดหมายปลายทางที่สูงสุดเป็นหนึ่งเดียวแล้ว จุดสุดยอดมันมีจริงมันตรงกันหมด แม้แต่พระพุทธเจ้าเห็นดังนี้ ผู้ที่รองลงมาก็เห็นด้วยไล่เรียงมา ผู้ที่ยังเห็นต่างก็ทำความเข้าใจให้รวมลงเป็นหนึ่ง สุดท้ายรวมกันได้เป็นหนึ่งเดียวก็จบ
มันเป็นธรรมชาติธรรมดาเกิดเป็นมนุษยชาติ ความเป็นสัตว์โลก เป็นความต่างทั้งนั้น ตั้งแต่ปรมาณูสองหน่วยเกิดขึ้นก็ต่างกันไปตามเหตุปัจจัย
_SMS วันที่ 6 มี.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช)
_สุนทร บัวงาม · กราบนมัสการพ่อครูครับผมดูบุญนิยมทีวีทุกวันผมชอบดูพ่อครูเทศมากมีสาระดีมากครับ
_ป้าจันทร์ จตุจักร · “พ่อครู…เมตตา…ให้ธรรม”…ผ่าน..บทประพันธ์..งดงาม..ลึกซึ้ง…พาใจให้..สว่าง…รู้คิด…
_เจน ฮู เชอร์ · ???พ่อครู85ปี แล้วใครมั่งในเมืองไทยเทศได้เหมือนท่านมั่ง. เทศอย่างพ่อตื่นเต้นมากเจ้าค่ะ พลังจิตวิญญาณแก่กล้า สาธุเจ้าค่ะ???
_อำภา รื่นใจดี · น้อมกราบนมัสการท่านพ่อครู ลูกขอความเข้าใจในหลักธรรมพุทธศาสนา ให้ความลึกซึ้งและความสำคัญของการแยกกายแยกจิตอย่างไร การแยกกายแยกจิตใช้ได้กับสิ่งที่เป็นกุศลเท่านั้น หรือไม่ ขอยกตัวอย่างเราใช้ร่างกายทำงานหนัก แต่จิตเบาสบาย อย่างนี้แยกกายแยกจิต หรือไม่ แล้วถ้าทำธุรกิจล้มเหลว มีหนี้สินมากมาย จะแยกกาย แยกจิต อย่างไร และก่อนเสียชีวิตถ้าเรายังรู้สึกตัว เราจะแยกกาย แยกจิต อย่างไร เจ้าคะ
พ่อครูว่า…เราใช้ร่างกายทำงานหนัก แต่จิตเบาสบาย อย่างนี้แยกกายแยกจิต หรือไม่ เป็นไหม…เป็น มันเป็นการรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่างานที่เราทำทางกายนี้หนัก แต่เราเห็นสาระคุณค่า เราไม่ติดยึดไม่รำคาญ หนักก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย ยากก็ยาก แต่มันมีปฏิภาณปัญญาเข้าใจความเป็นเช่นนั้น แต่เราไม่ได้ไปยุ่งในความหนักเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากอย่างไร ใจเราก็มีแต่ใช้ความพยายามอุตสาหะ ความสามารถของเราความรู้ของเราทำงานให้มันลุล่วง มีผลสำเร็จตามที่เราจะทำได้ ส่วนใจเราก็เข้าใจในเหตุปัจจัยของการทำงาน งานหนักแต่ใจเบา งานยุ่งแต่ใจสบาย โล่งโปร่งสบายไม่ได้ติดยึด อย่างนี้เป็นความจริง
แล้วถ้าทำธุรกิจล้มเหลว มีหนี้สินมากมาย จะแยกกาย แยกจิต อย่างไร…ก็แยกกายแยกจิต ก็รู้ความจริงว่าเราทำตามเหตุปัจจัยที่เป็นวัตถุรูปร่างตัวตน มีองค์ประกอบอะไรต่างๆมันผิดพลาด คนอื่นเขาก็ทำตามหลักการของโลก เขาก็ต้องเอาคืน เราก็ย่ำแย่เขาจะตามทวงหนี้ ก็เป็นไปตามนั้น เพราะเราผิด เราโง่ เราสู้เขาไม่ได้หรือเราผิดก็ต้องยอมรับ เราโง่ก็ต้องยอมรับ เราไม่สามารถเท่าก็ต้องยอมรับ เป็นไปตามกฎเกณฑ์โลกต้องเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องใช้ เราไปทำผิดพลาด ก็ยอมต้องใช้ต้องติดคุกติดตะราง ก็ต้องติดไป ดีไม่ดีถูกประหารชีวิตไป 1 ชาติ ต้องระมัดระวังอย่าไปผิดพลาดเสียท่าจนกระทั่งถูกประหารชีวิต ถูกกระทำจนกระทั่งติดคุก
ถ้าเผื่อว่าเราทำผิดต้องไปติดคุก เป็นภาวะซับซ้อนอย่างที่เป็นที่มีอยู่ มันก็เป็นกฎเกณฑ์ของโลก อย่างน้อยเราก็เคยอธิบาย มันเป็นเหตุซับซ้อนของสังคมโลก แล้วเราก็มีวิบาก ของเราว่าจะต้องเป็นตัวแทนไปรับวิบากนี้ แม้เราจะไม่ผิด แม้อาตมาไม่ผิดแต่ต้องแพ้ ดีแต่ว่ากุศลบารมีค่อยยังชั่วต้องถูกติดคุก อาตมาต้องถูกติดคุก 6 เดือนแต่เขารอลงอาญาให้อยู่นอกคุก 2 ปี ให้มีคนมาคุมประพฤติ เขามาสองทีก็ไม่มาอีกเลย บอกว่าเราทำได้ดีแล้ว ก็รู้อยู่ว่าสิ่งจริงคืออะไร
คนเรามันก็ต้องยอมรับภูมิปัญญาคน เข้าใจได้เท่าไหร่เขาก็ต้องเข้าใจได้เท่านั้น ในโลกยุคนี้คนเข้าใจได้เท่านี้ แต่เราทำมันสูงเกินไปคนรับไม่ได้ ก็ลดลงมาให้ใกล้กัน ถ้ามันสูงขึ้นมาได้ก็ใกล้กัน คนที่มีภูมิสูงจะอนุโลมให้คนระดับต่ำลงได้ มันไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราไม่มีภูมิสูง เขาสูงเรารู้ไม่ได้ เราก็นึกว่าจะทำอย่างไร จะทำให้เหมือนหรือถูกต้องตามที่เขาชั้นสูง มัน act ไปไม่ได้หรอก มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติมันยาก แล้วก็ไม่ได้ด้วย
ส่วนผู้ที่มีแล้วสูงแล้วได้แล้วลดลงมามันง่าย อาตมานี่ทำ เราสูงแล้วเราก็รู้ว่าเราไม่ไหว เราก็ยกให้ผู้ที่สูงที่ทำได้ ถ้าไม่มีใครทำก็ปล่อยไว้ อย่าไปทำเกินการ
คุณแยกกายแยกจิตอย่างที่ว่าก็ได้ ก็ต้องยอมรับจิตเรา ต้องยอมจำนน เมื่อเราผิดพลาดเราล้มเหลวเราโง่ก็ต้องใช้หนี้เขา ไม่มีเงินใช้หนี้ก็ต้องติดคุกเพราะว่ากฎเกณฑ์ของโลกเป็นอย่างนั้น สุดท้ายก็ต้องยอมเข้าคุกเป็นการใช้หนี้ เป็นการปลดสุดท้ายของทางโลกให้ทางการทางสังคมจัดการ ก็ยกให้แก่ประเทศ อย่างน้อยก็เข้าคุกหรือสุดท้ายจริงๆถูกประหารชีวิตก็ต้องจบ ไม่จบจะทำอย่างไร มันไม่มีทางอื่นมากกว่านี้แล้ว นี่เป็นกฎเกณฑ์โลกก็มีอย่างนั้นสูงสุดก็ต้องยอมรับเราผิด ตั้งใจดีๆ จำไว้ชาติหน้าดีๆ อย่าให้ผิดพลาดนะชาติหน้า จำไว้ทีเดียว ต้องนึกให้ออกจำให้ได้ ลึกๆแล้วมันจะมีสัญญา มีความจำอยู่ในคลังความรู้ของจิตวิญญาณมนุษย์ มันก็จะมีบทบาทอย่างเบาอย่างแรง เราก็เอามาใช้ได้ ก็แล้วแต่บารมีของใครจะสามารถรู้ดี แต่ถ้ารู้ดีแล้วแก้ไขได้ให้ดี ถ้ารู้ไม่ได้ก็ต้องงมงาย ต้องพากเพียรไปต่อชาติแล้วชาติเล่า
และก่อนเสียชีวิตถ้าเรายังรู้สึกตัว เราจะแยกกาย แยกจิต อย่างไร เจ้าคะ การแยกกายแยกจิตเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก คุณจะทำอย่างไรก่อนเสียชีวิต จะแยกกายแยกจิตอย่างไรมันตอบยากมากเลย ตรงนี้ คุณจะยอมตายพร้อมความรู้สึกตัวอยู่ด้วยการแยกกายแยกจิต หรือมันไม่ไหวแล้วจะตายแล้ว ดับไปไม่ต้องคิดนึกรู้สึกตัวคุณก็จะเบาสบาย มันก็จะดับก็จะไปตามเหตุปัจจัย ตายไปอย่างหยุด
การจะให้สงบก็คือหยุดไปเลย ส่วนการจะตายอย่างรู้ตัวก็ต้องรู้ความจริงการแยกกายแยกจิตด้วยชัดด้วยเหตุผลอย่างจริง ยิ่งคุณแยกได้ชัดเจนเท่าไหร่คุณก็ยิ่งจะสามารถไม่มีความทุกข์ไม่มีความเดือดร้อนลำบากได้จริง เพราะเข้าใจด้วยปัญญาว่า อ๋อ อันนี้มันต้องเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีการขัดแย้งขบขัดอะไร ปล่อยไปสบายโดยแจ้งสว่างก็เป็นการรู้ชัดด้วยปัญญา เป็นไปตามเหตุปัจจัย สุดท้ายจะตายหรือสูญมันก็จะรู้จะหมด มันก็จะไม่มีมันก็จะสลายไป เราก็จะเข้าใจอย่างชัดเจน อาการอย่างนี้เป็นอย่างนี้
ยิ่งเราเองมีจิตใจว่า มันจะสงบเราก็จะจบแล้ว อย่างพระอรหันต์ ที่จะไม่ตั้งจิตต่อ ก็จะหายไปเลยไม่มีอะไร ยุกยิก แต่ถ้าเรายังจะเกิดอยู่ก็ต้องมีเหตุปัจจัยให้เราเกิด เราก็จะต้องศึกษาและก็สร้างจิต มีปัญญาที่สูงที่จะรู้ แม้รู้เหตุปัจจัยมันยังรบกวนอยู่ก็ต้องเข้าใจ เขายังยึดถืออะไรอยู่ เขาต้องมาสัมผัสกับเรามากระทบกับเรา มาทิ่มแทงเราอยู่ก็ธรรมดา ถ้าเข้าใจแล้วว่าเขามาทิ่มแทงเราก็ยอมให้เขาทิ่มแทง มันก็ไม่มีอะไรมาก มันก็เบาลง นี่ก็ขยายความ ผู้ที่เข้าใจก็สุขสันต์อย่างที่อาตมาว่าคุณจะรู้เองว่ามันเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากมาย
ขออธิบายการแยกกายแยกจิตอีก
กว่าจะเข้าใจคำว่ากาย แยกกาย คำว่า กาย มันเกี่ยวกับจิต ถ้าคุณยังมีชีวิต กายของก็ยังมีชีวิตเกี่ยวข้องเป็นเทวะธรรมะ 2 คุณยังไม่อยากเด็ดขาด จนกระทั่งตายสูญ ตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็ต้องมีสองอยู่ตลอดกาล
ความรู้ที่ไหนแต่รู้ว่ามี 2 แล้วมันมีทุกข์ของกายนี้คือ ทุกข์ที่เราไปยึดถือในจิตนิยาม จิตนิยามที่โง่ เป็นอุตุนิยามมันไม่โง่มันไม่รู้ มันก็ตาย 0 ไปเฉย พืช อุตุนี่ไม่มีความรู้อะไรเลย พืชมันก็ตายสูญเกิดก็ได้เพราะเกิดอยู่ สูญก็สูญไป เชื้อมีอยู่ก็เกิดต่อ เชื้อไม่มีก็สูญ
ทีนี้สัตว์นี่แหละมันยึดกายเป็นเรา ความเป็นกายมันยึดจริงๆ ยึดกายเป็นตน จะต้องให้ได้กายต้องเป็นเราเป็นของเรา แต่มันไม่รู้ทุกข์ก็ติดยึดเป็นเราเป็นของเรา จนกว่ามันจะรู้ว่าวางดีกว่า
ภูมิธรรมจะวางกายวางร่างไม่ใช่เราของเรามันต้องเป็นอาริยบุคคล ข้ามขั้นโลกียะได้จริงๆ เพราะฉะนั้นความรู้ที่จะแยก อุตุนิยาม พีชะนิยาม จิตนิยาม ด้วย กรรมนิยาม เพื่อจะทรงไว้ในธรรมนิยาม
พระพุทธเจ้าท่านสอน ภิกษุทุกองค์ อุปัชฌาย์จะให้กรรมฐานภิกษุบวชใหม่ต้องเรียนรู้การแยกกายแยกจิต ศึกษาจากกรรมฐาน 5 ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง ซึ่งเป็นสิ่งที่มันอยู่ในร่างกายเรา เพราะฉะนั้นผมก็ดี ขนก็ดีเล็บก็ดี ฟันก็ดี ผิวหนังก็ดี ผิวหนังนี้ละเอียดยากที่จะหยิบมาอธิบาย ผมก็ยาวไป ขนก็เล็กละเอียดเกิน ฟันก็เชื่อมต่อระหว่างประสาทก็ยาก แยกเล็บง่ายที่สุด เอามาเป็นตัวอย่างได้ง่ายที่สุด ก็แยกได้ทั้ง 5 นั่นแหละ จะมีจิตไปเกี่ยวกับวัตถุ อย่างไรแค่ไหน
เล็บเรานี่ เมื่อไหร่เป็นกาย เล็บของเราถ้าเราตัดเล็บที่ยาวออกมาพ้นประสาทแล้ว เล็บที่ยาวออกมาพ้นประสาทที่จะรับรู้สึกแล้วพ้นแล้ว ประสาทเรานี่จิตวิญญาณอยู่กับประสาทระดับหนึ่งพอพ้นประสาทแล้วจิตวิญญาณก็ไม่ไปกับเล็บแล้ว แต่เล็บก็ยาวๆๆไปได้ ไอ้ที่ยาวพ้นประสาทไปได้ก็ยาวต่อไปได้เมื่อมีอาหารเลี้ยง อันนี้มันยังเป็นชีวะ ยังไม่ใช่อุตุ
อุตุไม่ใช่ชีวะ แต่มันไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดทุกข์สุข เพราะฉะนั้นบาปไม่มีบุญไม่มี กุศลอกุศลไม่มี เพราะฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวจะไปสร้างกรรมวิบาก กับชีวะระดับนี้ จึงเรียกชีวะระดับพีชะ ระดับพืช แต่ไม่เจ็บปวดอะไร
จิตของเราก็จะจบอยู่แค่เป็นชีวะในระดับจิตนิยาม พอพ้นจิตนิยามมาเป็นพีชนิยามแม้จะมีชีวะชีวิตอยู่ไม่ใช่กายเราแล้วหรือเป็นกายเรา ถ้าเราจะนับเป็นกาย โดยเรารู้ว่าเป็นส่วนที่อยู่ในร่างของเราเป็นสรีระ แต่มันไม่ใช่จิต มันเป็นพีชะก็ต้องแยกให้ออกว่าเป็นแค่พีชนิยาม มันไม่มีสุขทุกข์ นี่สำคัญตัดสินตรงนี้ ไว้เล็บเป็นประโยชน์ก็ไว้ไป ไม่เป็นประโยชน์ก็ตัดทิ้งไป มันไม่มีเวรภัยไม่มีบาปบุญอกุศลกุศลอะไร เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่คุณจะเอาไว้หรือไม่เอาไว้
ถ้าคุณยังยึดถือว่าเป็นของเราโดยยังไม่รู้ว่า สิ่งต่างๆทั้งหลายแหล่ไม่ใช่เป็นเราเป็นของเรา มันไม่เจ็บมันไม่ปวด แต่ใครมาตัดเข้า ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นของคุณ คุณก็เจ็บคุณก็ยึดถือของคุณเอง ทั้งที่มันไม่มีเจ็บปวดอะไรขึ้นก็บ้า เหมือนกับมันไม่มีอร่อยอะไรหรอก คุณก็อร่อย มันไม่อร่อยมันก็ไม่มี คุณก็อร่อยคุณก็บ้าของคุณ บ้า เหมือนกัน มันไม่เจ็บแต่คุณก็ยังไปเจ็บ มันเจ็บปวด เรายึดถือในรูปเป็นของเรา มันเจ็บจริงเจ็บปวด
การแยกกายแยกจิต แยกความจริงตามความเป็นจริงนี้ต้องชัดเจน เป็นเรื่องละเอียด คุณจะสุขหรือจะทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ คุณอยากได้จริงแล้ว อันนี้มันไม่ใช่ของเรา ถ้าเผื่อว่ามันเจ็บ แน่นอนมันก็เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ มันเจ็บเพราะว่าประสาทมันยังรับรู้ มันเป็นจิตนิยาม ถ้าเป็นพีชะไม่เจ็บแล้ว ถ้ามันยังไม่ตายมีอาหารไปเลี้ยง มันก็ยังอยู่เจริญของมันไปได้
ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้การแยกกายแยกจิตได้
จิตนี่เป็นกรรมเป็นธรรมะจะยากขึ้นอีกต่อไป ในอนาคตจะได้อธิบาย แล้วก็จะย้อนมาจัดการกับ อุตุ พีชะ จิต ได้อย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ที่สุด
ตอนนี้ก็พยายามเข้าใจการแยกกายแยกจิต จากอันนี้ให้ได้ก่อน เมื่อใดเป็นอุตุ เมื่อใดเป็นพีชะเป็นพืช สภาพในร่างกายเราส่วนไหน อย่าไปยึดถืออุปาทานว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็มันเป็นพีชะแล้วพ้นจากความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เราแล้ว แม้มันจะเป็นชีวะอยู่ มันยังติดกับร่างกายเราอยู่ อย่างผมสลวยขำ ใครมาตัดนิดหน่อยจะตายจะเป็น ปัดโธ่ อันนั้นมันยังไกลด้วยซ้ำไป เล็บก็เหมือนกัน ใครมาหัก เอาตายเลย (สู่แดนธรรมว่า ให้ช่างมาเพ้นท์เล็บแต่ไม่สวย ก็โกรธช่างตายเลย )
การที่จะชัดเจนในเรื่องการแยกกายแยกจิต ดังที่อาตมาขยายความให้ฟัง คร่าวๆนี้ จะต้องพิจารณาจริงๆเสมอ คุณจะเอาแต่เข้าใจ พิจารณาความจริงว่าเรายึดถือหรือไม่ยึดถือ เราจะไม่รู้เลยว่าเรายึดถือหรือไม่ยึดถือ ถ้าเรายึดถือมันก็ทุกข์ ถ้าเรายึดถือแล้วเข้าใจชัดเจนว่าอันนี้ไม่ใช่เราแล้ว อันนี้มันไม่มีเจ็บไม่มีปวดแล้ว เรายังไปบ้าเจ็บบ้าปวดอยู่ ไปบ้าอร่อยไปบ้าไม่อร่อยอยู่ จะบ้าหรือ คุณก็จะแยกความรู้สึกเวทนานี้ไม่ได้ แต่ถ้าชัดเจนแล้วคุณก็จะแยกเวทนาได้ อ๋อ เวทนานี่มันไม่มี เป็นอุปาทานเอง เจ็บเองปวดเอง อร่อยเองไม่อร่อยเอง ทั้งๆที่มันไม่มีเจ็บไม่มีปวด ไม่มีอร่อย อร่อยก็ไม่ใช่ไม่อร่อยก็ไม่ใช่ มันเป็นสมมติทั้งนั้น ถ้าคุณเข้าใจจริงๆนี่ไม่ได้ คุณก็ยังมี มีอร่อยไม่อร่อย ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ ทั้งที่มันไม่มีความรู้สึก เป็นพีชะ
ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ สาธุ โพธิรักษ์รู้เองไม่ได้ หรือใครจะรู้เองได้ นัยละเอียดที่จะไปแยก อุตุ พีชะ จิต …ไม่มี โพธิรักษ์นี้ยอมรับเลยว่าถ้าไม่ใช่ความรู้พระพุทธเจ้าได้มาแต่รากเหง้า ไม่มีทางที่จะรู้เลย แต่ทุกวันนี้อาตมาขอพูด ไม่มีใครรู้อย่างอาตมา ในยุคนี้ 2560 กว่า ใครจะแยกแยะอย่างกับอาตมาไม่มี อาตมาก็รู้ตัวด้วยว่ามันไม่ใช่ความรู้ของอาตมา ความรู้นี้ของพระพุทธเจ้า จริงเท็จแค่ไหนทุกคนมาศึกษาตามที่อาตมารู้ เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นเรื่องเพ้อพก ไม่เห็นจะเข้าสาระอะไรเลยหรือเปล่า จริงหรือเปล่า …ไม่
คนอื่นรู้ธรรมนิยาม 5 นี้ศึกษาตามตำราก็มี แต่คนอื่นเขาอธิบายอย่างอาตมาได้ไหม ก็ไม่มี อธิบายให้ทุกคนเข้าใจ แล้วเอาไปใช้ในชีวิตคุณได้เลย คุณก็รู้ว่าแต่ก่อนเรายังเจ็บเลย โอ้โห เล็บหักก็เจ็บปวด อันอื่นที่ไม่ใช่สรีระคนละสรีระเขาเจ็บปวดเราเจ็บแทน แค้นแทน เห็นไหมคนเรา เอาคนอื่นมาเป็นเราเป็นของเราอีก
แต่ไม่ได้หมายความว่าใจดำ เราควรจะช่วยได้ก็ช่วยด้วยเหตุปัจจัยที่เราสามารถช่วย เราไม่ใช่คนใจดำเลย ถ้าพูดอีกนัยว่าไม่ใช่เราก็ปล่อยไปสิ ก็คนใจดำ แต่นี่ไม่ใช่ใจดำ เราช่วยได้เราก็ช่วย แม้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ลูกเราไม่ใช่สายเลือดเรา ไม่ใช่คนในชาติเรา แต่สมควรเพราะเขาเป็นคน เขาเป็นสัตว์โลก ควรช่วยขนาดนั้นขนาดนี้ก็ใช้ มหาปเทส หรือสัปปุริสธรรม 7 เข้าไปวิเคราะห์วิจัยทางเนื้อหาสาระองค์ประกอบ อรรถะ ธรรมะทั้งตัวเราจะช่วยได้หรือช่วยไม่ได้ เราก็เท่านี้จะช่วยได้หรือ ก็ต้องปล่อยไป ถ้าช่วยได้แน่นะไม่พากันตายคู่คุณก็ช่วย อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ถ้าเราแน่ๆ เราช่วยได้แต่เราไม่ช่วยก็ใจดำ
อาตมารู้เรื่องใจดำหรือไม่ใจดำดี ที่ทำงานทุกวันนี้เพราะไม่ใจดำ เห็นแก่คนเป็นจำนวนมาก อาตมาเข้าใจความเป็นชีวะ พูดมาหลายทีแล้ว เริ่มเกิดเป็นจิตวิญญาณตั้งแต่เซลล์เดียว จนกระทั่งเซลล์นี้ เซลล์ของอัตภาพนี้ในอนาคตจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เพราะฉะนั้นเซลล์นี้จะมีประโยชน์ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติเท่าไหร่คุณจะไปทำลาย คุณดูแลว่าเซลล์นี้ต่อไปในอนาคตจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าคุณไปทำลาย
-
คุณก็มีวิบาก ทำลายเซลล์ที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดขนาดนี้ คุณยังมีชีวเกิดอยู่ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน วิบากก็จะซับซ้อนเกี่ยวพันไปจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน
เพราะฉะนั้นอย่าทำลายสัตว์ทั้งปวงที่เกิดเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายมีวิบากด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตามวิบาก ช่วยได้ช่วยเป็นกุศลให้เราอาศัย ช่วยไม่ได้ก็ไม่เป็นกุศลนั้น หรือช่วยได้ให้เขาสามารถรู้เพื่อไปตัดกิเลสเขาได้ นี่คืออาริยะ โพธิสัตว์จะรู้เรื่องนี้ ถ้ายังไม่ใช่โพธิสัตว์เป็นอรหันต์ธรรมดายังไม่รู้หรอก อรหันต์ขั้นที่ 4 ไม่เป็นขั้นที่ 5 ก็จะมาเรียนรู้ช่วยคนอื่น อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ยังอีกยาวนาน จะเห็นแก่มวลมนุษยชาติรู้เหตุปัจจัยในมวลมนุษยชาติรู้สัปปุริสธรรม 7 ที่สูงละเอียดขึ้น ที่จะเป็นประโยชน์เพื่อช่วยมนุษย์รื้อขนสัตว์ อนุเคราะห์โลกได้มากขึ้นสูงสุดก็เป็นพระพุทธเจ้า
สรุปแล้วจิตเป็นประธานทุกสิ่งทุกอย่าง จะรู้แล้วก็จะจัดสรร ประกอบการให้ได้สัดส่วนทุกอย่างได้อย่างดีที่สุด ลงตัวได้เหมาะสมที่สุดอย่างยุคนี้อาตมาต้องใช้ลีลานี้ขนาดนี้ ทำมาก็ได้ผล คนอื่นจะอย่างไรเขาก็คิดของเขา แต่อาตมาทำขนาดนี้ อาตมารู้ว่าพวกคุณได้รู้จักกับอาตมามาตั้งแต่ต้นที่อาตมาได้ทำอย่างสุภาพอย่างเบา จนกระทั่งมาทำแรง แรงสุดก็ขนาดที่อาตมาทำตอนนี้ แรงกว่านี้อาตมาก็ไม่ทำแล้ว ทุกวันนี้จะแรงขนาดไหนอย่างเก่งก็แค่ปากหอก ทางสรีระกายไม่ทำแล้ว มีแต่แรงภาษาสำเนียงเสียบแทงก็อยู่แต่แค่ภาษา อาตมาก็ประมวลใช้ภาษาสำเนียงสุ้มเสียงคำความ ประกอบรวมแล้วเป็นนัจจะคีตะวาทิตะ ศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดมให้คนเปลี่ยนแปลงได้ ก็ได้ผลมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วอาตมาก็มันใจว่าพวกคุณได้อาริยธรรมตามแบบที่อาตมาเข้าใจเป็นของพระพุทธเจ้า มาเป็นคนมีวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7
เป็นมนุษย์ช่วยโลกช่วยสังคมไม่ได้หนีออกป่าเขาถ้ำอย่างพวกเชน ก็จะเป็นประโยชน์แก่กันและกันไปเท่าที่เราเองทำได้ ประมาณผิดก็เป็นความผิดพลาดของคุณเองไป ก็มีวิบาก แต่ถ้าไม่มีผิดพลาดเป็นกุศลก้าวหน้าไปมันก็ของคุณ ทุกคนก็มีผิดพลาด อาตมาก็มีผิดพลาด แต่ผิดพลาดแล้วก็ต้องจำ ต้องศึกษาแล้วแก้ไขใหม่ ที่พูดนี่พูดนิดหน่อย แต่ถ้าจริงมีเยอะมากมายใช่ไหม พูดเหตุปัจจัยความหมายนิดหน่อย แต่แท้จริงสิ่งที่ทำมีเยอะแยะมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากเลยที่เราทำ เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาตินี้ เพราะฉะนั้นอาตมาว่าอาตมาสนุก แต่เมื่อยจริงๆ จึงยังเต็มใจยังพอใจสนุกก็ใช้เป็นภาษาเท่านั้น ก็สนุกเพียงแค่นี้ ไม่ได้วุ่นวายไปกับโลกีย์เขาหรอก สนุกอยู่กับโลกุตระเท่านั้น
ทุกวันนี้คู่ต่อสู้ก็ไม่ค่อยมาตอแย แต่อาตมาต่างหากทำตอแยเขา บอกให้รู้นะ เขาไม่มาตอแยอาตมามากหรอก เพราะเขารู้ฤทธิ์อาตมา แต่อาตมาตอแยอยากให้เขามาร่วม จะได้เกิดการสังเคราะห์ ไม่อย่างนั้นไม่ได้มาสังเคราะห์ไม่ได้พัฒนาไม่ได้มาร่วม ให้มันเจริญต่อไป
สมมุติว่าอาจารย์ใดเขารู้มากเขาถือตัวว่ารู้มากกว่าโพธิรักษ์ ไม่มายุ่งเกี่ยว เขาจะไม่ได้อะไรเพิ่มเติมแล้วเขาจะหลงตัวว่าเขารู้มากอย่างนั้นไม่มีอะไรเพิ่มเติม อาตมายังตอแยเขาเลย คนดูมากๆทุกวันนี้ อาตมาก็ได้จากคนนั้นคนนี้ เขาแย้งมาผิดหรือถูกอาตมาก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่แย้งก็ไม่ได้อะไร อยากให้เขาแย้ง Action Reaction ตัวต่อไปมาพอควร เราเป็นผู้รู้ เขาตอบมานี่เยอะนะเรารับได้เท่านี้ ที่ยังไม่เกี่ยวเรายังไม่เอา เรายังไม่ไหวเราก็เอาเท่านี้มันอยู่ที่เราต่างหากที่เราจะรับ เขาซัดมา 100 หน่วยไม่ไหว ก็เอาแต่ 60 50 รับได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ไม่มีใครมาบังคับ คุณก็ประมาณตนอย่าอวดดี เขาให้มา 100 หน่วย แต่จริงๆคนมีแค่ 50 60 คุณจะทับถมเขาให้เกิน 100 หน่วย คุณก็ตายอย่างเขียด ไม่มีอะไร ก็ล้มละลายขายขี้หน้า
ถ้าเป็นน้ำร้อนกับน้ำเย็น คุณเอาน้ำเย็นไปปนกับน้ำร้อน หมดเลยก็น้ำแข็งของคุณละลายหมดเพราะฤทธิ์ของเขามากกว่า หายวับเลย จบ (มีแมลงมาตายต่อหน้าพ่อครู)พ่อครูว่า…ก็ช่วยไม่ได้นะ มันมาเองนะ ช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้แล้วก็ปล่อยไป ถ้าเป็นนักกีฏวิทยาก็คงจะช่วยมันได้ อาตมาไม่มีความรู้กีฏวิทยาเลย ถ้าหากอาตมาช่วยตายอย่างเดียวเลย อาตมาก็อย่าไปเกี่ยวมาก เดี๋ยวมากเดี๋ยวเป็นวิบาก ดีไม่ดีเพราะเหตุใดทำไมทำให้ตาย อาตมาก็ซวยเลย เพราะฉะนั้นวิบากใครวิบากมัน
อาตมาเจตนาจะขยายกายกับจิต เมื่อกี้ก็ขยายไปพอสมควรแล้ว ความรู้ที่จะรู้อุตุนิยามมีกรอบของมัน ที่จะเชื่อมโยงเจริญพัฒนามาเป็น พีชะ จากพีชะ มีองค์ประกอบแค่สัญญากับสังขาร ยังไม่มีเวทนายังไม่มีวิญญาณ พลังงานเป็นชีวะก็ยังไม่มีเวทนาไม่รู้สึกทุกข์สุข ไม่มีเจ็บปวด มีแต่ไม่สมบูรณ์ก็สลายไปอะไรเท่านั้นเอง
เราเข้าใจแล้วก็จะแยกได้ ส่วนจิตมีหมด ตั้งแต่สรีระเป็นองค์ประกอบของโลก มีนามธรรมอีก 4 ส่วนรูปคุณรู้รูป 28 มันจะสังเคราะห์สังขารกันครบแล้ว รูปมีเท่านี้ แต่นามมี จิต 89 121 ยังไม่ได้เอามาอธิบาย แต่ที่จริงมีมากกว่านั้น ถ้ารู้แล้วก็จะเป็นประโยชน์ตนเป็นประโยชน์ท่านได้ครบสมบูรณ์อยู่แล้วแค่นี้ แต่ถ้ารู้มากกว่านั้นก็เป็นประโยชน์ท่านเป็นโพธิสัตว์ แค่นี้ก็เหลือกิน
สรุปแล้วเรื่องกายเรื่องจิต เป็นกรรมฐานแรกของศาสนาพุทธที่ผู้มาบวชเจตนาจะไปนิพพาน อุปัชฌาย์จะต้องให้การศึกษาแยกกายแยกจิตให้ได้ แยกอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามแล้วจึงไปเรียนรู้กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ก็เกิดจากจิตของเราไปสร้างกรรม ให้กรรมนั้นมีความเจริญดีงาม เป็นพลังงานไปกำจัดกิเลสได้ กรรมจึงจะเป็นแต่กุศลไม่เป็นอกุศลเลย คุณก็จะต้องเรียนรู้ถึงจิตวิญญาณ กิริยา กาย วาจา ใจ ตั้งแต่ใจเลยเป็นตัวตนตัวประธาน ตั้งแต่แยกสภาพของจิตที่มันยังมีดีมีชั่ว และมีกิเลสแล้วก็รู้จักการลดกิเลส จิตของคุณจึงสามารถเจริญได้อย่างสูงส่งไปถึงอรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วคุณก็หมดความสุขความทุกข์ ไม่ทำชั่วอีกแล้วทำแต่ดี จริงๆแล้วก็สุขทุกข์ไม่มีเลย
คนที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ชีวะใดไม่มีสุขไม่มีทุกข์ก็เหมือนกับพีชะ แต่ชีวะของจิตนิยาม มีพลังงานเหลืออยู่อีก เอาพลังงานนั้นมาช่วยสัตว์โลกช่วยพืชช่วยอุตุได้มหาศาล เอามาสังขารสังเคราะห์ร่วมด้วยทำอะไร ตั้งแต่วัตถุเอามาทำประโยชน์ ของพืชมาทำประโยชน์ เอาสัตว์มาทำประโยชน์ ให้แก่โลกได้อย่างดี ได้อย่างถูกต้อง ได้อย่างเป็นความจริง นี่คือสุดยอดแห่งการตรัสรู้ สุดยอดแห่งนักวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณแล้วพระพุทธเจ้า
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้จึงรู้ขนาดนี้ที่พูดให้ฟัง ขออภัยไม่มีใครในยุคนี้ที่จะพูดละเอียดลออได้ขนาดอาตมาหรอก อาตมาพูดนี้เหมือนกับป่าวประกาศแปลว่า ใครพูดได้ดีกว่าอาตมามาสิ มาแสดงตัวร่วมกัน ถ้าพูดได้ดีกว่าอาตมาเป็นพี่อาตมา เป็นผู้ที่เหนือกว่าอาตมาก็จะได้ร่วมกัน ถ้าหากเป็นน้องก็มาเถอะ หรือยังมีอัตตาไม่อยากมา ก็มีเยอะพอสมควร โพธิสัตว์ที่เป็นผู้น้องแต่มีอัตตาอยู่ในตัว มีอัตตาว่าเป็นน้องไม่อยากแสดง ก็จะเป็นตัวเองจะเหนือกว่าให้ได้ในยุคไหนสักยุคหนึ่งก็อาจจะเป็นพี่ นี่คืออัตตาซ้อนอัตตา แต่ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้วก็จะยอมรับ แต่ก็ไม่อยากมาร่วมเพราะมีเหตุปัจจัยอีกเยอะ ยังมีเศษของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ยังมีเศษของอัตตาอยู่บ้างก็ยังไม่มา ไม่เป็นไรก็ตัวใครก็แล้วแต่ตัวใคร ถ้ามาก็ดีจะได้ช่วยสังคม จะได้ช่วยศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ ให้เป็นปึกแผ่นเป็นรูปธรรม คนไม่มามันก็ไม่เป็นสิ่งที่ดี ถ้ามามันเป็นสิ่งที่ดี ไม่เสียเลยถ้าคุณเป็นโพธิสัตว์จึงเป็นผู้น้อง เพราะว่าอกุศลจิตมีอัตตาเห็นแก่ตัวมีมานะคุณไม่มี เพราะฉะนั้นคนที่มาได้มาเถอะ ส่วนคนมาไม่ได้ก็เห็นใจ คนที่มาไม่ได้ ยังต้องรับช่วงอยู่ในกระแสหลักศาสนาพุทธ เข้าใจทุกอย่าง ยอมรับทุกอย่างไม่มีปัญหา แต่ต้องรับหน้าที่นี้ อาตมาก็ขออนุโมทนาด้วย ต้องรับหน้าที่ต้องแบกภาระนั้นไปเป็นกุศลของตน ส่วนจิตวิญญาณนั้น ปัญญารู้ดีว่า อย่างอาตมานี่แหละ เป็นประโยชน์ต่อโลกเยอะ
ตอนนี้แม้แต่สมเด็จพระสังฆราช ท่านประยุทธ์ปยุตโตท่านก็ช่วยคนอื่นช่วยโลกไปก่อน ท่านอาจจะอยากมา หรือไม่อยากจะมาก็ตาม ก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วแต่ท่านจำนน อาตมาก็ต้องขออนุโมทนาสาธุด้วย รับผิดชอบก็จะเป็นกุศลบารมีของท่านเสริมของตน แล้วมันต้องมีในยุคหนึ่งไม่ทำไม่ได้ อาตมาจะไปรับหน้าที่ 2 ด้านไม่ได้ อาตมาก็ต้องทำของอาตมาอย่างนี้ โดยเฉพาะในยุคนี้ ก็ต้องแบ่งกันทำคนละงาน อาตมาไปทำจริงๆก็ไม่ได้ 2 งานนี้ไม่ได้ ตายหยั่งเขียดเลย แค่นี้ก็หนักหนาสาหัสแล้ว พอเห็นใจอาตมาไหม แค่นี้อาตมาก็หนักหนาสาหัสแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องแบ่งกันไปทำกันไปตามควร
_คุณแว๋ว อำนาจ ..ถ้าภรรยา อนุญาตให้สามีมีเมียน้อยได้ด้วยความเต็มใจ ..ภรรยา หรือทั้ง 3 คน จะผิดศีล รึป่ะคะ เพราะภรรยาอยากจะถือศีล 8 แต่ด้านสามียังไม่พร้อม เขาก็เลยอนุญาต ให้สามีมีเมียน้อยได้ จะบาปหรือผิดศีลทั้ง 3 คน หรือเปล่าคะ
พ่อครูว่า…ผิดเพราะทำผิดกฎสังคม ศีลคือกฎของสังคมของวัฒนธรรม แต่ถ้าศีลคุณเองปฏิบัติแล้วเรียนรู้ปรมัตถ์ สามารถเรียนรู้โลกุตระ ศีลก็เป็นข้อขัดเกลากิเลสได้ แต่ศีลของสังคมนั้น ก็สังคมเขาให้มีคู่สามหรือไม่ ถ้าไม่ให้มีมันก็ผิด แต่ถ้าเป็นมุสลิมให้ผู้ชายมีได้ 4 ก็ไม่ผิด ผู้หญิงต้องอยู่กับผู้ชายคน แต่ผู้ชายมี 4 คนได้อย่างสูงสุด นี่ก็เป็นเรื่องของอิสลาม อย่างนี้เป็นต้นก็เรื่องของเขา แต่ของเราไปตามเหตุปัจจัยของโลกสมมติสัจจะ เขาไม่ให้มี 3 คนก็ผิดกฎเกณฑ์สังคมผิดวัฒนธรรม ก็คือศีลนั่นแหละก็คือข้อกำหนด เขาจะเต็มใจก็ตาม แต่มันดีตรงที่ไม่สุขไม่ทุกข์ คุณเต็มใจจะให้แล้ว อย่างเข่งนี่หาเมียให้สามี คุณก็ไม่เดือดร้อนอะไรไม่สุขไม่ทุกข์ แต่กฎเกณฑ์ของสังคมก็ชมเชยคุณด้วยซ้ำไปใจกว้างดี หาภรรยาให้สามี ก็ไม่ได้เสียหายอะไร วัฒนธรรมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
เข่งเขาไม่ได้มีใจชังอะไร ช่วยเหลือเหมือนช่วยน้องให้อยู่ได้ แม้แต่ภรรยาน้อยก็ไม่ได้หึงหวงอะไร มันก็ดีด้วยกันทั้งคู่เป็นประโยชน์ เมื่อถึงเวลาเขาไปรอดแล้วก็มาทางนี้ไม่มีปัญหา อันนี้มันเป็นบารมีของพวกคุณเองมันมีของจริง อย่าไปอย่างนั้นเลยมันมาเดี่ยวอย่างนี้ดีกว่าอย่าไปมัววุ่นวายไม่ต่อแล้ว คุณแหววก็ไปคิดเอาเอง
จริงๆแล้วคุณว่าจิตมันจะนิ่งหรือ มันยังยึดมั่นเป็นเราเป็นของเรามันก็ยังไม่นิ่ง ถ้าพรากได้ก็สบาย ใครไม่พรากก็จับคู่กันอยู่ เรื่องของวิบากกรรมวิบากมัน
_วิจิตร์ ลิ้มสมบัติอนันต์ …ก็ไม่ต่างที่พ่อท่านเคยหลงเชื่อทักษิณ แต่ยุคนี้ร้ายกว่าทักษิณมากครับ… อยากกราบเรียนพ่อท่านว่าหนี้สินประเทศระหว่างประยุทธเป็นนายกถึงเจ็ดล้านๆบาทหนี้ครัวเรือน.สูงมากยุคนี้โกงกันมากแต่พยายามที่จะเป็นต่อเพื่อปกปิดสิ่งเน่าเหม็น
พ่อครูว่า…นักเศรษฐศาสตร์เขาดูแลอยู่ เขาไม่ปล่อยให้พลเอกประยุทธ์มาสร้างหนี้เพิ่มแน่นอน เขาไม่ปล่อยหรอก เชื่อเลย เพราะว่ามันไม่ใช่ยุคที่จะไปปล่อยอย่างทักษิณแล้ว อาตมาดูข้อมูลต่างๆ
ที่บอกว่าในยุคนี้โกงกันมาก อาตมาว่าคุณพูดผิดแล้ว อาตมาว่าในยุคนี้มีการเปิดเผยกันมากไม่มีการปกปิด แล้วเรื่องโกงเล็กน้อย ถ้าอยู่ในวงการก็จะรู้กันแล้ว ในยุคนี้เป็นยุคพัฒนาไม่ให้มีการทุจริตไม่ให้มีการโกง ก็ขนาดบิ๊กป้อม มาช่วยเคลียร์ในเรื่องของนาฬิกาเท่านั้น ก็ยังเป็นเรื่องกันอยู่ถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเรื่องโกงเงินน่ะหรือ ไม่ต้องห่วงหรอกป่านนี้โดน ขนาดไม่จริงยังเอามาสร้างกันถล่มทลาย ถ้าเป็นเรื่องจริงมีหลักฐานไม่เหลือป่านนี้ เอาแต่ประเด็นนี้เท่านั้น แล้วทุกวันนี้สังคมประเทศชาติมันเจริญ มันต้องการล้มล้างการโกง เพราะฉะนั้นพวกที่ช่วยกันทำมา ถ้ามันไม่ดีขึ้นเหมือนอย่างในยุคทักษิณที่เป็นเลวร้ายกว่าในยุคทักษิณควรจะปล่อยไปทำไมจะให้บริหารทำไม ฟังความนี้ชัดเจนไหม
หรือแม้จะพูดว่าโกง ผู้ดูแลเศรษฐกิจแปลว่าอย่างไร บิ๊กแดงผู้ดูแลบ้านเมืองจะไม่พอรู้เหรอ ถ้ามีอย่างนั้นจริงๆ บิ๊กแดงจะยอมไหม พูดก็พูดเถอะถ้าหากบิ๊กแดงจะปฏิวัติพลเอกประยุทธ์จะทำได้ก็ทำได้ แต่ไม่ทำ มีแต่ว่า พวกนั้น อาตมาชอบลีลาของบิ๊กแดงมากเลย ยอดศิลปะเลย งามมากเลย มันต้องใช้เวลามากกว่าเสียงดัง อาตมาต้องใช้อันนี้ด้วยก็เลยเห็นว่าบิ๊กแดง ถ้าไม่อย่างนี้ไม่มีทางหรอก ยุคนี้มันต้องเป็นอย่างนี้มันเป็น Hard Rock แต่ไม่ได้ทำอย่างพร่ำเพรื่อ ขนาดเป็น Hard Rock ก็ยังมีชั้น แต่ไม่ใช่เต้นไปตะบี้ตะบัน ซึ่งมันซับซ้อนมากเรื่องศิลปะในการบริหารมนุษยชาติมันไม่ใช่เรื่องสามัญ อาตมาเป็นโพธิสัตว์มาระดับ 7 ผ่านมามากมายจริงๆ อาตมาเข้าใจ ลีลาอย่างนี้ เมืองไทยทำได้ อเมริกันทำไม่ได้ ยืนยันเลยหยาบอย่างนั้นไม่มีความสามารถทำได้อย่างสวยงามอย่างนี้ ทำไม่ได้หรอก แม้แต่อาตมาว่าจีนก็เถอะ ไม่สามารถทำได้อย่างนี้ แม้แต่รัสเซียก็ยังแข็งและหยาบกว่าจีน อาตมามองแต่ละประเทศแต่ละลีลาของผู้บริหารแต่ละคนในขณะนี้ status quo ขณะนี้ก็หยิบมาอธิบาย
คุณวิจิตร ลิ้มสมบัติอนันต์ ก็ศึกษาให้ดีๆศึกษาให้มากๆ
_SMS วันที่ 7 มี.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ สมณะ สิกขมาตุ : บ้านราช)
_งามใบตอง นิลมณี · กราบนมัสการท่านสมณะท่านสิกขมาตุค่ะการเมืองกำลังร้อนแรงแต่ฟังธรรมท่านแล้วใจสงบเย็นดีค่ะ
_Boonpian Saipanitchapong 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
อรหัน ไม่ควร วุ่นวายการเมืองนะท่าน ปล่อยให้เขาทำกันไป อย่ายกคนโน้น อย่าอวยคนนี้ มันมิใช่วิสัยขอฃอรหันที่จะมายุ่งเกี่ยว สอนสาวกในแนวทางของตัวไม่มีใครว่าหรอก วางเฉยให้เป็น เข้าใจคำว่าวางเฉยให้ลึก:ซึ้ง
พ่อครูว่า…ความเห็นของคุณกับความเห็นของอาตมามันคนละอย่างแล้ว เอวัง คุณจะวางไม่เอาภาระมนุษยชาติก็เรื่องของคุณ แล้วแต่ศีรษะใครศีรษะมันก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็เรื่องศีรษะของอาตมา อาตมาก็ทำของอาตมา ความเห็นต่างกันก็เป็นธรรมดา อาตมาต้องทำกับสังคมจะไปปล่อยปละละเลยมนุษยชาติสังคม อาตมาไม่ใช่ศาสนาไม่เอาสังคม ปลีกแต่ตัวเอง อาตมาไม่ใจดำขนาดนั้น
_Pong 21 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
อรหันต์จริงเลือกข้างโดยไม่รู้จริงได้หรอ หรือท่านเห็นด้วยฌานท่านสร้างผลกรรมทางวาจาที่ไม่ใช่การปล่อยวาง การกระทำย่อมมีผลดีผลเสียต่อปุถุชน เห็นแต่ท่องจำตำราไว้มากการกระทำก็ไม่เท่าไหร่ โสดายังไม่ได้เลย
พ่อครูว่า…อาตมาขอยืนยันว่าจะมารู้จริงเลือกข้างได้ อาตมาเลือกข้างด้วยการรู้จริง ก็ไม่เป็นไร โสดาบันของคุณจะมีประมาณเท่าไหร่ก็เรื่องของคุณ ตอนนี้พวกเราก็กำลังเรียบเรียงตำราโสดาบัน
_gilrot Vilaiwal 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่จะหลงกันในความคิด
ถ้าเห็นแล้วไม่คิด ได้ยินแล้วไม่คิด มันจะไม่มีอะไรเลย แล้วความคิดเองก็ตั้งอยู่ไม่นาน
ฉะนั้นความจริงไม่มีอะไรตรงกับคำว่าอนัตตา
พ่อครูว่า…อาตมาสามารถที่จะร่วมสังเคราะห์ร่วมกับสังคมไม่เหมือนกับคนที่บอกว่าไม่ต้องคิดอะไรตัดช่องน้อยแต่พอตัว อันนั้นอาตมาเข้าใจเคยทำมาแล้วแต่มันเห็นแก่ตัว โง่เง่า อาตมามีพลังจะช่วยคนอื่นได้แล้วอาตมาขอทำเถอะ
_บ้านสวน ปารี 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ไหน๊หลวงพี่ว่า. บรรลุแล้ว. ที่ฟังดูนี่อคติชัดๆ
เห็บหมาวิ่งออกจากหมา. แล้วเห็บศาสนา. จะสำนึกได้เมื่อได
ไปเรื่อง. พระมาพูดการเมือง. หมดเลย
พ่อครูว่า…คุณพูดการเมืองไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่อาตมาจะพูดการเมืองถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพลเมือง ต้องช่วยกันดูแลพลเมือง แต่ของคุณไม่เกี่ยวกับพลเมืองคุณจะไปเกี่ยวกับพลป่าก็ไปป่า คนละพวก ไปอยู่กับเสือสิงห์ลิงค่างไป อาตมาไปอยู่กับพลเมืองกับคน ก็คนละความเห็นไม่มีปัญหาอะไร
_คุณ ๒๐ ๑๙ ….13 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
พระอรหันต์ จะเลือกพลังประชารัฐ
55555
พ่อครูว่า…คุณว่าก็ได้ไม่เป็นไร แต่อาตมาจะเลือกประชารัฐ แต่อาตมาไม่ได้ไปเลือกเองหรอกก็บอกพวกเรา อาตมาไม่ได้ไปบังคับ อาตมาบอกความเห็นของอาตมาเท่านั้น ใครจะไปเลือกอะไรก็ใช้สิทธิ์ส่วนตัว เดี๋ยวจะหาว่าอาตมาไปชี้นำ อาตมาบอกความเห็นของอาตมา อาตมาไม่ได้มีเจตนาชี้นำและบังคับใคร ส่วนใครจะออกความเห็นอะไรนั้นก็แน่นอน
_Aa Aa 17 ชั่วโมงที่ผ่านมา
อบรมธรรมมะก้อดีอยู่ครับ แต่การกินมังสวิรัติมันทรมานร่างกายตรงนี้สำหรับคนชาวบ้านผมว่าไม่ไหวครับ แต่สำหรับพระคงพอได้ สันติอโศกพุทธนอกรีต แต่ก้อยังดีกว่าศาสนาอื่นฯเยอะ แต่ว่ามันเป็นการเดินหลงทางไม่สำเร็จในผลบุญอะไร แต่ก้อไม่ตกนรก
พ่อครูว่า…ก็เป็นความเห็นของคุณ
_สุทัศน์ ศรีสังทวงษ์ 2 วันที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
ทักษิณกับลุ่งตู่มันคนละสถานการณ์ จะว่าใครเก่งกว่าใครไม่ได้ มันเก่งกันคนละอย่าง ทั้งคู่มีคนชอบและไม่ชอบเหมือนๆกันทำใจเถอะครับปล่อยเขาโลดแล่นไปตามกรรม ใครก็ว่าคนของใครดี ท่านคนฉลาดก็อยู่ไปคนโง่ก็อยู่ส่วนของคนโง่ เมื่อท่านไม่เคยช่วยพวกเขาก็ไม่ต้องไปว่าเขา ท่านคือโพธิสัตว์อย่ามายุ่งทางการเมืองเลยท่าน ไปดูแลคนของท่านให้ดีก็น่าจะพอแล้วจะมานั่งตำหนิคนที่คนอื่นเขารักทำไม พูดเรื่องธรรมมะไปครับอย่ามาพูดการเมือง ผมฟังแล้วแสลงหู ที่พูดรู้ว่ามันเป็นอกุศลที่เกิดในจิตของท่าน ผมก็เข้าใจว่าท่านยังตัดไม่ได้ในเวลานี้แต่ในอนาคตการนั้นไม่แน่
พ่อครูว่า…นานาทัศนะ อาตมาไม่วิจัยต่อหรอก อาตมามีความเห็นว่าจะมาอยู่กับมนุษย์จะวิเคราะห์วิจัยมนุษย์และช่วยแนะนำความเห็น อาตมาจะไม่ใจดำ รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรแต่ก็เฉย ใครจะเป็นจะตายอย่างไรก็เฉย อาตมาไม่ได้เข้าใจผิดอย่างนั้นอาตมาเข้าใจว่าอาตมาเข้าใจถูก อาตมาก็ต้องรู้ว่าอะไรควรจะช่วย อะไรควรที่จะช้อนขึ้นไว้ก็ช้อน คนที่จะลงหนักลงต่ำช่วยได้ก็ช้อนขึ้นช้อนไปช่วยกันไป ส่วนใครเจริญก็อนุโมทนาสาธุ ส่งเสริมกันไป ยกย่องกันไป
_มาดูผลงานของพลเอกประยุทธ์ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า
กวนน้ำให้ใส สารส้ม วันศุกร์ ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2562,
รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย แค่ฝันลอยๆ หรือไปถึงไหนแล้ว?
โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงความร่วมมือไทย-จีน ถูกวิพากษ์วิจารณ์และดูแคลนว่า อาจจะล่มปากอ่าว หรือทำได้แค่ถมที่ดิน 3.5 กม. ส่วนที่เหลือไม่มีทางเป็นไปได้
สุดท้าย คงกลายเป็นเหมือนตอม่อโฮปเวลล์ ไม่ได้บรรลุผลสำเร็จจนสามารถให้บริการประชาชน
รัฐบาล คสช. ก็จะถูกจดจำไปอีกนานเท่านานว่าทำโครงการขายฝัน จับต้องอะไรไม่ได้เลย
ฝ่ายที่ต้องการดิสเครดิตคสช. หรือไม่เห็นด้วยกับโครงการตั้งแต่ต้น ก็ตามแช่งโครงการนี้
แต่สำหรับประชาชนที่อยากจะเห็นรถไฟความเร็วสูงในไทย เห็นประโยชน์ ก็ตามเชียร์ ตามลุ้นโครงการนี้ให้เกิดผลสำเร็จ เป็นรูปเป็นร่าง และเปิดให้บริการได้จริงๆ
ล่าสุด การประชุม ครม. เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2562 ได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการดังกล่าว และผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 24-26 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรองประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนเป็นประธานร่วม) ตามที่คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน (คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการฯ) เสนอ
ความคืบหน้าการดำเนินโครงการ สาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
-
การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา
แบ่งออกเป็น 4 ช่วง มีความคืบหน้า ดังนี้
-
การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย
ร.ฟ.ท. อยู่ระหว่างจัดทำรายงานทบทวนผลการศึกษาโครงการฯ ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย โดยกระทรวงคมนาคม (คค.) จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการในเดือนมีนาคม 2562
ร.ฟ.ท. อยู่ระหว่างการดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาไทยเพื่อดำเนินการออกแบบรายละเอียดโครงการฯ ระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะได้รับงบประมาณในเดือนมีนาคม 2562 ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการฯในคราวประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2561 ที่เห็นชอบให้ฝ่ายไทยรับผิดชอบการออกแบบรายละเอียด โครงการฯ ระยะที่ 2
-
การเชื่อมโยงทางรถไฟระหว่างรัฐบาลไทย ลาว และจีน
ฝ่ายจีนจะรับผิดชอบศึกษาความเหมาะสมของโครงการช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ และจะเจรจากับฝ่ายลาวในการอำนวยความสะดวกสำหรับการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟดังกล่าว
ฝ่ายลาวเสนอให้มีจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าอยู่ที่ฝั่งไทย ทั้งนี้ จะมีการหารือสามฝ่ายระหว่างไทย ลาว และจีน ในรายละเอียดต่อไป
-
การถ่ายทอดเทคโนโลยี
ได้มีการฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการออกแบบรายละเอียดงานโยธาตามมาตรฐานการออกแบบรถไฟความเร็วสูงของประเทศจีน ซึ่งจัดขึ้นโดยฝ่ายจีน จำนวน 11 หลักสูตร ระหว่างวันที่ 9-21 กรกฎาคม 2561 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัทเอกชน และสถาบันการศึกษาต่างๆ เข้าร่วม
ฝ่ายไทยจะดำเนินการวิจัยสำรวจข้อมูลความสามารถในการทดสอบและเครื่องมือทดสอบที่มีในปัจจุบันที่สามารถทดสอบผลิตภัณฑ์ ชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบรางและรถไฟความเร็วสูง เพื่อขึ้นทะเบียนห้องปฏิบัติการทดสอบ และขึ้นทะเบียนผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้บริการทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ในระบบรางและรถไฟความเร็วสูง
การจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีระบบขนส่งทางรางแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการงานวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยสถาบันฯ จะดำเนินงานประสานงานในด้านต่างๆ จำนวน 5 ด้าน ได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีมาตรฐานระบบราง อุตสาหกรรมระบบราง การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการทดสอบและการทดลอง โดยพิจารณาแนวทางจัดตั้งองค์กรเป็นรูปแบบองค์การมหาชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.)
-
การจัดตั้งองค์กรบริหารรถไฟความเร็วสูง
คณะอนุกรรมการจัดตั้งองค์กรพิเศษเพื่อกำกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง ภายใต้คณะกรรมการบริหารโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ได้พิจารณาการจัดตั้งองค์กรพิเศษฯ ในรูปแบบ Asset Corporation (Asset Co.) โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และให้ ร.ฟ.ท. เข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้น
ปัจจุบัน สำนักงานบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน คค.อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดร่างขอบเขตงาน (TOR) เพื่อขอรับงบประมาณ และดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาจัดทำรายละเอียดการจัดตั้งองค์กรพิเศษฯ เพื่อให้มีรายละเอียดครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/การร่วมทุนและกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ
-
เงื่อนไขเงินกู้