620529_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาให้สุดจนหยุดเดรัจฉานกถา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1O5wuPrb9Q-BxEzFp_AjwuIQsGdx31ZaIn_Aq68o3jz0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Au8ww68hBwoOeMMJGku91bNpAiA_4joS
สมณะเดินดินว่า… วันนี้วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีบทความของเปลว สีเงิน เรื่อง โลกแห่ง ‘ประชาธิปไตยเนื้อหา’
ดูลิเก….
เขาห้าม แง้มดูหลังฉาก
มันจะทำลายโลกสวย “ในจินตนาการ” ของเราไปสิ้น!
เพราะ “ชีวิตจริง” ของตัวแสดง นั้น
ตั้งแต่ตัวเจ้า พระเอก-นางเอก ยันเสนา ตอนอยู่ “หน้าฉาก” จะสวยงาม ประหนึ่ง “เทวัญ” พาเราเตลิด-เพริดตาม
แต่ “หลังฉาก” นั้น
แต่ละชีวิต เหมือนอยู่ใน “โลกันตร์” ระคนคลั่กทั้ง ยิ้ม, เยาะ, หัวเราะ, ร้องไห้ สมอย่างที่ใครๆ ว่า “โลกนี้คือละคร”
มันเศร้า…….
เพราะล้วนตรงข้าม “จินตนาการเรา” ทั้งสิ้น!
ไปกินอาหารตามร้าน ตามภัตตาคารหรู ก็ดังว่า เพื่อให้มื้อนั้น คล่องปาก-คล่องใจ
ห้ามเข้าไปดู “หลังครัว” เด็ดขาด
ขืนเข้าไปจะ “กินไม่ลง”!
ดู “การเมือง” ว่าด้วยเรื่อง “ตั้งรัฐบาล” ก็ไม่ต่างกัน
อย่าไปกระหาย-ใคร่รู้ “ทุกช็อต-ทุกวินาที” ในบทอัศจรรย์ที่แต่ละพรรคเขาโลมเล้าเข้าสังวาสกัน
มันจะทำให้จิตตก แต่อารมณ์ขึ้น
ขึ้นในทาง “หมั่นไส้-คลื่นไส้” ว่าพวกคุณมึงจะมากลีลากันไปถึงไหน
ดั่งอุปมาลิเกนั่นแหละ
จะดูให้เพลิดเพลิน ต้องรอเขาแต่งตัว-แต่งหน้าเสร็จ รำออกมาหน้าฉาก เฉิดฉัน ก็ค่อยดูตอนนั้น
หรือไปกินอาหารตามร้าน ตามภัตตาคาร อย่างที่ว่า สั่งอาหารแล้วก็นั่งเลียช้อน เลียตะเกียบ รออยู่ที่โต๊ะนั่น
อย่าแฉลบไปดูที่เขากองเขลอะขละหลังครัวเชียว จะทำให้อ้วกแตกก่อน!
ตอนนี้ ตัวประธานวุฒิสภาก็ได้แล้ว คือ “นายพรเพชร วิชิตชลชัย” อดีตประธาน สนช.
ตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรก็ได้แล้ว คือ “นายชวน หลีกภัย” อดีตนายกฯ 2 สมัย
และตอนนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี มี “อำนาจเต็ม” ไม่ใช่นายกฯ รักษาการ
ได้นำรายชื่อประมุขทั้ง 2 สภา ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงพิจารณาลงพระปรมาภิไธยแล้ว
มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ลงมาเมื่อไหร่ นายชวน หลีกภัย จะได้กำหนดวัน เรียกสมาชิกทั้ง 2 สภา คือ ส.ว. 250 และ ส.ส. 500 ประชุมรัฐสภา
เพื่อโหวตเลือกตัว “นายกรัฐมนตรี”!
สรุปตามหน้าเสื่อตอนนี้ ซีกจัดตั้งรัฐบาล ก็มี “พลเอกประยุทธ์” ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐคนเดียว
ส่วนในซีกฝ่ายค้าน 7 พรรค แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ปรากฏว่า “สอบตก” หมดทั้ง 3 คน ไม่มีใครได้เข้าสภาเลย
ความจริงก็ไม่ผิดกติกา ที่พรรคจะเสนอ “สุดารัตน์-ชัยเกษม-ชัชชาติ” คนใด-คนหนึ่ง ให้ที่ประชุมรัฐสภาเลือก
แต่คงเพราะ
เสนอไป..ก็งั้นๆ มันไม่ได้อยู่แล้ว!
จึงเล่นบทสวย อ้างพรรคเคยประกาศ “นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.” เมื่อสอบตก กระโปรงฉีก กางเกงขาด กันหมด
พรรคจึงรักษาฟอร์ม ประกาศไม่ส่งใครลงแข่ง
เห็นว่าจะเสนอ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส” คนรักใคร่นับถือกันกับผมเข้าชิงเก้าอี้นายกฯ แทน
แต่รัฐธรรมนูญกำหนดว่า…….
คนที่จะถูกเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องอยู่ในรายชื่อของพรรคที่ได้ ส.ส. 25 คนขึ้นไป และต้องได้รับการรับรองจาก ส.ส. 50 คนขึ้นไป
จึงน่าเสียดาย……
พรรค พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มี ส.ส.เพียง 10 คน หมดสิทธิ์เข้าชิง!
ใน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่เข้าเกณฑ์จะเสนอชิงได้ ก็เหลือพรรคอนาคตใหม่พรรคเดียว
แต่ติดตรงว่า หัวหน้าพรรค คือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ “งดปฏิบัติหน้าที่”
ตอนนี้ อยู่ระหว่างรอการไต่สวนวินิจฉัย ว่าการ “ถือหุ้นสื่อ” นั้น ขาดคุณสมบัติหรือไม่?
เท่าที่ฟัง ทาง 7 พรรคเขาตีความกระเดียดไปทางว่า นายธนาธรยังดำรงสภาพ ส.ส.อยู่ เพียงถูกแขวนชั่วคราว
ฉะนั้น เขาจะเสนอนายธนาธรเข้าชิงตำแหน่งนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภา!
ผมไม่สงสัยในประเด็นว่า “นายธนาธรยังเป็น ส.ส.อยู่”
แต่สงสัยว่า นายธนาธรจะเข้าไปประชุมรัฐสภาได้อย่างไร ในวันโหวตเลือกนายกฯ
ในเมื่ออยู่ระหว่างถูกศาลฯ สั่งให้ “หยุดปฏิบัติหน้าที่”?
เพราะในทางปฏิบัติ………
การจะเสนอชื่อเข้าชิง ตัวก็จะต้องปรากฏในที่ประชุมด้วย
“การนั่งประชุมหน้าจอโทรทัศน์” อยู่นอกห้องคนเดียว อย่างคราวที่แล้ว ซึ่งท่านประธาน “ชัย ชิดชอบ” เชิญออกจากที่ประชุม อย่างนั้น
ใช้ไม่ได้นะ..ธนาธร!
ศาลฯ ให้เวลาธนาธร 15 วัน ในการทำคำชี้แจง แก้ต่าง-แก้คดีส่งไปให้ แล้วศาลจะนัดวันไต่สวน จากนั้น ก็จะนัดวันฟังคำพิจารณาวินิจฉัย
ดูตามเทอมเวลาแล้ว จาก 23 พฤษภา จะครบ 15 วัน ก็ตกราววันที่ 6-7 มิถุนา
ก็ไม่น่าทัน!
คือ การประชุมรัฐสภา โหวตเลือกนายกฯ น่าจะเกิดก่อนวันที่ 6-7 มิ.ย.แน่
ดังนั้น ความน่าจะเป็น ก็คือ ถ้าต้องการสร้างประเด็นไว้ประดิษฐ์วาทะกวนเล่นโก้ๆ ในสังคมโซเชียล อยากเสนอชื่อธนาธร ก็เสนอไปเถอะ
ตามรูปการณ์นี้ ทำไป-ทำมา การประชุมรัฐสภา นัดโหวตเลือกนายกฯ เหลือ “ว่าที่นายกฯ” ของพรรคพลังประชารัฐคนเดียว ที่จะถูกเสนอ
เว้นแต่ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะส่ง “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือพรรคภูมิใจไทย จะส่ง “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” เข้าชิง?
เห็นยักเงี่ยงกันเหลือเกิน……….
ทั้งประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ก็ส่งแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค เข้าชิงกันเอง 3 พรรค 3 แคนดิเดต
ให้มัน รู้แล้ว-รู้แรดไปซะเลยเป็นไง?
เมื่อวาน (28 พ.ค.) ตลาดหุ้นไทย สะท้อนความเชื่อมั่นในการจัดตั้งรัฐบาลให้เห็นแล้ว
เงินนอกเข้ามาซื้อ-ขายหุ้นวันเดียว กว่า 2 แสนล้าน!
เห็นเขาว่าสูงเป็น “ประวัติการณ์” นับตั้งแต่มีตลาดหุ้นมา ขนาดนั้นเลยเชียว
นี่ขนาด “การเมือง” ทะล่อก-ทะแล่กนะ
แสดงว่า ในภาวะเศรษฐกิจ-การลงทุนโลก อยู่ในภาวะวิกฤติ
แต่สังคมโลก “มองทะลุ” เชื่อมั่นในเสถียรภาพ “ประเทศไทย” ด้านเศรษฐกิจ-การเงิน-การลงทุนของไทยมาก
ด้วยมองยาว ทะลุไปถึงอนาคต
ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ให้น้ำหนักตลาดหุ้น-ตลาดทุนไทยขนาดนี้!
เขายึดตรงไหนเป็นความเชื่อมั่น?
ตอบได้เลย….
เขาเชื่อว่ารัฐบาลเลือกตั้งนี้ “พลเอกประยุทธ์” จะกลับมาเป็นนายกฯ!
โลกภาคีเครือข่ายสังคมในยุคไอที อย่างที่คุยกันไป เขาไม่ได้ให้น้ำหนัก “ประชาธิปไตย-เผด็จการ” รูปแบบ เป็นตัวชี้ขาดสังคมกันแล้ว
หากแต่ให้น้ำหนักทาง “เนื้อหา” จากเศรษฐกิจ-สังคม และการเปิดกว้าง “ทุกอย่าง” ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม
“ส่วนร่วม” ในที่นี้ คือสิทธิ-เสรีภาพการตรวจสอบภาครัฐจากภาคประชาชน ในทุกโครงการและปฏิบัติการ
จึงเห็นชัด เมื่อ 5 ปีก่อน ตอน คสช.ยึดอำนาจประเทศ ปี 57
ทั้งโลกแอนตี้ พลเอกประยุทธ์
เมื่อ 5 ปีผ่านไป……….
ทั้งโลก ชื่นชม-ยอมรับ พลเอกประยุทธ์!
เพราะอะไร เพราะก่อนหน้า สังคมโลกติดรูปแบบคำว่า “เผด็จการ”
แต่พอเห็น “เนื้อหา” ในการบริหารประเทศของรัฐบาลเผด็จการ ปรากฏว่า………
เป็นประชาธิปไตย สร้างสังคม-เศรษฐกิจ และมาตรฐานประเทศ
ดียิ่งกว่ารัฐบาล “ประชาธิปไตย” รูปแบบ ดังที่เป็นมา!
นี่…เดือนหน้า ไทยเป็นประธานประชุมอาเซียน
ทุกประเทศ ยินดี พร้อมมาร่วมประชุมกันคึกคัก ไม่มีใครสงสัยว่า นายกฯ ผู้ทำหน้าที่ประธานอาเซียน จะเปลี่ยนไปจากพลเอกประยุทธ์
เห็นอีกข่าวเมื่อวาน อินเดียเลือกตั้ง “นายนเรนทรา โมดี” ได้รับเลือกกลับมาเป็นนายกฯ สมัยที่ 2
ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่จะมีเร็วๆ นี้ ในรายชื่อประเทศที่รัฐบาลอินเดียเชิญร่วมเป็นสักขีพยาน
“นายกรัฐมนตรีไทย” มีรายชื่อได้รับเชิญด้วย!
เหล่านี้ แสดงถึงอะไร ในทัศนคติสังคมโลกที่มองไทย ผ่าน “ประชาธิปไตยเนื้อหา” ในผลงานที่ปรากฏจาก “รัฐบาลพลเอกประยุทธ์”
คำตอบเดียว คือ “เชื่อมั่น”!
พ่อครูว่า…เปลว สีเงิน ตรงกับอาตมา เขาเป็นนักมองมนุษย์นักมองสังคมเหมือนกัน เหมือนกับพระพุทธเจ้า ท่านศึกษาที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องอะไรเลย ท่านศึกษาเรื่องมนุษย์กับความเป็นสังคม สังคมที่เป็นประชาธิปไตย สุดยอด ศัพท์ในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่าประชาธิปไตย แต่อาตมาเอาที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นพยัญชนะ แปลความหมายประชาธิปไตยอยู่ในละเอียดกว่าคำว่าประชาธิปไตยด้วยได้แยกออกเป็น 3
คือโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตยและธรรมาธิปไตย ผู้ใดสามารถเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยที่ไปยึดเอาโลกเป็นหลัก คนนั้นก็เอียงไปทางโลก คนยึดเอาตัวเองเป็นหลัก อัตตาธิปไตยก็เป็นเผด็จการ เป็นตัวตนเป็นหลัก ถ้าเอาโลกเป็นหลักก็ไม่เป็นเผด็จการ เอาโลกหมดเลย ตัวเราเองเหมือนเศษสวะไม่มีความคิดอะไรเลย ไม่มีความคิดความอ่านอะไรเลย เราถือว่าเราเป็นผู้รู้เป็นผู้มีน้ำหนักส่วนหนึ่งเหมือนกันในการที่จะแสดงออกกับสังคมเพื่อทำให้สังคมนั้นสมบูรณ์อยู่ดี มันก็เอียงไปสองข้างคือ โลก กับอัตตา แต่ว่าท่านใช้คำว่า กามกับอัตตา กามคือโลก คือความใคร่อยาก อยากรักอยากชังทั้งนั้นแหละ เข้าใจธรรมะได้ก็ชัดเจน ผู้ใดสามารถเรียนรู้ความเป็นโลกรู้จักความเป็นอัตตา แล้วก็ไม่ยึดติดในความเป็นโลกในความเป็นอัตตา อยู่กันอย่างสมสัดส่วน ให้อยู่กันได้อย่างเป็นไปได้ด้วยดี
ผู้ใดสามารถทำตนเองอยู่กับโลกแล้วก็ช่วยโลก ผสมส่วนให้ได้สัดส่วนพอดีพอเหมาะไป โดยการมีความลำบากความทุกข์ร้อน มีความไม่อยู่ดี ไม่มีธรรมะ ธรรมะเป็นสิ่งที่ดีที่เราต้องมี มีทั้งสมมติและปรมัตถ์ ให้เป็นไปอย่างพอเหมาะพอดี ปโหติ ราบรื่นไปได้ เหมือนชาวอโศก
อาตมาทำงานศาสนาให้มนุษยชาติ ทำงานให้ประเทศ โดยที่อาตมาไม่ได้คิดค่าตัว ทำงานฟรีตั้งแต่ออกบวช มาจนถึงทุกวันนี้จะ 50 ปีแล้วก็สบายแล้วก็เห็นว่าอาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายมาประกาศ คนก็มารับฟังได้ส่วนหนึ่ง เมื่อรับฟังแล้วเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติจนบรรลุผล จัดการจัดสรรจนเอาชีวิตมาอยู่ที่นี่ แล้วชีวิตสุดท้ายก็ตายไปจากชีวิต อย่างมีความเจริญอย่างมีความสุขให้แก่ตัวเองจนชีวิตจะหาไม่
อาตมาทำงานศาสนาพระพุทธเจ้าจนมีคนเห็นดีเห็นงามมาร่วมกันอยู่สร้างหมู่กลุ่ม เราก็อยู่กับหมู่ที่เป็นมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี อย่างแท้จริงเป็นเสนาสนะสัปปายะ มีบุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะเจริญพร ประโยชน์สูงสุด ชีวิตของเราอยู่กับหมู่ด้วยความยินดี มีกรรมกิริยาไปกับกาละ เจริญในชีวิตไปตลอดเวลา เป็นเครื่องตัดสินพิสูจน์ความจริงที่อาตมาได้เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายจนมีพวกเรามาเข้าใจ แล้วเอาชีวิตออกมาอยู่ทางนี้ หลายคนไม่คิดว่าชีวิตจะมาเป็นแบบนี้ฟังแล้วจะชัดเจนในชีวิตเลยว่าจะต้องมาเป็นอย่างนี้ แต่ก่อนก็มุ่งมั่นเหมือนกับทางโลกเขาชวนให้แสวงหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แม้จะบอกว่ามีการแสวงหาธรรมะบ้างก็ตาม
อาตมาทำงานจนเกิดหมู่กลุ่มที่มีธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นหลักในการดำเนินชีวิตแล้วเราก็ปฏิบัติตามจนได้ผลให้เกิดชีวิตอย่างยินดีพอใจ จนเอาชีวิตมาอยู่กันแบบนี้จนตาย แล้วก็ตายไปหลายคนแล้ว ชีวิตเจริญขึ้นจนเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อรหันต์ อยู่กับพวกเราไปจนกระทั่งชีวิตก็ตายไป ถ้ามีสิ่งที่ควรได้ในชีวิต
คนเราคิดว่าคนเราเกิดมายังจะไปหลงใหลในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แล้วใช้ทุกกาละของชีวิตในการแบ่งเอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาให้แก่ตัวเองอยู่กับคนนั้นชีวิตยังตกเป็นทาสของลาภยศสรรเสริญโลกีย์อยู่
จนเข้าใจแล้วว่าไม่ต้องเอาชีวิตไปแย่งโลกธรรมเลย มาอยู่กับหมู่ ลาภก็มี ไม่มีแต่ลาภเป็ดลาบไก่ แต่ชีวิตเป็นลาภธัมมิกา เป็นลาภโดยธรรมเอาเข้ากองกลาง เป็นสาธารณโภคี อาตมาเอามาอธิบายและยืนยันและพวกเราเข้าใจก็มาอยู่ร่วมกัน ทำได้อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างน่าชื่นใจ เป็นโลกุตรธรรมนะ ถึงขั้นสาธารณโภคี ไม่ได้หลงไหลลาภ ยศ สรรเสริญ. โลกียสุขอยู่กันอย่างเป็นสุขอย่างนี้แม้แต่ในยุคที่ศาสนาพุทธล้มเแล้ว สาธารณโภคี อย่าว่าแต่หมู่สงฆ์เลย แม้แต่ในหมู่ฆราวาสก็ทำได้ ไม่ใช่ว่าอาตมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้า แต่ละยุคสมัยองค์ประกอบเหตุปัจจัยมันพร้อมก็เลยเป็นได้ พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าว่าเป็นได้
ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ อรหัตตผลเป็นเรื่องสุดยอด ที่สุดแล้วไม่ลึกลับ = อรหันต์
มีแต่สิ่งที่ชัดเจนกระจ่างใจทำอะไรต่ออะไรต่อไปได้โดยที่สบายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต อยู่กับสังคมกลุ่มนี้ไปจนตาย แล้วชีวิตก็เจริญด้วยคุณธรรม
ชีวิตเราเกิดมาต้องการอะไร คนที่ไม่รู้ก็ไปต้องการลาภยศสรรเสริญสุขโลกีย์ ถูกเขาหลอกมาไม่รู้กี่ชาติก็หมุนเวียนชาตินี้ชอบอย่างนี้ชาตินั้นชอบอย่างโน้นหมุนเวียนกันอย่างนี้ ทำตามสังคมที่เขานิยมกันไป
อย่างที่เห็นออกอากาศ ที่เห็นออกไป เขาใช้เตาไฟฟ้าแก๊สก็ใช้กัน แต่พวกเราใช้เตาถ่านอยู่ ใครจะบอกว่าเราล้าหลัง คนชั้นสูงต้องใช้อีกแบบ คนสมัยนี้ไม่รู้แล้วว่าข้าวมาจากไหนบอกว่าข้าวมาจากจานกันถึงอย่างนั้นแล้วความรู้ ถามเด็กว่าข้าวมาจากไหนเขาตอบว่าข้าวมาจากจาน
ก็ไม่รู้แก่นแกนราก root ของชีวิตแท้ๆ
อาตมาเกิดมาชาตินี้อายุ 36 ก็ฟื้นตัวทันมีความรู้ทันไม่เอาแล้วความรู้ทางโลก ได้มาทำงานที่ยอดเลิศ สุดแล้ว อาตมาทำงานอยู่ทุกวันนี้ 50 ปีแล้วอาตมาได้เลือกเป็นงานที่ยอดที่สุด คืองานที่มาสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า งานที่อาตมามั่นใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ และธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตรธรรม อาตมาก็สืบทอดอันนี้ตามที่อาตมามั่นใจ ต้องสืบทอดเพราะว่าแม้แต่กระแสหลักก็ไม่เอาแล้วโลกุตรธรรม พูดได้เต็มปากว่าไม่มี พระที่เขายกย่องว่าเป็นพระปฏิบัติคือพระป่าก็ไม่มีโลกุตรธรรไม่เข้าใจโลกุตรธรรม การออกป่าไม่ใช่โลกุตรธรรมเลย ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรเล่มแรก สูตรที่สามอัมพัฏฐสูตร ว่า
-
ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
-
ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
-
สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
-
สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม 9 ข้อ 163)
พระพุทธเจ้ากอบกู้ไม่ให้เป็นพระป่ากันอย่างพระกัสสปะ ท่านมีจริตวาสนาแบบ พระป่าก็มี แต่คนเข้าใจไม่ได้ว่าสมัยพระพุทธเจ้าเป็นยุคสังคมป่าไม่เหมือนยุคสังคมเมืองสมัยนี้ แม้จะเจริญเป็นเมืองแล้วก็อยู่ใกล้ป่า วังกับเขาคิชฌกูฏใกล้กันนิดเดียวอย่างนี้เป็นต้น อย่างพระเจ้าอชาตศัตรูอยู่จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ยกทัพไปจะค่ำมืดแล้วก็ไปถึงได้ อย่างนี้เป็นต้น แต่ก่อนนี้มันไม่รู้ว่าป่ากับเมืองไม่ไกลกัน สมัยนี้ป่ากับเมืองคนละทิศกันเลย
แก่นรากจิตวิญญาณของมนุษย์ต้องรู้ว่าควรจะอยู่กับอะไร ควรจะอยู่กับธรรมะเพื่อจะนำพาชีวิตให้เป็นประโยชน์คุณค่าสูงสุด ชีวิตของคนมีประโยชน์คุณค่าสูงสุดก็คือมีธรรมะ คนอย่างพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อรู้ตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็เลิกทางโลกเลย ท่านเป็นคนที่จะอยู่ทางโลก เป็นคนที่อยู่ในสังคมชั้นสูง เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดองค์หนึ่ง ในรัฐของท่าน ในทวีปอินเดียคือแคว้น สักกะ ซึ่งเป็นแคว้นเล็ก ส่วนแคว้นโกศล เป็นแคว้นใหญ่ ในทวีปอินเดีย ทวีปเอเชียก็มีไม่รู้กี่ประเทศ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดองค์หนึ่งก็มีศักดิ์ศรีเท่ากัน แม้จะเป็นประเทศที่เล็กที่สุด เช่นประเทศบรูไน ก็เล็ก ประเทศเล็กนิดเดียวแต่รวยน้ำมัน ก็ยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รวยมากก็อยู่กันอย่างสบายในสังคมโลก ที่สังคมโลกแต่ละประเทศไม่รวยเท่าเค้า คนทุกคนเกิดมาในประเทศนี้ก็มีเงินเดือนเลยจ่ายได้หมด ประเทศเขาไม่ต้องเสียภาษี แต่พระเจ้าแผ่นดินหรือในหลวงแจกเงินรายได้ เงินประจำชีวิตทุกคน มีวิธีการแจกจ่ายตามกฎเกณฑ์ของเขา
สรุปแล้วคนเกิดมาแต่ละชาติมีชีวิตเป็นมนุษย์ มีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์ในสังคม มันไม่มีอะไรเลยที่จะสำคัญที่สุดเท่ากับธรรมะ ผู้ไม่รู้จักธรรมะไปหลงอยู่กับโลกเขา เป็นเบี้ย-หมากในกระดานหมากรุก เขาก็สมมุติกันต้อนกันไปกินกันไปกินกันมา แม้ในยุคนี้เป็นประชาธิปไตยก็ยังมีขุนจำได้ มีขุนระดับโลกด้วยนะ สมมุติกันต่างก็ไม่ยอมกันอีกที โดนัลด์ทรัมป์ก็พยายามมีอำนาจในกระดานหมากรุกของโลก ถ้าใครถูกกินก็ถือว่าแพ้ ผู้ชนะขุนยังอยู่ แล้วต้องมีกระดานมีบริวารเหลือในกระดานมากที่สุด หมากรุกของไทยหรือสากลก็เหมือนกัน แต่สมมติต่างกันแต่วิธีเหมือนกันคล้ายกัน อยู่อย่างนั้นกันทั่วโลก
ซึ่งมันเป็นเรื่องของชีวิต ผู้ที่เข้าใจผู้ที่บรรลุ มันเห็นบทบาทลีลาของมนุษย์ที่จะอยู่กันแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมันเหมือนละครตลกที่น่าสงสาร ทรมานทรกรรมกันไป ผู้ที่รู้ดีแล้วอย่างพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะก็รู้แล้วไม่เอาชีวิตที่ต้องจมอยู่ในโลก ออกมาสอนโลกุตระดีกว่า
อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์หลงไปกับลิงลมอมข้าวพองถึง 36 ปี พระพุทธเจ้าถึง 35 ปี เมื่อรู้ตัวแล้วก็ไม่เอาทางนั้นมาทำงานนี้ดีกว่า คนอย่างพระพุทธเจ้าท่านไม่เอาแล้วที่จะไปทำงานทางโลกบริหารแม้จะเป็นใหญ่ ถ้าหากท่านอยู่ก็จะได้เป็นพระเจ้าจอมจักรพรรดิ์ มีอาณาจักร แคว้นจะไม่เล็กจะใหญ่ขึ้น ทรัพย์สมบัติมากขึ้นแผ่นดินกว้างใหญ่ขึ้น
พ่อครูพักดื่มน้ำ…
สมณะเดินดินว่า…พวกเราเป็นเบี้ยเป็นหมากที่เขาจัดให้เดินก็อยู่กันอย่างสบาย ก่อนลงมาดูข่าวคนปีนเขาเอเวอเรสต์ตายไปหลายคน ต้องมีท่อออกซิเจนขึ้นไปด้วยถึงจะรอด แต่คนก็พยายามจะเดินทางไปเพื่อตายอย่างเก่า ถ้ามาตายทางธรรมน่าจะประเสริฐกว่า
พ่อครูว่า…ก็คนมันหาทางล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข กินจนตายเสพจนตาย แย่งลาภยศสรรเสริญจนตาย
อาตมาบ่นนำไปก่อนแล้ว
ก็คือบ่นว่าผู้หลงแล้วยกผู้ไม่หลง ผู้รู้ตัวแล้วเอาสารัตถะของชีวิตมาศึกษาสิ่งนี้ ขนาดเกิดมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นพระเจ้าจอมจักรพรรดิ์ได้ มีผู้ทำนายไว้แล้ว แต่ท่านไม่เอา พระพุทธเจ้าท่านไม่เอา ถ้าท่านไปอยู่ทางโลกท่านจะได้เป็นเจ้าจอมจักรพรรดิคือมีความยิ่งใหญ่ในพระเจ้าแผ่นดินในโลกเลย ไม่ใช่เป็นแคว้นเล็กอย่างนั้น จะเป็นแคว้นใหญ่บริวารใหญ่มีอำนาจแผ่นดินใหญ่มีทรัพย์สินเงินทองมากอย่างนั้นจริงๆ แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ยืนยันพิสูจน์ แต่อาตมารู้ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะยิ่งใหญ่มากกว่าใครเลย แคว้นมคธ โกศล จะเสียทั้งทรัพย์สินที่ดินและคนมาให้แคว้นสักกะแต่ท่านไม่เอา อาตมาไม่ได้พยากรณ์นะ แต่ยิ่งกว่าพราหมณ์อาตมาทำนายได้ยิ่งกว่า แต่ท่านไม่เอา ท่านออกมาสอนธรรมะ ประกาศโลกุตรธรรมและสอนศาสนาจนสิ้นพระชนม์ ขออภัยไม่ได้เทียบเท่า แต่เหมือนกัน อาตมารู้ตัวว่าเสียเวลาไป 36 ปีก็ออกมาทำงานธรรมะเป็นงานที่ดีที่สุด พระพุทธเจ้าก่อนออกมาทำงานที่ดีที่สุด เป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็รู้ตัว เมื่ออายุ 35 ปีท่านก็ออกมาเลยไม่เอาแล้ว มาอยู่ทางนี้เลย
ผู้ที่มีความรู้จริงรู้ยิ่งมีความรู้ในการเห็นชีวิตและสังคมอย่างนี้มาก็มาทำให้เกิดสังคมแบบนี้ อาตมาภาคภูมิใจที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศแล้วเกิดสังคมโลกุตระ เป็นสังคมที่มีธรรมะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จนเป็นสังคมพระอาริยะ เป็นชมพูทวีป จึงบอกว่านี่คือแดนชมพูทวีป สุรภาโว สติมันโน อิธพรหมจริยวาโส
มนุษย์ ผู้มีสุรภาโว มีภาวะความแข็งแรงทุกอย่างและมีภาวะของสติที่แข็งแรงสุดยอด เลือกเอาอันนี้เป็นธาตุ ของ พรหมจริยวาโส ดินแดนที่ควรอยู่อย่างยิ่ง เป็นดินแดนที่ไม่ต้องมาแย่งลาภยศ อยู่ในนี้ มันสบายจริงๆ ต่างคนต่างเท่าเทียมกันในเรื่องลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ใช้กองกลาง
ส่วนใครจะมีกระมิดกระเมี้ยนเก็บเป็นของตนบ้าง เรื่อง ลาภ เงินทองข้าวของก็มีบ้างแต่ไม่ติดใจกัน ใครหวงแหนก็แล้วแต่ แต่คนเข้าใจแล้วก็ไม่มี
อย่างพลเอกเปรมก่อนตายก็บอกไว้ว่าจะเอาไปแจกจ่ายประชาชน ไม่เอาไปให้ญาติ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะแจกจ่าย ท่านบอกไว้ก่อนว่าให้เอาไปบริจาค ญาติก็ไม่ต้อง ส่วนพระพุทธเจ้าท่านไม่ดูดำดูดีเลยกับสมบัติ ใครจะมีวิบากไปแย่งกันก็แล้วแต่ท่านก็มาแต่ตัวท่าน แล้วมาทำงานด้านนี้ไปต่างๆ แล้วไปโปรดญาติ ให้มีความรู้ ไม่ยึดติด ในโลกธรรม จนมีญาติของท่านออกมาบวชตามบารมีของท่าน จนมาเป็นพระอรหันต์เป็นพระอัครสาวกได้เยอะแยะมันเป็นไปตามธรรมทั้งนั้นเลย
ถ้าเข้าใจดีๆแล้วควรจะเข้าใจเรื่องกรรมวิบาก กรรมเป็นของของตน จะเข้าใจความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จะเห็นจริงจังในกรรมวิบาก ที่จะลึกซึ้งมากก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่อง ธรรมนิยาม 5 จะรู้จักธาตุหรือพลังงาน
พลังงานที่อยู่ในสภาพธาตุวัตถุ อุตุนิยาม มันอยู่อย่างไร อาตมาไม่เก่งทีเดียวที่จะอธิบายรายละเอียดของอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยามได้ละเอียดกว่านี้ แต่ในนักวิทยาศาสตร์ไม่มีใครค้นพบความรู้ที่แยกสภาพ 5 อย่างนี้ได้ยังไม่มีในโลก ไม่มีใครบังอาจด้วย มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะตรัสรู้ ธรรมนิยาม 5
วัตถุ จะจับตัวเป็นก้อนตั้งแต่ธาตุดิน จนจับตัวเป็นธาตุน้ำ รวมเป็นธาตุลม รวมเป็นธาตุไฟซึ่งเป็นวัตถุทั้งนั้นไม่มีชีวิตไม่มีชีวะ จะมีพลังงานสูงสุดขนาดเป็นดวงอาทิตย์ ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ก็ตาม แต่พลังงานรวมตัวเป็นก้อน เรามองไปนี่เห็นดวงอาทิตย์เป็นก้อน ถ้ามันรวมเป็นจักรวาล Nebula Galaxy มันก็รวมกลุ่มพลังงานมหาศาล วิทยาศาสตร์ก็พอเข้าใจเรื่องอุตุนิยาม แต่จะไม่เข้าใจนัยจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าแยกแยะให้ฟัง ทั้งกว้าง และย่อ ในจิตวิญญาณ
อาตมาไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์แบบดาราศาสตร์หรือแบบนั้น ถ้าหากรู้ก็จะใช้ภาษาของสิ่งเหล่านั้นมาอธิบายได้อีกเยอะ แต่ไม่เข้าใจก็อธิบายได้แค่นี้
อุตุนิยาม เป็นพลังงานรวมตัว เกิดเป็นธาตุวัตถุ พอเริ่มเป็นชีวะเป็นพีชนิยาม ซึ่งรู้จักตัวตนแล้วเป็น ISH มีเจ้าของคือ I แล้วสร้างตัวเองเป็นพีชะ ดึงเอาธาตุต่างๆมารวมกัน จนเป็นตระกูลชนิดต่างๆของต้นไม้ เป็นล้านๆชนิด ก็มีแต่ตัวมันเองที่จะสร้างตระกูลของมันไป แต่มันมีพลังงานที่เป็นตัวตนแล้วแต่พลังงานไม่ถึงเวทนา ไม่ถึงวิญญาณ มีแต่สัญญากับสังขาร มี
รูป เวทนา สังขาร ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ จึงเรียกว่าชีวะที่ยังไม่มีกรรมครอง ไม่มีบุญไม่มีบาป แต่ถ้าเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยตั้งแต่เซลล์เดียว ก็มีจิตวิญญาณแล้ว
เราก็มาเรียนจิตนิยามเป็นหลักเรารู้พอสมควร อยู่กับอุตุนิยาม พีชนิยาม เราก็รู้แล้วไม่มีบาปเพราะไม่มีเวทนาไม่ติดยึด แต่ถ้าเริ่มเป็นสัตว์ขึ้นมาตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมันก็มีความรักความชังความพยาบาทได้ แล้วเป็นเวทนา พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ทุกวันนี้เราก็มีวิบากกับคนเพียงพอแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับสัตว์ สัตว์ก็ปล่อยเขาไปตามวิบาก เอาแต่เฉพาะคนก็มีวิบากที่ต้องปลดปลง หมดรักหมดชังกันให้ได้ อันนี้เป็นหลักใหญ่ ยากแสนยาก อันอื่นๆอีกไม่ไหวจะไปจัดการอย่าไปยุ่งกับสัตว์ พืชพรรณธัญญาหารมันก็ไม่มีวิบากอะไร อยู่กับอุตุนิยาม พีชนิยามไม่มีปัญหา แปลว่ากับสัตว์นั้นละเว้นไปได้เลย วิบากมันควรจะตัดได้ แต่ไม่พอเสียที
อาตมารู้อย่างนี้ถึงมาบอกพวกเรา เรื่องสัตว์เป็นศีลข้อที่ 1 อย่าไปยุ่งกับมันเลย ส่วนข้าวของวัตถุกับพืชเราต้องมีชีวิตต้องกินจะอยู่จะใช้ร่วมกัน แค่นี้ก็พอแล้ว สำคัญที่ว่าอย่าไปทุจริต วัตถุก็ไม่ใช่ของเราพืชพรรณธัญญาหารก็ไม่ใช่ของเราอย่าไปทำวิบาก ให้เอาแต่สิ่งที่เป็นสิทธิของเราที่ไม่ผิดไม่ทุจริต อาศัยกินใช้อยู่ไปแค่นี้ชีวิตก็ตลอดรอดฝั่งชีวิตก็ดี วิบากก็ไม่มีปัญหามาก ยิ่งไม่เข้าใจเรื่องจิตวิญญาณโดยเฉพาะมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานก็อย่าไปยุ่งกับมันเลยให้มันเป็นไปตามวิบากของใครของมัน มันจะมีความทุกข์มันจะทรมาน มันเห็นตําตาสงสารช่วยมันเล็กๆน้อยๆก็ช่วยไปบ้าง แต่ไม่ช่วยมันก็ไม่เสียอะไรที่เหมือนเป็นคนใจดำแต่เป็นความรู้ที่จริง ถ้าคุณไม่ช่วยมันก็ต้องไปเกิดวิบากต่อเนื่องกัน ต้องมาใช้หนี้ผูกพันกันอีก แต่สิ่งที่มีอยู่แล้วมันน้อยที่ไหน ไปเพิ่มมันอีกทำไม
มาช่วยมาลดวิบากที่มีร่วมกันอีกเยอะ จะได้เป็นพลเมืองที่ต่อไปจะได้ช่วยเหลือกันอีกต่อไปสุดท้ายจะได้เป็นอัครสาวก ให้มนุษย์ได้รับประโยชน์สูงสุดด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวมีทิศทางเดียวกัน ชาวอโศกก็ได้พวกเรามาขนาดนี้ช่วยอาตมามาขนาดนี้ ก็เป็นเรื่องของกรรมวิบากเป็นเรื่องของบารมี มันก็เป็นไปตามสัจธรรมอาตมาชัดเจนซาบซึ้งใจในเรื่องเหล่านี้เมื่อรู้แล้ว จะไปเป็นเจ้าจอมจักรพรรดิหรือ กับการมาทำงานอย่างไม่มีสมบัติพัสถานเดินพระบาทเปล่าจนสิ้นพระชนม์ท่านก็ว่าไป อาตมาก็จะอยู่ของอาตมาอย่างนี้ไปจนตาย มาจนป่านนี้แล้วผู้หญิงจะพาสึก ลาภยศจะพาให้สึกก็ไม่มี หรือกฎหมายบังคับให้สึกเราก็สู้มาแล้วจนเป็นนานาสังวาสด้วยหลักการของโลกและหลักการของธรรม ทำอะไรไม่ได้แล้ว อาตมาก็อยู่อย่างทุกอย่างหลุดพ้น ชนักทางโลกแม้ชนักทางธรรม เถรสมาคมก็มาอะไรกับอาตมาไม่ได้แล้วต่างคนต่างอยู่อย่างนานาสังวาส มาอธิกรณ์เราไม่ได้แล้วว่าผิดหลักนั้นหลักนี้ไม่ได้ ได้แต่ท้วงอาตมาก็อธิกรณ์เขาไม่ได้ ได้แต่ปฏิกโกสนา จะกล่าวคัดค้านว่าหนักขนาดไหนก็ทำไปอย่าโกฏนา คือทำคำผิดคำด่าทุจริตเลย แต่ถ้าด่าว่าถูกก็เอาเลยแรงเท่าไหร่ก็เชิญแต่อย่าให้ถึงอุกโกฏนา คือการไปด่าไปทำการทุจริตพูดผิดพูดเพี้ยนไม่ได้
อาตมาพูดตามหลักการพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ เรียกว่าทิฏฐาวิกัมม์
ทิฏฐาวิกัมม์ = เป็นการแสดงความเห็น แค่เห็นแย้งหรือชี้แจงความเห็นส่วนตัว แต่ไม่ได้คัดค้านหักหาญกันเต็มที่
ปฏิกโกสนา = การกล่าวคัดค้านจังๆ ไม่เห็นด้วย กล่าวด้วยเหตุผลข่มขี่ที่มีน้ำหนักมากกว่า เท่านั้น
แต่ไม่ถึงขั้น อักโกสะ = การด่า, การติเตียนด่าว่า
ขอบเขตของการกล่าวคัดค้านและเห็นแย้งได้เต็มที่นั้น จะไม่ก้าวล่วงไปเอาผิดกันทางอธิกรณ์ หรือไม่ข้ามเขตไปลงโทษกัน จนกลายเป็น อุกโกฏนา = การที่ไม่เป็นธรรม, ไม่สามารถยุติธรรมได้
เพราะฉะนั้นเถรสมาคมที่จับกลุ่มกันมาฟ้องร้องอาตมาผิดหลักธรรมวินัยทั้งนั้นเลย อาตมาประกาศนานาสังวาสตั้งแต่ 6สิงหาคม 2558 ตอนแรกทางเขาก็ยอมรับแต่ตอนหลังเหมือนไม่รู้อะไรผีเข้าก็มาฟ้องร้องอาตมา หมู่ใหญ่เล่นงานอาตมาขึ้นศาล เราก็แพ้ได้ อาตมาก็แสดงสัจธรรมที่เป็นโลกุตระทำได้ตลอดไม่ได้ลดหย่อนอะไร ทางโน้นเขาก็ทำไปสิ จะเอาชนะคะคาน สุดท้ายไม่สามารถทำให้อาตมาไม่แสดงธรรมได้ สัจธรรมก็ต้องเป็นสัจธรรม ดีไม่ดีก็มาพูดตอนนี้ อาตมาเอาพระไตรปิฎกยันเอาๆ แต่ก่อนอาตมาไม่เก่งพระไตรปิฎกเขาก็เอาอำนาจของหมู่ใหญ่มาเล่นงานได้ อาตมาพูดเหมือนเชิงอวดดี ทางด้านโน้นทำอะไรไม่ได้ก็เลยพูดวันนี้เหมือนได้ทีขี่แพะไล่ก็ขออภัยไม่ได้มีเชิงอย่างนั้น
_ราชัน ชินศรี • คนที่ตายเเล้วฟื้นเขาบอกว่าสวรรค์นรกมีจริง
พ่อครูว่า…ตอนคุณยังไม่ตายคุณก็ยังมีสวรรค์และนรกอยู่แล้ว สัญญาของคุณมีอุปาทานอย่างไร มันก็แปลไปอย่างนั้น อย่างเช่น คุณนอนหลับคุณก็ฝัน มีสวรรค์และนรก คุณมีความสุขความทุกข์ในเรื่องราวฝัน ก็เป็นสุขเป็นทุกข์ จริงจังอย่างไร คุณนอนหลับฝันไปก็เหมือนจริง แต่คุณไม่รู้ตัวหรอก ตายคุณก็เหมือนอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคนที่เขาไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเขาตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมา ก็เหมือนคนนอนหลับตื่นขึ้นมาเหมือนกันแหละตายก็หมายความว่า สรีระร่างกายมัน drop ลงไปมาก ชีพจรมันก็เหมือนไม่มีแล้วแต่มันยังไม่ขาดไปมันก็ฟื้นขึ้นมาได้ แม้แต่ชีพจรขาดไปแล้วเขาก็ยังปั๊มหัวใจให้ฟื้นคืนมาได้เลย เขาก็พยายามให้สรีระมันขับเคลื่อนได้ นอกจากจะขาดจริงเท่านั้นก็ต่อไม่ติดก็ไม่ฟื้น ถ้าหากฟื้นขึ้นมาก็แบบเดียวกัน มีสวรรค์และนรกเพราะเขาไม่รู้ความเป็นสวรรค์และนรกที่แท้จริง
สวรรค์และนรกคือจิตใจที่คุณไปยึดติด สรุปที่ยอดของสวรรค์และนรกคือติดยึดในความสุขความทุกข์ ถ้าหากความทุกข์ก็คือนรก ถ้าหากเป็นความสุขก็คือสวรรค์ มันไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นความกลางๆ มันก็มีอยู่ 3 อารมณ์ตามความรู้สึกนี้เท่านั้นแหละ ใหญ่ๆ สวรรค์มากน้อย นรกน้อยใหญ่
ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วเรื่องราวก็จะหมดความสุขความทุกข์ จะมีภาพเป็นนิมิตต่างๆมันก็มี แต่ภาพนิมิตต่างๆนั้น ผู้ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไป ก็จะมีเรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งถ้ามีปฏิภาณปัญญาก็จะอ่านได้เป็นธรรมะ แต่เรื่องราวก็เหมือนสามัญ จะไม่มีการตื่นเต้นตกใจ
-
จะไม่มีนิมิตอะไรไม่มีฝันร้าย
-
จะไม่มีนิมิตที่ไม่ดี นิมิตหมายแทนเรื่องราวสัจธรรมก็จะมีเรื่องราวตัวตนรูปร่าง มีกิริยามีคกรรมต่างๆ นามสมมุตินามตามเรื่องลิเกละคร แต่มันหมายถึงสัจธรรม