620409_เทศน์ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ 43 บ้านราชฯ เปิดโลกบุญนิยม ตอน4
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1nH8qK-tBGCW9Qlok40eXeN26eNj_yfiGIIbC2uQWN1k/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1HgCwZateTnv9NjFnW14DgFuxvscFMFJl
พ่อครูว่า…วันอังคารที่ 9 เมษายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่ 5 ของงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 43 ไม่เคยได้เห็นทุเรียนลูกกลมๆแบบนี้ เป็นพันธุ์ผสม ก็ทำกันไป เราก็มาต่อ พรุ่งนี้ก็เป็นวันตอบปัญหา วันที่ 6 วันที่ 7 ก็เป็นวันไก่บิน
มาพูดอีก ที่จริงพวกเราได้ยินได้ฟังได้รับซับซาบจากที่อาตมาอธิบายมามากแล้ว เรื่องบุญนี่ ก็มากี่ปีแล้วก็คงจะได้ซับซาบกันเยอะแล้ว วันนี้ก็คงจะแค่รวมๆ
บุญเป็นพลังงานที่เกิดในปัจจุบัน ในคนแต่ละคน ต้องสร้างพลังงานต้องทำจิต คือการทำโยนิโสมนสิการทำใจในใจของเราให้เป็น เป็นอะไร ทำใจในใจของเราให้เป็นหนึ่ง จัดการอภิสังขารให้เป็นปุญญาภิสังขาร สังขารจิตของเราให้มันเกิดพลังงานบุญ แล้วมันจะได้ชำระกิเลสได้ ที่นี่พลังงานบุญจะเกิดได้ต้องมีองค์ประกอบของศีล สมาธิ ปัญญา
บุญนี้ไม่มีศีล เกิดไม่ได้ แล้วศีลต้องปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิ 10 ด้วย ตั้งแต่การให้ทาน ปฏิบัติตามยันต์พิธีต่างๆ จนกระทั่งผลที่ได้ในจิต หุตัง แล้วเกิดจากกรรมกิริยาของศีลสมาธิปัญญานี่แหละ กัมมานัง แล้วก็รู้จัก มีปัญญารู้แจ้งรู้จริงใน อยังโลโก ปโรโลโก โลกที่เราเคยอยู่และโลกใหม่โลกอื่นที่ต่างจากโลกที่เราก็อยู่ในโลกีย์ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนเป็นโลกุตระเป็นโลกใหม่
มีศีลเป็นแม่ มาตา ปัญญาเป็นพ่อ ทำให้เกิดอธิจิต สัตตาโอปปาติกา มีโอปปาติกโยนิ การเกิดของสัตว์ทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นได้เป็นอาริยบุคคล
ศีลเป็นที่ประชุมแห่งธรรมะอะไร? (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ศีลเป็นที่ประชุมแห่งสังวรใน การปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธศาสนา อปัณณกปฏิปทา คือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ
สำรวมอินทรีย์ แล้วเกี่ยวข้องกับโภชนะ เกี่ยวข้องกับของกับสัตว์ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะอุปโภคบริโภค โภชเนมัตตัญญุตา
ศีลเป็นที่ประชุมแห่งการไม่ก้าวล่วง เราก็จะต้องระมัดระวังมีสติตื่นรู้กายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิต
เป็นที่ประชุมแห่งเจตนาอันเกิดในความเป็นอย่างนั้น นามธรรม 5 เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ การปฏิบัติธรรมต้องมีศีลเป็นผัสสะแล้วก็ทำใจในใจ แล้วก็เราต้องทำงานทางจิต คือ เวทนาสัญญาเจตนา ตัวสัญญาเป็นตัวการงานตัวกระทำ กำหนดรู้เวทนาของเรา ว่ามันมีอะไรเป็นเหตุ เหตุนั้นคือเจตนา มโนสัญเจตนามี 3 มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นี่คือเจตนา 3 เริ่มต้นก็ต้องอ่านกามตัณหาให้ได้ จัดการกามตัณหาให้ได้ นี่คือการปฏิบัติธรรมศีล สมาธิ ปัญญา
เจตนาจะให้เกิดเป็น 3 อย่างนี้ เกิดกามเราต้องล้างละกาม ล้างกิเลสกามคือตัวเหตุ ล้างได้แล้วก็ต่อภวตัณหา คือเหลือรูปหรืออรูป เป็นสังโยชน์เบื้องสูงต่อไป แล้วก็เหลือ มานะ อุทธัจจะ จนกระทั่งถึงอวิชชาก็ล้างไปเรื่อยๆตามลำดับ
เป็นที่ประชุมแห่งเจตนาอันเกิดในความเป็นอย่างนั้น จิตที่มันต้องการเจตนามุ่งหมายเกิดอย่างนั้นอย่างนั้น ท่านก็สรุปชื่อว่า ศีลเพราะอรรถเพราะเนื้อหาว่าสำรวม แล้วก็สังวร ทำให้เกิดผลอย่างที่ว่านั้น นี่คือการปฏิบัติธรรมไตรสิกขา ของพระพุทธเจ้า
สังวรสำรวมแล้วรู้จักเหตุมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกิเลสอะไรเกิดขึ้น เสร็จแล้วเราก็พิจารณา หลักไตรลักษณ์ 3 เข้าใจ เห็นให้ได้ว่าอาการของกิจการกิเลสต่างๆมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ต้องเห็นในทุกข์อาริยสัจ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป คนทุกคนที่เป็นปุถุชน อยู่กับพวกเท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเพราะเขาไม่ได้ล้างเหตุแห่งทุกข์จนกระทั่งเป็นพระอริยะลดความทุกข์ลงบ้าง สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ก็หมด ปุถุชนก็มีแต่เกิดทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่ลวงตัวเองหลอกตัวเองว่ามันเป็นสุขแล้วมีอุปาทานปั้นเป็นภพชาติขึ้นมาเสพติดสั่งสมลงไป เพราะฉะนั้นทุกวินาทีแห่งความรู้สึกของคน มีวรรคเว้นอุเบกขาเป็นเคหสิตอุเบกขา ไม่มีกิเลสผสมลงไปแต่มันก็ยังเป็นอวิชชา มันเฉยโง่ มันไม่ใช่เฉยแบบเนกขัมมสิตอุเบกขา
สรุปแล้วปุถุชนมีแต่กิเลสหนาทุกเศษเสี้ยวของวินาที มีแต่สั่งสมทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ฟังแล้วมันน่ากลัวมากเลย บางคนไม่กระดี๊กระด๊าตัณหามากอยากรวยอยากใหญ่อย่างทักษิณ ชินวัตร สั่งสมกิเลสอยากรวยอยากใหญ่อยากมีอำนาจทุกอย่างเลย จิตของเขาจะเป็นอย่างไร สั่งสมแต่กิเลสใส่จิต ซับซ้อนด้วยอวิชชา น่ากลัวจริงๆ พวกเรานี่ได้มาศึกษาธรรมะโลกุตระเข้าใจสภาวะธรรมพวกนี้ ค่อยยังชั่ว เพลาลงๆๆ ใครยิ่งสังวรระวังตั้งใจปฏิบัติให้ดี เป็นเวลาวาระวินาทีเป็นนาทีเป็นชั่วโมง กิเลสมันไม่สั่งสมตกผลึกลง มันมีการละเว้น จนกระทั่งไม่มีกิเลสเกิดอีกเป็นอรหันต์
ถ้าผู้ใดมีสติสังวรเสมอ กิเลสก็จะว่างลง มันไม่สั่งสมลง ถ้าเราไม่สังวรระวังไม่มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วระมัดระวัง ทางกายวาจาและจิต ควบคุมสติดูแลจิตกิเลสก็เข้า ไปสะสมสั่งสม มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย การฝึกต้องมีสติลืมตาผัสสะทวารนอกทั้ง 5 เสมอหลับตาลง เวลานอนไม่ได้ปฏิบัติหรอกเพราะว่าสติไม่เต็ม นอกจากผู้ที่ปฏิบัติฝึกฝนสติเต็มแน่นอนแล้วตอนหลับก็มีสติ แล้วก็ดูแลใจตัวเองได้ด้วยอย่างผู้ที่ปฏิบัติ เป็นอนาคามีขึ้นไปอะไรอย่างนี้ เวลานอนก็จะมีสติ มันก็ไม่มีกิเลสเข้ากิเลสเข้าไม่ได้ อย่างที่ท่านใช้สำนวน แม้หลับตาลืมตาก็มีนิมิตได้อภิสังขารปรุงแต่ง ตั้งแต่ใช้สัญญาระลึกถึงสิ่งที่ผ่านมา รู้ในใจหรือคิดเอาใหม่ปรุงแต่งเอาใหม่ ก็จะเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองว่ากำลังทำงานยังไงอยู่ตลอดเวลา
คำว่าบุญของศาสนาพุทธจึงเป็นคำที่ยิ่งใหญ่มากเลย ผู้ที่สามารถประกอบจิตเป็นนักสร้าง เป็นวิศวะกรรมทางจิต สามารถประกอบจิตตัวเองให้เป็นเครื่องมือประหาร เป็นเครื่องมือฆ่า ในการฆ่าจิตนั้นจะต้องมีปัญญา มีสัญญาทำงานเข้าไปกำหนดรู้แยกแยะ เอาตัวกิเลสออกไปจากจิต แล้วก็จัดการกิเลสที่ยังมียังเหลือในพระอริยบุคคลที่สูงขึ้นก็จะเหลือน้อยลงๆ ถ้ายังไม่ใช่อริยบุคคลก็จะมีเต็มบ้องเลย ก็กำจัดไปๆๆ จนมันไม่เกิด
ในขณะที่สร้างพลังงานขึ้นมาเป็นพลังงานที่มีประสิทธิภาพเรียกว่า ฌาน เรียกโดยภาษาง่ายๆว่าฌานคือไฟ การไปนั่งสะกดจิตแล้วดับจิตเย็นก็ตรงกันข้ามกับการสร้างฌาน ไฟ แต่มันไปสร้างน้ำแข็ง สร้างอุณหธาตุทางเย็นไม่ใช่เตโชธาตุ มันจึงไม่ได้ไปทำลายกิเลสอะไรเลย ไปสร้างภพชาติที่หลงผิดนั่งหลับตามันโมฆะจริง แล้วได้สิ่งที่หลงผิดเป็นภพชาติใหม่ๆเติมเข้าไปอีกนั่งหลับตาแล้วฟุ้งซ่านเป็นสวรรค์วิมานความเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นวิปัสสนูปกิเลสอีกมหาศาล ซับซ้อนไปหมดเลย ซึ่งมันตรงกันข้ามกับสัมมาทิฏฐิอย่างน่าสงสารมากเลย
อาตมาพูดไป 40-50 ปี นักปฏิบัติธรรมผู้ที่ปฏิบัติธรรมก็คงจะได้ยินแม้จะนั่งหลับหูหลับตาขนาดไหนก็ต้องได้ยินเสียงโพธิรักษ์ตะโกนด่า ด่าซ้ำซ้อนลึกพิสดาร ด่าสารพัด พูดเป็นภาษาไทยให้ชัดๆว่าด่า หรือพูดตำหนิ นิคคัณหะ ไปงมงายจมอยู่อย่างนั้น อาตมาก็พยายามเตือนกระตุกให้พยายามให้ได้ให้ตื่นขึ้นมาให้หยุด ถ้าในชาวพุทธเราเข้าใจจริง เลิกหลับตาแล้วมาปฏิบัติธรรมให้เป็นสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะเต็มรูป กรรมทั้งหลาย เลิกละมิจฉาชีพ กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานจนพ้นลาภแลกลาภ แม้แต่พระไปทำงานไปงานต่างๆเขาก็ใส่ซองให้ พูดไปแล้วน่าสังเวชใจ พูดไปแล้วเหมือนด่าศาสนาทำไม อาตมาไม่ได้ด่าศาสนา อาตมาด่าคนมิจฉาทิฐิที่ประพฤติทำลายศาสนา ด้วยการปฏิบัติประพฤติผิด ด่าคนพวกนี้ไม่ได้ไปด่าศาสนา ที่จริงไม่ได้ด่าอะไรหรอก แต่ตำหนิบอกสัจจะว่าอย่างนี้ถูกอย่างนี้ผิด อย่างที่ถูกพูดทีไรก็ชมชาวอโศก อย่างที่ผิดก็ไปเหมือนกับด่าหมู่ใหญ่เขาที่ทำผิดกันไปหมด มันเลี่ยงไม่ออก เมื่อเกิดปฏิกิริยาอะไรก็เลี่ยงไม่ออกที่จะต้องไปสัมผัสกับสิ่งที่เลี่ยงไม่ออกถูกกับผิด ก็เลยกลายเป็นคนช่างด่า คนที่ไม่เข้าใจความเป็นจริงในความเป็นจริงพวกนี้เขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
มนุษย์ที่เข้าใจเจตนาของอาตมาแล้วตั้งใจฟัง แม้จะไม่มาเข้าในหมู่กลุ่มชาวอโศก จะอยู่ในหมู่กลุ่มของเถรสมาคม อยู่ในสำนักของตนเองก็ตาม ถ้ามีปฏิภาณปัญญารู้ว่า อาตมาอธิบายธรรมะ สัมมาทิฏฐิ อธิบายธรรมะเป็นไปได้ถูกต้อง อาตมาว่าที่เขาเรียนรู้ธรรมะกันนั้น
ฌานคือไฟ เขาก็ไม่พูด แต่ไปตามอรรถกถาจารย์ที่แปลว่าเพ่ง ฌานแปลว่าเพ่ง อย่างเก่งก็แปลว่าทำให้จิตสงบ ใช่ การทำให้จิตสงบลงไปแบบสมถะแบบ ฤาษีเดียรถีต่างๆ มันไม่มีพลังงานไฟขึ้นมาจัดการกับไฟราคะโทสะโมหะ จนกิเลสหมดสิ้นจิตใจสะอาดมีคุณสมบัติเป็นอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปุถุชนมีแต่สั่งสมกิเลสให้หนาขึ้นจนไม่รู้จะหนาอย่างไร มันจึงแก้ยากแคะยาก ยังดีนะ ในคนไทย 61 ล้านคน ยังมีคนมาสนใจมายินดี รวมกันมานั่งฟังธรรม สละเวลาชีวิตมันจะไปอะไรมาก พุทธาภิเษกปลุกเสกที1 ก็มีกันมาไม่ใช่ 67 ล้าน มี 67 สิบ ไม่ใช่ 67 ร้อยด้วย ก็เลยได้ 670 ประมาณนั้น มี 670 ใน 67 ล้านก็คงกี่ % หนึ่งในหมื่น .00001%
มาฆบูชาของพระสมณโคดมมีพระอรหันต์มารวมกัน1250 รูป นี่น้อยที่สุดแล้วในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หลังจากพระพุทธเจ้าประกาศศาสนา อีก 9 เดือนก็มาฆบูชา มีอรหันต์มาพร้อมกันในวันเพ็ญเดือน 3 ไม่ได้นัดหมายกันมา ที่จริงพระอรหันต์มีมากกว่า 1250 แต่ที่รวมกันวันนั้น 1250 ท่านสร้างได้น้อยที่สุดในความเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนอาตมานั้นจะสร้างก็ว่าสร้าง ไม่ต้องนับมาฆบูชามากี่ครั้งแล้ว มาฆบูชากี่ปีแล้วก็ 43 ปีแล้ว ครั้งแรกจะมีกี่คนไม่รู้ งานปลุกเสกฯพุทธาฯ ก่อนจะนับครั้งแรกเราทำมาก่อน 2 ครั้งก่อนตั้งชื่อ แรกๆก็มีคนประมาณ 100 กว่าคนมาฟังธรรม เริ่มต้น ที่ศาลีฯ กับศีรษะฯ
เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ข้อเสียเวลาไป 29 ปี ยังไม่พอ ยังไปเป็นลิงลมอมข้าวพองอีก 6 ปีเป็น 36 ปี กว่าจะรู้ตัวเป็นหนี้บาปไปใช้หนี้ ท่านแปลเป็นภาษาว่า…. เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา๖ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)(ล.๓๒ ข.๓๙๒)
ในปางที่จะเป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไร ท่านบำเพ็ญสัมมาสัมโพธิญาณมาจนครบแล้วก็เอาของเก่าระลึกออกมา ท่านก็หาที่ที่จะระลึก ผู้ที่จะระลึกชาติระลึกภูมิธรรมเก่าได้ ก็ต้องมีผู้มาทำเก่าก่อน นั่งหลับตาไม่มีภูมิธรรมใหม่ มีแต่ภูมิธรรมเก่ามีแต่สัญญาระลึกได้ โพธิญาณที่มี ตอนเป็นโชติปาละก็พูดไปตามประสาฆราวาส ก็ตำหนิไป อย่างเจ้าชายสิทธัตถะคนก็ทำนายว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่เขาก็จะว่าจริงหรือ …ไม่ประกาศพระพุทธเจ้าสักที พระพุทธเจ้ากัสสปะก็เหมือนกัน ท่านก็พยายามที่จะออกไปเป็นลิงลมอมข้าวพอง ต้องหาที่ที่จะตรัสรู้
“การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง”
ก็ไปจาบจ้วง พูดประมาทลบหลู่ แต่ท่านก็ได้รับการพยากรณ์มาแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดมที่มีพราหมณ์ 7 รูปมาทำนายไปแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปออกบวชต้องไปเข้าป่าไปนั่งสมาธิ แล้วไปนั่งนึกถึงของเก่าท่าน ยามหนึ่งยามสองยามสามก็บรรลุได้ รู้ว่าอย่างนี้เองหนอ จริงๆ ท่านไม่ได้ตรัสรู้ จริงๆท่านระลึกชาติเก่า แต่เรียกหวัดๆว่าท่านตรัสรู้ที่จริงท่านรู้มาแล้ว ท่านยังไม่ได้เปิดปากเอาคำสอนของศาสนาพุทธมาเปิดเผยเลยแม้แต่คำเดียว เมื่อท่านได้รู้ระลึกได้ท่านก็จะมาเปิดปากพูดเรียกว่าตรัส ตรัสความรู้ที่เป็นพุทธศาสนาหรือเป็นพุทธธรรม เมื่อเทศน์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรให้ปัญจวัคคีย์ฟัง ก็เป็นคำตรัสคำรู้ของพระพุทธศาสนากัณฑ์แรก
ท่านก็ตรัสสั้นๆว่า เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ) โดยทางไหน ด้วยการไปนั่งหลับตาในป่า 6 ปี แต่ทางตรัสรู้คือทางมรรคมีองค์ 8 ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ได้พูดไม่ได้สอนกันเลย
มาเข้าสู่ความหมายของปุญญปาปปริกขีโณ พระพุทธเจ้าเป็นคนหมดบุญหมดบาป พระอรหันต์ทุกองค์ก็เป็นผู้ที่หมดบุญหมดบาป เป็นผู้ที่ไม่มีอาสวะแล้ว ไม่มีเศษแห่งอาสวะ ที่เป็นเศษของกิเลสทั้งหลายก็หมดสิ้นไม่มีเหลือแล้ว บุญก็หายไปหมด เป็นผู้ไม่มีบุญ เพราะฉะนั้นคำว่าบุญที่ชาวพุทธทั้งหลายหรือชาวโลกได้ยินจากชาวพุทธ ถ้าเป็นกระแสหลักของไทยของพม่า (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย) หรือชนชาติไหนก็แล้วแต่ ไม่เข้าใจเห็นผิดไปหมดเลยไม่เหลือ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงหมดเชื้อหมดประสิทธิภาพ หมดธรรมาวุธ อาวุธทางธรรม ที่จะกำจัดกิเลสได้ โดยพยัญชนะว่าบุญหรือปุญญะ ไม่มีประสิทธิภาพ ไปเข้าใจว่าบุญคือกุศล เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลยคำนี้คำเดียวก็ล้มละลายเลยศาสนาพุทธ
แล้วจะปฏิบัติกรรมกิริยาต่างๆ กรรมกิริยาที่จะถือว่าดีก็คือ ทาน ศีล แล้วก็ไปหลงว่าภาวนา มีทานกับศีลเท่านั้น ภาวนาแปลว่าการเกิดผลของทานกับศีล แค่นี้ก็พูดกันเพี้ยนแล้ว
ผู้ทำทานเป็นมิจฉาทิฏฐิ นัตถิทินนัง ปฏิบัติงานพิธีต่างๆก็ผิดเป็น นัตถิยิฏฐัง ผลที่เกิดก็นัตถิหุตัง ไม่มีผลเลย โมฆะบุรุษ อาตมาพูดแล้วเหมือนตนเองรู้คนเดียวคนอื่นผิดหมด อาตมาขอรับรองคำพูดของอาตมาว่าอาตมาพูดถูก คนอื่นผิดหมด จริงๆ
เอาคำว่าบุญคำเดียวไปตรวจสอบ อาจารย์ผู้รู้ทั้งหลายของชาวพุทธมาตอบคำเดียว บุญแปลว่าอะไรที่ลึกซึ้งแน่แท้ ก็ตกหมด ออกข้อเดียวคำเดียวด้วย บุญที่ถูกต้องถ่องแท้ของศาสนาพุทธคืออะไร นอกจากชาวอโศกจะไปเข้าสอบได้เข็มมาเลย
มีหลงเหลืออยู่ในพจนานุกรมฉบับภูมิพโลภิกขุ แล้วก็มีเป็นแต่เพียงส่วนหนึ่ง ในคำว่า ปุญญะ มีส่วนหนึ่งนอกนั้นขยายความไปเยอะ ว่าพระธรรมปาละ ให้ความหมายของบุญว่า สันตานังปุนาติวิโสเทติ แล้วท่านก็มีหมายเหตุในพจนานุกรมฉบับนี้ว่า รู้สึกแปลกเหมือนกันนะท ท่านก็ยกบทต่างๆมาขยายต่อ อธิบายไว้เยอะ ก็ไม่มาเจาะเข้าไปว่า สันตานังปุนาติวิโสเทติ การชำระกิเลสในจิตในสันดานให้หมดจดมันคืออะไร ถ้าเข้าใจบุญไม่ถูกก็จะงงว่าสิ้นบุญสิ้นบาป
อาตมาว่าชาวพุทธก็จะงงว่าสิ้นบุญ ยิ่งบอกว่าอรหันต์คือคนสิ้นบุญสิ้นบาป หมดบุญแล้ว ก็ยิ่งจะงงกันใหญ่ แล้วจะปฏิบัติธรรมไปทำอะไร ปฏิบัติธรรมแล้วก็หมดบุญคือตาย เพราะฉะนั้น มารตัวโง่ พอพระพุทธเจ้าประกาศความเป็นพระพุทธเจ้าก็บอกว่า อ๋อ บรรลุแล้วหรือ ตรัสรู้แล้วหรือ มารเข้าใจว่าตรัสรู้แล้วคือคนสิ้นบุญสิ้นบาปคือตาย เมื่อสิ้นบาปแล้วก็ต้องสิ้นบุญ คนสิ้นบุญคือคนมีกิเลสตายสนิท ไม่มีกิเลสเกิดอีกเรียกว่าสิ้นบุญเพราะฉะนั้นคนเข้าใจไม่รอบถ้วน ก็เลยเข้าใจว่าตาย ถามว่าคนนี้เป็นยังไงเขาบอกว่าสิ้นบุญไปแล้ว คือตายไปแล้ว ตายในร่างกาย แต่แท้จริงคำว่าสิ้นบุญเป็นการตายทางจิต โดยเฉพาะกิเลสจิตที่เป็นกิเลสมันตายหมดสนิท เรียกว่าสิ้นบุญ
ถ้าอาตมาไม่มาเกิดในยุคนี้ คำว่าบุญ จะไม่มีการเปิดเผยขยายความจะเหลือในพระไตรปิฎกจะเหลือในพจนานุกรม ฉบับภูมิพโลภิกขุ ว่าบุญนี้คือ สันตานังปุนาติวิโสเทติ เขาก็แปลเป็นไทย ว่าคือการชำระจิตสันดานให้บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ไม่สะดุดใจว่าจะมีความหมายลึกซึ้งอะไรก็ขยายเป็นกุศล ในพจนานุกรมฉบับภูมิพโลที่ขยายออกไปอีกก็จะได้ไปเป็นกุศลเป็นความดีงามที่สะสมอะไรอีกต่อไป แต่ยังเหลือเศษตรงนี้เป็นเสสะ ที่เหลือตกค้างให้อาตมาได้หยิบมาขยายความได้จนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งไปเก็บเอาคำต่างๆมาขยายประกอบ เช่นคำว่า สิ้นบุญสิ้นบาป หมดบุญหมดบาป เป็นต้น มาขยายประกอบ เห็นไหมว่าบุญเป็นคำพิเศษขนาดไหน เมื่อปฏิบัติหน้าที่จบกิจไม่มีบาปไม่มีกิเลสอีกแล้ว บุญไม่มีหรอกในคนผู้นั้นเป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ผู้ที่ไม่เคยได้ยินไม่มีพื้นฐานในการฟังธรรมโลกุตระ จะนั่งหน้ามืดจะนั่งงงๆ โพธิรักษ์พูดอะไรวะ จะงงๆไม่เข้าใจ
ยิ่งไปบอกว่า สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง ก็บอกว่า 3 ประโยคนี้เป็นโอวาทพระปาฏิโมกข์ ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว ยังกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วสะอาดได้ เขาก็ได้แต่พยัญชนะ ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองไป จริงๆนี่เป็นคำตรัสของผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ฟัง ก็จบในปาฏิโมกข์นี้แล้ว สุดท้ายชีวิตของเธอไม่ทำบาปทั้งปวงแล้วนะ เพราะว่าบาปหมดเกลี้ยงแล้ว เพราะฉะนั้นกรรมกิริยาที่เหลืออยู่จะมีกรรมกิริยาใดก็มีแต่กุศลถึงพร้อม ที่จริงไม่ต้องใช้คำว่าบำเพ็ญ กิริยาอะไรที่ปฏิบัติก็มีแต่กุศลถึงพร้อม สัมปทา การปฏิบัติประพฤติใดๆ ก็จะไม่มีบาปอีกแล้ว มีแต่กุศล การประพฤติใดๆก็จะมีแต่กุศลเกิดพร้อม เราได้ทำจิตให้ผ่องแผ้วโดยรอบใสสะอาด สจิตตปริโยทปนัง ปริโยทาตาบริสุทธิ์และบริสุทธิ์อีก ปริโยทปนัง สะอาดแล้วสะอาดอีก รอบแล้วรอบเล่า จบกิจแล้วปานนั้น ให้พวกเราฟังไว้เรียนรู้ไว้ว่าไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน แต่เป็นเรื่องซับซ้อนมากมาย
พระอรหันต์เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาปเป็นคนไม่มีบุญอีกแล้ว ฟังแล้วก็หูหักกัน พระอรหันต์คือคนหมดบุญแล้วไม่มีบุญแล้ว ผู้ใดที่ฟังแล้วไม่มีธรรมรสก็จะงง รับไม่ติดไม่เข้า อาตมาถ้าจะสงสารตัวเองก็จะกลายเป็นโอ๋ตัวเอง สอนไปเถอะไม่มีใครฟังรู้เรื่องหรอก มันจะรู้เรื่องอะไร มันก็มีคนรู้อยู่ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ได้
อาตมานี่คล้ายพระพุทธเจ้าในมุมที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาแล้ว ท่านก็ตรวจโลกตรวจสังคมมนุษยชาติว่า มนุษย์นี้จะมีภูมิพอที่จะรับพระพุทธศาสนาได้บ้างไหม ประกาศไปแล้วจะโมฆะไหมจะมีผู้รับได้สักกี่คนจะคุ้มกันไหม หากประกาศไปแล้วไม่มีใครรับได้ก็เสียของ เอาของไปขายที่ตลาดแล้วไม่มีใครสนใจเลย เขามองอย่างเหยียดหยาม อะไรของเอ็งมันก็เสียของหมด
ตรวจดูแล้ว อ้อ น้อยนะ คน ตรวจดูดีๆ ก็ยังพอมี ผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อยพอจะประกาศได้ จึงได้ตัดสินพระทัย ประกาศศาสนา ส่วนโพธิรักษ์นั้น ไม่ได้ตรวจอย่างนั้นหรอก ไปตรวจทำไม แต่รู้เลยไม่ต้องตรวจหรอก ยากนะเอ็งคนจะรู้ได้ฟัง เพราะฉะนั้นมีคนมารับได้ประมาณนี้ งวดนี้มีเท่าไหร่ ถึงไหม 670 เมื่อวาน900 กว่า แสดงว่าทำงานได้ก้าวหน้า ถ้ามีคนมาฟังธรรมครั้งนี้ ครั้งที่เกือบ 50 ได้ถึง 670 อาตมาก็เรียกว่าคุ้มใช่ไหม สมบูรณ์ตามฐานะที่ควรได้ควรเป็น แต่นี่ได้ตั้ง 900 ก้าวหน้าขนาดนี้คงอายุ 151 คงถึง
อาตมาเปิดคอลัมน์ เปิดยุคบุญนิยม คำว่าบุญไม่มีแล้วยุคนี้ จึงต้องเอาคำว่าบุญมาประกาศฉีกหน้าความผิด เปิดหน้าบุญออกมาให้รู้หน้ารู้ตาในยุคนี้ นิยมหรือนิยมะ แปลว่าลัทธิ แบบทฤษฎี ความคิดทิฏฐิก็ได้ แบบนี้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
อาตมาอธิบายธรรมะให้มีความสำคัญอยู่เสมอ เพราะว่าโลกุตรธรรมเป็นสิ่งที่ยาก พวกคุณต้องมีฉันทะมีความยินดีเป็นเค้ามูล แล้วก็มาสร้างผัสสะ มีมนสิการเป็นที่แดนเกิด ให้เกิดพัฒนาการ จิตเจริญจิตบรรลุไปเรื่อยๆ โดยมีผัสสะเป็นสมุทัย ตัวนี้เป็นตัวยืนยันเลยในมูลสูตรเป็นรากเค้าของศาสนาพุทธ 10 หลักใหญ่ ถ้าไม่มีฉันทะเป็นรากเค้าก็เลิกเลย มีฉันทะแล้วก็มาทำโยนิโสมนสิการ ที่จะทำคือจิต จะเกิดตรงนี้ได้ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย เป็นรากเค้าของการปฏิบัติธรรม เขาหลงผิดไปจนกระทั่งยึดติดการหลับตาปฏิบัติ โพธิรักษ์มาพูดอย่างไรยังไม่มีเจ้าหมู่เจ้าคณะไม่มีสำนักไม่มีครูบาอาจารย์มาก่อน เป็น สยังอภิญญามาพูดเขาไม่เชื่อหรอก ความมีความรู้เดิมเอามาพูด แต่ยืนยันได้ว่าความรู้ที่เอามาพูดไม่เหมือนกับอาจารย์ที่สอนอยู่ทั้งหลาย มันก็เลยยิ่งแย่ใหญ่ เขาบอกว่าไม่เหมือนอาจารย์ข้าสอนเลยกี่คนกี่คนก็ไม่มีเพื่อน เขาเป็นมิจฉาทิฐิร่วมกันเกือบหมดประเทศ โพธิรักษ์โผล่ขึ้นมารู้อยู่คนเดียวแล้วใครจะรับรองเอ็ง (สู่แดนธรรมว่า มาตรฐาน กรอ. คือกูรับรองเอง)
เพราะฉะนั้นในข้อที่ 3 นี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าศาสนาพุทธต้องมีผัสสะเป็นเหตุ ไม่ใช่เหตุที่เป็นปัญหานะ อันนั้นเป็นเหตุของอาริยสัจที่เป็นมรรคผล ส่วนอันนี้เป็นเหตุของการปฏิบัติ ถ้าไม่มีผัสสะก็โมฆะเลย ในพหรมชาลสูตรยืนยัน เว้นผัสสะเสียแล้วไม่มีความรู้สึกที่เป็นฐานจะปฏิบัติได้ แต่ต้องปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ 8 ลืมตาปฏิบัติจึงจะเกิดเวทนาแล้วจะทำให้เกิด ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 ถึงจะเป็นอย่างนี้ได้ นี่คือหัวใจศาสนาพุทธ ในพระไตรปิฎกว่าไว้คือหัวใจศาสนาพุทธ หากไม่มีเวทนาเป็นตัวทำงานแล้วแยกแยะเวทนา คนนี่ต้องมี 2 มีกายมีจิต มีรูปมีนามเสมอ คือ เทวธัมมาแล้วก็เอาตรงที่เวทนา เอาเจาะไปหาเป้าหมายคือเวทนา 2 แล้วจัดการเวทนา 2 ให้เป็น 1 ท่านแปลว่ารวมกันลงเป็นอย่างเดียว สโมสรณา สังเคราะห์ลงจัดการลงให้มันเกิดเหลือ 1 ให้ได้ เหลือ 1 ได้แสดงว่าคุณตีเทวะ 2 ให้แตก แล้วก็เรียนรู้ 2 หรือมีสัจจะของจิตเจตสิก กับอาคันตุเกหรือกิเลสอีก 1 จัดการฆ่ากิเลสให้ได้หมดก็เหลือจิตที่เป็นหนึ่ง เอกัคคตาจิต
การไปนั่งหลับตาสะกดจิต ยิ่งจะสะกดจิตให้กิเลสมันผนึกแน่นลงไป ยิ่งจะตีไม่แตกใหญ่เลย แทนที่จะมาวิเคราะห์ทีละ 2 กิเลสมันเป็นพะเรอเกวียนจับมาเรียนรู้ทีละคู่ เหมือนจับฝุ่นที่ในแก้วนะ ต้องคุ้ยให้มันกระจายแล้วจับเมล็ดฝุ่นออกมาให้ได้ เม็ดฝุ่นในน้ำ จับออกทีละเม็ดไม่ต้องท้อ มันต้องทำอย่างนี้ ของจริงมันถึงจะเด็ดขาด จับตัวเม็ดให้มั่นคั้นให้ตาย เม็ดของกิเลส แล้วเอามันออกจากแก้วน้ำให้ได้ เมื่อเอาออกมันก็ใส่ขึ้นใสขึ้นจนกระทั่งหมดฝุ่นในแก้ว ใส่อย่างนี้ไม่มีฝุ่นในแก้วเขย่าอย่างไรมันก็ไม่ขุ่นเลย อย่างนี้ต่างหากศาสนาพุทธ มีประสิทธิภาพอย่างนี้สุดยอด
จิตสะอาดขึ้นจิตตกผลึกตั้งมั่นเป็นสมาธิ มันปักหลักก็เป็นประมุขของจิต ทำได้ 1 หน่วยมีประมุข 1 หน่วย 2 หน่วยก็เป็นประมุขได้ 2 หน่วยสะสมตกผลึกไป จิตใจก็แข็งแรงขึ้นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แต่นั่งหลับตาสมาธิเป็นอัปปนาไปเรื่อยๆ แน่วแน่แน่น เลยสีลวัณโณเลย เลยนึกว่าศาสนาพุทธมีแต่ศีล แล้วก็ไปตีความหลักการหรือศีลของท่าน หรือว่าปฏิบัติตามความรู้ของตัวเองแล้วเอาไปอ่านตามพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกก็แปลไม่ค่อยบริบูรณ์นัก ยึดมั่นถือมั่น อาตมาก็อธิบายสิ่งที่ไม่ค่อยตรงกับพระไตรปิฎก เลยมองว่าอาตมาออกนอกพระไตรปิฎก ท่านก็เลยรักพระไตรปิฎกมากกว่าอาตมา ที่จริงท่านรักตัวท่านเองที่ท่านตีความของท่านเอง นี่ เลยได้แต่ผิวของศีล ที่เรียกว่า สีลวัณณะ ผิวของศีล นี่คือให้ความรู้กับท่านสีลวัณโณ ท่านไปพิจารณาให้ดี น่าสงสารท่านก็จะกลายเป็นแยกออกไปไม่ค่อยจะรวม เพราะพวกเรามาเข้ากับอาตมา ก็เลยระแหงไปเรื่อยๆ ตอนนี้ได้ข่าวไปอยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำ ไปอยู่กับท่านยุทธวโร ก็เลยไปรวมเป็นพวกเดียวกัน ท่านยุทธวโรเป็นปฏิปักษ์กับอาตมา ท่านยุทธวโร
สักวันหนึ่งท่านจะเข้าใจ วันนั้นจะเป็นวันชัย ท่านชื่อว่าวันชัย I hope So ท่านจะชัดเจนเข้าใจว่าเราเสียเวลาจนป่านนี้แล้ว เพิ่งจะมารู้ ขอให้เร็วหน่อยขอให้พบวันชัยเร็วหน่อย
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก อาตมาก็วิจัยธรรมะจากสัจธรรมจากบุคคลจากองค์ประกอบของพฤติกรรม ให้ฟัง ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนไม่ได้ไปลบหลู่ แต่เอาไปเป็น specimen เอามาเป็นตัวอย่างในการขยายความประกอบเป็นตัวอย่างที่จะอธิบายความ จากบุคคลจริงที่อยู่ด้วยกันรู้จักกันมีพฤติกรรมจริง อย่างเช่นพระเทวทัตเอามาให้คนได้รู้เป็นตัวอย่างคนจะได้สังวรระวัง
ในมูลสูตร หากเราไม่ปฏิบัติอย่างมีเวทนาจนกระทั่งจิตสะอาดเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จึงจะเกิดจิตสะอาดตกผลึกตั้งมั่นเป็นประมุขเป็นประธานในจิตเรา เมื่อปฏิบัติได้ถึงขั้นทำสมาธิเป็นสัมมาสมาธิถูกต้อง ความเจริญของจิตก็จะมีมากยิ่งขึ้น มีอำนาจเป็นอธิปไตยที่มากยิ่งขึ้นมีปัญญาอยู่เหนือ เป็นอุตระมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆแล้วก็มีวิมุตเป็นแก่นสะสมตกผลึกเข้าก็รวมเป็นแก่นเป็นวิมุตหลุดพ้นไปได้ด้วยสติกับปัญญา เป็นเทวะ เป็นธรรมะคู่ ที่ทำให้เกิดผลสะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ขึ้นเรื่อยๆๆๆ จนเต็มวิมุติก็เป็นอมตบุคคล
อมตบุคคลคือสิริมหามายา เป็นบุคคลที่จะตายก็ได้จะเกิดก็ได้ ที่พูดว่าจะตายก็ได้เกิดก็ได้ที่ใช้คำว่า อาตมาเพราะว่าอาตมาทำได้ทำได้มาแล้วหลายชาติด้วยว่า อาตมาจะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ แต่อาตมายังไม่ตายเพราะเกิดอยู่ ยังไม่ยอมตาย อย่าตายนะ ตายสูญ ตายปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว เป็นอรหันต์ที่สมบูรณ์จะปรินิพพานเป็นปริโยสานเลิกเลย ไม่เหลืออัตภาพใดๆ แตกเป็นอุตุ พีชะ เหลือเศษนิดหน่อยนอกนั้นก็แตกเป็นอุตุธาตุไปหมดเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเราเหมือนพวงมะม่วงตกลงมาแตกกระจาย จะไม่รวมกันติดๆเลย พวงมะม่วงนี้หายไปจะเหลือติดขั้วอยู่บ้างรวมไม่ติด ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
จะมาพูดความจริงตามที่อาตมามีจริงเป็นจริงอย่างนี้ หยิบความจริงเอามาพูดไม่ได้อ่านมาจากตำรา อธิบายธรรมะนี่เอามาจากความจริง ตำรามีประกอบช่วยในพยัญชนะภาษา ต้องรู้เอามาเรียกชื่อสภาวะต่างๆ อาตมามีสภาวะป็นหลักมีพยัญชนะเป็นรอง แต่ท่านผู้รู้ทั้งหลายท่านมีพยัญชนะเป็นหลักมีสภาวะเป็นรอง เช่นคำว่าปุญญาภิสังขาร
อภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขารเป็นโลกุตระ ท่านไม่รู้ก็แปลพยัญชนะเป็นโลกียะ เช่น ปุญญาภิสังขาร เป็นการจัดการกับการปรุงเเต่งจิตให้เกิดบุญ นักปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธมีหน้าที่ ปุญญาภิสังขาร อย่างเดียวจนกระทั่งหมดบาปหมดกิเลส ก็อปุญญะ ไม่ต้องทำบุญอีกไม่ต้องมีบุญอีก ผู้ไม่มีสภาวะก็แปลอปุญญะว่า ทำบาปอีก ก็เลยรู้ว่าท่านทำบุญไม่เป็นเลยแปลแบบนี้ ขยายความว่าไม่ใช่บุญก็คือบาป อย่างนี้ก็เลยวนอยู่ในโลกียไม่ออกนอกโลกียะ เพราะสุดยอดแล้วหมดบุญแล้วไม่มีอะไรวนกลับไปอีก วนเหมือนก้นหอยวนนั้นมันจะสูงขึ้นเจริญขึ้นนี่คือโลกุตระไปตามลำดับ พอไปถึงสุดก็ไม่ต้องวน
แต่นี่บอกว่าเมื่อไม่มีบุญก็คือบาปก็เลยวนอยู่ที่เก่า วนมาหาบาปคือไม่ก้าวหน้า มีตรงกันข้ามซ้ายขวาขวาซ้ายบนล่างอยู่อย่างนี้ นี่คือสัจจะที่อาตมาเข้าใจบุคคลเข้าใจสัจธรรม ที่บุคคลแต่ละบุคคลพูดอธิบายขยายความ แสดงถึงความรู้ของตนเองที่มีมาได้
เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่สามารถทำสมาธิได้ก็เจริญ อเนญชา พอผ่านอปุญญะแล้วไม่ต้องมีบุญอีกแล้วก็เจริญอเนญชา จิตปัญญาก็ยิ่งเป็นโลกุตระ ปัญญาก็ยิ่งอยู่เหนือโลกไปเรื่อยๆ แก่นของศาสนาคือวิมุติก็ยิ่งเจริญขึ้น เป็นวิมุติที่รู้จริงรู้ยิ่งมีญาณทัศนะ ทำได้ยิ่งทำได้จริงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นวิมุตติญาณทัสสนะเป็นแก่น จนกลายเป็นคนนักมายากล จะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ เป็นคนงงว่าท่านพูดเกิดหรือท่านผู้ตาย ผู้ที่สามารถรู้ทันรู้ได้สิ่งที่อาตมาพูดไม่สับสนจับได้มั่นคั้นได้ตายรู้ทัน คนนั้นก็มีมุทุภูตธาตุที่ดี มีจิตแววไว จับความหมายที่อาตมาพูดกลับไปกลับมาได้เป็นการทดสอบ
(สู่แดนธรรมบอกว่า พ่อท่านเคยถามว่า นี่อาตมาคว่ำมือหรือหงายมือ เขาก็บอกว่าคว่ำ แต่พ่อท่านบอกว่าอาตมาหงายหลังมือให้คุณดู) เขาไม่กำหนด อาตมาก็ไปกำหนดใหม่ว่าอันนี้คือหน้าอันนี้คือหลัง เขากำหนดเองอาตมาไม่ได้บอกหน้าบอกหลัง อาตมาคว่ำมือหรือหงายมือ เขาก็บอกว่า คว่ำมือ อาตมาก็บอกว่าไม่ใช่ อาตมาหงายหลังมือให้คุณดู อาตมาพูดผิดไหม ไม่ผิด ผู้รู้เขาก็รู้อย่างนี้ ผู้ไม่รู้ก็บอกว่าพูดอะไรวะ คว่ำอยู่ชัดๆจะบอกว่าไง คุณมีความรู้อย่างเดียวเท่านั้นแต่คนไม่มีความรู้ 2 เป็นกรรมกิริยาครบพร้อม 2 เปลี่ยนไปอะไรแล้ว ใช้พยัญชนะเหมือนพูดเดี่ยวๆ คนก็บอกว่าคว่ำ แต่อาตมาไม่ได้บอกว่าหน้าหรือหลัง คว่ำหน้ามือหรือหงายหลังมือไม่ได้พูดไม่ได้บอกกับคุณสักอย่าง นี่ก็อธิบายพยัญชนะกับสภาวะให้เข้าใจ ลึกขึ้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ
อาตมาทุกวันนี้รู้สึกว่า สังขารร่างกายต้องยอมรับว่า มันเมื่อยไว อาตมาก็ยังสงสัยว่า ยิ่งนอนมากก็ยิ่งเมื่อยไวหรือยิ่งออกกำลังกายจึงต้องพักให้มาก ก็ยังสงสัย มันน่าจะออกกำลังกายให้มากกว่าพักหรือว่าพักให้มากกว่าออกกำลังกาย มันอยู่ในจังหวะไหนก็ไม่รู้ตอนนี้ จังหวะออกกำลังกาย หรือวันๆหนึ่ง กลางคืนแน่นอนนอนแน่ ต้องนอน เกิน 3 ทุ่มก็ไม่ได้ ก็นอนวันนึงไม่ต่ำกว่า 9 ชั่วโมง
อาตมาจะสั่งสัมประสิทธิ์ให้เกิดความ Fresh up ของทุกอย่าง ทั้ง protoplasm cytoplasm ให้สดใหม่เสมอ แล้วมันจะช่วย ภาษาวิทยาศาสตร์ไบโอโลจีเป็นอย่างนี้
-
เรารู้ 2.เราสร้างพยายามจะให้พลังงานมันประกอบ ธาตุ ให้เป็นธาตุสดชื่น ทำให้ได้