620513_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 48
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1P8OPDz2VVsSPVNbGrXbdFFU68u5zrPT8RgcMNuxAZ5U/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1A2W447k32tjiUBzWkL5zKtMjx47wm5dc
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2562 ที่ บวร ราชธานีอโศก
_SMS วันที่ 11 พ.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู)
_3867ลุงจำลองคงเป็นนักโทษชาวมังสวิรัติคนแรกคนเดียวในโลกราชฑัณฑ์ของชาวเนื้อหนังมังสาหารทั่วไป! อยากรู้ลุงจำลองจะหาอาหารมังสะวิรัติที่ไหนทานได้ในแดนสนธยา?ขอบคุณวิบากลุงจำลองเป็นครูเตือนใจเราว่า แม้จะเป็นชาวมังสวิรัติไม่เบียดเบียนสัตว์ก็ใช่ว่าจะพ้นวิบากกรรมเก่า!
พ่อครูว่า…คิดได้ไง คานธีก็เป็นนักมังสวิรัติเข้าคุกไปไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นไม่ใช่คนแรกหรอก
ขอแวะนิดนึง มังสวิรัตินี้หาง่ายที่สุด ใบไม้ใบหนึ่งก็เป็นมังสวิรัติแล้วผลไม้ใบไม้ไปที่ไหนก็มี ข้าวสุกขนมสด เป็นมังสวิรัติทั้งนั้นเลย ที่ไม่มีไข่ไม่มีเนื้อสัตว์ ไปที่ไหนก็มีเยอะแยะ มันอยู่ที่ว่าคุณจะกินมังฯไม่กินมังฯก็เลยหาไม่ได้ แล้วมาขู่ว่ามังสวิรัติเลี้ยงยาก ที่จริงแล้วเลี้ยงง่าย
ไปหาอาหารเถอะ เนื้อหมูหมดแล้ว เหลือแต่ผัก เนื้อวัวหมดแล้วจะมีผักเหลือ ผักมีมากกว่าเนื้อสัตว์ไม่ต้องห่วงเลย กินพืชผักนี้จะอดอยากไม่ต้องห่วงเลย
เขาจะเลี้ยงวัว เขาจะใช้หญ้าประมาณ 9 เท่าใช้พืช น้ำหนัก 9 เท่าถึงจะได้เนื้อ 1 กิโลกรัม อาตมาพอจำได้นะ ใครจำได้แม่นกว่าอาตมาก็แก้ไขด้วย
สรุปแล้วเรื่องมังสวิรัติหาทานที่ไหนก็ได้ ในคุกจะหาเนื้อสัตว์ได้ยาก แกงฟักใส่วิญญาณสัตว์ เพราะหาเนื้อสัตว์ได้ยาก ต้มฟักใส่โครงกระดูกไก่ เขาหาเนื้อสัตว์มาทำอาหารได้ยากกว่าเยอะ คงจะเข้าใจกันได้ง่าย คนไม่ชัดเจนก็หาเรื่องไปหาพวก
พ่อครูว่า…เราเป็นนักมังสวิรัติแล้วก็ไม่ใช่จะพ้นกรรมวิบาก ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้วด้วยซ้ำไป ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะพ้นวิบาก วิปากทุกข์ จะพ้นทุกข์ที่เป็นวิบากตามทันท่าน ก็เหลือวิบากตามทันอยู่แต่วิบากหนักลดลงๆๆๆ ก็เหลือวิบากไม่แรงร้าย ผู้ที่จะมาหาทางฆ่าท่าน ทำร้ายท่าน ตามตำนานก็จะแพ้ภัยตัวเองไปหมด ทำไม่ได้ทำไม่ถึง ก็เหลือเศษวิบากหนักที่สุดคือเทวทัต กลิ้งหินทับพระบาทท่านห้อเลือด นอกนั้นก็วิบากต่างๆ
เช่นต้องไปรับวิบาก ต้องไปบำเพ็ญทุกรกิริยาตามเดียรถีย์ที่สมัยที่บวชใหม่ๆ ไปเป็นลิงลมอมข้าวพอง ท่านก็เล่าให้ฟังตามทีหลัง
เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)(ล.32 ข.392)
พระกัสสปะ ในยุคพระพุทธเจ้าก็ดี พราหมณ์ก็ทำนายว่าท่าน จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว คนก็รู้ว่าองค์นี้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแต่ตอนนั้นยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังประกาศว่าเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ระลึกยังไม่ได้ ของเก่ายังไม่ขึ้นมา เหมือนอาตมาเกิดมาเป็นด.ช.แป๊ก มงคล รักพงษ์ นายรัก ก็ยังไม่รู้เรื่องหรอกเป็นคนแรกๆแต่เมื่อถึงเวลา ก่อนนั้นต้องไปเป็นดาราทีวี ได้วันดีคืนดี เราชักไม่ไหวแล้วเบื่อหน่ายก็มาปฏิบัติธรรม
อาตมาก็ทำงานไปแล้วชักเบื่อ ก็ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ถึง 8 ปีก็เบื่อไสยศาสตร์ พี่จะไปเล่นไสยศาสตร์นั้นก็คือ อาตมาไปพบไปเจอ นายโคลแมน ฝรั่งคนหนึ่งเล่นสะกดจิตกัน ทางวิทยาศาสตร์แล้วก็ให้ระลึกไปตั้งแต่อายุเท่าที่เขาตอนนั้นแล้วก็ย้อนหลังไปเรื่อยๆ ตอนเข้าทรงสะกดจิต ก็ย้อนระลึกอดีตไปเรื่อยๆ ย้อนไป ถึง 20 ปี ตอนนั้นอายุ 30 กว่า ก็ย้อนไปอีก จนถึงอายุ 10 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี ย้อนข้ามชาติไปอีก ก่อนจะตายจะมาเกิดชาตินี้ เขาก็พยายามย้อนไป แต่โคลแมน อาตมาจำไม่ได้แล้วว่าเขาระลึกไปชาติใด แต่ก็สะดุดใจว่าอ๋อ มันระลึกชาติได้ก็ดี ย้อนอดีตไปได้ อาตมาก็เลยสนใจ ตอนแรกที่จะไปเล่นทางจิตก็เลยพยายามค้นคว้าทางจิต แต่ดันไปเจอไสยศาสตร์ ไปเจอสมาคมค้นคว้าทางจิต
หมอเชียร หมอจรัญ หมอประพันธ์(ทันตแพทย์) หมอจรูญ หมอทั้งนั้นเลย สำนักงานอยู่วัดมกุฏฯ อาตมาอยู่กับพวกนี้ก็สะกดจิตเป็น เขาก็ค้นคว้าเข้าทรง เขาสงสัยว่า สะกดจิตกับเข้าทรงอันเดียวกันหรือเปล่า เชื่อมโยมกับดร.เอียน สตีเฟนสัน อาตมาก็ชักเลือน อาตมาก็สนใจทางวิทยาศาสตร์สะกดจิต ตอนกลางวันไปกับวิทยาศาสตร์ ตอนกลางคืนก็ไปกับไสยศาสตร์ เหนื่อยกว่าจะได้นอนก็ตีสาม แวะกินข้ามต้มกุ๊ยแล้วก็ไปนอน ตื่นเก้าโมงไปทำงาน วนเวียน จนศึกษาไสยศาสตร์อยู่ถึง 8 ปี สรุปได้ว่าวิทยาศาสตร์ชัดแต่ตื้น ไสยศาสตร์นั้นลึกแต่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่ชัดเจน
เสร็จแล้วก็เบื่อไสยศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์ก็ชัดเจนแต่ไม่ลึก ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะเล็กกว่านี้ มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณทั้งนั้นมันก็น่าจะรู้เรื่องนี้ อะไรที่ทำให้รู้เรื่องนี้ก็มานึกได้ว่าพุทธศาสนาไง ก็เลยหันเข้าหาพุทธศาสนา เอาหนังสือหนังหาที่ใครๆเขาเขียนเอาไว้มาอ่าน เอาเท่าที่ประดามีทั่วไป เอามาอ่านแต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ไม่ได้อ่านอภิธรรมในตอนนั้น ก็อ่านหนังสือศาสนาพุทธทั่วไป
สรุปแล้วก็มาปฏิบัติสิ เขาเขียนหนังสืออ่านดูก็มีแต่ได้แต่ภาษาบัญญัติเราก็เลยลงมือปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาเขาปฏิบัติอย่างไร เราก็ถือศีล 5 ศีล 8 เราก็ศึกษาสบายๆ กระทั่งมากินมื้อเดียวตั้งแต่เป็นฆราวาส เราก็ไม่ได้ผิดศีล 5 อยู่แล้วเป็นฆราวาส ซื่อสัตย์ซื่อตรงดีอยู่แล้ว ขนาดธนาคารให้ใบรับรองเลย เชิญมากู้ยืมได้รับรอง อาตมากู้เงินเก่ง หมุนเวียนเงินกับธนาคาร อาตมาเป็นคนต้องหาเงินมากหาเงินหนัก ต้องมีเงินใช้จ่ายเลี้ยงน้อง 6 คน
เลี้ยงลูกมีเวลาสะสมเงิน แต่เลี้ยงน้องไม่มีเวลาสะสมเงินเลย ส่งน้องคนหนึ่งเรียนอเมริกา จนบัดนี้ก็ไปเป็น american citizen
อาตมาก็มาศึกษาพุทธ ก็มีบารมีเดิม ศึกษาศีลสมาธิปัญญา ดูสำนักต่างๆก็ไม่ติดใจนั่งหลับตา เขามีอย่างโน้นอย่างนี้ สำนักอภิธรรมก็มี แต่เรื่องการหลับตาเราเคยเล่นไสยศาสตร์มาเราก็ทำเป็นอยู่แล้วไม่ยาก หลับตามันก็มีสัญญาเก่าขึ้นมาเหมือนพระพุทธเจ้าท่านนั่งใต้ต้นโพธิ์แล้วก็ระลึกชาติในวันเพ็ญเดือน 6
ก็เลยปฏิบัติในร่างของฆราวาสจนร่างกายผ่ายผอมเขาก็ไล่ไปให้บวชเสีย สุดท้ายเราก็เลิก ไม่เอาลาออก ตั้ง 2-3 ครั้งกว่าเขาจะให้ออก เพราะเขาว่าจะบ้า เดินไม่ใส่รองเท้ากินมื้อเดียว หม่อมเจ้าที่เป็นผู้ใหญ่หวังดีก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เดินทางสายกลางมัชฌิมา
เราก็ว่าเราเข้าใจคำว่ามัชฌิมา ไม่เหมือนอย่างที่ท่านเข้าใจที่บอกว่าเหมือนพิณ 3 สาย มัชฌิมาคือจิตที่เป็นกลางระหว่างไม่มีขั้ว 2 ข้างกามกับอัตตา ไม่ใช่พิณสามสาย นี่ก็ลึกซึ้ง ทางสายกลางกับ จิตวิญญาณที่เป็นกลางไม่เอนไปทางซ้ายทางขวานั่นคือจิตเป็นกลางได้ไม่ใช่ทางสายกลาง มันยังมีซ้ายมีขวาคุณก็เดินไปกลางๆ อย่างนั้นไม่เกี่ยว แต่นี่มันคือผลแล้ว มรรคคือคุณก็จัดสรรให้พอเหมาะพอดีส่วนตัวหากมากเกินโต่งไปก็ไม่ดี สูงเกินก็ไม่ดี ต่ำเกินก็ไม่ดี ก็เป็นภาคมรรค แต่ผลของมันคือกลาง
เราก็ปฏิบัติไปจนสุดท้าย เลิกออกมามันก็มีวิบากอีกเยอะ ออกมาแล้วก็ยังไปต่างๆนานา จนมาเจอวิบาก ออกมาแล้วจนกระทั่งมาบวช มาเจอเถรสมาคมฟ้องร้องตามตำนานผ่านมาแล้วก็มีบันทึกไว้พอสมควรยาว
สรุปแล้วก็มีเรื่องของกรรมวิบากอีกเยอะที่เราจะต้องเผชิญ แม้แต่ทุกวันนี้อาตมาทำงานมาตั้งเกือบ 50 ปีแล้ว วิบากก็มาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้วิบากก็ตามมาอยู่บ้าง ไออยู่นี่ไม่โทษอะไร อาตมาโทษวิบากขันธ์ วิบากสรีระของตนเอง ก็ว่าไปสักวันหนึ่งก็คงจะมีหมอมีแพทย์ มีวิธีการดีๆสามารถกำจัดต้นเหตุจากสรีระ ก็รู้อยู่ว่ามันมีสรีระที่มี กระเปราะอยู่ที่คอ หมอไม่กล้าผ่า ผ่าแล้วเสี่ยงมาก หมอผ่าตัดก็ไม่มีใครกล้าเอื้อมมือมาทำ ก็ดีอย่างหนึ่งไอแรงอย่างไรก็ไม่เจ็บคอ เคยไอจนปวดซี่โครง ตอนนั้นไอมาก ก็ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ก็ไอ แต่ไม่เจ็บปวดอะไร ไม่เจ็บคอ แต่ไอแรง เหนื่อยนิดหนึ่งไม่เหนื่อยหอบ ไม่รู้ว่าจะเหนื่อยหอบตายเพราะเหตุนี้รึเปล่ายังไม่รู้
_นันท์มนัส ในความ เข้มแข็ง แข็งแกร่งมีความอ่อนน้อม อยู่ในนั้น จะเพิ่ม กุศลได้ มาก
พ่อครูว่า…จริง อันนี้ two in one
_SMS วันที่ 12 พ.ค. 2562 (พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน งานศิษย์เก่าศีรษะอโศก)
_3867ทำไมพ่อครูฯเทศน์วิถีอาริยะธ.ศรีษะ อโศกจบไวจัง?
พ่อครูว่า…ก็มันเหตุ Accident เกรงใจคนฟังก็เลยหยุด หยุดก็ยังอุตส่าห์มาต่ออีก มานั่งก่อนฉันข้าวก็พอมีกำลังก็ต่อไปอีกไม่ติดตามหรือไง เอาล่ะมันไม่มีเรื่องอะไรมากมาย
_นันท์มนัส…จิตเบื่อ หน่าย ด้วย ทุกขเวทนา ในกาย ขอธรรมะเพื่อ จิต เข้มแข็ง ยืนหยัด
พ่อครูว่า…ทุกข์มันมี คุณเผชิญทุกข์ใดก็แล้วแต่ คุณเลือกเอาทีละอย่าง อย่าไปมองรวมไปหมดว่าเป็นทุกข์ไปหมด ก็เลยไม่รู้จักว่าจะแก้ไขทุกข์อะไร ทกข์อะไรที่เราจะต้องเผชิญอันอื่นก็ปัดเป่าไปก่อน เราต้องเผชิญทีละคู่อ่านเวทนาในเวทนาอ่านเหตุให้ชัด มันยึดอย่างไร มันดีนักหนาอย่างไร เมื่อคุณเข้าใจจริงๆว่ามันไร้สาระ มันไม่เที่ยงเป็นเหตุแห่งทุกข์อย่างนี้เอง จริงๆแล้วมันไม่ใช่มีเรื่องราวตัวตนมีของจริงอะไรมันไม่มีหรอก ถ้าปัญญาหรือธาตรู้เราเกิดขึ้นถึงขั้นปัญญาจริงๆจะมีพลังงานไฟ อุณหธาตุที่ไปเผาเหตุแห่งทุกข์ได้
คุณต้องสร้างพลังงานปัญญาที่เป็น ปุญญะ พลังงานนี้ เผด็จศึกเลย อะ อิ อุ ปัญญะ ปัญญา หรือ ปัญญิ ปัญญี จน อะ อิ อุ
ปัญญะ อะ อิ อุ รัสสระ สามเส้าเป็นปุญญะพลังงานเผด็จศึกพลังงานไฟราคะโทสะโมหะ มันนามธรรม แล้วพลังงานในร่างกายในชีวิตในองคาพยพ อาการ 32 เราจับหทยรูป กลางๆให้รู้สึกว่าเราจับได้ทำอันนี้ได้ อาตมาก็พูดได้เท่านี้ แต่ก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ หลายคนก็อาจชัดเจนกว่าอาตมาก็อธิบายเผื่อด้วย ก็ต้องเรียนรู้ทีละคู่
_นันท์มนัส · ขอชื่นชม ทีมถ่ายทอดสด ศรีษะอโศก พลังทุเรียน ภูเขาไฟ
_หายโง่…เมื่อเร็วๆนี้ได้ถามสามี (เราโน่) เธอติดตามข่าวเศรษฐกิจโลกมายาวนานไม่เคยเห็นเธอเล่นหุ้น ถามว่าเพราะอะไรเขาก็ตอบว่าหากจะลงทุนกับอะไร หากจะเป็นหุ้นส่วนขนาดเล็กก็ต้องรู้ว่าผู้ร่วมลงทุนที่เป็นฝ่ายจัดการมีความสามารถแค่ไหน มีความซื่อสัตย์หรือไม่ ไว้วางใจได้ไหม นี่หุ้นระดับประเทศ เป็นการเสี่ยงมากการเสี่ยงแบบนี้ไม่ใช่การลงทุนเป็นการพนันเมื่อคุณเอาเงินไปเล่นหุ้นแบบนี้คุณต้องขอให้เทพเจ้าที่คุณนับถือให้การช่วยเหลือ แต่ฉันไม่นับถือเทพเจ้าสักองค์ฉันก็เลยไม่เล่นหุ้น ไม่เสี่ยง ฉันรู้ว่าการพนันมีแต่เสียมากกว่าได้การเล่นหุ้นคือการพนันไม่ใช่การลงทุน การเล่นหุ้นคือการพนันที่อันตรายด้วยซ้ำเพราะใช้เงินจำนวนมากหากได้กำไรสักครั้งหนึ่งก็จะเกิดความโลภแล้วถมลงทุนไปอีกแล้วก็เจ๊งอีก พ่อครูมีความเห็นอย่างไรว่าการเล่นหุ้นคือการพนัน
พ่อครูว่า…อาตมาเห็นด้วย เรื่องอะไรอาตมาเป็นนักบวชขนาดนี้จะไปเล่นทำไม ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหุ้นหรือลอตเตอรี่ก็เป็นการพนัน
ประกันชีวิตก็คือการพนัน คุณเอาชีวิตไปต่อรอง คุณตายคุณก็ไม่ได้เงิน คุณตายแล้วผู้ที่รับช่วงไปต่างหากจึงจะได้เงินไม่ใช่คุณได้เงิน การพนันนี้ได้หลายต่อ คุณเอาชีวิตคุณต่างหากไปแลกกับประกันชีวิตนั้น เฉพาะกับอวัยวะคุณก็ได้เงินถ้าอวัยวะคุณเสียคนก็ได้เงิน แต่คุณตายประกันชีวิตเรื่องตาย เงินได้แต่คนได้เงินหรือคุณตายแล้ว ประกันชีวิตคือการพนันชนิดหนึ่งและคุณก็ได้ค่าตัวสำหรับการตาย คนที่รักชีวิตมากก็เลยลงทุนมากแล้วบริษัทประกันภัยประกันชีวิตเขาก็ตีราคาให้คุณ บางทีคุณก็ไม่ได้ตายเพราะเหตุปัจจัยไม่ได้ก็ถูกกินเรียบ แต่ที่มันจะตายตามเงื่อนไข แต่ไม่ตายตามเงื่อนไขไม่จ่าย (สม.กล้าข้ามฝันว่า เจ้าของบริษัทประกันชีวิตรวยเป็นอันดับ 1 ใน 10 ของโลก) อย่างน้อยถ้าเราตายแล้วลูกเต้าเหล่าหลานก็จะได้ ไม่ตายฟรี เขาก็เอาอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่จะยืนยาวหรือรอด ไปจากเงื่อนไขที่จะต้องจ่ายเขาก็ได้กำไร ถ้าเขาไม่ได้กำไรบริษัทประกันชีวิตเจ๊งไปหมดแล้ว นี่เป็นเรื่องวิธีคิดและวิธีหาเงินของคนเอาชีวิตของคนมาเล่นพนันกัน นี่คือน่าเกลียดใหญ่เลย เอาชีวิตคนมาเป็นเรื่องต่อรองเป็นหลักประกันก็ไม่เข้าท่า
_เกร็ดดิน..ทิฏฐิ 62 มีอดีต 18 อนาคต 44 ปัจจุบัน ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิไปอยู่อนาคต แต่ดิฉันอยากทราบว่า 5 อย่างนี้ คือ กามคุณ 5 และฌาน 1-4
กามคือกามคุณ 5 ส่วน ฌาน 1-4 คืออัตตาใช่ไหม
พ่อครูว่า..ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 รวมในอนาคต 44 ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ 5 อันนั้นคือปฏิบัติการนั่งหลับตามีแต่สัญญาไม่ได้ปฏิบัติแบบลืมตาจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ สิ่งที่คุณได้ในทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิคืออนาคตที่ฟุ้งไปเอง 5 ประการ กามก็ตามคุณว่าได้นิพพานแล้วแต่ไปทำฌานหลับตา ฌาน 1-4 หลับตาทำ เพราะฉะนั้น คุณหลงยึดเอาภูมิไหนเป็นนิพพาน คุณนั่งหลับตาเป็นมิจฉาทิฐิหมดปัจจุบันที่คนนั่งหลับตาคุณได้แต่คุณลืมตามาคุณไม่ได้หรอก
_เกร็ดดินว่า…ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิที่ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิคือต้องลืมตามารู้
พ่อครูว่า…ก็ลืมตามารู้กามคุณ 5 ฌาน 1-4 ก็ลืมตาเป็นโลกุตระ ต้องเป็นลำดับ ฌาน 1-4 แล้วก็อรูปอีก อรูปท่านไม่อธิบายมาก ถ้ารู้ 1-4 ก็จะรู้การทบทวน อรูป อีก 4 ที่จริงมันว่างหมดแล้วแต่เป็นนัยละเอียดซับซ้อน เป็นนามกับรูป คือธาตุรู้กับตัวรู้เท่านั้นเอง อากาสาฯ กับ วิญญานัญจา คู่หนึ่ง และ อากิญจัญฯกับเนวสัญญาฯก็เป็นอีกคู่รูปกับนาม
_คุณหมดบุญ แก้วมณี…ขวัญแปลว่าอะไร ต่างจากสติหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า..คำว่าขวัญนี้อาตมาก็แต่งเพลงขวัญ เป็นนามธรรม ไม่รู้จะไปเรียกว่าอะไรในภาษาก็เลยขยายความอธิบายลักษณะนามธรรม
ขวัญ…คือมิ่งสิ่งรักล้ำ ประจำร่าง
ขวัญจักสร้าง พลังใจให้คงมั่น
ขวัญ…สิ่งนี้ที่ทุกผู้ รู้สำคัญ
ขวัญคิดเพียงแจกกัน กับขวัญก่อเอง ขวัญใดที่ดี
ถ้าหากเป็นขวัญ เขาเจิมจุลเพรียกเรียกขอ
มันก็เป็นขวัญเสริมเติมต่อเพียงสอวาดสี
แต่หากตนก่อ ตนแกร่งแต่งกรรมให้ดี
เพียงทวีมีศีลขันธ์ จักขวัญยืน…
ขวัญที่ได้จากคนอื่นสิ่งอื่น กับขวัญที่เราสร้างนามธรรมนี้ให้แก่ตนเองอันใดที่ดี
พวกนักเรียกขวัญสู่ขวัญก็ได้เงินทองทำอุปกรณ์มาประกอบ มีนักร้อง ชินกร ไกรลาศแกก็ได้เงินเยอะกับการเรียกขวัญ ขวัญคือนามธรรม เป็นพลังงานกำลังใจอันนึง ถ้ามีสิ่งนี้อยู่ในใจเรา เราจะมีกำลังใจมีความเชื่อมั่นมีอะไรต่ออะไรได้เยอะดี มีพลังในตัวเราเยอะอย่างนี้เป็นต้นมันก็อธิบายได้แค่นี้
ขยายความให้รู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญนะเรื่องของขวัญแต่ก็เป็นนามธรรมที่ยากมากเลย ก็แต่งเพลงให้ร้องกันอยู่เพลงขวัญ มีคนชอบอยู่เหมือนกัน จริงๆแล้วก็มีประวัติจากเพลงที่อาตมาเคยทำรายการโทรทัศน์ชื่อรายการขวัญดาว เป็นการคัดนักร้องเลือกนักร้องเสียงดีๆมาเป็นนักร้องในรายการ คุให้ออกสู่สังคมประเทศชาติเป็นการคัดเลือกนักร้องคนมาสมัครเยอะ มาสมัครกันเป็นพันคน ก็คัดเลือกนักร้องเข้ามาคนไหนที่เข้ารอบได้ก็จะมาเป็นนักร้องขวัญดาวอาตมาก็จัดรายการโทรทัศน์หาเงินเลี้ยงชีวิตไป ก็ทำตั้งแต่เป็นฆราวาสเป็นดาราโทรทัศน์ เพลงขวัญดาวจากการคัดเลือกนักร้องเป็นโลกๆ เราก็เอาทำนองมาดัดแปลง แปลงเนื้อเป็นขวัญ เป็นมิ่งขวัญเป็นนามธรรมของชีวิตนักปฏิบัติธรรมที่ต้องมี
_ชาวบ้านราชฯกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย จะทำอย่างไรจะสร้างทายาทไว้สืบทอดสามอาชีพกู้ชาติหรือเพื่อมนุษยชาติ กราบพ่อครูให้แนวทางด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาก็เก่งเท่าที่อาตมาเก่งนี่แหละจะเก่งได้ก็มาช่วยกัน สามอาชีพกู้ชาติมี กสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา
ปุ๋ยเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ไร้สารพิษ อาตมาที่เอา 2 อันนี้มาเพราะว่า 2 อันนี้เป็นรากฐานของชีวิต รากฐานของชีวมนุษย์ ปุ๋ยนี่มันเป็นอาหารพืช ไม่ใช่อาหารสัตว์ คนต้องกินพืช อาตมาส่งเสริมพืช กสิกรรมก็พืชอยู่แล้ว มีปุ๋ยอีกก็ไปรอดไปโลด ชีวิตนี้ไม่มีปัญหาเลยเพราะว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก กสิกรรมสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารมาเป็นอาหารให้แก่โลกแล้วมีองค์ประกอบคือปุ๋ย จะเป็นปุ๋ยชนิดไหนที่เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่คิดได้เอามาช่วยให้เกิดอาหารที่ดีนี้จบ
3 คุณจะกินข้าวคุณจะกินอาหารคุณจะทำปุ๋ยทำอะไรก็แล้ว แต่มันจะต้องเหลือขยะ ในโลกนี้คำว่าขยะเป็นเรื่องเศษที่ต้องทิ้ง อาตมาขยายความไว้ในหนังสือแสงสูญเรื่องขยะเอ๋ยไว้ไม่รู้กี่ฉบับว่า ขยะนี้มันมีที่เป็นพิษภัยเป็นสารพิษเป็นยาพิษจริงๆเลย เป็นขยะที่เลวร้ายเป็นวัตถุจนกระทั่งถึงขั้น วัตถุที่ค่อยๆเป็นสิ่งเสพติด จนกระทั่งเป็นสิ่งที่โลกหลอกให้เราเสพติด เสพติดในของอร่อย เสพติดในของชั้นสูง ขยะทั้งนั้น ของอร่อยก็ขยะ ของอะไรกินอาหารชั้นสูงราคาแพง ขยะทั้งนั้นโง่ถูกหลอกทั้งนั้นเลยเป็นอุปาทานไม่สูงส่งอะไรเลยอร่อยก็ไม่มี มันเป็นสัจจะ ถ้ามาศึกษาแล้วก็จะรู้ว่าเราไปหลงขยะพวกนี้ ยิ่งอร่อยมากเท่าไหร่ชั้นสูงมากเท่าไหร่ก็เป็นขยะเท่าที่จะเป็นขยะ ขยะโง่หนักเท่านั้นๆ อร่อยเท่าไหร่ อาหารชั้นสูงเท่าไหร่ โง่เท่านั้น โง่เท่านั้น ใครเคยโง่อย่างนี้มาบ้าง ยกมือ…ยกหมด
ศึกษาให้ดีเถอะเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนมากแต่นี่มัน หยาบ แต่คนติดหยาบอีกเยอะในโลก ยิ่งไม่ได้ศึกษาสัจจธรรมอย่างศาสนาพุทธก็เลยติดยึดกันทั้งโลก ก็ถูกหลอกกันทั้งโลกถูกหลอกว่าอร่อย อาหารไทยอร่อยมากเดี๋ยวนี้ตีไปทั่วโลก ปรุงแต่งจนฝรั่ง very hot มันมาก แต่มันก็ถูกหลอก เอาเข้าหนักๆก็ติดจนมาถึงฑูตในเมืองไทย ติดเผ็ด พอกลับบ้านจะต้องหาพริกมาปลูกในตู้กระจกเพื่อให้ผัวมีพริกกิน หนักหนาสาหัสเลย ซวยไปเลย อะไรต่างๆพวกนี้เรียนให้ดีแล้วเราจะวางปล่อย ความสุขทางโลกคือขยะทั้งนั้นความสุขกับความทุกข์นั้นแยกกันไม่ได้มีสุขต้องมีทุกข์เพราะฉะนั้นหมดสุขก็หมดทุกข์หมดความทุกข์ก็หมดความสุข สรุปแล้วหมดความทุกข์ความสุขก็หมดความเป็นทาส คู่เทวะ สูญว่างสบาย
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเป็นธรรมะที่เบาว่าง ง่าย จบ ไม่เป็นภาระสิ้นภาระสบาย มีพลังงานเท่าไหร่ก็เป็นพลังงานที่ไม่ต้องไปบำเรอตน พระอรหันต์ไม่ต้องบำเรอตนอีกแล้ว จะบำเรอตนด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินอะไร เอร็ดอร่อยไม่มี มีแต่ใจเบิกบานร่าเริงสบายๆ จิตใจเบิกบานร่าเริงก็ใช้แค่นี้ก็แล้วกัน อภิปโมทยังจิตตัง จะทำให้จิตใจมันนิ่งเฉยๆซึมว่างก็ได้แต่มันไม่เป็นที่สบอารมณ์ของคนหลอกคนกลัวขรึมนิ่ง ยิ้มแย้มก็ไม่ได้มองตาเขียวไม่สงบไม่สำรวม จะบ้าไปใหญ่ อนุโลมได้เราไม่ติด คนมีปัญญาเข้าใจแล้วเราก็อนุโลมกับเขาไม่ติดหรอกพอจะเรียกว่าปฏิสันถาร เรียกว่าเป็นการเชื่อมโยงกับเขาเข้ากันได้ เชื่อมต่อกับเขาสัมพันธ์ที่จะได้มีอื่นๆที่จะให้เขา
คนจะอนุโลมได้ต้องไม่ถูกเขาดึงตกไป ต้องมีฐานบรรลุจริงไม่มีฐานที่มั่นคงเป็นแกนของคุณได้ เขาดึงอย่างไรคุณก็ไม่มีทางหลุดจากแกนได้ หากคุณมี 100 ใช้ 70-80 ก็พอได้ หากใช้ 100 ไม่เหลือจะถูกดึงไปได้ อนุโลมปฏิโลม ก็ต้องดูว่าเราจะอนุโลมแก่ใครแค่ไหนประมาณนั้นอาตมาอนุโลมเยอะแล้วมั่นใจว่าอาตมาไม่ตกต่ำอนุโลมขนาดนี้ เพราะฉะนั้นจึงปรุงแต่งเป็นความหยาบไปเยอะ ขนาดอนุโลมขนาดนี้ คนหยาบยังได้ขนาดนี้ หากอนุโลมละเอียดเคร่ง จะเหลือ 10 คนหรือไม่ คนยังไม่เข้าใกล้มา แสดงว่าเขาหยาบกว่านี้อีกเยอะติดยึดในโลกียรสเยอะ ก็ไม่เป็นไร ได้เท่าไหร่ อาตมาไม่มีปัญหา ไม่ได้ต้องการปริมาณไปอวดอ้าง สถิติไม่หรอกแม้นามธรรมอาตมาเอาของจริงได้แค้่ไหนแค่ไหน ส่วนปริมาณไม่มีปัญหา จะพัฒนาไป ก็เป็นเครื่องพิสูจน์เหมือนกันว่าอาตมามีอัตราการก้าวหน้าความจริงที่อาตมานำเสนอนั้นจะมีไหม ในเมื่ออาตมาไม่อนุโลมเพื่อจะให้เพิ่มปริมาณมากขึ้น อาตมามีกรอบของความอนุโลมตามที่จะอนุโลมได้ คนจะหาว่าสุดโต่ง เคร่งมากไปก็ไม่เป็นไร ความจริงอาตมาก็รู้ว่าเอาแค่นี้ตีกรอบขนาดนี้ เช่น พื้นที่สุด จะเข้ามาในสังคมนี้รากฐานจะต้องไม่มีอบายมุขมีศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์อย่างนี้เป็นต้น แค่ 3 อย่างนี้ได้ไม่เห็นมันจะมีมากมายอะไรเลย ยังยากเลย เห็นไหม ฟรีนะ คุณมาแต่ตัวกับหัวใจก็มาได้ ถ้าคุณรักษาพื้นฐาน 3 อย่างนี้ได้ ถ้าได้คุณก็พัฒนาตัวเองขึ้นไปแค่นี้สบายมากก็พิสูจน์ไปเราก็อนุโมทนาสาธุ คนเหล่านี้ก็จะไปเป็นมวลในที่นี้ ก็จะมีคุณธรรมที่สูงขึ้น
คุณธรรมยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อมวลประชาชนมากขึ้น คุณจะมีความมักน้อยได้มากขึ้นเท่าไหร่ก็จะมีประโยชน์ต่อคนอื่นมากขึ้น คุณยิ่งมากๆมากเท่าไหร่ก็จะเป็นโทษต่อผู้อื่นมากยิ่งขึ้นนี่เป็นสัจจะ
แล้วคนที่รวยนี้มักมากหรือมักน้อย คนที่รวยนี้คือคนที่รักษาโทษไว้ให้แก่ตนเอง แล้วมันเป็นกรรมเป็นพฤติกรรมเป็นการกระทำของคุณเอง
สมมุติว่าในกรอบกะลาครอบอันนี้มีอาหารเท่านี้ คุณก็เป็นตัวชีวะในนี้ก็โลภะเอาอาหารไปกองกับคุณ เสร็จแล้วชีวะอื่นที่อยู่ในนี้ก็ตายไป ต่อหน้าต่อตาของคุณ คุณยิ่งมีเยอะคุณก็เลยยิ่งสะใจ เห็นไหม ใจดำแต่เขาไม่รู้สีรู้สา เขาชื่นใจกับที่เขามีมากมีความเหลือเฟือ ดีไม่ดีเอาไปงอกเพิ่มอีก ตามระบบวิธีของทุนนิยมสามานย์ที่แย่ ไม่สามานย์ก็ตามบาปทั้งนั้นโดยกรรม บาป ผู้ที่รู้จักกรรมวิบากรู้จักบุญก็เข้าใจแล้วว่าต้องเลิก บุญมีพลังงานสูงเลิกความบาปพฤติกรรมอันนี้เลิกการกระทำอันนี้เลิกๆๆ
ยิ่งเรามีมวลมีชุมชน เสนาสนสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ สัปปายะ 4 อย่าง ชุมชนสาธารณโภคีของพวกเรา คุณมีหลัก ถือศีล 5 ละอบายมุข กินมังสวิรัติอยู่ในนี้ไป ตายก็มีการเผาให้ ไม่ต้องมีญาติมาดูแลเลยก็ได้ เชื่อไหมว่าจริง เป็นสังคมที่พึ่งพากันได้ขอให้มีคุณธรรมต้นทุนนั้นถูกมาก ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ถือศีล 5 มาน่าใครสนใจจะหลุดพ้น แต่แค่สามอย่างนี้ คุณยังทิ้งไม่ได้ก็ยังไม่ต้องมาเถอะ มาก็ลำบากแต่ถ้าสามารถทำได้ก็มาเลย แม้แต่คุณยังไม่หมดก็ตาม อย่าดูถูกตัวเองอย่าหวงแหนมันนัก เอาแค่สามอย่างนี้ ถือศีล 5 ละอบายมุข 6 ดื่มน้ำเมา. เที่ยวกลางคืน เล่นพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร. การละเล่น เกียจคร้าน การละเล่นก็มีกีฬา หากไม่มีอบายมุขทั้ง 6 ก็มาเลย มาลองอยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรเลยก็มาได้มีแต่ตัวกับหัวใจสดๆเข้ามาเลยเราต้องการที่จะให้คนหลุดพ้น คนที่เป็นมวลของโลกของสังคมที่พัฒนาตัวเองขึ้นไปก็จะช่วยประเทศชาติสังคมเรียกว่าเป็นเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์สังคมศาสตร์มันจะช่วยได้จริงๆ ยิ่งเรื่องเศรษฐศาสตร์
อาตมาว่านักเศรษฐศาสตร์ที่จบด็อกเตอร์คนละหลายใบ ทำไมยากเหลือเกินที่จะเข้าใจ เข้าใจว่าเราเป็นผู้ให้นี้คือเศรษฐศาสตร์ที่เจริญ เราเป็นผู้ที่ได้มากๆแล้วเจริญนี้ไม่ถูก ทำไมมันยากนัก เราเป็นผู้ให้มากๆต่างหากนี่คือเจริญ มันยากหรือยังไง เข้าใจไม่ได้หรือ เอาจากผู้อื่นมามากๆมันเป็นความเสื่อมความต่ำความเลว ให้ผู้อื่นได้มากๆนี้มันเจริญมันดี มันสูงนะ ไม่เห็นว่ามันจะยากตรงไหน เอาแค่เข้าใจก่อน แต่เขาไม่เข้าใจเขาไม่พูดตามอย่างที่ว่าเลย ในหลวงของเราตรัสให้มาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ชัดเจนจะตาย ไม่เห็นยากเลยชัดเจน แต่ทำไมนักเศรษฐศาสตร์นักบริหารของประเทศไทยเป็นลูกในหลวงดำเนินตามศาสตร์พระราชา แล้วเอาศาสตร์พระราชาที่ไหน
ถ้าหากชัดเจนและดำเนินไปอย่างนี้ประเทศไทยจะไปลิ่ว แต่อย่างว่าก็เพราะภูมิธรรมเขาเป็นอย่างนั้นก็เลยต้องทำอย่างนั้นก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น อาตมาก็ว่าเป็นไปได้ดีขึ้นขณะนี้ผู้บริหารต่างๆก็ดีค่อยๆเข้าใจโลกุตรธรรม เป็นไปได้ยังมีพัฒนาการมีอัตราการก้าวหน้าอยู่พอสมควร ซึ่งอาตมาว่า ถึงอย่างไรโลกุตรธรรมในประเทศไทยก็มีกลุ่มที่เป็นแกนอย่างน้อยคือชาวอโศกนี่แหละขออภัยอย่าหาว่ายกตัวอย่างตนเลยอย่าหาว่าหลงตัวหลงตนเลย แต่เป็นของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของอาตมา ในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์ที่เป็นสายเจโตก็ต้องทำขนาดนั้น อาตมาเป็นสายปัญญาก็ต้องอธิบายให้มาก ท่านทำ เราได้อาศัยเป็นแกนของ เจโต ต้องมาก่อน แกนปัญญามันจะเกิดทีหลัง ก็ต้องค่อยๆเป็นการผสม ศรัทธากับปัญญา ด้วยพลัง 5 หรืออินทรีย์ 5
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา 5 ตัวนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก
ผู้ที่ศรัทธาก็คือเชื่อถือเชื่อมั่นและรู้ตามภูมิศรัทธาเท่านี้เชื่อเท่านี้สายเจโต สายศรัทธาไม่ใช่สายปัญญาแท้ ส่วนปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นโลกุตระก็เป็นปัญญาที่อาตมาต้องอธิบายเงื่อนไขนี้ก็เพราะว่า คำว่าปัญญาเขาเอาไปใช้แทน เฉกะ ที่เป็นความฉลาดเฉลียวแบบโลกียซึ่งมันไม่ใช่ปัญญาเลย เอาคำว่าปัญญาไปใช้แทนความเจริญเฉกะเฉโก เป็นความฉลาดที่วนเวียนอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ออกจากสิ่งเหล่านั้นเลย เพราะฉะนั้นปัญญานี้จะต้องเป็นความรู้ที่ออกมาจากลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขได้ ทิ้งลาภ ยศ สรรเสริญทิ้งสุขโลกีย์ต่างๆมาได้ตามลำดับจริงๆ มันถึงจะเป็นโลกุตระ
ต้องมีจิตใจที่ยินดีเห็นดีจริงๆก็เริ่มมาปฏิบัติแล้วก็รู้วิธีการปฏิบัติปฏิบัติให้มันได้ถึงจิตที่เรียกว่ามนสิการเป็นการทำใจในใจ ถ้าได้แต่กายกับวาจา
เช่นมีศีลข้อ 1 2 3 4 5 ก็ปฏิบัติได้แค่กายกับวาจา ส่วนใจนั้นต้องนั่งสมาธินั้นต้องไปนั่งหลับตาเอานั่งให้ตายมันก็ไม่ได้นั่งให้เกิดกี่ชาติกี่ชาติก็ได้แค่ อาฬารดาบส อุทกดาบส จมในนิโรธในภพไหน ป่านนี้ยังไม่ตื่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้จะไปโปรดทั้ง 2 ท่านเขาก็บอกว่าตายไปแล้วพระพุทธเจ้าก็เลยว่าแย่แล้ว เพราะว่าหากตายแล้วจิตยึดกับร่างนี้อยู่ หากใครมีธาตุอาหารเอาไปเติมให้ก็อยู่ได้ เป็นมนุษย์พืชนี้อยู่ได้เหมือนคนไข้ไอซียู เป็นมนุษย์พืชที่ลดพลังงานของจิตวิญญาณไม่สามารถฟื้นมาเป็นจิตนิยามได้คุณก็เลี้ยงแค่พีชะนี้ไป
คนที่สามารถสะกดจิตตัวเองเก่งและทำให้จิตใจสถิตเสถียรดึงเอาตัวพลังงานไว้แล้วก็ใช้พลังงานให้น้อยที่สุด มันก็จะอยู่ได้นานเป็นพลังงานที่สดอย่างนี้ไปได้นาน กว่าที่โมเมนตัมของพลังงานนี้จะค่อยๆ คลายไป แล้วไปหลงว่า ความยึดมั่นถือมั่นนี้เก่งมันผิดทางพุทธ
ครูบาอาจารย์ที่สะกดจิตเก่ง. ตายแแล้วร่างกายไม่เน่าแล้วเอาไปใส่ตู้กระจกเพื่อบูชากันเป็นเรื่องน่าสงสาร แล้วก็หากินกับอาจารย์เหล่านี้แล้วพากันไปตกต่ำก็เป็นธรรมชาติธรรมดาของความไม่เข้าใจความไม่รู้ก็หลงงมงายกับซาก ที่ควรจะเอาไปทำลายเสีย พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนที่ตายแล้วจะเป็นพ่อเป็นแม่ก็ตามตายแล้วให้จัดการอย่างไรกับซากศพ ดีที่สุด พระสารีบุตรทูลถามไว้ เมื่อสมัยทำศพพระราชบิดาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เผาให้เร็วที่สุดไม่ต้องรอแม้กระทั่งญาติที่เดินทางไกลมา สมัยก่อนญาติเดินทางมาได้ยากการรักษาศพก็ทำไม่ได้ดีก็จะมีการเน่าเหม็นก็จะทำให้เกิดการรู้สึกรังเกียจเป็นความซ้อนที่ไม่นับถือบูชาพ่อแม่ ท่านก็ให้ทำลายให้เร็วเผาให้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องรอแม้แต่ญาติที่เดินทางไกลมายังมาไม่ถึง นี่เป็นคำตรัสของพระเจ้าที่ให้กับพระสารีบุตรไว้
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ ตายแล้วจึงนิยมเอาไปเผาไม่ไปฝัง ศาสนาเทวนิยมนั้นเอาไปฝังเป็นส่วนใหญ่
_ปรารถนา พรประภา…ถามปริยัติ เมื่อพ่อท่านเทศน์ถึงมหาจัตตารีสกสูตร พูดถึงสัมมาทิฏฐิในมรรคมีองค์ 8 ซึ่งมีทั้งสัมมาทิฏฐิ แบบ สาสวะ และสัมมาทิฏฐิที่เป็น แบบ อนาสวะ 6 สองแบบนี้เกี่ยวโยงกันอย่างไร
พ่อครูว่า…สัมมาทิฏฐิที่เป็นสาสวะคือ คุณสามารถรู้และทำได้แล้ว เริ่มตั้งแต่โสดาบัน คุณสามารถที่จะรู้จักจิต เริ่มตั้งแต่แยกจิตกับกิเลสได้แล้ว ทำให้กิเลสจางคลายไปแต่ละตัวๆ
เช่นศีลข้อ 1 กิเลสเกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อ 2 กิเลสเกี่ยวกับของ ที่เป็นพืช กับวัตถุที่ไม่ใช่ชีวะระดับสัตว์ คุณก็อย่าทุจริต
สัตว์คุณก็อย่าไปรุนแรงอย่าไปทำอะไรให้เป็นวิบากร่วมกัน ส่วนของอย่าไปทุจริต ของที่ก็ไม่ใช่ของเราอย่าไปยึดเอามาเป็นของเราจงใช้สิทธิของเราอย่าไปละเมิดของคนอื่นมันเป็นวิบากอย่างนี้เป็นต้น
หรือศีลข้อ 3 ตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสทวาร 5 ภายนอกกามคุณ 5 กระทบแล้ว ก็อย่าไปติดยึดใน รูปรสกลิ่นเส่ียงสัมผัส ที่มันมีรสชอบ รสชัง เร่ิมเรียนรู้ไป อะไรก็แล้วแต่ที่จะเอาก่อนที่จะทำ ก็ว่ากันไป
คนที่มีความรู้เรื่องนี้ เรื่องใดเรื่องหนึ่งเรื่องสัตว์ก็ตามเรื่องของก็ตาม เรื่องกามคุณห้าก็ตาม คุณรู้แล้ว แล้วคุณก็อ่านจิตของคุณ ก็ทำมนสิการ จัดการกับใจ จัดการกับจิต รู้จัก แยกจิตแยกกิเลส ข้อสำคัญคือ จะแยกจิตแยกกิเลสได้ คุณก็จะต้องรู้มันยึดมันมีเหตุที่ยึด แล้วก็สุขก็ทุกข์ รวมแล้วอยู่ในกระบวนการธรรม 3 ที่แยกเป็น 2 1ตัวเรา 2 ธาตุรู้ของเราเป็นหนึ่ง อีกสองเป็นบวกกับลบ ซึ่งมันทำปฏิกิริยากันสังขารเป็นรสชาติ เป็นการปรุงแต่ง
ที่จริงสุขทุกข์เป็นอุปาทาน เราก็แยกเหตุที่มีกิเลส หรือตัณหาเป็นตัวเหตุ อาการของจิตที่ต้องได้อย่างนี้ อยากมีอย่างนี้เป็นเหตุ เป็นอัตตา ต้องเป็นอย่างนี้ต้องมีอย่างนี้เป็นสเปค แต่ถ้าต้องเป็นรูปอย่างนี้ รสอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ เสียงอย่างนี้ นั่นเป็นกาม
คุณก็รู้อาการของมัน แยกกาม อัตตาแยกได้ชัด คุณก็ลดกามก็ตาม ลดอัตตาก็ตาม ลดโดยพิจารณาให้เห็นว่า มันเป็นรสหลอกมาให้คุณเสพ แล้วก็รู้สึกว่ามันอร่อยมันสุข มันไม่มีจริงหรอกรสเหล่านี้ ถ้าคุณไม่มีมันคุณจะตายไหม? ไม่ตาย มีพลังงานเหลือด้วย แล้วรู้ความโง่ของเราด้วย ปัดโธ่เอ๋ย ลมๆแล้งๆ มันเป็นเรื่องที่หลอกกันมาไม่รู้กี่โกฏชาติแล้ว มันหลอกกันมา เพราะฉะนั้นผู้ใดที่รู้จึงเป็นเรื่องสูงส่งมาก มนุษยชาติติดแบบนี้กันมา ปุถุชนติดทั้งนั้น
ใครเข้าใจได้แล้วลดได้ เป็นผู้ที่ลดได้สัก 1 ตัวก็เรียกว่าลดไป ลดได้จนกระทั่ง บางส่วน อาสวะบางส่วน กิเลสบางส่วน ก็ยังเหลืออยู่ ยังไม่หมดสาสวะ คือยังมีอาสวะ พยัญชนะ สาสวะ คือสะ +อาสวะ ส่วน อนาสวะคือไม่มีอาสวะ คุณยังไม่หมดอาสวะก็เรียกสาสวะ
คุณหมดสะ ลงไป 1 เป็นผู้มีสาสวะลดลงไป 1 ก็เป็นผู้ที่มีส่วนแห่งบุญ เป็นส่วนที่กิเลสถูกพลังงานบุญกำจัดกิเลสไปส่วนหนึ่ง เรียกว่าได้ส่วนแห่งบุญ
ได้ส่วนบุญคือส่วนไม่ได้ ส่วนที่มันหายไป อาสวะเราหายไปส่วนหนึ่งก็ได้ส่วนบุญส่วนหนึ่ง ได้อีก 2 ส่วน 3 ส่วนคุณก็เป็นผู้ที่มี สาสวะ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมด สาสวะ สิ้นเกลี้ยงก็เป็นอนาสวะ ไม่มีอาสวะแล้ว
ก็โอ้ ไม่มีอาสวะ มันเป็นอย่างนี้หนอ คุณก็ทำซ้ำทำอย่างนี้แหละทำอย่างไรปฏิบัติอย่างไรมันจะหมดอาสวะได้ หรือทำอย่างไรมันเริ่มลดได้ก็ลดได้ยิ่งขึ้น มีส่วนบุญของสาสวะ สองสามสี่แล้ว ยิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งไม่มีมากเท่านั้น ไอ้ที่มีของคุณเป็นคนที่เป็น สาสวะ คือคุณไม่มีอาสวะไปเรื่อยๆ ชัดเจนขึ้นไหม
ก็ไปเอาสภาวะพวกนี้ อ่านสภาวะพวกนี้ไปติดยึดในสุข เสพสุขนิยมเกินไปให้ลดลง ลดความทุกข์ความสุขก็หายไปด้วยลดความสุขความทุกข์ก็หายไปด้วยจนหมดความสุขในโลกที่คนหยาบๆเขาสุขกัน ในโลกเขาหนักหนาเหน็ดเหนื่อยทรมานทรกรรมแย่งชิงกันแล้วก็เกี่ยวเนื่องกันเสพรสเพราะว่ามีเงิน เสพรสเพราะว่าต้องมีอำนาจ เสพรส เพราะว่าต้องมีคนยกย่องเชิดชูนิยม ก็หลอกเสพได้อย่างพวกนักบวชนี้หลอกซ้อนชั้น
นักบวชที่หลอกคนอื่นอย่างธัมมชโย หลอกเสพรส ได้มาทั้งเงินได้มาทั้งอำนาจได้มาทั้งยศชั้น ถ้าเผื่อว่ายังไม่หายไปตอนนี้ยังไม่ถูกตัดรอน ป่านนี้สงสัยจะได้เป็นสังฆราชหรือรองสังฆราชแล้วก็ไม่รู้ นี่ถูกเลื่อยขาถูกตัดออกไปก็เลยตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ลูกศิษย์ลูกหาก็เลยยิ่งศรัทธา เพราะว่าหายตัวได้กลายเป็นคนหายตัวได้ก็ยิ่งศรัทธา ส่วนพวกที่รู้อยู่ว่าอาจารย์ที่ไหนก็คงจะมีไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็คงจะ จำนวนนั้น ก็คงจะเป็นเจ้าของบัญชีอยู่มากเหมือนกันพวกที่ห้อมล้อมอยู่ อาตมาก็เดาไปถ้าผิดก็ขออภัย ถ้าถูกก็ถูกเท่านั้นเอง ไม่ใช่คนมีเจโตปริยญาณ อาเทสนาปาฏิหาริย์ที่จะไปล่วงรู้อะไรหรอก อาตมารู้เกี่ยวกับธัมมชโยไม่เก่งเท่าหมอมโนหรอกที่เขามีเส้นสายรู้มากกว่าอาตมาเยอะ
ก็เป็นตัวอย่างของโลกทั้งในทักษิณและธัมมชโย ทักษิณเป็นตัวแทนของทางโลกีย์ 100% และธัมมชโยเป็นตัวแทนของธรรมดาแต่ขี้หลอกทั้งคู่ ไม่ได้ไป ข่มเบ่งหรือดูถูก แต่เป็นวิชาการให้มาศึกษาอาตมาเป็นคนตรงและซื่อไม่ประนีประนอมเท่าไร พูดแล้วคนเขาโกรธหรือเกลียดก็ยอมให้เขาโกรธหรือเกลียด อาตมาต้องการพูดให้ตรงพูดให้ชัดในเนื้อหาชัดๆ ได้ประโยชน์จากผู้ที่รับศึกษา ส่วนตัวเองนั้นจะเกิดการเกลียดชังก็ต้องยอมให้เขาเกลียดชัง เขาต้องเกลียดชังแน่ ก็เป็นวิบากของอาตมาไม่รู้จะทำอย่างไรอาตมาก็ยอมเสียสละส่วนนี้ ยอมให้คนหรือสัตว์โลกแต่ละชีวะ แต่ละอัตภาพเขาก็มาโกรธเกลียดอะมาก็เป็นวิบากเป็นวิบากที่ซ้อนตามมาก็รู้แต่อาตมายอมมีวิบากนั้นเพื่อที่จะให้ผู้ที่ติดตาม ผู้ที่จะศึกษาสัจธรรมได้รับความรู้ความจริงไปอีก มีวิบากแม้ทักษิณหรือธัมมชโยหรือลูกศิษย์ลูกหาเขาก็ต้องจองเวรอาตมาไม่ได้โง่แต่รู้ความจริง แต่อาตมายอมเสียสละอันนั้นพูดไปแล้วเหมือนกับตัวเองเป็นผู้เสียสละยิ่งใหญ่ แต่นี่คือพูดวิชาการให้ฟัง ก็ยอมเสียสละส่วนหนึ่งเพื่อประโยชน์อีกส่วนหนึ่ง
การมากอบกู้ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นยากมาก ถ้าไม่ยอมเสียสละทำเป็นกลัววิบาก ก็จะไม่ได้ทำงาน เพราะฉะนั้นอาตมารู้เข้าใจวิบากส่วนเสียส่วนได้พวกนี้ อาตมาก็ยอม แล้วอาตมามีความมั่นใจในตัวเองว่า อาตมามีบารมีอยู่บ้าง ในบารมีนั่นแหละ วิบากเหล่านั้นเข้าไม่ถึง อันนี้เป็นอันตรายอย่าลอกเลียนอย่าล้อเลียนอันนี้เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง เราเป็นช้างตัวเล็กจะไปขี้ก้อนใหญ่เหมือนช้างตัวใหญ่ไม่ได้เพราะเข้าใจไหม อย่าไปทำ ต้องประมาณตนแล้วทำไปตามลำดับ อาตมาทำได้ไม่ใช่ว่าอยู่อาตมาจะอวดดีมาทำอย่างอื่น ถ้าหากว่าอาตมาไม่มีบารมีจะอยู่รอดมา 50 ปีหรือ ป่านนี้เป็นผงไปแล้ว คือเขากระทืบแหลกไปเลย ไม่เผาหรอก แต่กระทืบแหลก ไม่เหลือ ไม่ใช่เขาไม่โกรธนะ คุณว่าเขาไม่โกรธเหรอ เป็นอาจินไตย
เพราะว่าเป็นสังคมคนไทยที่มีปัญญา อาตมาจึงทำงานนี้ได้ในเมืองไทย ถ้าไปทำอย่างนี้อธิบายธรรมชาติอย่างนี้ในอเมริกาป่านนี้ตายแล้ว หรือประเทศอื่นก็ตามที่ไม่มีโลกุตรธรรมเพียงพอมนุษย์ไม่มีโลกุตรธรรมพออยู่ไม่ได้ทำไม่ได้หรอก มันต้องมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมคล้อยกันเพียงพอถึงจะทำได้ พื้นฐานของคนไทยมีโลกุตรธรรมอยู่แล้ว
แม้แต่ในหลวง ร.9 ท่านแสดงรูปธรรมแต่คนรับได้ทางนามธรรม เพราะคนไทยมีพื้นฐาน ถ้าคนไทยไม่มีพื้นฐานของโลกุตระมันจะไปรับได้อย่างไร ท่านแสดงทางรูปไม่ได้แสดงทางนาม ท่านอธิบายน้อย อธิบายยากกว่าอาตมาเยอะ อาตมาอธิบายละเอียดมาก แต่คนไทยรับได้ คนต่างประเทศรับได้แต่ว่าน้อยกว่าคนไทย เมื่อในหลวงสวรรคตทุกคนก็เสียดาย เสียดายอะไร จริง บางคนก็เสียดายที่ท่านทรงงานเก่งก็ใช่ แต่แฝงถึงนามธรรมในงานเหล่านั้น มันเป็นงานที่ให้อย่างเดียว บริสุทธิ์สะอาด อันนี้คือโลกุตระให้โดยไม่มี สาเปกโข ให้โดยไม่มีธาตุหวังอะไรกลับมาให้แล้วจบ ให้โดยไม่มีธาตุจิตของเราที่บอกว่านี้เป็นบุญคุณของเรานี้เป็นของของเรา ไม่มีธาตุยึดเป็นเราเป็นของเราต่อจากการให้นี่อีกเลย นี่คือให้ นี่คือทาน ให้โดยไม่มีพลังงานจิต แหลมออกไปเป็นภพชาติไม่มีเลย ไม่มีพลังงานจิตที่บอกว่าฉันทำดีนะ. นี่เป็นความดีของฉันนะ จิตของผู้ที่ไม่ยึดดีถือดีเป็นเราเป็นของเราเลยนี่แหละคือเป็นธาตุจิตที่สะอาดเป็นธาตุบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เจริญขึ้นเรื่อยๆเป็นความหมดภพหมดชาติเป็นความลึกซึ้งสูงสุด
อาตมาเอาทานสูตรมาขยายความ…
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง อันที่ 1
จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ 3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ 4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้ อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)
การจะไปทำใจในใจก็คือการ การทำใจในใจแบบนี้มันผิดจะไปทำใจในใจแบบนี้ทุกคนเข้าใจแล้วมันจะมีอาการนี้ก็อย่าไปทำ ไม่ต้องไปคิดไปหวังว่าจะได้อะไรมันถึงจะถึงศูนย์ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)ทำ 0 นี้ให้เป็นแกนแก่ตัวเองแล้วก็จะได้อนุโลมช่วยคนอื่น เหมือนคนที่จะช่วยคนตกบ่อ จะเอื้อมมือช่วยคนตกบ่อ
หนึ่งน้ำหนัก สองความลึกไกล ถ้ายิ่งยาวไกล ก็ยิ่งหนักเอาขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีแรงก็เอาขึ้นไม่ได้ จะอนุโลมได้มากเท่าไหร่ต้องมีแรงพอที่จะช่วยเขาได้ถ้าไม่มีแรงทดที่เหลือมากพอช่วยเขาไม่ได้หรอกมันก็ดึงคนหัวทิ่มลงบ่อไปด้วย ไม่ได้เรื่องอะไร อย่าไปอวดดี เสียผลทั้งคู่จะโง่ทำไม ช่วยเต็มที่ได้แค่ไหน จะหาว่าไม่ช่วยเต็มที่
คนที่ประมาณไม่ถูกตายไปเยอะแล้ว หัวทิ่มบ่อไปด้วยกัน แม่รักลูกมาก ลูกตกน้ำ แม่ไปช่วยลูกก็ตายคู่ มันไม่ประมาณตัวเราว่ายน้ำไม่แข็งแล้วไปช่วยลูก ลูกรัดคอก็ตายด้วยกันทั้งคู่
ตอนนี้อาตมาตั้งใจเอามูลสูตร 10 มาขยายความ
_เข้มข้น…พอดีผมกับรองคณบดี ม.อุบลฯ ปรึกษากันว่าจะหานักศึกษามาเรียนรู้ที่นี่
พ่อครูว่า..ให้ถามกรรมการ อาตมาปลดระวางจากเรื่องแบบนี้แล้วอาตมาก็ต้องไปถามกรรมการดูอีกทีอยู่ดีมันเสียเวลา คุณจะบอกกรรมการว่าจะทำแบบนี้กรรมการโอเคไหม
_ลูกอยากถามพ่อครูว่า…ถ้านอนหลับก็ฝันพอตื่นแล้วก็จะหยุดฝันเหมือนชีวิต 2 ภพแก้อย่างไรดีคะให้มันน้อยลง
แล้วลูกก็ยังสงสัยว่า ตอนพ่อครูเทศน์หากตายชีวิตจะไปเป็นแบบฝัน แล้วคนที่ไม่ฝันตายไปจะเป็นไปอย่างไร?
พ่อครูว่า..นอนหลับถึงฝัน พอตื่นก็หยุด นอนหลับคุณก็ไปกับสัญญา ก็ไปกับสติสัมปชัญญะ สติก็ตกแล้วไม่ได้ควบคุมทวารทั้ง 5 ปล่อยสติให้ไปกับสัญญา เรื่องมันเยอะมาก แต่ละคนมีเรื่องราวยิ่งกว่านิยาย กี่ล้านเรื่องของตนเอง บางเรื่องเป็นเรื่องเป็นราวบ้าง มันก็จะเป็นพลังงานที่อยากให้เป็นในปัจจุบันกับพลังงานที่เป็นมาแล้วก็จะสังเคราะห์กันเป็นเรื่องพิลึก พระพุทธเจ้าว่าเรื่องฝันอย่าไปเอาเรื่องอะไรกับมัน จะฝันดีหรือฝันร้ายก็ตาม อย่าไปติดยึด เพราะฝันมันเพลินดีอร่อยสมใจ แต่ฝันไม่ดีก็ไม่อยากได้ก็มีผลัก ดูด สองอย่าง สรุปแล้วฝันอย่าเอานิยายอะไรกับมัน
แก้ได้อย่างไรก็อย่าไปเกี่ยวข้องกับมัน
ตอนพ่อครูเทศน์หากตายชีวิตจะไปเป็นแบบฝัน คุณตายไปแล้วชีวิตของคุณที่เป็นๆ คุณยึดถืออะไรต่างๆนานา คุณไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย คุณตายไปแล้วก็สิ่งที่คุณติดยึดผูกพันมากก็จะติดกับคุณ คุณจะฝันเรื่องที่คุณติดยึดอยู่มาก คุณจะชอบอะไรมาก เช่นคนยึดนั่งหลับตามาก ตายไปก็เรื่องนั้นๆ คนที่ติดยึดอะไรตายไปก็ไปกับเรื่องนั้นๆ แต่จะไปได้ไม่นานนักก็มีตัวแปรอื่นมา หากติดยึดมากก็อยู่นาน แต่มีเรื่องอีกมากที่เป็นตัวแปร ตอนตื่นนี้ตัวแปรจะมีมากกว่า แต่ตอนหลับตัวแปรก็ไปเรื่อยๆ เป็นอจินไตยเกินอธิบาย
สรุปแล้ว เรื่องฝันเป็นสัญญาที่ห้ามไม่ได้ตายไปก็จมกับสัญญานั้น ก็ตัดมันเสีย มาฝึกสัมมาทิฏฐิ ทำให้คุณลดละภพชาติ ที่ไปกับฝันนี้ภพชาติทั้งนั้น รูปภพ อรูปภพ รูปภพเหมือนจริงจังเลย จะจริงยิ่งกว่าชีวิตจริงด้วย เพราะคุณมีทวารเดียว แต่ตื่นนี้มีหลายทวารมันก็ไม่เป็นกลุ่มก้อนเท่าไหร่แต่ตายนี้ก้อนเดียว จึงจะอยู่นานกับสิ่งที่ชอบ ก็จะชอบไปนาน ติดสงบก็สงบไปนาน อย่างอาฬารดาบส อุทกดาบส ตายไปแล้วก็อยู่ในภพนั้นอีกนานมาก นานจนกว่าพลังงานจะคลายแล้วก็จะออกมาหาวิบากอื่นๆ ไม่ได้ล้างเลย คุณไปติดยึดวุ่นวายกับเรื่องสตาร์วอร์ก็จะไปวุ่นวายมาก แต่ติดสงบก็นิ่งกว่าแต่นานกว่า เพราะพวกสตาร์วอร์จะเบื่อได้ง่ายกว่าทุกข์กว่า แต่พวกหลงสงบนี้จะนานกว่ามาก น่าสงสารพวกหานิพพานไปติดภพชาติสงบ นั่งสงบไปได้เป็นวันๆ สงบจนใช้พลังงานน้อยใส่กล่องฝังดิน ใช้พลังงานเท่าที่มีอยู่
มีนานาสารพัด พวกพระกรรมฐาน ก็ตายไปโดยคนไม่รู้อีกเยอะ ตกเหวตาย ถูกสัตว์กินตายบ้างมีเยอะไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธเลย ในอัมพัฏฐสูตร ศาสนายังไม่นานท่านก็พยากรณ์ไว้แล้ว
-
ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
-
ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
-
สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
-
สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม 9 ข้อ 163)