620408_เทศน์ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ 43 บ้านราชฯ เปิดโลกบุญนิยม ตอน3
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1ZZvcV6PRhXxpwBxOUuPqa__oMgHjy1f7cGXCV8IyHCM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1nY4ZocvrZvr0Bke0kQRdhI09uLeh0fU6
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่ 4 ของงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 43 โลกนี้ยังมีคนมาฟังธรรม คนทั้งหลายเขาไม่รู้เรื่อง ธรรม เขารู้แต่ ทำ เขารู้แต่ทำเงิน ทำงานคือทำเงิน ทำเงินคือทำงาน เขาไม่รู้แล้วว่า ทำธรรม ธรรมทำ ธรรมเราทำ ทำเป็นธรรม ไม่รู้แล้ว แต่ยังคงมีคนที่มาทำวัตร ทำสิ่งที่เป็นธรรมให้แก่ตัวเอง ฝึกฝนเรียนรู้ทำความเข้าใจยังมีอยู่ ก็ยังดีนะ
มาต่อที่เราจะเปิดโลกบุญนิยมกัน เพราะคำว่าบุญคนยังเข้าใจผิดกันอยู่แม้แต่ชาวพุทธทั้งหลายแหล่ อาตมาว่า มันยากมากเลยที่จะให้ชาวพุทธเข้าใจคำว่าบุญถูกต้องจริงๆ ว่าหมายความว่าอะไรอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วประเด็นแค่ว่าบุญไม่ได้เหมือนกับกุศล แค่นี้เขาก็หูหักแล้ว ถ้าจะขยายความต่อไปอีกว่า บุญ แต่ว่าเป็นความดีมันดีสุดร้ายเลย มันไม่เลวนะแต่มันแรง ดีสุดแรงกับดีสุดร้ายดีสุดๆเลย เพราะว่าเป็นนักฆ่า
พอบอกว่าบุญเป็นนักฆ่าก็หูหักเลย เพราะเขายังเข้าใจคำว่าบุญเหมือนกับกุศล ทำขึ้นไปแล้วก็จะได้ ได้ แต่บุญจริงๆทำสำเร็จแล้ว เสีย ไม่ใช่ได้ กุศลทำแล้วได้ ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้โลกียสุข ได้กามคุณ 5 ดีไม่ไม่ดีได้อัตตา 3 อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันผิดไปจากความหมายจริงๆของคำว่าบุญ คนละทิศคนละทางเลย
บุญนั้นตามสัจธรรมจริงๆหมายถึงการชำระ ท่านบอกว่าการชำระกิเลสในสันดาน “สันตานังปุนาติ วิโสเทติ” สันตานัง คือ สันดาน ปุนาติ แปลว่าชำระ วิโสเทติ แปลว่า สะอาดบริสุทธิ์หมดจด เป็นนักขูดนักฆ่านักทำลาย ทำลายเสร็จแล้วคำว่าบุญจะไม่เกิดในตัวบุคคลนั้นอีกเลย บุคคลนั้นไม่ต้องใช้บุญอีกเลยพระอรหันต์เป็นต้น เพราะหมดบาป ไม่ทำบาปอีกแล้ว สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง พระอรหันต์คือผู้ที่หมดบาปไม่มีบาปไม่ทำบาปอีก เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำต่อไปในพระอรหันต์ทุกองค์ ก็ทำอะไรหายใจเข้าหายใจออกจะพูดจาอะไรออกมา จะมีกรรมกิริยากายกรรมวจีกรรมมโนกรรมอะไรก็มีแต่กุศล กุสะลัสสูปะสัมปะทา เพราะท่านได้ทำจิตของท่านให้สะอาดหมดจดผ่องแผ้ว ปุญปาปปริกขีโณ เมื่อจิตสะอาดผ่องแผ้วหมดแล้ว ก็เป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญปาปปริกขีโณ
เดี๋ยวนี้พูดไปอย่างที่ว่าไม่รู้เรื่องอะไรแล้วในชาวพุทธ สิ้นบุญสิ้นบาป คนฟังก็ว่า อรหันต์สิ้นบาปก็แน่นอน แต่ว่าสิ้นบุญ ในภาษาไทยแปลว่าตาย เพราะว่าบุญสิ้นหน้าที่แล้วบุญก็ตายไม่ต้องเกิดอีก สำหรับพระอรหันต์
บุญเป็นพลังงาน ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาไม่ใช่วัตถุไม่ใช่สสาร แต่เป็นพลังงาน พลังงานนี้มีจิตวิญญาณ ที่จะทำให้เกิดพลังงานนี้ได้ และพลังงานบุญนี้ก็เกิดในปัจจุบันทุกปัจจุบันเท่านั้นเอง นอกปัจจุบันไม่มีบุญ ในอดีตไม่มีบุญ ในอนาคตไม่มีบุญ มีแต่ปัจจุบันเท่านั้น เป็นประสิทธิภาพทำให้กิเลสลดได้ แม้ว่ากิเลสลดได้ไม่หมดทีเดียวได้เป็นส่วนบุญ การได้ส่วนบุญ คือบุญทำให้กิเลสจางคลายลงไปได้ เป็นเสขบุคคล เป็นบุคคลที่เข้ากระแสธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นคนมีการศึกษา ที่ปฏิบัติการศึกษาของพระพุทธเจ้าและเกิดผล แม้จะเกิดผลไม่มีประสิทธิภาพชำระกิเลสได้เกลี้ยงเป็น อนาสวะทันที ได้แต่เพียงแต่ละส่วนๆ ก็เรียกว่าเสขบุคคล เป็นพระอริยะโสดาบันสกิทาคามีอนาคามี ถ้าทำได้สิ้นเกลี้ยงก็เป็นพระอรหันต์ อนาสวะ สมบูรณ์ พอจบเป็นอนาสวะ ก็เป็นคนที่ไม่มีบุญอีกแล้ว
อาตมาว่า ชาวพุทธทั้งมวลในโลกก็คงจะมีแต่ที่กลุ่มชาวอโศกที่เห็นอย่างนี้ อาตมาว่า คงไม่มีที่อื่นใดที่เขาให้ความหมาย แล้วทำความเข้าใจให้รู้ว่าบุญมีหน้าที่เท่านี้ มีหน้าที่อย่างนี้ บุญมีกิจอย่างนี้ แล้วบุญก็ไม่มีตัวตนไม่ตกค้างในที่ใดๆ ไม่มีที่อยู่ เกิดอยู่กับปัจจุบันกาล ทิฏฐกาละ เกิดอยู่ในปัจจุบันชาติ มันเกิดในปัจจุบันเท่านั้น ถ้าไม่มีปัจจุบันบุญไม่มี ในคนที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิเป็นต้นมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเปิดสัมผัสทุกอย่างอยู่ รู้เป็นผู้มีสติเต็มร้อย รู้ทุกอย่างตากระทบรูปหูได้ยินเสียงจมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรสรู้ กายสัมผัส โผฏฐัพพารมย์เกิด แล้วก็รู้ผลจากผัสสะ เกิดเป็นความรู้สึกหรือเป็นอารมณ์แล้วก็สามารถที่จะมี ทำวิจัยสัมโพชฌงค์ สามารถวิจัยรู้ตรรกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วรู้จักจัดการใจตั้งแต่ ตักกะ วิตักกะ มีวิธีการในสังกัปปะ 7 มีวิจัยในจิต แล้วปหานด้วยปัญญา ปหานด้วยความจริง เมื่อเกิดรู้ความจริงตามความเป็นจริงที่ชัดเจนว่า เวทนาคืออาการอย่างไร สามารถรู้ตัวแฝงในเวทนาได้
กิเลสยังแฝงเป็นกามเป็นพยาบาทอยู่หรือผสมเป็นวิหิงสาก็ต้องรู้ให้ได้ ในกาม เป็นตัวการตัวเหตุแห่งทุกข์ พยาบาทเป็นเหตุแห่งทุกข์ จะเป็นผู้ที่รู้หน้าของกิเลส มีความรู้ที่รู้ยิ่ง ยิ่งรู้ยิ่งเท่าไหร่ปัญญาก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมีน้ำหนักทำให้กิเลสฝ่อ ทำให้กิเลสลด ทำให้กิเลสกลัว กิเลสละอาย หิริ ทำให้กิเลสโอตตัปปะ ทำให้กิเลสหายไปด้วยความรู้ไม่ใช่โดยกดข่ม
กดข่มก็ใช้ทำงานสามัญช่วย กดข่มเป็นอุปการะ สมถะ เป็นอุปการะอย่างมาก เป็นธรรมชาติเป็นนิสัย เป็นวิสัย เป็นตัวช่วยอยู่แซมอยู่ตลอดเวลาเป็นอัตโนมัติ แต่ถ้าเผื่อว่าได้ฝึกปัญญาคือธาตุรู้ ที่เก่งมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ การกดข่มหรือวิกขัมภนะก็ไม่ต้องใช้ ประสิทธิภาพของปัญญาก็จะมีพลังงานเต็มตัวโดยไม่ต้องอาศัย วิกขัมภนะ โดยไม่ต้องอาศัยการกดข่ม เป็นวิปัสสนาอย่างเต็มรูป
วิปัสสนาญาณ 16 เป็นต้น วิปัสสนาญาณ 9
วิปัสสนาญาณ 9 มุลจิตตุกัมมยตาญาณ แล้วมีการตรวจสอบดูมรรคผล โคตรภูญาณ มรรคญาณ ปัจเวกขณญาณ
-
นามรูปปริเฉทญาณ ญาณจำแนกรู้รูป-รู้นาม และนามก็เปลี่ยนเป็น“รูป” ให้ถูกรู้อีกว่ายึดครอง? . . .
-
ปัจจยปริคคหญาณ ญาณรู้ปัจจัยของการยึดถือมั่น ครอบครองมั่น หลงเอารูปทั้งหลายมายึดจนเที่ยง .
-
สัมมสนญาณ ญาณรู้เห็นรูป-นามของกิเลสตัณหาซึ่งยังวนๆ อยู่อย่างเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่เที่ยง
-
(1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดกิเลส -เห็นความเสื่อมไปของกิเลส ชาติ ชรา มรณะ สุข-ทุกข์เวทนาต่างๆ
-
(2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย .
-
(3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป
-
(4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย
-
(5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย . .
-
(6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น .(อตัมมยตา) .
-
(7)ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึงการปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้ ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น .
-
(8)สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย . . .
-
(9)สัจจานุโลมิกญาณ หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย โดยใช้ สัปปุริสธรรม ๗. ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ
-
โคตรภูญาณ ญาณรู้หัวต่อ ตัดโคตรขึ้นสู่อาริยภูมิ. .
-
มัคคญาณ ญาณรู้ภาวะของอริยมรรคแต่ละขั้นๆ
-
ผลญาณ ญาณรู้ผลสำเร็จแห่งการเป็นพระอาริยะ
-
ปัจจเวกขณญาณ ญาณหยั่งรู้ทบทวนตรวจสอบ มรรคผล และบริบทแห่งความสำเร็จทุกอย่าง .
ที่จริงมีตั้ง 72 ญาณ แต่รวบรวมมาใช้แค่ 16 ญาณ
คำว่าบุญจึงเป็นพลังงานประสิทธิภาพทำให้กิเลสลดได้จริง มีอยู่ในศาสนาพุทธศาสนาเดียวในโลก ที่มีญาณหยั่งรู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน สามารถอ่านอาการ ลิงค นิมิต โดยได้ฟังอุเทส มา ได้ฟังคำพูดคำอธิบายขยายความ อย่างอาตมาแสดงอุเทส ขยายความให้ฟังพวกเราก็เข้าใจ สามารถเข้าใจแล้วก็เอาไปปฏิบัติ อ่านอาการของจิต อ่านความแตกต่างที่จิตเกิดในทุกๆอาการ มีอาการแตกต่างอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เข้าใจหมายใจ หมายรู้ได้ สร้างเครื่องหมายให้แก่ตัวเองเป็นนิมิตว่า อ๋อ อาการอย่างนี้อาการโกรธ อาการอย่างนี้อาการโลภ อาการราคะ อาการอย่างนี้อาการโมหะ มันต่างกัน มีลิงค คนละอย่าง
แล้วก็แจกเข้าไปอีกโดยเฉพาะจิตเจตสิกต่างๆ แจกเป็นเวทนา เจตสิก ก็เรียนเวทนาเจตสิก โดยใช้สัญญา เป็นตัวไปกําหนดหมายรู้สัมผัสและรู้ อ๋อ อาการอย่างนี้เป็นเวทนา เวทนาอย่างนี้เป็น กายิกเวทนา คือ เวทนาที่มันเกิดขึ้นมาต่อเนื่องครบครันทั้งภายนอกภายในเรียกว่า กายิกเวทนา
กายขาดจิตไม่ได้ หากขาดจิตของเราแล้ว กายมันจะไปรู้เรื่องอะไร ถ้าบอกว่ากายเป็นเพียงร่างเฉยๆดินน้ำไฟลมมันจะไปรู้เรื่องเหรอ มันไม่รู้เรื่อง มันต้องรู้เรื่องในตัวเอง จิตสัมผัสทั้งนอกทั้งในมันก็เกิดรู้ขึ้นมาเป็นรูปนามทำงาน ก็เรียกว่ากาย เมื่อกายทำงานก็รู้จักองค์ประชุมของเวทนา เรียกว่า หมวด ของเจตสิก เวทนา หมวดสัญญา หมวดสังขาร เสร็จแล้ว สัญญาก็ทำงานกำหนดหมายชอนไชรู้ไปเรื่อย อย่างนี้เป็นสุขเวทนา อาการอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นทุกข์เวทนา อาการอย่างนี้ไม่สุขไม่ทุกข์ เวทนา รู้อีก 3 ลักษณะของเวทนา
เวทนานี้มาจากภายนอก สุขแฮะ เรียกว่า สุขเวทนา อ๋อ อย่างนี้ทุกข์แฮะ ภายนอกเป็นหลัก สัมผัสอันนี้ ภายนอกทุกข์ภายนอกสุข อาการสุขเป็นอย่างไรในใจเป็นโสมมนัสเวทนา อาการทุกข์อยู่ในใจภายในเป็นโทมนัสเวทนา
ถ้าสุขก็ดูภายนอกชัดหยาบครบ ทุกข์หยาบชัดครบ ไม่รู้แต่ภายในดีกว่าโทมนัสโสมนัสรู้อย่างนี้เรียกว่าอุเบกขาเฉย แล้วมันมีทุกข์มาก สุขมากหรืออาการมันมาก ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ที่มันโทมนัสหรือโสมนัสมันมีมาก รู้อย่างนี้กลางๆ อย่างนี้มีน้อยหนึ่ง อย่างนี้ไม่สุขไม่ทุกข์เลยก็รู้ น้ำหนักที่มีมากหรือน้อย ภายนอกภายใน อาการในระดับสุข ทุกข์ ในระดับโสมนัสโทมนัสไม่สุขไม่ทุกข์เลยอุเบกขาก็เหมือนกันทั้งภายนอกภายใน มันต่างกันก็แต่เพียงว่า มันเป็นไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอุเบกขาชนิดที่แบบโลกียะ เคหสิตเวทนา หากคุณทำเนกขัมมะเป็น ก็จะทำการทำใจในใจนี้เป็นได้ ทำเป็นก็ทำให้กิเลสลดได้
ผู้ที่ทำการโยนิโสมนสิการทำใจในใจได้ถ่องแท้ทำใจในใจได้เป็น ทำใจในใจได้ถูกต้อง ทำใจในใจได้ละเอียดละออแยบคาย ได้ดี ทำใจในใจลงไปได้ถึงที่เกิดตัวตนของกิเลส แล้วทำใจในใจให้กิเลสมันลดๆๆ ได้ ก็เรียกว่าเนกขัมมะ ทำในตอนแรก ทำให้กิเลสจางคลายได้ก็ดีใจเรียกว่า เนกขัมมสิตโสมนัส แต่ทำไปแล้ว ยังเหลือกิเลสอีกเยอะเลย โทมนัสเวทนา หรือทำไปแล้วไม่ค่อยเก่งทำไม่ค่อยได้ ก็โทมนัส หรือทำให้กิเลสลด แต่ไม่สมใจไม่พอใจก็เป็นโทมนัสเวทนา ถ้ามันได้อาการที่มันดีอย่างนี้ดี ยินดี รู้ดีเห็นดีก็เป็นเนกขัมสิตโสมนัสเวทนา ก็เป็นเนกขัมสิตะทั้งสามอย่าง โสมนัส โทมนัสหรืออุเบกขา
สามอย่างนี้ ทางตา หู กระทบเสียงกระทบกลิ่นกระทบรส อีก 6 ทวารก็เป็น 18 เป็นสุขก็ได้เป็นทุกข์ก็ได้ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ ก็เป็น 18 มโนปวิจาร 18
ประเด็นของเคหสิตเวทนา 18 กับเนกขัมมสิตเวทนา 18 นี่คือประเด็นของผู้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าสัมผัสอาการของจิตเจตสิกแล้ว รู้สภาวะจึงเรียกว่ามีรูปคือถูกก็รู้ นัยที่อาตมาอธิบายรายละเอียดต่างๆ เห็นรู้เข้าใจชัดตามที่เราได้เรียนมาและทำให้มันลดได้จากรายได้เรียกว่าเนกขัมมะ ที่กิเลสลดไม่ได้ ดีไม่ดีจะโต่งขึ้นหนาขึ้นเรียกว่าปุถุ มีลิงคะระหว่างจิตเป็นเคหสิตะกับเนกขัมมะ สัมผัสจริงจะรู้จริงไม่ใช่คุณฟังอาตมาไปคุณเข้าใจความหมายอย่างนี้ แล้วไปนั่งหลับตาพิจารณาความหมายที่อาตมาอธิบายให้ฟัง แต่คุณไม่ได้สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายใจ เวทนาจะเกิดต้องมีสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจในปัจจุบันนั้น ถ้าไม่มีปัจจุบันนั้นที่สัมผัสเวทนาไม่มี เวทนาเกิดได้ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเปิด แล้วถึงจะเห็นเวทนา เวทนาที่ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสภายนอกไม่มีเวทนาในโลกมีแต่สัญญา
ถ้าไม่มีภายนอกไม่มีเวทนา มีแต่สัญญา ความต่างของเวทนาหรือสัญญาก็ต้องเข้าใจความต่าง ผู้ที่ปฏิบัติไม่มี ผัสสะ ไม่มีเวทนาก็ปฏิบัติไม่ได้ตามพรหมชาลสูตร ตั้งแต่พระสูตรแรกของพระไตรปิฎก แม้แต่จบดร.เปรียญ9 ก็ยังไม่รู้ตรงนี้ ก็ไปนั่งหลับตาอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเมื่อออกบวชก็หลงเข้าป่า ไปนั่งหลับตากัน ท่านก็เห็นว่าเขานั่งหลับตากันหมดท่านไปเข้าป่า 6 ปีตอนนั้นยังไม่ฟื้นความรู้เก่าก็เลยหลับตาไปตามโลกเขา เข้าป่าเขาไป ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนะ อาตมาประกาศความเป็นพระพุทธเจ้าจะได้ภูมิธรรมหมดแล้ว แต่มันเป็นลิงลมอมข้าวพอง ภูมิเดิมยังไม่ขึ้น ยังไม่กลับมา ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ท่านก็ไปตามเขาไป ท่านก็ทำได้อย่างเขาทำ
อาตมามาในชาตินี้ก็เหมือนกันหลงไปตามโลกีย์หาเงินทองเอาเปรียบเอารัดเขา ทำได้ ไปเล่นไสยศาสตร์ก็ไป ทำได้แต่เสร็จแล้วก็รู้ว่า ไม่ถูกต้องก็มาปฏิบัติให้ถูกต้อง จนกระทั่งเข้าใจความจริง 2 อย่างของโลกีย์ ของชาวโลกทั้งหลายกับของศาสนาพุทธโดยเฉพาะ สร้างพลังงานจิตให้เป็นบุญ พลังงานนี้ก็มีประสิทธิภาพเป็นฌานเป็นไฟ อุณหธาตุ ธาตุร้อน ที่จะมีประสิทธิภาพไปสู้ไฟ ราคะ โทสะ โมหะได้ ผู้ที่ทำใจในใจให้เกิดพลังงานนี้ได้จริงถูกต้องจึงสามารถที่จะทำให้ไฟราคะ ละลาย ไฟโทสะละลายไฟโมหะละลายให้หมดสิ้นไปจากจิตได้ ก็ต้องทำจริงจนเป็นได้ นอกจากคุณจะมีบารมีธรรมมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว จนกระทั่งในชาตินี้เกิดมาเจอพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าบอกธรรม4ประโยคแก่พระพาหิยทารุจีริยะ ก็รู้เลย ท่านก็บรรลุพระอรหันต์ทันที แต่คนที่ยังไม่ใช่ อุคฏิตัญญูขนาดนี้ ยังไม่มีบารมีมาก่อน เหมือนกับคุณไพศาล พืชมงคล เปรยว่า เราก็ศึกษาพระไตรปิฎกอ่านแล้วอ่านอีกทำไมไม่บรรลุมรรคผลเหมือนพระยสะ
พระยสะ ฟังธรรมกัณฑ์แรกเป็นพระโสดาบัน ฟังธรรมกัณฑ์ที่ 2 เป็นพระอรหันต์ อาตมาก็เลยต้องมาอธิบายว่าคุณยังไม่มีบารมีมา อย่างอาตมานี้ เกิดมาในปางนี้ชาตินี้ มีบารมีเดิมมา แล้วเกิดมาในชาตินี้ ก็เลยไม่ต้องไปศึกษากับสำนักไหน ไม่ต้องไปมีครูบาอาจารย์ไหน เพราะ สำนักไหนก็พาทำผิดหมดแล้ว จึงต้องอาศัยของตนเองเก่าที่มีมาเดิมที่สัมมาทิฏฐิ ทางด้านโน้นเขาก็ฟัง ว่าอวดดีอย่างไร เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าหรือยังไงรู้เองเป็นเอง อาตมาก็บอกว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญาไม่ได้เป็นสยัมภู
อาตมาก็บอกว่า มีพระโยคาวจร สั่งสมบารมีมา อาตมาไม่ได้หลงผิดประกาศว่าเป็นสยัมภู ก่อนจะประกาศสยังอภิญญาก็มาเจอในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็รู้ว่าเราเป็นคนนี้หรือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) ก็เอาโลกนี้โลกหน้ามาแจกแจงให้คนได้รู้ได้ด้วยความรู้ยิ่งในตัวเอง สยังอภิญญา มาปรากฏในโลกนี้ ผู้ที่พบอาตมาก็รู้ว่า อ๋อ เป็นผู้ปฏิบัติชอบองค์นี้เองเป็นสัตบุรุษ องค์นี้เองคือผู้ที่มีความรู้ในธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ ที่จะสามารถอธิบายสัมมาทิฏฐิให้เราปฏิบัติบรรลุมรรคผลได้คนนี้เอง คุณต้องพบพระรูปนี้ พบกับภิกษุสมณะพราหมณ์ผู้นี้ ถ้าคุณไม่พบ หรือพบแล้วคุณก็บอกว่าไม่ใช่คุณก็ไปเลย แต่ถ้าพบแล้ว ก็ว่า อย่างนี้ใช่ อัตถิโลเก อ๋อ ในโลกนี้ยังมี สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา จริง แล้วพระพุทธเจ้าบอกว่าคนนี้จะมาอธิบายโลกนี้โลกหน้าโลกโลกียะโลกุตตระนี้ได้ การแยกแยะแค่กุศลอกุศล ที่เป็นโลกโลกีย์เท่านั้น มันไม่ยากหรอกเทวนิยมเขาก็เรียนกัน ศาสนาทุกศาสนาเขาก็เรียน เขาก็แยกได้ แต่เขาแยกทางจิตไม่ได้ เขาอยากได้แต่รูปธรรมภายนอก แต่ของพระพุทธเจ้าแยกแยะละเอียดเลย จิต เจตสิก รูป นิพพาน
เป้าคือเวทนาในเวทนา เวทนาก็จะต้องรู้ได้มีรูปมีนาม จะต้องรู้ได้ด้วยลักษณะ 2 เทวธัมมา
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
แยกเป็น 2 แล้วทำ 2 ให้เป็นหนึ่งคือเวทนาแท้อย่างเดียว ส่วนเวทนาเทียมเวทนาเวทนาไม่แท้ทำให้มาหมดอาการ ทำให้ความรู้สึกอย่างนี้หมดไปจากจิต ให้เหลือหนึ่งเดียวคือ เอกสโมสรณา ทำให้จิตหยั่งลงรวมลง สโมสรณา เป็นอาการของเวทนาแท้ๆ อาการที่ไม่มีกิเลสแฝง ที่มีส่วนทำให้เกิดความสุขความทุกข์ เกิดความชอบความชังเกิด ไม่เป็นหนึ่ง ไม่เป็นเวทนาสะอาดบริสุทธิ์อย่างเดียว ความรู้สึกไม่โสมนัสโทมนัส เป็นอุเบกขาแท้ๆเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา รู้ลักษณะของเนกขัมมสิตอุเบกขา อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง
สัมผัสแตะต้องเกิดปฏิกิริยาเกิดอาการสังขารก็รู้สังขารนี้เป็นของเรา รู้นามรูปสัมผัสอยู่ตอนนี้มีอายตนะมีผัสสะมีเวทนา จัดการในเวทนา 3 จิตก็เป็น ปริสุทธา สัมผัสอีกเหตุแห่งกิเลสเคยสัมผัสเมื่อก่อนก็เคยติด เช่น ติดแตงจริงนี้ สัมผัสเมื่อไหร่ไม่ได้กิเลสขึ้น เดี๋ยวนี้สัมผัสแล้วกิเลสลดลง สัมผัสแล้วชัดเจนเราบรรลุธรรม สัมผัสทีไรกิเลสที่เคยชอบเคยชังไม่ชอบไม่ชัง เราก็รู้ว่าไม่มีกิเลส จิตเห็นรูปตามความเป็นจริง จิตเป็นหนึ่งเดียว เอกะ ไม่มี 2 แทรก รู้ความจริงตามความเป็นจริงเป็นเอกคตาจิต
จิตเอกคตา ไม่ใช่เป็นจิตอยู่เฉยๆไม่รู้สัมผัสอะไรนิ่งในตาหูจมูกลิ้นกายใจ อันนั้นมันก็เฉย แต่เรียกว่าเป็นเคหสิตอุเบกขา แต่นี่เฉยแต่เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา พยัญชนะก็บอกแล้วคนละลักษณะ มันไม่มีกิเลสทำกิเลสออกหมดแล้ว แม้จะกระทบอีกอย่างไรก็ปริสุทธา จิตยิ่งทำอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมังประพฤติปฏิบัติไปอีก จิตก็ทำให้สะอาดเร็วสะอาดไวสะอาดได้คล่องแคล่วสะอาดจนจิตสัมผัสทีไรก็ไม่มีเลยไม่มีเปื้อน ไม่มีเลยที่จะหมอง ไม่มีเลยที่กิเลสจะมาทำอะไรจิตได้ ในขณะที่ฝึกแบบนี้ ลืมตาปฏิบัติทำงานอาชีพเป็นสัมมาชีพ หมดมิจฉาชีพ 5 ได้ ทำการงานทุกอย่างหมดมิจฉา 3 พูดจาอยู่ก็หมดมิจฉา 4 ได้ คิดนึกไปพร้อมก็หมดกิเลส 3 ได้ มีกาม พยาบาท หมด เหลือวิหิงสา ก็ทำวิหิงสาหมดอีก จิตหมดกิเลสไปทำกรรมการงานที่กิเลสลดไปๆ การงานก็ดี ไม่มีตัวร้ายไม่มีกิเลสมาร่วมเป็นการงานที่ กัมมัญญตา การงานที่เหมาะควร อเนญชัปปัตเต ฐีเต ไป จนเป็นจิตที่มี กัมมัญญตา เป็นจิตที่ทำงานได้ดีตามสัดส่วนเหมาะควรทุกอย่าง ไม่บกพร่อง สมควรตามองค์ประกอบที่มีเรามีเหตุประกอบอื่นอยู่เป็นบริขาร บริวาร ที่เราร่วมอยู่ มีคนมีสัตว์มีข้าวของมีวัตถุจนกระทั่งเป็นกรรมกิริยา แม้แต่จิตของแต่ละคนแสดงออกมากระทบกับเราทั้งรูปทั้งนามทุกอย่าง เรารู้ทันรู้หมดไม่มีตัวไหนทำให้กิเลสของเราเกิดอีกเลย กัมมัญญตาจิตเราก็เก่งเจ๋งที่สุดเลย จิตเราก็ประภัสสรานี่คือ องค์ธรรม 5 ของอุเบกขา
พูดไปแล้วเข้าใจนะเอาไปปฏิบัติตามความหมายแต่ละตัว ถ้าคุณมีปัญญารู้ ที่อาตมาอธิบายนี่คุณเข้าใจคุณก็จะชัดเจนเลยว่า อ๋อ ผู้ที่ได้ไปนั่งหลับตาอยู่นั่นโมฆะบุรุษทั้งหลาย จะเห็นชัดเลยว่าน่าสงสาร แล้วเมื่อไหร่คุณจะบรรลุ ขนาดเราลืมตาฝึกยังไม่เป็นอุเบกขา 5 นี้ได้ง่ายๆ ยังได้แค่ โสดาฯ ว่างๆก็เป็นโซดา มีฟองฟุดๆๆๆ จนกระทั่งเก่งเป็นโสดาบัน สกิทาคามีเป็นอนาคามี จนได้เป็นอรหันตตผล จนได้เป็นอรหันต์ จนเป็นอรหันต์สมบูรณ์แบบอย่างไม่ขาดหกตกหล่น สัมผัสอะไรอย่างไรเมื่อไหร่ ทุกกรรมทุกกาละ จิตก็ไม่มีวอบแวบ ไม่มีกิเลส เกิดอีกเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” นัตถิอุปมา ไม่ต้องเปรียบเทียบกับอะไรอีกแล้ว
เราเปรียบเทียบ นัตถิอุปมาตัวต้น จิตเรา นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”หรือยัง
กระทบอันนี้แต่ก่อนไม่ได้เลย เรานี่เหมือนงูเห็นเชือกกล้วย คือสัมผัสแล้วกิเลสขึ้นเต็มที่อ่อนแอตกเป็นทาสเลย จนแข็งแรงขึ้นเป็นตัวเองขึ้นมา แข็งแรงขึ้นมาๆ สัมผัสแล้วก็อยู่เหนือ สัมผัสแล้วสู้ได้ จนกระทั่งสัมผัสแล้ว แข็งแรงอยู่เหนือเด็ดขาด สัมผัสอีกเท่าไหร่ๆ ก็ไม่มีทางที่กิเลสจะเข้าเลยสมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าอธิบายขยายความไว้หมด
อาตมาหยิบมาขยายความตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่มีอยู่บันทึกมา บางทีพระไตรปิฎกไม่มีในอรรถกถาจารย์มี อย่างเช่นคำว่า ธรรมนิยาม 5 ในพระไตรปิฎกชุดนี้ไม่มีนะ หาไม่เจอแต่มีอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคที่พระพุทธโฆษาจารย์บันทึกเอาไว้ได้ อยู่ในพระไตรปิฎกมหายานก็จะมีอีก ซึ่งผู้ที่รู้ก็จะรู้ว่าอันนี้เป็นของพระพุทธเจ้าหรือว่าอันนี้เป็นของสาวกบัญญัติขึ้น ซึ่งมีแทรกแซงอยู่ในมหายานอยู่ในอรรถกถาจารย์ก็มี เป็นลักษณะอาจาริยวาท อาตมาพอรู้ว่า ธรรมนิยาม 5 นี้เป็นของพระพุทธเจ้าแท้ ไม่มีมนุษย์คนใดแม้แต่ศาสดาเทวนิยมคนไหนที่จะแจกแจงธรรมนิยาม 5 นี้ได้ ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น อาตมาเป็นสยังอภิญญา สัมผัสแล้วรู้ว่าเป็นของพระพุทธเจ้าแน่นอน ไม่เป็นพระพุทธเจ้าไม่มีทางรู้ ตั้งแต่อุตุนิยามอาตมาอ่านแล้วอธิบายได้ แยะ อุตุ จากเล็บ จากผม จากขน จากฟัน จากหนัง 5 ตัวนี้มันอยู่ข้างนอก แล้วก็เอามาแยกกายแยกจิตให้ได้ มูลกรรมฐานของภิกษุของพุทธ ต้องแยกกายแยกจิตในมูลกรรมฐาน 5 นี้ได้ หากแยกผิดๆถูกๆ ไม่มีวันบรรลุเป็นอรหันต์ วาระใดเป็น อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ
แต่ตัวผมขนเล็บฟันหนังมันก็รวมไปกับร่างกายมันเป็นจิตอย่างไร สัมผัสแตะต้องอะไร พวกนี้ต่างๆก็จะรวมซ้อน อย่างคนผมยาวๆ ปลายผมไปแตะต้องอะไรคุณไม่รู้ตัวหรอก เพราะมันไม่มีเวทนา ผมส่วนยาวออกไปเป็นพีชะเท่านั้นไม่มีเวทนา ตัดทิ้งก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรอย่างนี้เป็นต้น เราจะรู้ละเอียดถึงความรู้สึกประสาทความรู้สึกเวทนา อันนี้มีชีวะ แต่เป็นแค่พีชะ คุณก็จะแยกออก พืชเป็นพีชะ ยังไม่ใช่จิตไม่ใช่สัตว์
อย่างสัตว์บก หรือสัตว์น้ำมีเยอะ พืชที่กำลังทำตนเองให้เป็นจากอุตุมาเป็นพืชเยอะหลายระดับมากเลยในน้ำ จนกระทั่งเป็นพืชแล้วหลุดจากที่มาเป็นสัตว์ที่หลุดจากที่ๆมันเกาะอยู่ กว่าจะเป็นปลาดาว อย่างนี้เป็นต้น ยิ่งกว่าปลาดาวอีกเยอะแยะมากสัตว์ในท้องทะเล มีชีวิตเป็นล้านๆยุค จะรวมตัวพลังงานอุตุ พีชะ จิต ในนั้น จนกระทั่งมีกรรมกริยาทรงไว้เป็นจาก พืชในน้ำ เป็นสัตว์ในน้ำ กว่าจะเป็นสัตว์บนบกสัตว์ในอากาศ เป็นพัฒนาการที่ละเอียดลออ พระพุทธเจ้าท่านรู้ หากให้อาตมาอธิบายไบโอโลจีชีววิทยาก็จะอธิบายได้อีกเยอะ แต่อาตมาไม่ทำงานนั้นหรอก ทางโลกเขาอธิบายพอใช้ได้ แต่ธรรมะขั้นละเอียดเป็นโลกุตระไม่มีใครจะมาสอนอาตมาก็ต้องมารับหน้าที่นี้ ถ้าไม่ทำหน้าที่นี้มันก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่อาตมาต้องทำ ให้อาตมาไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรก็เป็นได้ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจก็ได้ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงอื่นๆก็ได้แต่อาตมาไม่เหมาะ อาตมาต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างอาตมาไม่ใช่เกิดมามารับหน้าที่นี้ทันที ต้องเกิดมาเป็นผู้รู้มีบารมีตามลำดับขึ้นมา จนกระทั่งมาถึงชาตินี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 โอ้โห เป็นนายกฯที่ใหญ่ ควบคุมโลกรูปธรรม โลกนามธรรม นามธรรมที่เป็นทั้งโลกโลกียะและโลกโลกุตระ นานๆมาก มาคุมกระทรวงโลกุตระ กระทรวงโลกุตระมีพลเมืองเป็นสมาชิกไม่เท่าไหร่ กระทรวงโลกียะนั้นไปคุมเขาไม่ได้ เพราะพวกนั้นแข็งข้อหมด ยึดเอากระทรวงโลกียะไปหมดเลย อาตมาจะเอาโลกุตระไปให้แก่พวกโลกียะไม่ได้เขาบอกว่า เอ็งเป็นใคร ไม่รู้จักอาตมาเสียแล้ว มีกระทรวงโลกียะของชาวอโศกเท่านั้นรู้ว่า อ๋อ มหาอภิมหานายกฯมาแล้ว เพราะเป็นนายกใหญ่มาไม่รู้กี่ชาติกี่กระทรวงกี่ยุคมาแล้ว ก็ยอมรับ อาตมาก็เลยมาทำหน้าที่ อภิมหาบรมนายกฯของพวกเรา นี่เปรียบเทียบกับภาษาทางโลกมันมีความซับซ้อนในความเป็นจริง พูดอย่างเต็มปากได้เพราะอาตมาเปิดเผยไปแล้วว่าอาตมาเป็นใคร พวกเราอาจจะติดใจว่ามันจริงหรือเปล่า พวกคุณจะรับที่อาตมาพูดได้ว่าจริงหรือเปล่านั้น
-
คุณเข้าใจ ที่ท่านพูดนี้ คุณจะมี แย้งบ้างก็ตาม อ๋อ ท่านยิ่งพูดยิ่งเข้าใจมากขึ้น คนที่เข้าใจแล้วก็จะไม่ขัดแย้งมาก คนที่ไม่เข้าใจก็จะเสียค่าภาษีก่อนยังไม่ยอมเข้าใจ แต่ถ้าคุณได้เชื่อมั่นเต็มที่ ก็ผ่านเลยไม่ต้องเสียภาษีไม่ต้องมีด่านกั้น เร็วไวได้ แต่อันนี้บังคับกันไม่ได้ใครจะอวดดีบอกว่าเชื่อถือไม่ง่ายหรอก แต่ผู้ที่ชัดเจนแล้วเชื่อแล้ว ที่พูดนี้ไม่ได้กล่อมให้พวกคุณเชื่อทันทีนะ ไม่ได้มาครอบงำทางความคิด ให้คุณหลงเชื่อ คุณไม่เชื่อไว้ก่อนนั่นแหละดี จนกว่าคุณจะบอกว่าเชื่อได้ ไม่ต้องกักไว้มันเมื่อยเสียเวลา ท่านมองมาคุณก็เสียเหลี่ยมแล้ว คุณต้องบอกว่าชัดเจน เพราะคุณรู้แต่ไม่รู้ก็ว่าเดี๋ยวก่อน ยังไม่ครบ ทำตนเองว่าเป็นผู้รู้ครบ เสร็จแล้วตรวจแล้วท่านมีครบกว่า แต่ถ้าตรวจดูแล้วเราไม่มีเท่า ผู้มีความจริงรู้จริงก็จะเป็นด่านตรวจแบบนั้น สัจจะ
อาตมาเองเป็นโพธิสัตว์ปางนี้มันเยอะเรื่อง ที่จะเอามาพูด บางทีมันเยอะไปมากไป พวกเราจะมาจับจิ๊กซอต่อกันได้ไหมบางทีก็รู้สึก แต่พวกเรานี้อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปีแล้ว มันก็ได้ พูดอะไรก็รู้ทัน ข้างนอกเขายังไม่รู้กันยังไม่รู้เรื่อง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรมันก็ต้องเร่งรัดพัฒนาพวกผู้ที่รับได้ ส่วนที่จะมีการเผยแพร่ถ่ายทอดกันต่อก็มีนักบวชมีฆราวาส อย่างนี้เป็นธรรมะพระพุทธเจ้ามันจะมีอยู่จริง จึงเกิดความเจริญ ของมนุษยชาติเป็นโลกุตระ
สรุปลงที่รู้ความจริงที่เรียกว่า เทวะ คือ 2 จบ ผู้ที่รู้ 2 แล้วรู้ทุกๆอย่าง เพราะคนรู้ 2 นี้สามารถทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ สามารถทำ 1 ให้เป็น 0 ได้ 0 คือทุกสิ่งทุกอย่าง สุญญตา คือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ทำสุญญตาให้จิตวิญญาณเป็นจริงบริบูรณ์ผู้นั้นรู้อนันตัง ผู้นั้นเป็น อนะ ที่อันตัง ผู้ที่ไม่มีแล้วเป็นที่สุด เป็นผู้อยู่เหนือที่สุด อนันตริยะ เป็นผู้ที่เป็นอรหะ ผู้ที่ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ อะไรที่ซอกแซกไม่รู้อยู่ไม่มีแล้ว อรหะ ไม่มีที่เหลือซ่อนอย่างลึกไม่เหลือ หมด จบเป็นอรหันต์
เพราะรู้ที่ลับที่เป็นอัตตาใดๆเล็กละเอียดเท่าไหร่ก็รู้จบหมดจึงเป็นอรหันต์ อรหะ ไม่ลึกลับแล้ว อรหะ จนถึงที่สุดอรหันต์ อรหันตะ ใช้พยัญชนะอธิบายสภาวะ ผู้ที่มีสัจจะความจริงอันนี้ได้ก็จะตีแตกเทวะ แยกเทวะได้ทำเทวะได้อย่างที่กล่าวไปแล้ว ทำให้เป็นหนึ่งได้ก็เป็นเครื่องอาศัย
-
คือสุขทุกข์ ที่แยกไม่ได้ก็ทุกข์อยู่ มันก็สุขทุกข์สลับกันมันอยากได้แต่สุข จนรู้แจ้งว่าสุขมันก็สมมุติเอา จริงๆแล้วมันไม่สุขไม่ทุกข์หรอกคุณไปยึดถือว่ามันสุขคุณก็สุข หมดความยึดถือแล้วมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์เลย ก็มีแต่เหตุและปัจจัยมันสัมผัสเข้าก็เกิดการปรุงแต่ง เพราะว่าธาตุวิญญาณมันยังอวิชชา มันเป็นเทวะที่มีสวรรค์มีนรก พระพุทธเจ้าก็เลยสอนตั้งแต่บัดนั้น แยกแยะเป็น 2 เป็นรูปเป็นนามเป็น2แล้ว คุณก็เรียนจากรูปนามนี้แหละ