620325_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 45
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1jxewa7DbAn5m-3BqiF1iVRUQPGor5wY_VTmHwVuRFE4/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1EG81FtAJyLO_eGaeffDc4RYd-WjDn8Lo
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก คนเราฟังธรรมกัน ชาวอโศกเรานี่ฟังกันจริงๆ อีกสัก 10 ปี 20 ปีหรือ 50 ปีข้างหน้า อาจจะต้องหยิบยกเอาของวันนี้ไปอ้างอิงยืนยันในวันโน้น อาจจะมีประเด็นอะไรที่สำคัญที่เอาไปยืนยันอ้างอิงเป็นประโยชน์แก่การเป็นหลักฐานในเรื่องสัจธรรม
ยังไม่มีประเด็นคำถามปัญหาแห้ง เด็กนร.ไม่ได้มาฟัง เพราะเด็กๆพักเนื่องจากหนักจากการเตรียมงานตลาดอาริยะ โดยเฉพาะเรื่องการทำปุ๋ย
พ่อครูยกลูกแตงโมให้คนดู ว่าลูกใหญ่จริงๆ
มีคนที่เขาศึกษาเรื่องโพธิสัตว์แล้วส่งมาให้อาตมา อ้างอิงสัทธรรมปุณฑริกสูตร
SMS วันที่ 22-24 มี.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช)
_6218 ท่านบอกว่าท่านเป็น พระโพธิสัตว์ระดับเจ็ด แต่ไม่เข้าใจ คัมภีร์ สัทธรรมปุณฑริกสูตร ก็เท่ากับ ไม่เข้าใจเรื่องของ พระโพธิสัตว์ครับ ท. ท่าชนะ
พ่อครูว่า…ใช่ อาตมายังไม่ได้ศึกษาแต่มั่นใจว่าหากอาตมาได้อ่านก็จะสรุปเนื้อหาเอามาใช้ปฏิบัติแก่มวลมนุษย์ได้ พ่อครูว่า…อย่างพระอวโลกิเตศวรองค์นี้ ท่านมีปณิธานว่าจะช่วยคนให้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์หมดโลกก่อนตนเองจึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน
อาตมาเป็นโพธิสัตว์หรือไม่เป็นโพธิสัตว์อาตมารู้ และอาตมาก็ใช้คำว่าโพธิสัตว์มานิยามตามความรู้ของอาตมา อาตมายืนยันความเป็นโพธิสัตว์ตามความรู้ของอาตมาโดยไม่ได้เรียนมาจากตำราไหน อาตมาเป็นคนเรียนน้อย อาตมาก็อธิบายตามของอาตมาเลย โพธิสัตว์ 9 ระดับเป็นต้น อาตมาอธิบายเอง ไปยืนยันให้พวกคุณรู้เรื่องได้ ปฏิบัติตามได้ เป็นโพธิสัตว์บ้างหรือเปล่า …เป็นโพธิสัตว์ในระดับ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โพธิสัตว์โสดาบันก็คือ บรรลุโสดาบัน นิยามข้อต้นของโพธิสัตว์คือความเป็นผู้ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วมีการบรรลุธรรม มีผลเป็นโลกุตรธรรม บรรลุโลกุตรธรรม ผู้บรรลุธรรมในระดับหนึ่งคือโสดาบัน ผู้นั้นมีโพธิมีความตรัสรู้ ตรัสรู้คือเป็นผู้เกิดความรู้ ตามคำตรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สรุปความสำคัญเรียกว่าความตรัสรู้หรือคำตรัสรู้ ความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือความรู้เท่าที่ท่านมีแล้วก็เอามาตรัสสอน คำว่าตรัสก็คือพูด ให้คนอื่นเอาไปปฏิบัติตามและบรรลุตามได้
บรรลุแล้วเราก็จะมีปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิเป็นลำดับ รู้ทั้งภายนอกและภายในรู้ธรรมะ 2 เทว รู้รูปรู้นาม รู้โลกียะหรือโลกุตระรู้จิตเจตสิก เช่นสังโยชน์ 10
พระโพธิสัตว์จะต้องมี 3 ข้อแรกบรรลุ 3 ข้อแรก สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ผู้สามารถปฏิบัติ 3 ข้อนี้ได้เรียกเป็นโสดาบัน
สักกายทิฏฐิคือ ความรู้ความเห็นความเข้าใจ ตอนแรกก็เข้าใจรู้เป็นบัญญัติเหตุผลต่างๆ ความหมายที่รู้ สักกะคือตน กายคือสภาพสอง รูปกับนามหรือภายนอกกับภายใน หรือกายต้องมีจิต
คำว่า กาย สำคัญมาก คำว่ากาย ในความหมายของพระพุทธเจ้ามาใช้ปฏิบัติธรรม ต้องเป็นคู่ กายนี่ต้องมีคู่ และคู่ที่ว่าไม่ใช่สองอย่างเฉพาะอุตุนิยาม พลังงานบวก พลังงานลบ พลังงานทั้งหลายเท่านั้น พลังงานบวกลบยังไม่เป็นชีวะ แต่ก็เป็นคู่ เป็น 2 ในนิวเคลียสมีพลังงานบวกลบปรุงแต่งกันได้
มาเป็นชีวะก็มี 2 เหมือนกัน อุตุนิยามก็มี 2 เหมือนกัน ชีวะมีธาตุรู้มีสัญญากับสังขาร สัมผัสอะไรมันก็รู้ว่าเป็นตน สัมผัสแล้วอันนี้เป็นธาตุอาหารที่จะเอามาใช้ในสรีระ มาปรุงแต่งเป็นตัวตนของมัน ถ้าหากอันนี้มันไม่ใช่มันเป็นพิษภัยมันก็ไม่เอา และมันก็ป้องกันได้เท่าที่มันป้องกันได้ ป้องกันไม่ได้พิษภัยก็กินตัวมันตาย แต่มันไม่ไปทำร้ายใคร มันมีแต่ตัวตนของมันรักษาตัวตนสร้างตัวตนไปรอดก็ไปสร้าง ไปไม่รอดก็ศูนย์ มันไม่เป็นพิษภัยกับใคร
คนเป็นจิตนิยาม จิตนิยามตั้งแต่เริ่มเป็นสัตว์เซลล์เดียว อวิชชาพูดกันไม่ไหวยาวนานมาก กว่าจะพัฒนาเซลล์มากขึ้นและพัฒนาระบบอวัยวะ การรับรู้ อีกมากมาย ถ้าจะพูดไปก็เหมือนกับสัทธรรมปุณฑริกสูตร ที่ขยายความเป็นธรรมทั้งหลายอะไรมากมาย ปุณฑริกคือดอกบัว มารวมไว้เป็นหนึ่ง รวมไว้คือมากมายที่เป็นสัทธรรมของพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าที่แตกแยกกันไปอีกหลายองค์อย่างในมหายาน คนที่ศึกษาพระพุทธเจ้าหลายพระองค์นี้จบยากจบไม่ลง ศึกษาว่าพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ก็หลายพระองค์ความคิดมันมากหลากหลายเหลือเกิน อาตมาไม่เคยอ่านสัทธรรมปุณฑริกสูตร ความหมายของโพธิสัตว์ที่อาตมาหมายถึงนี้ผู้ที่มีความรู้ของพุทธเจ้าโพธิญาณแล้วเอามาใช้กับมนุษยชาติ มนุษยชาติก็สามารถเรียนรู้ปฏิบัติตามความรู้นั้นได้แล้วก็จบ อาตมาก็ต่อ ว่าผู้บรรลุได้ ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว
-
รู้จักถ้าจิตของตนเองแล้ว สามารถที่จะทำให้จิตใจตัวเองเป็น 1 เป็น 0 ได้ ถ้าทำให้เป็น 1 ก็พ้นทุกข์ถ้าทำให้เป็น 0 ก็ปรินิพพาน ทำลายธาตุจิตนิยาม สลาย ไม่มาจับตัวกันอีก ไม่มาเป็นธาตุจิตวิญญาณอีกแล้ว แต่ธาตุจิตวิญญาณเรากลายเป็นอุตุ วัตถุหรือจะเหลือเชื้อพีชะบ้าง แต่มาจับตัวประกอบเป็นจิตนิยามไม่ได้อีกแล้ว
ในโสดาบันมี 1 ไม่ใช่ตัวเรา 2 มีตัวเรา ในตัวเราคือจิตวิญญาณเราสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ตั้งแต่อบายภูมิ สิ่งที่เราผูกพันติดยึดจนกระทั่งติดเป็นรสชาติ เราก็ศึกษาอันนี้ อบายภูมิคือเป็นเรื่องต่ำสุดที่เรามี เราควรเลิกได้แล้ว
การเรียนรู้จะต้องสัมผัสของจริง สมมุติว่าคุณติดการพนันติดเหล้าติดสิ่งเสพติด เมื่อคุณสัมผัสใจของคุณก็เป็นทาส หลงใหลติดยึดทนไม่ได้ต้องเสพสุขกับมัน สัมผัสแล้วเมื่อไหร่มันก็ทนไม่ได้ ต้องเสพต้องสุข อดทนได้ชั่วคราว มีวิธีฝึกสะกดจิต Meditation กดข่ม วิกขัมภนปหาน กดข่มทนไม่เอาได้ มันก็ทนได้ ฝึกไปจนกระทั่งฝึกร้อยชาติพันชาติเลยมันก็ต้องทนได้ ทนได้จนกระทั่งนึกว่าตนเองบรรลุไม่วนเวียนไปเสพอีก จิตไม่ได้ล้างกิเลส ไม่ได้อ่านกิเลสจริงว่าเป็นอย่างไร มีสังกัปปะ 7 มีธาตุรู้ มโนปวิจาร 18 แยกธาตุโลกีย์
แล้วมีวิธีจัดการในสังกัปปะ 7 ดึงแยก ธาตุกิเลสออกจากจิตได้ ตั้งแต่อารมณ์ 1 อารมณ์ 2
อารมณ์ 1 คืออารมณ์เฉยๆ อีกอารมณ์หนึ่งคืออารมณ์มีรสมีชาติมีสุขมีทุกข์ คุณแยกแยะอาการได้ก็ลดอาการมีสุขมีทุกข์มีรสมีชาติลดลงไป คุณจะลดลงไปได้ก็ต้องรู้อาการ ซ้อนในเวทนา มันก็เป็นจิต จิตนั้นแยกย่อยเรียกเจตสิก มันเป็นอกุศลเจตสิกเป็นตัวกิเลสเลย ก็ทำให้กิเลสที่เป็นอกุศลเจตสิกมันดับ การเรียนรู้นี้จะต้องรู้ในระบบของปฏิจจสมุปบาททั้งหมด ตั้งแต่ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพชาติ
ล้างจิตที่เป็นกิเลสก็หมดเวทนาเท็จ มันไม่มีอาการตัวกิเลสอีกเลย
อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คุณสามารถเรียนรู้นามรูปได้ต้องรู้ใน 4 อย่างนี้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คุณแยกแยะอาการจิตได้ กำหนดหมายว่าอาการนี้คือจิตสะอาด อาการจิตนี้คืออาการจิตมีกิเลส ทำให้อาการกิเลสมันดับก็ทำให้จิตมีอุเบกขาฐาน จิตไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่บวกไม่ลบ กลางๆเฉยๆว่างๆ ต้องรู้ด้วย ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ศาสนาพุทธจะต้องมีผัสสะ-จริง ปฏิบัติในปัจจุบันธรรมนั้น ของจริงมีพร้อมไม่ใช่ไปนั่งคิดเอา คิดเอาแล้วมันก็เพ้อว่าสูญว่าง แต่สูญอย่างสมถะกับวิปัสสนานั้นเขาแยกไม่ได้จริงเลย เขาไม่ได้สัมผัสมันก็ศูนย์ง่าย แล้วมันจะเปรียบเทียบได้อย่างไร คุณสะกดจิตไว้ได้มันก็สูญก็ได้ คุณจะสะกดจิตคุณก็ 000 ไปเรื่อย ได้วิกขัมภนปหาน แต่เวลาสัมผัสจริง คุณสะกดจิตได้ meditation ได้เก่ง เก่งจนคุณไม่รู้ว่าเกิด 1 ชาติ 2 ชาติ 3 ชาติ 4 ชาติ 5 ชาติ จนชาติแต่ละชาติก็วนเวียนเป็นกัปป์ เอากี่ปีก็แล้วแต่สมมุติ เป็น แสนชาติล้านชาติเป็นกัปป์ก็ได้
สมมุติว่าชีวิตเรามี 100 ปีเป็น 1 กัปป์ หากปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนได้ถูกต้อง หาคนล้างกิเลสได้จริงก็จะปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ คุณปฏิบัติถูกต้องเลย ปรินิพพานได้จริง 100 ปีคุณไม่มาเกิดได้ แต่ถ้าคุณปฏิบัติแต่ไม่ได้จริง 100 ปี คุณก็มาเกิดอีก กดข่มได้ 100 ปีคุณก็มาเกิด ส่วนมากคุณจะไม่รู้ตัวเมื่อเกิดมาอีก เพราะคนที่ทำได้ยังไม่เก่งได้แค่ร้อยปี คุณก็จะหลงไปกับโลกีย์ไปอีก จนไปเจอกับสัตบุรุษคุณก็จะได้วิธีปฏิบัติอีก ที่เคยได้ 100 ปีมันก็จะขึ้นมาให้คุณรู้ว่า อ๋อ แล้วก็จะทำอีกได้อีก พอได้อีก ก็ถ้าสมมุติว่า เป็นทางที่ถูกต้อง สัมมาทิฏฐิ คุณก็ได้อีก 100 ปี อีก 200 ปีคุณก็สะกดไว้ได้ แต่เกินกว่า 200 ปีคุณก็ยังกลับคืนได้ ทำอย่างนี้ไปจนเกิด สามเส้าเป็น 300 ปี แล้วจาก 300 ปีอีกสามเส้าคุณก็ไม่เกิด เกิดมาอีก 9 ยกกำลังอีก ก็จะนานกว่านั้น นานไปอีกจนกระทั่ง ถ้าคุณยังไม่รู้ที่จบอย่าง 0 ที่แท้จริง คุณพักยาวไปเรื่อย สัทธรรมปุณฑริกสูตรคุณก็จะยาวไปเรื่อยๆจนนำมาพูดกันไม่รู้เรื่องเพราะมันเยอะามันมากเหลือเกิน พูดกันจนกระทั่งแม้ว่ามันจะมีจบนะ อย่างพระอวโลกิเตศวรมีจบ แต่มันไม่เคยจบ ก็เท่ากับว่ารู้ที่สุดแต่ไม่รู้ที่สุด คุณรู้ที่สุดของอันหนึ่ง แต่คุณไม่รู้ที่สุดของอันที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้นถ้าอย่างนี้คุณไม่มีปรินิพพานเป็นปริโยสาน เหมือนกับพระอวโลกิเตศวรท่านรู้จักตรงนี้หรือเปล่าไม่รู้ อาตมาไม่รู้ แต่แน่นอนการศึกษารู้จักตัวจบรู้จักจิตเจตสิกท่านเรียกว่าเป็นพุทธ ถ้าไม่เรียกว่าพุทธก็เป็นเทวนิยมนานเป็นล้านชาติ นานมากกว่าพุทธศาสนาด้วย พระพุทธศาสนานั้นมีที่จบ แต่เทวนิยมนั้นไม่มีที่จบเป็นนิรันดร ยิ่งเทวนิยมผสมกับพระพุทธเจ้า ก็กลายเป็นสัทธรรมปุณฑริกสูตร ไปไม่รู้กี่กัปป์ต่อกี่กัปป์ ซ้อนๆๆ ถ้าคุณจะเอาความรู้แบบนั้นคุณไม่มีที่จบ แต่คุณว่าคุณลดได้แต่มันไม่จบ คุณมีจบและไม่มีที่จบ คุณจบได้แต่คุณไม่จบจริง ตามของพุทธศาสนาที่อาตมากำลังพูดนี้จบได้จริง มีที่จบและจบได้ จึงจบได้ด้วย หมดความไม่รู้อย่างไม่มีเศษเหลือ มีสอุปาทิเสสนิพพานกับอนุปาทิเสสนิพพาน จึงชัดเจนอย่างอาตมา สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานได้แต่ไม่ยอมจบ ต่อเมื่อทำปรินิพพานเป็นปริโยสานก็จึงจะจบ เทวนิยมมี 2 นี้อาตมาซาบซึ้ง ในโลกนี้มีเทวะกับอเทวะเท่านั้น อเทวะคือล้างเทวะได้สูญได้ นิพพานของพระพุทธเจ้านั้นดับเทวะได้ให้เป็น 0 จบเรื่องนี้ตายแหงแก๋ ด้วยฝีมือเรา
อาตมาพยายามสร้างพลังงานสัมประสิทธิ์ให้สังขารร่างกายเรามันหมุนเวียนมีอายุวัฒนะ ยืนยาวต่อไปได้เรื่อย ๆ ติดตามให้ดีอย่าเพิ่งตาย จะได้รู้ว่าอาตมาจะอยู่กี่ปีอายุเท่าไหร่ ถ้าอยู่ถึงร้อยก็ฉลองได้ดีเลย
_เกร็ดดิน…ให้พ่อครูช่วยตรวจสอบบัญญัติกับสภาวะเป็นอย่างนี้ การที่แต่ละเรื่องของกิเลสที่เรารู้ ดิฉันจะจับเรื่องทุกข์ก่อนแล้วหาเหตุ เมื่อรู้เหตุ เมื่อจะตัดมันได้ก็คือว่าในปัจจุบันนั้นเราจะรู้ว่ามันไม่เห็นมีตัวตนเลย มันไม่เที่ยงมันปรับเปลี่ยนไป มันก็หลุดได้เลย ถอนอาสวะได้หรือไม่ ก็จะเช็คเวทนา 108 ว่าเรื่องนี้มันไม่มีได้จริง กี่หนๆก็ไม่มี อันนั้นคือถอนอนุสัยใช่ไหม
พ่อครูว่า..ถอนอาสวะ แต่อนุสัยยัง ต้องมีภูมิอาสวะสิ้นก่อนแล้วค่อยตรวจ อนุสัย 7
สภาพอนุสัย สามข้อแรกเป็นต้นแบบ
อนุสัยมี 7
-
กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
-
ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
-
ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
-
วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)
-
มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
-
ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
-
อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 11)
อาสวะ 4
-
กามาสวะ
-
ภวาสวะ
-
ทิฏฐาสวะ
-
อวิชชาสวะ
(พตปฎ. เล่ม 35 ข้อ 961)
_เกร็ดดินว่า..อาสวะได้แล้ว จะรู้อนุสัยได้อย่างไร
พ่อครูว่า…ก็เช็คจริงไป เรารู้อาการ กามราคะ ปฏิฆะ ทิฏฐาสวะ ไปจนอวิชชานุสัย กับอวิชชาสวะก็ตรวจเช็คได้
ผู้ที่พระพุทธเจ้ารับว่าเป็นอรหันต์คือปัญญาวิมุติ กิเลสาสวะสิ้นหมด ถ้าแค่กายสักขี อาสวะบางอย่างดับ ถ้าสามารถดับสังโยชน์ 10 ดับอาสวะได้ แต่อุภโตภาควิมุตินี้ดับอนุสัยได้ด้วย
_เกร็ดดินว่า… ดิฉันมีความเข้าใจ ปริวัติ 3 อาการ 12 ก็คือ อาริยสัจ 4 กับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และก็มีวิปลาส 4 กับวิปลาส 3 อีก
พ่อครูว่า…จริงๆแล้วมันจะต่างตรงที่ว่า วิปลาส 3 ถ้าคุณวิปลาสได้วิปลาส 1 อยู่ไม่สามารถทำวิปลาส 4 นี้หมดได้ คุณต้องไม่มี วิปลาส3 คือจิต ทิฏฐิ สัญญา วิปลาส
กิริยาที่ถือโดยอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง, ความเห็นหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสภาพที่เป็นจริง มีดังนี้ :
ก. วิปลาสด้วยอำนาจจิต และเจตสิก 3 ประการ คือ
-
วิปลาสด้วยอำนาจสำคัญผิด เรียกว่า สัญญาวิปลาส
-
วิปลาสด้วยอำนาจคิดผิด เรียกว่า จิตตวิปลาส
-
วิปลาสด้วยอำนาจเห็นผิด เรียกว่า ทิฏฐิวิปลาส
สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ ด้วยฐานที่มีทิฐิ มีจิตเป็นตัวตั้ง สามเส้าต้องทำงานตลอดเวลา แล้วไปกำหนด
ข. วิปลาสด้วยยึดเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง 4 ประการ คือ
-
วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
-
วิปลาสในของที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
-
วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน
-
วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม (เขียนว่า พิปลาส ก็มี)
พยัญชนะเหล่านี้สัมผัสแล้วรู้สภาวะ เราพ้นทุกข์ได้จากวิปลาส 4 ไปตามลำดับ ในการกระทบบุคคลตัวตนเราเขา ข้าวของอะไรต่างๆ จนอาการกิเลสของเรามันหมดไปจริง หมดจนกระทั่งสัมผัสอยู่ก็ไม่มีกิเลส นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ไม่มีปัญหาเลย อาเสวนาภาวนาพหุลีกีมมัง ด้วยเวทนา 108 สั่งสมจิตเป็นฐานอดีต จนอนาคตมาเท่าไหร่ก็มาเจอปัจจุบันเราทำได้ตลอด ก็ทำได้สมบูรณ์แบบก็เป็นปรินิพพานปริโยสานได้ แต่ถ้าทำได้ไม่สมบูรณ์ก็จะเหลือเศษที่เวียนกลับได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ซ้อนอยู่อย่างนั้น
_ดิฉันมีสัญญาตั้งแต่เกิดว่าเกิดมาจะต้องไปเจอพระพุทธเจ้า ไปเจอท่านพุทธทาสเราก็นึกว่าเจอแล้ว แต่สำคัญคือเหตุแห่งทุกข์ต้องหาให้เจอถึงรากโคน แล้วมาผัสสะ
_พิมพ์เพชรรุ้ง…วันนี้มีเรื่องสารภาพ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ลูกไปลงคะแนนเสียงนอกเขต และสารภาพว่าไม่ได้ลงให้พรรคพลังประชารัฐ ลงให้พรรคลุงกำนัน เพราะคิดว่าลุงกำนันก็สนับสนุนให้ลุงตู่ แต่ไม่ได้ติดตามข่าวปัจจุบันและคิดว่าลุงตู่นอนมา แต่พอเห็นข่าวก็ไม่ค่อยสบายใจ เช้าวันนี้ไปฟังธรรม ท่านฟ้าไทพูดเรื่องคนไม่ทำตามที่พ่อท่านบอก ก็เห็นอัตตาตัวยึดดีถือดีของตน ก็คิดว่าครั้งนี้ได้เรียนรู้ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีก
พ่อครูว่า…คนเราก็เรียนรู้จากประสบการณ์ ประสบการณ์นี้แหละสำคัญ คนที่ยึดมั่นถือมั่นเก่ง ต้องอาศัยประสบการณ์ ท่านมีคำพังเพยว่าคางคกเลือดหัวไม่ตกยางไม่ออกมันไม่เข็ด ตัวเองจะต้องบาดเจ็บปางตายของตนก่อน ก็เสียเวลาเจ็บตัวเพิ่ม แต่ที่เราพูดไม่ได้เรื่องเจ็บตัว แต่เป็นเรื่องนามธรรมจิตเจตสิกมันก็เจ็บเหมือนกัน เราสามารถรู้อาการเจ็บปวดอาการไม่ปกติคืออะไร
_ช่วงนี้บรรยากาศของการเลือกตั้ง ลูกชาวบ้านราชฯลุ้นว่าลุงตู่จะได้เป็นนายกต่อหรือไม่ (พ่อครูว่า… นี่ไม่แน่นะว่าจะได้หรือไม่?) พ่อครูรู้สึกอย่างไรกับบรรยากาศขณะนี้ ช่วยไขให้ลูกๆฟังด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…ติดตามเหลือเกินนะ เล่นเอาไม่นอนเลย ก็เอานอนหลับเถอะน่า ก่อนจะตอบจะพยากรณ์บ้าง แต่ไม่พยากรณ์อย่างเรียกว่าปักเลยนะ บอกไว้ก่อน เพราะอาตมาไม่ชอบที่จะพยากรณ์บอกปักไปเลย เพราะว่ามันเท่ากับสร้างความติดยึดหลงใหลยึดมั่น ให้ต้องใช้ความคิดพิจารณาในแต่ละคน
ถ้าอาตมาพยากรณ์ผิดอีกหน้าแตกอาตมาไม่พยากรณ์ปักไว้ดีกว่า ถ้าอาตมาไม่พยากรณ์ปักก็ไม่หน้าแตก หากอะไรเปรี้ยงๆนี้เชื่ออาตมาเถอะ หากอาตมาบอกอะไรเปรี้ยงๆนี่นะ เชื่ออาตมา นี่เป็นอย่างนั้นหากอาตมาไม่เปรี้ยงๆมากก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะอาตมาเป็นคนอย่างนั้น ถ้าเปรี้ยงก็แรง อย่างเช่นอาตมาบรรยายว่าการหลับตาปฏิบัติธรรมนั้นมันไม่ใช่ โง่ดักดาน แรงเลย อันนี้อาตมาแน่ใจ พวกเราเข้าใจเอาไปปฏิบัติก็ได้มรรคผลมาเพราะเราฟังอาตมา จึงได้มรรคผล ศาสนาพุทธเกิดมาตั้ง 2,500 กว่าปี ไม่มีของจริงมีแต่อรหันต์เก๊ อรหันต์ปลอมหลอกกัน อาตมามาฉีกหน้าอรหันต์ปลอมอรหันต์เก๊ พวกคุณก็เชื่อตาม มาพิสูจน์ตามก็ได้ระดับโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ มา 50 ปีแล้ว พวกเราก็ยังอยากบ้างแต่ไม่หลงตัว พวกเราไม่มีใครมาประกาศว่าเป็นอรหันต์เลอะเทอะ เดี๋ยวหน้าแตกเละเทะเสียของ เพราะสาเฐยจิตอยากอวดโชว์มันลดน้อยลง ถ้าไม่ลดก็อวดเละเทะ อรหันต์ในอโศกจะบานตะโก้เละเทะ แต่นี่พวกเราเข้าใจมั่นใจแล้วแต่กิเลส สาเฐยจิตมันลดลงน้อยลง เพราะว่าอย่าทำเล่น แค่โสดาบันพวกเรายังไม่อยากอวดเลย แทบว่าเกือบหมดเลยพวกเรา สกิทาคามีมีเยอะในพวกเรา อนาคามีก็ไม่น้อย อรหันต์นั้นมีจริง ศึกษาไปจะรู้ได้ด้วยตน มีอย่างไรเป็นอย่างไร
ทีนี้ถามว่า บรรยากาศตอนนี้เป็นอย่างไร อาตมาว่าอยู่ในบรรยากาศที่ไม่เลว
-
ไม่รุนแรง นี่เห็นร่วมกันไหมบรรยากาศไม่รุนแรง เพราะฉะนั้น ในวินาทีนี้ต่อไป ถ้าเกิดเป็นตัวป่วนทำให้เกิดความรุนแรงระวังเถอะๆ เพราะเขารักษาความสงบมา คสช.รักษาความสงบเป็นที่ยอมรับแก่โลก จนโลกยอมรับว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่รัฐประหารไม่ใช่เผด็จการ ความหมายของรัฐประหารเผด็จการคือ มีอำนาจกองทัพเครื่องมืออาวุธ มันก็ใช้อันนั้นเอาเปรียบเอาชนะ ปฏิวัติได้ แต่เมืองไทยไม่ได้ปฏิวัติแบบนั้น แต่เป็นประชาชนปฏิวัติ คนยังไม่ค่อยเข้าใจ มือเปล่าจะไปปฏิวัติได้อย่างไรเพราะว่ารัฐบาลมีทั้งกองทัพมีเงินทองอำนาจอาวุธครบพร้อมทุกอย่าง รัฐบาลทักษิณมีทุกอย่างเหมือนกัน รัฐบาลสมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ประชาชนก็ไม่ยอมไม่กลัวปฏิวัติได้ด้วยมือเปล่า
จะท้าวความตรงนี้หน่อย ประชาชนปฏิวัติด้วยความสงบอย่างไรและมีนัยยะที่เกิดผลเป็นไปได้อย่างไร
การปฏิวัตินั้นอาตมาเองก็เป็นตัวปฏิกิริยา activist ในนั้น แน่นอนแท้จริงไม่ได้พูดเล่น และสามารถปฏิวัติได้ผลมา มันก็มีหลักการหลักเกณฑ์ต่างๆ เรามีโบรชัวร์ Neo Protest
อาตมานำพาไปถวายฎีกาหน้าพระบรมมหาราชวัง เอาสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา พวกเราเดินไป ว่าเราถวายฎีกา เราปฏิวัติสำเร็จแล้ว ในพระราชวังไม่ให้เข้าเลย เป็นวิบากของเรามันจะได้เท่านี้ ก็เป็นเหตุการณ์หลักฐานเรียบร้อยแล้ว มันเป็นวิบากในยุคนี้ ประชาชนมาปฏิวัติได้เรียบร้อยอย่างสากล พลังประชาชนสงบไม่มีอาวุธมวลใหญ่ไม่มี แต่ฝั่งตรงข้ามเอามาใช้หรือ error ประชาชนเอาไปบ้างแต่ไม่ได้นำมาใช้ ก็มีพวกเราถูกจับ error แต่องค์รวมแล้วนี้เรียกว่าได้เลยว่า เป็น NEO PROTEST ปฏิวัติด้วยมือเปล่าไม่มีอาวุธแล้วใช้ความจริงของความผิดของรัฐบาลเอง มีหลักฐานยืนยันวันเวลาเหตุการณ์ ทุกอย่างเลย จนคณะรัฐบาลทรราชแต่ละรัฐบาล ยอมรับ ด้วยความจำนนเถียงไม่ขึ้น ชนะอย่างแท้จริง ชนะมันครั้งเดียวไม่ได้เขาไม่รู้เรื่อง ขนาดที่ชนะตั้ง 4 รัฐบาล แถมรัฐบาลของนายกอภิสิทธิ์อีก 1 แต่นายกฯอภิสิทธิ์ไม่ได้มีความผิดก็เป็นรัฐบาลต่อไปได้ แต่อีก 4 รัฐบาลนั้น คุณสมัครตายไปเสียก่อนก็จบไป แต่คุณสมชายยังอยู่กะร่องกะแร่งยังเห็นตัวอยู่มั้ย เป็นแต่เพียงว่าจะไม่รู้ว่ามีโทษทัณฑ์กฎหมายใหม่ เขาเป็นนักกฎหมายด้วยนะ
ก็พิสูจน์มาตั้ง 4-5 รัฐบาลนี่คือฝีมือของประชาชนที่ยิ่งใหญ่สงบสวยงามที่สุด ประชาชนปฏิวัติเสร็จแล้ว มันงามตรงที่ว่าคนที่พอเหมาะอย่างพลเอกประยุทธ์มารับช่วง มา Corridor มารับไม้ผลัดต่ออย่างสวยงาม Democracy Corridor เรียกว่าประชาธิปัตยายตนะ เป็นประชาธิปไตยที่มีสะพานอายตนะเชื่อมต่อ ระหว่างประชาชนกับ ผู้รับช่วงก็พร้อมเป็นผู้รักษาความสงบมีหน้าที่ตำแหน่งเป็นทหารมีอาวุธเป็นเรื่องของโลกต้องมีอย่างนั้น มันไม่ใช่ประชาชนที่แท้จริง ในอนาคตจะมีการปฏิวัติด้วยประชาชน แล้วจะมีประชาชนมาเป็นผู้รับช่วงเต็มขั้น ไม่ต้องมีทหารเป็นผู้มารับช่วงแล้วเป็นการปฏิวัติแบบนี้จะมีอีกได้ในอนาคต แต่คงอาตมาตายแล้วหรือไม่แน่ ในอายุเราก็อาจเป็นได้ จะปฏิวัติได้งามกว่านี้ผู้มารับช่วงจะได้งามกว่านี้ อย่างพลเอกประยุทธ์ก็อยู่ในคราบทหาร จะบอกว่าเป็นนักการเมืองก็ยังมีคราบของทหารปนอยู่บ้างทั้งที่ไม่ได้เอาอำนาจของทหารมายึดเลย เพราะว่ารัฐบาลเขาหมดท่าแล้ว ประชาชนมัดตราสังข์เสร็จหมดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็มาเอาศพนี้ไปเผาแล้วทำงานต่อ พลเอกประยุทธ์ก็เหมือนกับสัปเหร่อ แต่ไม่ใช่ธรรมดาเพราะมีพัฒนาการมีการสร้างสรรค์พัฒนาความเจริญของสังคมความเจริญของประเทศชาติ
การปฏิวัติมีเค้าเงื่อนที่ว่า สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น
เราทำได้เพราะพวกเรามีภูมิปัญญา มีความรู้ความสามารถเป็นมนุษย์อาริยะ คนไทยเป็นมนุษย์อาริยะ ถ้าไม่ใช่มนุษย์อริยะ เป็นมนุษย์มิลักขะทำไม่ได้
เป้าหมายของชุมนุมคือ
-
ไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่มีปริมาณแสดงออกเป็นประชาธิปไตย ประชากรต้องมีความรู้ความสามารถในทางประชาธิปไตยคือเพื่อประชาชนไม่เพื่อตัวเอง มีอิสรเสรีภาพไม่มีอัตตามีปัญญา
-
มีคุณภาพจิตที่มีความรู้ประชาธิปไตย คือ จิต 1.อิสรเสรีภาพ 2. ไร้อัตตาตัวตน 3.มีปัญญา
ก็มีคุณภาพจิตถึงขั้นเป็นอเทวนิยม ถ้าเป็นชาวเทวนิยมนี้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบไม่ได้ ขอยืนยันเพราะไม่รู้จักอัตตา ตีเทวะไม่แตกไม่มีความรู้ในทางปรมัตถ์โลกุตระเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ อย่างมากก็เป็นประชาธิปไตยแต่เปลือก ขี้หลอกในโลก ขออภัยพูดแรงเหมือนข่มแต่เพื่อยืนยัน
-
เพื่อมาแสดงสิทธิร่วมชุมนุม ของแต่ละคนมาประท้วงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ยืนยันอำนาจอธิปไตยของมวลประชาชน
-
ไม่มุ่งหมายเอาชนะหรือแพ้ เอาความจริงเป็นตัวปรากฏให้สำเร็จผล สำเร็จแล้วเราก็ไม่แพ้หรือชนะ
-
เอาวิถีชีวิตความเป็นสาธารณโภคีมาแสดง
ตอนนี้อาตมาก็ยังยืนยันว่าอธิบายไม่เก่งแต่พาทำ รูปของสาธารณโภคี ซึ่ง ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องของสังคมศาสตร์รัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ สุดยอด ทุกคนเป็นคนส่วนกลางมีใจเป็นกลางไม่มีตัวตน ไม่มีอัตตา แม้นมีก็มีน้อยจนกระทั่งมันไม่แสดงออก โดยค่าเฉลี่ยของมวลรวมแล้วไม่มีบทบาทส่วนตัวตัวตนให้คนแย้งได้
ใครเรียบเรียงมาตั้งแต่พ.ศ.เท่าไหร่
ประชากรชาวอโศก ตั้งแต่ยังอ่อนจนถึงอย่างแก่ มีเท่าไหร่ รวมกันเป็นสาธารณโภคี ข้าจะอยู่อย่างนี้ไปจนตายยกมือ ระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน อาตมาจึงต้องลากสังขารให้อายุยืนยาวต่อไป
รูปแบบการชุมนุม คือ
-
สุภาพสงบและเรียบร้อย
-
ไม่มีความรุนแรง
-
เสนอความรู้และความจริง ความรู้เป็นองค์ประกอบความจริงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างมีหลักฐานตัวตนมีบุคคล มีเวลาเอามาอ้างอิงยืนยันได้หมด
-
ไม่หยาบ ไม่ผิด แต่กล่าวคำแรงๆเสียงดังเท่าไรได้
เราทำได้เรียบร้อย จนบรรลุผลสำเร็จชนะ
ยุทธวิธีการชุมนุม
ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่ Neo protest มีความหมายว่า
-
ให้มีประโยชน์และมีคุณค่ากับการพัฒนาประชาธิปไตย
-
มุ่งเอาความจริงความรู้มาตีแผ่
-
ไม่มุ่งหมายเอาแพ้ชนะ
-
ไม่รุนแรง
-
ไม่หยาบคาย
-
เพื่อยกระดับการต่อสู้ขึ้นสู่วิถีอาริยชน
อาตมาร่างเองและเอาไปทำโบรชัวร์ พวกเราไปปฏิบัติตามได้จนเป็นผลงานปฏิวัติได้สำเร็จจนถึง 4 รัฐบาลอย่างสำคัญเลย ยืนยัน ปฏิวัติด้วยประชาชนจริงๆ ขออภัยที่เอามาพูดไม่ใช่ทวงบุญคุณแต่เพื่อวิชาการ การศึกษาที่มีความจริงยอมรับไม่ใช่พูดเอาแต่ตรรกะ คิดเอาเป็นไปไม่ได้ แต่นี่มันเป็นไปได้แล้วผ่านเหตุการณ์ในประเทศไทยมีของจริง ใครมีหลักฐานเป็นนักรัฐศาสตร์ก็เชิญรวบรวมเลย อาตมานำเอาภาษาของคานธีมาหน่อย
สัตยาเคราะห์แบบนี้..จนกระทั่งกอบกู้ประเทศชาติได้ เอาความจริงเป็นหลักทั้งตีแตกและรวบรวม เรามุ่งเอาความจริงความรู้มาตีแผ่เปิดเผยเป็นหลัก เอาความจริงความถูกต้องที่เป็นหลักฐานแท้ ว่ามันจริงอย่างนั้นไม่จริงอย่างนี้ ก็จะถูกเอามาเปิดเผยให้มากๆ หมดๆ นี่คือยุทธศาสตร์ใหญ่ของเราที่จะ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ
เราก็จะได้เป็นผู้ที่มีความรู้ทำอะไรอย่างอาริยชนเป็นคนศิวิไลซ์ ซึ่งไม่ใช่คนเถื่อนๆเอาแต่เรี่ยวแรงมาฆ่าแกงกัน คนผู้ประเสริฐแล้วถ้าจะชนะกันก็ต้องชนะกันด้วยความถูกต้องหรือความจริง ผู้ใดมีความถูกต้องความจริงกว่า ก็ชนะไปตามสัจธรรม ซึ่งจะมีทั้งตุลาการภิวัฒน์ และประชาภิวัฒน์ เป็นผู้ตัดสิน
ตุลาการก็คือเป็นหลักการที่เป็นที่ยอมรับ ของไทยก็ยอมรับของไทยของสากลก็เป็นของสากล ตุลาการภิวัฒน์ของสากลเขายังเข้าใจครบพร้อมลึกซึ้งอย่างไทยไม่ได้
แต่ประชาภิวัฒน์นั้นมีผลสำเร็จชัดเจนทั้งรัฐบาลทักษิณที่ร้ายกาจขนาดนั้น ทุกวันนี้ยังไม่หมดเสี้ยนหนามสิ้นเลย ขนาดไหน นี่ยังอยู่เลยนะ ไม่หมดทีเดียว แต่อาตมาว่าโลกรู้แล้ว โลกจะรู้จากพฤติการณ์จริงของทักษิณทำ และโลกจะรู้จักพฤติการณ์ของประเทศไทยที่มีพลเอกประยุทธ์เป็นเบอร์ 1 ของประเทศทำอยู่ เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตย 2 ขา ประเทศที่มีประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีแบบนี้ ประเทศที่มีประชาธิปไตยสองขาที่มีกษัตริย์ด้วยก็จะรู้ จะได้เป็นพระมหากษัตริย์หรือจักรพรรดิ หรือจะเป็นสุลต่าน ภาษาสื่อให้เป็นการเข้าใจสภาวะเป็นสิ่งที่หมายถึงสภาวะอย่างนี้ใช้แทนกันได้ ไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่แกนหลักเหมือนกัน
ต้องใช้ ตุลาการภิวัฒน์คู่กับประชาภิวัฒน์ ในขณะนี้ทักษิณพยายามจะตีตุลาการภิวัฒน์ ไม่ยอมรับ และพยายามที่จะยึดอำนาจ ประชาชน ซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข เขาก็จะยึดอำนาจกษัตริย์ด้วย จะเห็นได้ขณะนี้ ทักษิณนี้มีความรู้เรื่องนี้ เพราะจบดอกเตอร์ทางอาชญาวิทยา เขาก็เอาความรู้ทางด้านอาชญาวิทยาเป็นอาชญากรตัวอย่างของมนุษยชาติในโลก อาชญากรตั้งแต่วิธีการโกง เงินของประเทศไทยมากจนกระทั่งทุกวันนี้เขาก็ยังใช้เงินนี่แหละเป็นอำนาจอยู่ เขาจะมีมากพอ ทักษิณนี้ขี้เหนียวสุดยอดเลย แต่เขาก็ใช้เงินเป็นประโยชน์ต่อเขาได้อย่างเป็นตัวอย่างที่เลวทรามได้สุดยอดเลย คือหลอกคนอื่นว่าดี คนโง่ถูกเขาครอบงำจนเป็นทาส เดี๋ยวนี้คนไทยยังหลงนิยมชมชื่นเขาอยู่เลย
พรรคการเมืองเดี๋ยวนี้ก็ยังเหลือเศษเชื้อโรคทักษิณอยู่เลย มีแรงไม่ใช่เล่นเลยเพราะฉะนั้น ขอเตือนสำนึกคนไทย แยกให้ออก มีฝ่ายทักษิณกับฝ่ายประชาธิปไตยไทยมีประชาธิปไตยสองขาที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทักษิณฉลาดจึงดึงเอาอะไรลงไปได้ให้เป็นประโยชน์ต่อเขา นี่แหละมันซับซ้อนลึกซึ้งที่สุดเลย เขาใช้เงินนี้ซื้อให้เป็นอภินันทนาการ ราคาตั้งพันล้าน อะไรอย่างนี้เป็นต้น สุดยอดเลย อาชญากรคนนี้ สร้างอาชญวิทยาซับซ้อน เอาไปสร้างหนังจีนได้ไม่รู้กี่เรื่อง เข้าใจรายละเอียดพวกนี้ให้ได้เถอะ
ต้องมีทั้งตุลาการภิวัฒน์และประชาภิวัฒน์ อันหนึ่งเป็นหลักเกณฑ์หลักการเป็นตุลาการภิวัฒน์ ประชาภิวัฒน์นั้นหนึ่งคนก็มีหนึ่งเสียง ร้อยคนก็ร้อยเสียง ล้านคนก็ล้านเสียงเป็นตัวจริงเห็นกันชัดๆเลย อันนี้แหละเป็นเรื่องประชาธิปไตยที่คือประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตย ออกมาแสดงตัวให้ปรากฏ ก็จะเป็นการยืนยันความจริงว่านี่คือประชาชนมาแสดงอำนาจอธิปไตยของแต่ละคนที่มีสิทธิ ประชาชนท่านใดที่เห็นด้วย ก็ขอให้ออกมาชุมนุมกัน ขอให้มาแสดงคะแนนเสียงความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเราจะมีแผนกลงทะเบียน กรุณามาบอกชื่อหลักฐานด้วยเราจะได้บันทึกเอาไว้ เพื่อทำการอภิวัฒน์ประชาธิปไตยไทยให้เจริญรุ่งเรือง
เป็นข้อความในโบรชัวร์ของเรา เล็กๆน้อยๆแต่คนไทยมีภูมิปัญญาเอาไปปฏิบัติได้จนกระทั่งปฏิวัติรัฐบาลทรราช สำเร็จได้ถึง 4 รัฐบาล 3 รัฐบาลก็เป็นสามเส้า แต่สี่รัฐบาลแสดงว่าดีขึ้นมา ยังมีเศษรัฐบาลประชาธิปัตย์ เป็น 5 รัฐบาล เพราะฉะนั้น จะมีประชาชนรัฐประหารอีกหรือไม่หนอ แต่อาตมาก็ยังไม่อยากพยากรณ์ไว้ก่อน จะประมาท ให้ระมัดระวังไว้ สังวรระวังอย่าประมาท ทำด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ ทำอย่างขวนขวายช่วยกันให้ดีที่สุดงดงามที่สุดเรียบร้อยที่สุดช่วยกัน
สรุปว่า…โปรดติดตามตอนต่อไป
_ต้องตาย…อยากจะสอบถามสภาวะ ดิฉันเกิดมาชอบฟังเพลงร้องเพลง จนรู้จักอโศกเลยเลิก ร้องเพลงเต้นรำทุกอย่าง เวลาผ่านมาดิฉันก็ปล่อย ครั้งแรกเลิกหมดเลย พอรู้ว่าไม่ต้องสุขทุกข์กับการวิ่งไปหามัน ก็ฟังบ้างร้องบ้างนิดหน่อย แต่พอย้ายมาอยู่บ้านราชฯ กลางคืนจะมีคลื่นแทรกมาตามลำโพงมีเพลงสุนทราภรณ์ ฟังแล้วมันรู้สึกรื่นหู ผัสสะนี้ทำให้ดิฉันรู้ว่ามันยังไม่หมดหรือแค่รื่นหูเฉยๆก็ไม่รู้
พ่อครูว่า…อ่านอาการมันยังยินดี คือมันมีสัญญาความจำได้ว่าอย่างนี้เคยชอบอย่างนี้เคยไม่ชอบ ชอบมากชอบน้อยมันมีสัญญาอย่างนั้นอยู่ แยกให้ออกว่ามันเคยมีสัญญาเก่า เคยมีชอบมากชอบน้อย หรือเดี๋ยวนี้มันยังมีอาการชอบอยู่จริง เห็นความแตกต่างระหว่างสัญญาความจำกับปัจจุบัน ปัจจุบันนี้มีอาการชอบอยู่หรือเปล่า อาการที่อาตมาพูดด้วยภาษาให้พิจารณาว่า มันเป็นรสอร่อยดูดดึง ก็หมายความว่ามันดี แล้วต่อเนื่องเผลอๆ แต่ถ้าลดก็ดีนะแต่ไม่ดูดดึง แต่เราก็จบหยุดได้เลยไม่มีปริเทวนาการ ขาดหยุดได้ แต่ถ้าหยุดแล้วยังติ๊งต่อง คือยังเยื่อใย พยัญชนะละเอียดกว่านี้ก็มี คุณก็รู้เอาเอง อย่างนี้เยื่อใย อย่างนี้บรรจุซอง อย่างนี้ละอองธุลีหรือยิ่งกว่าละอองธุลี ก็ตามรู้เอา
_ใสกลางเพ็ญ…ทำอย่างไรหนูจะไม่แกล้งเพื่อน
พ่อครูว่า…หนูก็เห็นเพื่อนนี่เป็นเพื่อน อย่าไปแกล้งเขา หากคนอื่นมาแกล้งหนูหนูก็ไม่ชอบ เราก็อย่าไปแกล้งเขาเลย เราก็ไม่ชอบหากใครมาแกล้ง
_ถ้าเราโกรธพี่ๆแล้วไม่พอใจพี่ หนูอยากจะด่าพี่เขา จะทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…คำว่าด่าไม่ดี ไม่ควรทำ ก็จบ
_ผลการเลือกตั้งที่ออกมาแล้วในตอนนี้ บอกถึงสภาวะของจิตใจของคนไทยโดยรวมว่าเป็นเช่นไร
พ่อครูว่า…ผลการเลือกตั้งครั้งนี้อันแรกเป็นผลการเลือกตั้งที่ประชาชนชนะ แต่ชนะแบบต้องถ่ายรูปมาตัดสินเลย หายใจรดต้นคอ มันไม่เด็ดขาด แต่ถือว่าชนะ ทีนี้ต้องมาแยกเป็น 3
-
พลังประชารัฐ
-
อนาคตใหม่
-
เพื่อไทย