620708_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 57
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1V8Gs1HKyUY1kMsN8AVLGLLxNyxHypM7UJK_Rf0udb70/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1C9wmM3stB0B-7NzNNvzZRSXlFX5NT0Q-
พ่อครูว่า…วันนี้วันตอนที่ 8 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
SMS
_32166ไม่เห็นแม่เณรรินฟ้ามาออกรายการเลย ไม่ทราบว่าท่านไปไหน คิดถึงท่าน อยากให้ท่านมาออกรายการที่เคยออก ผมเป็นแฟนรายการท่าน ท่านสุภาพมากและนิ่มนวลครับ ท่านดำ(ถักบุญ)กะโดกกะเดกแข็ง ไม่สุภาพเลย!!!??/แก่นกรุ
พ่อครูว่า…สิกขมาตุรินฟ้า เป็นพี่คนโต ตอนนี้พ่อแม่เสียไปแล้วก็เลยไปดูแลบ้าน ก็รอท่านหน่อย
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ผมมีข้อสังเกตุครับ มีพระสอนธรรมะ เยอะมากในยุคไซเบอร์ พ่อครูมีคนรับฟังน้อยมาก แต่ผมเลือกที่จะฟังสาระธรรม โดยเหตุและผล มากกว่า จำนวนผู้คนที่นิยมชมชอบครับ สำหรับผมแล้วหากเจอการบรรยายธรรมแบบพ่อครู แม้นมีเรารับฟังคนเดียวก็จะรับฟังครับ หากท่านยังมีเมตตาแม้นให้เรารับฟังแค่คนเดียว
พ่อครูว่า…แสดงว่าให้เกียรติมาก เป็นการแสดงความเห็นออกมา สนุกนะ นานาแสดงความเห็นออกมากันได้ดีมาก
อา 7/7/62
_Jan.Lat ฟังพ่อท่านวันนี้ท่านบอกคนที่ฟังอยู่ทางบ้านมาสถานที่จริงบ้างนะ ใจไปตั้งนานแล้ว หน้าที่ความเป็นแม่ที่ลูกยังหากินเองไม่ได้ ขอทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีก่อน หวังอยู่เสมอว่าจะต้องได้ไปแน่ๆ
_สมบัติ วันนี้พ่อครูเทศน์แรงทะลุโลกเลย คงโดนถล่มอีกแน่ๆ
พ่อครูว่า…อาตมาเป็นคนจึงมั่นใจมั่นคงแน่วแน่ ประสงค์จะให้คนได้ชัดเจนแสดงออกให้ชัดเจน ไม่เหลาะแหละเลย แม่นเป้า หนึ่ง ๆ ๆ ดูคาแรคเตอร์ของอาตมาตลอดเวลาจะรู้ได้ บุคลิกของอาตมาดูให้ดีๆ จะเห็นได้ว่าอาตมาเป็นคนเช่นนั้น
_ส.ดาวดิน ถามการเสนอแต่ส่วนดีของคนคนหนึ่งโดยเพิกเฉยต่อด้านที่เลวร้ายของเขานั่นจะเรียกว่ามีความเป็นกลางได้อย่างไร
พ่อครูว่า…ถ้าเป็นอย่างที่ท่านดาวดินพูดว่า เสนอแต่ส่วนดีของคนคนหนึ่งด้วยเพื่อใช้ต่อต้านที่เลวร้ายของเขา นั่นจะเรียกว่ามีความเป็นกลางได้อย่างไร ใช่ ถ้าเสนอแต่ส่วนเดียวส่วนดีส่วนเดียว เหมือนอย่างที่ท่านพุทธทาสบอกว่าเอาแต่ส่วนดีอย่างเดียว ส่วนที่ชั่วอย่าไปเกี่ยวอย่าไปรู้ของเขาเลย อาตมาก็ว่าโง่ตายชักเลย ต้องรู้ทั้งความดีและความไม่ดี 2 ด้าน แต่เราก็ดู คนที่ชั่วเราก็ต้องช่วยเขา ไม่รู้เลยคนชั่วเอาแต่คนดีคุณก็เลือกข้างแน่นอน
ส.ดาวดินคงท้วงอาตมาโดยตรง ให้ข้อหาอาตมาเลยว่าโชว์แต่ส่วนดีของพลเอกประยุทธ์เอาตรงๆเลย อาตมาว่าอาตมาไม่ผิด อาเทศนาปาฏิหาริย์ กับท่านดาวดิน ไม่ผิด หาว่าอาตมาเอาแต่ส่วนดีมาพูด
อาตมาจะบอกให้ ส่วนไม่ดีของพลเอกประยุทธ์นั้นมีแต่อาตมาไม่พูด ทางธนาธรปิยบุตร หรือแม้แต่ใครทางฝ่ายโน้น ถล่มก็เพลาลงไปบ้าง แม้แต่นิวส์วันก็เพลาๆลงบ้าง แต่ก่อนนี้ถล่มมากเลย เป็นแต่เพียงว่าอาตมาก็เสนอส่วน 2 ส่วนส่วนผิดส่วนถูก เป็นการแสดงธรรมะส่วนผิดส่วนถูก ก็ฟังให้ชัดเจน อาตมาบอกทั้งส่วนผิดส่วนถูก
หากบุคคลนั้นมีการประพฤติอย่างที่อาตมาบอกว่าผิดหรือถูก ก็เท่ากับไปซื้อคนนั้นคนนี้แล้ว เอาให้ชัดเจน อยากจะให้อาตมาถล่ม คุณจะถล่มก็ส่วนของคุณคุณมองแง่ดี อาตมาก็ไม่ได้บอกว่าพลเอกประยุทธ์ดีร้อยเปอร์เซ็นต์
อาตมาเคยพูดถึงขั้นว่าพลเอกประยุทธ์นี้ 29 นายกฯ คะแนนนายกฯคนนี้ให้คะแนนเป็นที่หนึ่งเลย อาตมาพูดอันนี้จริง
_อีกท่าน ให้ความเห็นเชิงคำถาม…หลวงปู่มั่น เป็นเดียรถีย์ แรงสุดๆ…เดียรถีย์ หมายถึง ?? ครับ
พ่อครูว่า…เดียรถีย์หมายถึงอะไร? คนที่ถามมาก็ยังข้องใจว่าเดียรถีย์หมายถึงอะไร
เดียรถีย์ หมายความว่า ผู้ที่อยู่อีกคนละฝั่ง เดียรถีย์ ถ้าคุณอยู่ฝ่ายที่ไม่ใช่พุทธแท้ๆ แม้เป็นความไม่ใช่ทุกส่วน แค่ส่วนหนึ่งก็เป็นเดียรถีย์ส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่พุทธสองส่วนก็เป็นเดียรถีย์สองส่วน หากไม่ใช่พุทธร้อยส่วนก็เป็นเดียรถีย์ร้อยส่วน
ผู้ที่เป็นพุทธหมายถึงไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นพุทธ
แต่ถ้าผิดเพี้ยนไปจากความเป็นพุทธคือพวกนอก พวกยังไม่ใช่ ยังไม่เข้าร่องเข้ารอย คุณจะเข้าร่องเข้ารอยบ้างแล้ว ก็เป็นส่วนที่มาเป็นพุทธ ส่วนที่ชัดเจนว่าคุณเลิกไปไม่ใช่ก็ถือว่าดีแล้ว แต่ถ้ายังก้ำกึ่ง เส้นทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง อย่างนั้นยังไม่ชัดเจน ยังเป็นทั้งเดียรถีย์ และจะเอาพุทธก็ไม่ชัด แต่หากคุณชัดเจนเอาความเป็นพุทธก็ไม่เอาความเป็นเดียรถีย์
อย่างไปนั่งหลับตาก็เป็นอุปการะมาก ท่านอนุโลมใช้คำนี้ อุปการะคือช่วยแต่ไม่ใช่แกนหลักของศาสนาเลย ช่วยอะไร ก็บอกอยู่แล้วยังสำคัญก็คือ เตวิชโช ตรวจสอบลงบัญชีที่เราได้แล้วหรือไม่ได้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เตวิชโชนี้ไม่มีปัจจุบันมีแต่อดีตนะ ตรวจสอบว่าอะไรเกิด กิเลสเกิดกิเลสดับเป็นต้น ตรวจสอบว่าครบหรือยัง
ครบสุดคือถอนอาสวะสิ้นดับอาสวะเป็นข้อที่ 3 ของเตวิชโช
เตวิชโช ไม่มีปัจจุบันไม่มีอนาคต เตวิชโช มีแต่อดีต เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจุบัน ถ้าไปนั่งหลับตา ไม่ใช่ปัจจุบันเป็นอดีต หรือไปฟุ้งซ่านก็เป็นอนาคต ไปคิดอะไรขึ้นมาที่ยังไม่เป็น ยังไม่เสร็จยังไม่จบยังไม่เป็นเรื่องเป็นราว ก็เป็นอนาคต เท่านั้นเอง หลับตาปฏิบัติมีแต่อดีตอนาคต ปัจจุบันสัจจะจริงๆมีที่ปัจจุบันเท่านั้น and the เท่านั้น
ภาษาบาลีท่านเรียกว่าทิฏฐิกาละหรือทิฏฐธรรม เต็มๆธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นนิพพานมีแต่ทิฎฐธรรมนิพพาน ผู้ที่มีทิฏฐธรรมนิพพาน ต้องมีทิฏฐิว่า ทิฏฐธรรมนิพพาน ทิฏฐิ ของพระพุทธเจ้ามีในกาละปัจจุบันหรือ ปัจจุบันชาติ การเกิดในปัจจุบันเท่านั้น
พอผ่านปัจจุบันไป พอหลุดมีจังหวะห่างถ้าจะเริ่มต่อก็เป็นเรื่องเดิม แต่ถ้าเป็นเรื่องใหม่ก็เป็นเรื่องใหม่ เหมือนกับที่บอกว่า ฉันในที่นั่งแห่งเดียว นี่ยิ่งกว่ามื้อหนึ่ง นั่งทานอาหาร จนอิ่ม เลิกลุกจากที่นั่งก็ไม่ฉันอะไรอีก นอกจากน้ำปานะ อย่างนี้เป็นต้น อันนี้คือศีลของพระพุทธเจ้าคือฉันในที่นั่งแห่งเดียว ฉันมื้อเดียว ไม่ไปฉันที่อื่นอย่างนี้เป็นต้น
รายละเอียดของธรรมะพุทธเจ้ามีเยอะก็พยายามทำความเข้าใจที่ดีๆ ไม่เช่นนั้นก็ไม่สมบูรณ์ไม่เต็มเต็ง ใครๆก็อยากได้ความสมบูรณ์ทั้งนั้น
_พิมพ์เพชรรุ้ง…ขออนุญาตรายงานการทำงานของทีม ฮับแขก จะมีการประชุมทุกวันเสาร์ตอนบ่าย เป็นอาสาสมัครที่มีฐานงานประจำอยู่แล้วแต่จะเสียสละมาประจำการอยู่ที่หน้าอาคารบวร ได้ข้อมูลว่าผู้ที่มาเยี่ยมเยียนชุมชนของเราแบ่งเป็น 3 สาย
สายที่ 1 เป็นสายน้ำตก
สายที่ 2 เป็นสายสุขภาพ ส่วนใหญ่จะมาถามหาคุณอาไม้ร่ม เป็นเซเลปประจำชุมชน
สายที่ 3 สายช้อปปิ้ง ก็มีการมาซื้อสินค้าราคาถูก
_ผ้าขี้ริ้ว…มีหลายชนชาติมาเยี่ยม มีคนมานั่งโต๊ะเรียนแล้วขอถ่ายภาพ นิโกร ฝรั่งก็มีมา ชอบใจโต๊ะเรียนชุดนั้นกันมาก แล้วมีคำถาม ทำไมคนที่นี่ไม่ใส่รองเท้า เราก็ตอบไปตามภูมิปัญญา มีไม่น้อยที่พูดแต่เรื่องสุขภาพ ดิฉันเคยเป็นโรคประหลาดตอนนี้หายแล้ว เขาถามว่ามีกฎระเบียบอะไรบ้าง อยากมาอยู่จังเลย
_ดั่งเดือน …บ้านราชฯขณะนี้ไม่ใช่ทางผ่านแต่เป็นทางแวะ มีคนบอกว่าที่นี่เป็นเมืองลับแล แล้วตรงไหนเป็นวัด เขาถามมาอีกหลายคำถาม มีถามว่า มีความสุขไหม ดิฉันก็บอกว่าสุขบ้างทุกข์บ้าง เขาก็ถามว่ารักษาศีลอย่างไร ดิฉันก็ตอบว่า เมื่อมียุงมากัด เราก็อ่านใจเราว่าอยากตบยุงไหม
_พ่อคะ โสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ได้ประมาณใดคะ ถึงจะรู้ว่าเป็นพระโสดาบันคะ(โสดาปัตติผล)
พ่อครูว่า…ผู้ที่จะได้โสดาปัตติผลก็ดูที่เนื้อแท้ธรรมะที่เราได้ปฏิบัติ ผู้ที่จะรู้เนื้อแท้ธรรมะจะต้องอ่านจิตตัวเองเป็น เนื้อแท้ธรรมะหมายถึงเอาจิตตัวเองเอาจิตวิญญาณเป็นแกนหลัก จิตวิญญาณคืออะไร คือธาตุรู้และธาตุที่เป็นได้ 1. รู้เข้าใจเฉลียวฉลาด 2. แล้วมันเป็นตามที่เรารู้ไหมเราปฏิบัติจิตของเราสรุปได้จริง เช่น เรารู้ว่า ฆ่าสัตว์ไม่ดี เราฆ่าอยู่ไหม หากยังฆ่าเราก็ต้องรู้ว่าไม่ดี ยังไม่ใช่บรรลุ ต้องทั้งรู้ทั้งปฏิบัติได้เลย ต้องทั้งไม่ฆ่า เราปฏิบัติได้ด้วยที่จิต
โสดาปัตติผล เอาเรื่องของสัตว์ก็ดีของก็ดีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ดี 3 อย่าง
คือศีล 3 ข้อ ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของข้อที่ 3 เกี่ยวกับตา หู จมูกลิ้น กาย เกี่ยวกับกามคุณ 5
โสดาปัตติผล
ข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ เรารู้ว่าไม่ดีแล้วเราก็ได้ประพฤติจริงในการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่มีเจตนาในการฆ่าสัตว์ไม่มีความตั้งใจจะฆ่าสัตว์ หากว่ามันพลาดไปมันเผลอไปก็อีกเรื่องหนึ่ง มันไม่ได้มีเจตนาไม่ได้ตั้งใจ จริงใจเลย จิตใจไม่ต้องการฆ่าสัตว์ ไม่มีเจตนาจะฆ่าสัตว์ แต่เผลอได้พลาดได้ ถือว่าเราไม่ได้มีเจตนา ส่วนวิบากบาปที่คนอื่นจะมาทำกับเรานั้นก็มี อย่างเทวทัตกลิ้งหินโดนพระบาทพระพุทธเจ้าห้อเลือดก็เป็นเรื่องของพระเทวทัต
ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ ถ้าเกี่ยวกับสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่มีจิตวิญญาณ ส่วนของนั้นไม่มีจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของ ของกับพีชธาตุ ธาตุที่เป็นพืช
พืช ไม่มีความโกรธไม่มีความพยาบาทไม่มีความรักไม่มีความเสี่ยง แม้จะเป็นชีวะแล้วแต่เป็นระดับพืช พลังงานยังไม่ถึงขั้นเป็นจิตนิยาม พลังงานระดับพืชไม่มีบาปไม่มีบุญ เพราะยังไม่ใช่จิตนิยามยังไม่มีจิตใจไม่มีจิตวิญญาณเป็นชีวะระดับพืชเท่านั้น ไม่รักไม่ชังไม่สุขไม่ทุกข์ไม่เจ็บไม่ปวด ดังนั้นพืชนี้พระพุทธเจ้าจึงอนุญาตให้กินได้ แต่สัตว์มันมีพยาบาทมีรักมีชัง ยิ่งสัตว์ชั้นต่ำ สัตว์เดรัจฉานสัตว์เล็กน้อยที่ยังไม่ใช่มนุษย์ แม้แต่เป็นมนุษย์ก็ตาม
สัตว์มันไม่รู้หรอก สัตว์มันรักชีวิตของมัน ไปทำร้ายมันทำให้มันเจ็บมันก็พยาบาท เพราะสัตว์มันอวิชชาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราอย่าไปสร้างเวรกรรมสร้างวิบาก เราไม่ไปวุ่นวายเกี่ยวข้องกับสัตว์ให้เขารักเขาชิงชังกับเราเลย
แล้วกินเนื้อสัตว์ล่ะ ลึกซึ้ง เป็นเรื่องกรรมวิบากที่เป็นอจินไตย
สัตว์มันจะรู้ไหมว่าเนื้อหนังไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา แล้วมันจะยึดไหมว่าเนื้อหนังเป็นเราเป็นของเรามันก็ต้องยึดถือ ถ้าเราไปกินเนื้อสัตว์ ดีไม่ดีมันเฝ้าด้วย พระพุทธเจ้าถึงอนุญาตให้กินเนื้อสัตว์ที่เป็นเดนสัตว์กินหรือมันตายเอง สัตว์มันทิ้งแล้วไม่ยึดถือเป็นเจ้าของแล้วมันไม่มีเวรภัยไม่มีพยาบาทแล้ว
เรื่องของสัตว์ ไม่ฆ่า เอาแค่นี้ก่อน ของเราถึงขั้นไม่กินเนื้อสัตว์ อโศกจะเคร่งมาบ้างตรงไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย ส่วนของวัตถุกับพืช มันไม่ใช่สัตว์ไม่มีบาปไม่มีบุญไ ม่มีการจองเวรจองกรรม ไม่มีรักไม่มีชัง เพราะฉะนั้นกินได้ หากสัตว์ก็ไม่กินพืชก็ไม่กิน ก็ต้องกินเหล็ก กินไม้ กินดิน กินปูน กินลูกระเบิด แล้ว
ประเด็นที่ 2 เป็นความทุจริตไหม พืชก็ดีสัตว์ก็ดีของก็ดี เป็นของเราไหม หากไม่ใช่ของของเราก็อย่าไปละเมิดเอามาเป็นของเรา ตรงนี้เป็นความผิดบาปในประเด็นข้อที่ 2 เพราะฉะนั้นจะต้องเอาแต่ของที่เขาให้ ถ้าเขาไม่ได้ให้ไม่ได้อนุญาตแล้วมีเจ้าของ แม้แต่ถือวิสาสะก็อย่าทำ ถือวิสาสะก็หมายความว่าของอันนี้เป็นส่วนกลาง จัดส่งส่งไปเลย บางทีมีคนใช้ประจำอยู่นะ..เราก็ไปคว้ามาเลย ก็เป็นการถือวิสาสะเกินมันก็ไม่ดี เอาที่ชัดๆ ว่าของนี้ ส่วนกลางแน่นอน คนอื่นก็เห็นอยู่อนุญาตให้ใช้เป็นของส่วนกลางก็ใช้ได้
ข้อที่ 3 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรื่องกามคุณ 5 ก็เอาตรงที่ จัดจ้าน ยังติดรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสจัดจ้านอยู่ เราก็รู้ว่าของเรามันมีความจัดจ้าน แล้วมันลดลงได้ไหม มันยังมีอยู่ก็ตาม มันจะหมดทีเดียว หมดกามคุณเลยทีเดียว โสดาบันก็ยังไม่ได้ แม้แต่สกิทาคามีก็ต้องมาลด จนถึงอนาคามีก็ถึงเป็นการตัดเขตตัดเกรด ของโสดาบัน จนถึงขั้นเลยสกิทาคามีพระอนาคามีถึงจะชัดเจน
รูปรสกลิ่นเสียงจัดจ้านของเรานั้นก็ประเมินเอา ลดจัดจ้านลงได้ไหม แต่ก่อนนี้จัดจ้านเท่านี้ แต่ก่อน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต้องเอาอย่างนี้ให้ได้ เอาเป็นเอาตายต้องเอาชนะให้ได้ แล้วก็จัดจ้านต้องแรงๆ ตอนนี้ก็ต้องลดลงมา ลดได้ถาวรไหม ถ้าถาวรก็คือผล เฉพาะที่จัดจ้านนะ ชั้นรองลงมาก็ต้องมีบ้าง มันซ้อนโสดาบันแต่เอาเกณฑ์ของอนาคามีมาตัดเขตของโสดาบัน ค่อยๆทำให้เข้าใจ อ่านสภาวะพวกนี้
ก็ขอแวะนิดนึง แถมที่เขาข้องใจว่า อาตมาเอาอะไรมายืนยันว่าอาตมาเป็นอรหันต์
ก็คือที่อาตมาอธิบายธรรมะละเอียดลออเหล่านี้ที่เป็นเครื่องยืนยันว่าอาตมามีของจริงพวกนี้ เพราะของจริงพวกนี้ไม่ได้มีในตำรา ไม่ได้มีในอาจารย์ต่างๆที่อธิบาย และก็ไม่มีใครอธิบายได้อย่างอาตมาหรอก คุณจะเคยได้ยินมาจากใครหรือมีใครมายืนยันเหมือนกับอาตมา นี่ไม่ใช่การอวดตัวตน แต่พูดความจริงเป็นหลักฐานให้คุณเข้าใจ จะได้เป็นข้อมูลให้คุณฟังว่าอันนี้รับได้ เป็นเหตุปัจจัยเป็นเงื่อนไขที่อาตมาอ้างยืนยันฟังขึ้นนะ ว่า อาตมาเป็นไก่ตัวพี่เป็นไก่ตัวแรกที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาก่อนใครในยุคนี้
เหมือนตอนพระพุทธเจ้าที่ท่านก็ตรัสไว้ว่าท่านเป็นผู้ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้เป็นคนแรก
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 1 ที่ตอบวัสสการพราหมณ์
อาตมาก็ขอยืนยันว่าในยุคนี้อาตมาเป็นคนแรก ไม่มีครูบาอาจารย์คนอื่นอธิบายได้อย่างที่อาตมาอธิบายได้ อาตมาไม่ได้เดา แต่เอาสิ่งที่เป็นจริง มีจริงในตนเองแล้วมั่นใจว่าจะพูดสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าหากเดาอยู่ไม่ได้ใจก็ไม่พูดไป แน่ใจแล้วต้องแน่ใจว่าถูกต้องด้วยจึงจะพูดยืนยันออกไป เพราะว่ากรรมเป็นอันทำ ถ้าหากอาตมาทำผิดไปเอาสิ่งที่ยังไม่แน่เป็นสิ่งผิดก็เป็นกรรมของอาตมา อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์นะ เรื่องอะไรจะมาสั่งสมอกุศลวิบากใส่ตนเองทำไม อาตมาการพัฒนาตนเองให้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปนะ
_ธรรมทำ นักรบธรรม…จะเอาสภาวะที่พ่อครูชอบพูดว่าฝากไว้ก่อนโอฬาร เมื่อ 7 วันก่อน พ่อครูตั้งใจทำชมพูทวีป เป็นปาฏิหาริย์อย่างยิ่ง ที่ผ่านๆมาร้อนระอุมาก พ่อครูเดินทางมาก็เกิดความชุ่มชื้นขึ้นมาทันทีแม้แต่อุตุก็ยังยอมรับ
ผมได้อ่านหนังสือ ถอดหัวใจพระโพธิรักษ์ อ่านแล้วเหมือนกับอ่านพระไตรปิฎกจบทั้ง 45 เล่ม 84000 พระธรรมขันธ์
มีอยู่หน้าหนึ่งบอกว่าพระพุทธเจ้าประสูติปีจอวันอังคาร (พ่อครูว่า ปีจอวันอังคารเหมือนกัน แต่ของท่านเดือน6) ผมก็เกิดเดือน 6 แล้ววันปรินิพพานเป็นปีมะเส็ง ผมคิดว่าอันนี้น่าจะให้พ่อครูหาที่มาที่ไป
พ่อครูว่า…มันจะลิเกมากไปไหม ให้เอาสาระมากกว่าสมมติสัจจะ อาตมาตอบไม่ได้ ที่คุณว่าอยากจะรับรองว่าที่พูดนี้ถูกไหม อาตมาไม่รู้ รู้แต่ว่าอาตมาเกิดปีจอเดือนเจ็ดวันอังคาร
_น้อมยอดธรรม…เมื่อเรายังไม่ได้มาฟังพ่อครู มีเพื่อนถามว่า สัตว์ของแม่เป็นอย่างไร ดิฉันก็บอกว่า สัตว์ของดิฉัน เมื่อก่อนไม่ได้ฟังพ่อครู สัตว์มันรำคาญ มันคงคลานน่าเกลียด แต่นี้มันก็มีเพ่งโทสไม่ชอบ ถือสา มันเป็นสัตว์ใช่ไหมคะ ดิฉันก็อ่านต่อไปเรื่อยๆว่าสัตว์มันอยู่ในตัวเรากี่ตัว นับไม่ถ้วน แล้วดิฉันก็บอกเขา เขาก็ฟังอยู่ ดิฉันในครอบครัวมีหลานเล็กๆก็รำคาญหลาน พอฟังพ่อครูไปเรื่อยๆ สัตว์พวกนี้มันคงกลัวธรรมะ ฟังไปเรื่อยๆแล้วมันก็จืดจาง ก็ฟังพ่อครูฟังสิกขมาตุ ก็มีการอุบัติเกิดในจิตวิญญาณของเรา ครั้งก่อนมันมีอยู่เราก็ไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อได้ฟังธรรมพ่อครูแล้ว สัตว์มันอยู่ที่เวทนาชอบหรือไม่ชอบ เราก็อ่านความรู้สึก แต่ความรู้สึกทุกวันนี้มันสบายเพราะว่าเราฟังธรรม ได้มาทำงานเป็นบุญกุศล เราก็เข้าใจตัวเราอย่างนี้คนอื่นไม่เข้าใจเราก็ไม่บ่นแล้วค่ะวันอาทิตย์ที่พ่อครูเทศน์ เพื่อนแป้งก็ถามว่า ทำได้อย่างไร ดิฉันก็ว่ามันต้องมาปฏิบัติอยู่อีกหลายปีของดิฉันก็จะเข้าใจ
พ่อครูว่า.สรุปค่าความเป็นสัตว์ก็คือยังมีความรักมีความชัง ถ้าเป็นพระพรหมก็ไม่มีความรักไม่มีความชัง เป็นพรหม เป็นเทวะสูงสุด จิตกลางๆ
_หลวงปู่ครับผมรู้สึกอยากชกหน้ารุ่นน้องมากๆเลยครับ มันกวนโอ๊ยผมเหลือเกิน ผมเก็บมาเป็นปีแล้วครับ คิดโกรธจนอยากจะต่อยอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมกลัวผิดศีล และเป็นรุ่นพี่แล้วด้วย จะทำอย่างไรดี?
พ่อครูว่า…ก็คิดอย่างนี้สิ เราอยากชกหน้ารุ่นน้องหรือคนอื่น ถ้าคนอื่นเขาชกหน้าเราเราจะชอบมั้ย? คิดให้ดี เขาก็ต้องไม่ชอบแน่แล้วเราจะทำสิ่งที่ทำให้เขาไม่ชอบทำไม หรือสูงไปกว่านั้น ถ้าเผื่อว่าเราชกหน้าใคร เราทำกรรมดีหรือชั่ว เป็นอกุศลกรรม เป็นกรรมที่ไม่ควรทำเป็นกรรมที่ไม่ดี เรามาปฏิบัติธรรมแล้ว หรือจะไม่ปฏิบัติธรรมก็ตาม คนทั่วไปควรจะเป็นคนดีหรือควรจะเป็นคนชั่ว …ก็คนดี
ถามกลางๆ คนทุกคนควรเป็นคนดีหรือควรเป็นคนชั่ว ก็ต้องบอกว่าเป็นคนดี ถ้าบอกว่าต้องเป็นคนชั่ว คนนี้ก็หยาบไปไกลเลย เป็นความคิดวิตถารไม่สามัญแล้ว เพราะสามัญธรรมดาคนก็ต้องอยากเป็นคนดีทั้งนั้น
แล้วจะไปชกต่อยไปเอาของคนอื่น จะไปทำกรรมอะไรเราต้องอ่านกรรมทุกอย่าง ถ้ารู้มันไม่ดีอย่าทำ นั่นเป็นประเด็นที่ต้นๆง่ายๆเลย มันไม่ดีก็อย่าทำ ฝืนก็ต้องฝืนหยุดก็ต้องหยุด แม้จะไม่มีปัญญาก็ตาม จิตใจมันไม่สั่งให้ไปทำเลย ไม่ไปสั่งให้ทำชั่วเลย ปัญญาที่สูงสุดจะถึงขั้นทำให้จิตของเรานี้ อยู่ในความรู้ รู้จริงๆว่าสิ่งที่ชั่วไม่ทำเลย ไม่ออกคำสั่งไม่มีพลังงานจากปัญญาเลย ปัญญาจะไม่ออกพลังงานสั่งให้ไปทำชั่ว ทางกายวาจาใจเลย ไม่ทำ
สมมุติว่าเราเริ่มมีความคิดชั่วมีจิตจะไปทำชั่ว เมื่อเรารู้ทันเราจะยับยั้งจะหยุดอย่าไปคิดต่อ คิดชั่วแล้วอย่าไปคิดต่อ มันจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าโสดาบันก็ยังระงับยากอยู่ แต่ก็ต้องพยายามอย่าคิด จนกระทั่งคุณไม่คิดได้ จึงจะเป็นผล รู้ว่าชั่วแล้วอย่าไปคิดต่อ แต่ในโสดาบัน บังคับถึงจิตยังไม่ได้ แม้แต่ภายนอกที่ยังสูงอยู่ มันยังในระดับที่ไม่ใช่ขั้นต่ำที่สุด โสดาบันก็อาจจะต้องทำอยู่
_หินเย็น ศิลป์ประกอบ..ผมไม่มีคำถามอะไรแต่ประทับใจหนังสือถอดจากหัวใจพระโพธิรักษ์มีอยู่ว่า “ไม่มีความชั่วใด ไม่มีความเลวร้ายใดๆ ที่จะชั่วและเลวร้ายยิ่งกว่า การยอมให้กิเลสของตนโตขึ้นเพิ่มขึ้น” เท่านี้ครับผม
พ่อครูว่า…ละเอียดลึกซึ้งดี
_ฟังธรรมะพ่อครูแล้ว ไม่สงสัยในตัวพ่อครูที่สอนหรอกนะคะ ยิ่งฟังยิ่งซาบซึ้งในธรรมะที่พ่อครูสอน เหลือแต่ตัวเองนี่แหละ ยังเพียรน้อยอยู่ พอทบทวนทีไรก็ให้ร้อนใจ เราต้องเร่งเพียรให้มากกว่านี้เผื่อพ่อครูด่วนจากไป เราจะทำอยางไร
พ่อครูว่า…แม้อาตมาว่าจะที่อยู่ไปถึง 151 ปี อย่างนี้คิดดี คิดไม่ประมาท
ไม่มีใครถามเลยสงสัยจะบรรลุฝฝพระอรหันต์จะหมดแล้วมั้ง ไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา หรือรู้มากไปแล้วก็ยังทำไม่ได้หมดเลย ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น
_นักรบธรรม…คือว่า ที่ทางโลกเขายอมรับว่า วันเพ็ญเดือน 6 ปีมะโรง ที่ตรงกันทั้ง 3 วันนับเป็นปาฏิหาริย์
พ่อครูว่า…จะยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเกิดปีมะโรงก็ไม่เป็นไรแต่มีคนเขาบอกว่าเกิดปีจอ
สู่แดนธรรมว่า…มีคนคำนวณว่าเกิดวันศุกร์อีกเหมือนกัน
พ่อครูว่า…ทุกอย่างเป็นสมมติทั้งนั้น มันเป็นบัญญัติ เป็นการสมมติกำหนด เป็นเครื่องหมายเท่านั้น เราเอาเนื้อแท้ ของพฤติกรรมของชีวิตจริง ยิ่งมีชีวิตจริงยิ่งมีหลักฐานเป็นปัจจุบันมีเนื้อตัวมีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เอาอันนี้สิของจริง อันนี้จึงเป็นของจริง
อย่างอาตมานี่นะ ในชีวิต เขามาเล่นงานอาตมา เรื่องของในตอนบวชเป็นพระแล้วมีเรื่องของ 3 ส.
ส.หนึ่งคือ ส.สตรี ส.สองคือ สตางค์ ส.หนึ่งคือ ส.สังฆเภท
อาตมานี้บวชมาแล้ว ส.หนึ่ง เรื่องสตรี ก็ไม่มีเหตุไม่มีเรื่องราวอะไรที่จะมาตำหนิ อะไรกับอาตมาได้เลย เพราะอาตมาสะอาดบริสุทธิ์มาจนถึงบัดนี้ แม้แต่เรื่องสตางค์ อาตมาก็ไม่ได้มีเรื่องที่จะมาเล่นงานอาตมาได้ เพราะว่าอาตมาชัดเจนในเรื่องของเงินทอง แม้จะมีเงินผ่านมืออาตมา อาตมาก็มีไวยาวัจกร มีผู้รับช่วงอาตมาไม่ได้มานั่งสะสมกอบโกย ไม่เปิดบัญชี ในชีวิตอาตมาเคยมีบัญชีของธนาคารออมสินเท่านั้น บัญชีธนาคารอื่นใดไม่เคยมีเลย อาตมาตอนเป็นฆราวาสก็เริ่มจะเขียนเช็คของธนาคารออมสินเป็นบ้าง นอกนั้นที่จะมีรายละเอียดเช็คแบบนั้นแบบนี้อย่ามาพูดกับอาตมาเสียให้ยากเลยเพราะไม่รู้เรื่องเลย เขามีเช็คหลายแบบ มีแต่ซื่อๆ เช็คคือใบแทนเงิน แล้วเฉพาะธนาคารออมสินเท่านั้น นอกนั้นอาตมาไม่รู้เรื่องเลย
เรื่องเงินสดอาตมาไม่เอามาแบก ให้มันหนัก มันเป็นภาระนะ เงินหรือธนบัตรนี่นะ คนเรานี้ แม้แต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ คุณเดินไป ถ้าเห็นแบงค์ร้อยตก คุณก็เก็บ คุณเห็นเหล็กก็ตามเห็นไม้ก็ตาม มันราคาแพงกว่าร้อยก็มี เป็นพันเป็นหมื่นก็มี แต่คุณไม่เก็บเลย ดีไม่ดี ควรจะดูแลเอามาให้ไว้เป็นที่เป็นทางเป็นของส่วนกลาง ยังไม่ค่อยจะดูแลรักษา แต่ถ้าเป็นธนบัตร 100 บาทคุณก็จะเก็บ นี่เป็นความซับซ้อนของความรู้สึกของคน มันเป็นภาระ
ธนบัตรนี่ ตอนนี้อาตมาเรียกว่ากระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
เชิงคำว่า กระดาษชำระนี้เขา ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าใช้ชำระอะไรอย่างหนึ่ง มันก็เป็นของทิ้งจริงๆเลย ไม่ควรจะต้องเก็บ แต่มันชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเท่านั้นเอง นี่คือภาษาที่เป็นสาระ เป็นสิ่งแทนอันหนึ่ง ถ้าไม่จำเป็นไร้ความจำเป็นอะไรมากมาย สำหรับตัวเรา เพราะว่าคนอื่นก็อนุเคราะห์เรา จะกินจะใช้ คนอื่นเขาก็ พร้อมที่จะช่วยเหลือ แม้แต่สิ่งที่จะเป็นเรื่องของความต้องการ ที่จะใช้เงินจำนวนนี้ เป็นแสนเป็นล้าน เราก็บอกเขา ก็มีคนช่วยได้ ถ้าเขาเข้าใจแล้วว่าอาตมาประสงค์สิ่งนั้น สิ่งนั้นควรเขาก็ให้มาทั้งนั้นเลย ถ้าเขามี ถ้าเขาไม่มีก็หาทางช่วยกัน
อาตมาพิสูจน์เรื่องนี้ เงินที่จะเข้ามาหาอาตมา โดยที่อาตมาพิสูจน์ตัวเองว่า อาตมาจะไม่เรียกร้อง ไม่และเล็มเลียบเคียงใช้เล่ห์ใช้เลศ ให้คนเอาเงินมาให้ ไม่หาเรื่องจะขายสินค้า จำหน่ายเพื่อจะได้เงินมาอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ต้อง ถ้าใครจะบริจาคเขาก็จะต้องเข้าใจอาตมาว่าควรบริจาคให้ อย่างไว้ใจอย่างที่เห็นประโยชน์ว่า ให้อาตมาแล้วจะเอาไปทำประโยชน์ต่อศาสนากับสิ่งที่ควรอย่างแท้จริง อาตมาได้พิสูจน์เรื่องนี้ ว่า อาตมาสบายใจ แม้แต่และเล็มเลียบเคียงหว่านล้อมให้คนมาบริจาค ที่เขาพูดภาษาทางโลกว่าทำบุญแท้ที่จริงไม่ใช่การทำบุญเลยเป็นการบริจาค มาทำทานไม่ได้ทำบุญ แต่ทำบุญประเด็นหลักคือทางปรมัตถ์ ทำบุญคือการล้างกิเลส บุญคืออาวุธฆ่ากิเลสอย่างเดียวด้วย อธิบายยังไม่จบสิ้นในเรื่องของคำว่าบุญ เป็นคำยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนาพุทธ
อาตมาถึงเปิดคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรว่า “เปิดยุคบุญนิยม” ยังไม่ปิดคอลัมน์เลยยังขยายความต่อไปนี้ จะอธิบายต่อไป ติดตามดีๆแล้วกัน แล้วขอยืนยันด้วยว่า ไม่มีใครจะสามารถอธิบายคำว่าบุญได้ถูกต้องอย่างอาตมาเด็ดขาด ในยุคนี้ ไม่มี แม้จะอธิบายตามอาตมา ก็อธิบายไม่ได้หมดหรือมากเท่ากับอาตมาหรอก เพราะมีเงื่อนไข มีนัยยะมีมิติต่างๆ ละเอียดลออมากเหลือเกิน
จนแม้แต่ว่าบุญนี้เกิดในปัจจุบันและในขณะนั้นด้วยผ่านปัจจุบันก็ไม่มีบุญเกิดขึ้นเลย คุณจะต้องสร้างพลังงานที่เรียกว่าเป็นพลังงานบุญต้องมีปัญญา แล้วบุญก็ไม่ต้องไปรู้อะไรมากนอกจากรู้กิเลส รู้เรื่องกิเลส กิเลสของเราในขณะเคลื่อนปัจจุบันนั้นด้วย อ่านให้ออก ถ้าหากอ่านออก ก็คือปัญญาที่จะทำบุญจัดการฆ่า ฆ่าด้วยพลังงาน ฆ่าด้วยฌาน ฌานฆ่าสำเร็จก็จบเป็นบุญเลย เสร็จแล้วไม่มาอีก ถ้าหากมันยังมาอีกก็ต้องฆ่าให้ซ้ำอีก แม้มันขาดแล้วเป็นสมุจเฉทยังต้องทำซ้ำเป็นปฏิปัสสัทธิปหาน ทำให้จบ ถึงจะเป็นนิสรณปหาน คือไม่ต้องทำการรบอีกแล้วผ่านปฏิปัสสัทธปหาน ไปถึงนิสรณปหาน นี่คือปหาน 5 เป็นนัยที่ละเอียดลึกซึ้ง
ไม่มีใครอธิบายได้อย่างอาตมาในยุคนี้หรอก ใช้ภาษาง่ายๆมาเป็นการสังสาธยาย
_นักรบธรรม…พ่อครูกล่าวว่า ไม่มีใครที่จะสาธยายธรรมได้ยิ่งกว่านี้อีกแล้ว ผมก็เลยคิดว่า ไปตรงกับที่ว่า กษัตริย์ของกษัตริย์ที่อยู่ในประเทศไทยคือในหลวงรัชกาลที่ 9 แต่พ่อครูเป็นนักบวช เป็นสมณะ เราจะเรียกว่าสมณะเหนือสมณะผมว่าเป็นครูของครูน่าจะตรงกับคำนี้หรือไม่ ยังมีที่พ่อครูกล่าวไปว่า ของที่ตกหล่นมันราคาเป็นร้อยพันหมื่นแสน แล้วพวกเราก็เอามาทำเป็นเศษเหล็กอย่างท่านหินจริงก็พยายามคัดเอาไปใช้ประโยชน์ แต่ถ้าท่านมาเปลี่ยนเป็นของมีค่า
พ่อครูว่า…เป็นพ่อครูไง พ่อของครู ยิ่งกว่าครูของครูอีก ให้คุณเริ่มต้นทำไปด้วยก่อน
_สมณะคิดถูก…เกี่ยวกับเรื่องบุญที่พ่อท่านพูดถึง การที่เรามาฟังธรรมเป็นบุญได้อย่างไรก็คือ พ่อฟังพ่อท่านเทศน์ เราเข้าใจก็เกิดปัญญาเอาไปใช้ตัดกิเลส แล้วการทำงานเป็นบุญได้อย่างไร เวลาเราทำงานไปก็มีผัสสะแล้วเกิดกิเลส เราก็เอาธรรมะที่ฟังจากพ่อครูเทศน์ไปตัดกิเลส อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นบุญ ทีนี้พระข้างนอกสอน อย่างพระพยอม วิธีตัดกิเลสก็บอกว่า โกรธคือโง่โมโหคือบ้า คนเอาไปใช้ก็สามารถตัดกิเลสได้ อย่างนี้ก็สามารถเป็นบุญใช่ไหม?
พ่อครูว่า..มันลึกถึงสภาวะ คุณจะใช้ภาษาว่า โกรธคือโง่โมโหคือบ้า คนก็เลยหยุดความโกรธได้ การหยุดความโกรธนั้น ถ้าไม่มีตัวรู้ที่รู้ลึกซึ้งเข้าไปถึงปัญญา เป็นแต่เพียงใช้คาถาว่า โกรธคือโง่โมโหคือบ้า แล้วก็เอามา ข่ม ให้มันหยุดโกรธก็ทำได้เป็น วิกขัมภนะ ประเภทสมถะ ไม่ใช่ปัสสัทธิ เป็นการสงบด้วยการข่ม แต่ข่มช่วย
และปฏิบัติธรรมะของพุทธจะมีตัวข่มด้วยนะ แต่จริงๆคือตัวปัญญามันจะชัดเจน ตัวข่มคือตัวช่วยเล็กๆน้อยๆ มันจะมีอยู่ด้วยก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่ถ้าไม่ข่มเลย มีปัญญาแหลมคมมีพลังงานตัวมันเอง ไปลดกิเลสฆ่ากิเลสได้ ยิ่งเป็นบุญที่บริสุทธิ์เลย
ถ้าเป็นบุญมันจะต้องมีปัญญาเป็นตัวฆ่าไม่ใช่ตัวข่ม ต้องปัญญาเป็นตัวต้องมีกิเลสหยุดไป ไม่ใช่ข่มให้กิเลสหยุด
ปัญญาแค่ตรรกะแล้วทำให้กิเลสระงับ มันหยุดเหมือนกันแต่ไม่ได้เป็นตัวพลังงานปัญญา ต้องรู้ว่าอันนี้เป็นพลังงานปัญญาหรือใช้คาถา บัญญัติคาถาไปข่ม
ถ้าแยกคาถาแค่บัญญัติภาษากับสภาวะที่เป็นปรมัตถธรรม เป็นเนื้อแท้ของจิตเจตสิกเลย ถ้าแยกอันนี้ไม่ออกเลย คนนี้ไม่สามารถปฏิบัติธรรมให้บรรลุพระอรหันต์ได้ ก็ได้แต่กดข่ม เรื่องกดข่มเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลย คนธรรมดาธรรมชาติก็ทำอย่างสมถะอยู่แล้ว จนหลงสมถะว่าเป็นผล ที่อาตมาต้องแรงต้องตีแตก เพราะเป็นสมถะทั้งนั้น ไม่ได้เข้าใจปัสสัทธิ เรื่องวิเวกเลย เรื่องสันติยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลย
ที่ว่าสมถะ ปัสสัทธิ วิเวก สันติ ก็เป็นความสงบทั้งนั้นแต่มีความต่างกันมีความหมายต่างกัน ผู้ที่ศึกษาดีๆแล้วก็จะรู้ว่าอันนี้พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าสันติ อันนี้ใช้คำว่าวิเวก อันนี้ใช้คำว่าสมถะ อันนี้ใช้คำว่าปัสสัทธิ ซึ่งภาษาไทยมันตื้นได้แค่คำว่าสงบ คำเดียว แต่บภาษาบาลีละเอียดถึงสภาวธรรมเยอะแยะ ที่จริงมีรายละเอียดเยอะกว่านี้อีก คำว่าสงบ แม้แต่คำว่าสมณะก็แปลว่าสงบ สันตุฏฐิก็แปลว่าสงบเช่นกัน
_คำถามนี้เป็นสิ่งที่ค้างคาใจของใครหลายคน คำถามว่า ทำไมที่ บ้านราชฯเราถึงชอบอนุเคราะห์ช่วยเหลือคนที่จิตไม่ปกติหรือแนวบ้าๆคะหลวงปู่ ?
พ่อครูว่า.. ใครหนอ เป็นคนลักษณะพวกนี้ คำว่า จิตไม่ปกติหรือบ้า คนที่คิดไม่เหมือนคนอื่นคนที่ยึดถือไม่เหมือนคนอื่น ยึดถือไปแล้วก็จมอยู่ในอัตตา คนนี้บ้าแน่นอน ยึดถือความเห็นยึดถือความเข้าใจแล้วก็อยู่กับหมู่ แล้วยึดถือทิฏฐิตัวเองอันนี้เป็นอัตตามานะ แต่ก็พูดเรื่องอื่นกับคนอื่นรู้เรื่องอยู่แต่เรื่องที่ตนเองยึดถือก็พูดไม่รู้เรื่องแม้แต่หมู่ใหญ่ก็จะเห็นเป็นเช่นนี้ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามหมู่ใหญ่ จะขวางโลก ขวางลำอย่างนี้ คนนี้ถ้าทำอะไรผิดแปลกไปมากมันก็ดูแปลกจริงๆ ก็ต้องให้เขาเรียกว่าบ้า ประมาณมีความพิลึกวิตถาร บ้าบอไม่เหมือนหมู่ มันไม่กลมกลืน มันไม่อยู่ในลักษณะที่เป็นหนึ่งเดียว มันมีตัวแตก ตัวแปลกแตกต่าง เพราะฉะนั้น นี่แหละคือความวิตถารลชนิดหนึ่งของคนที่เขาเรียกว่าศิลปิน ซึ่งมันไม่ใช่มันเป็นการหาความแปลกแตกต่าง แล้วก็ ซ้อนเป็นกิเลส เป็นอัตตาฉัน ว่าฉันต้องมีเอกลักษณ์ มีสิ่งแปลกส่วนตัวที่ไม่เหมือนใครนี่เป็นประเด็นใหญ่ ที่พวกที่ไม่ใช่ศิลปะหรอก เป็นศิลเปรอะเลอะเทอะ เขาเอาแค่นี้มาซะ ประเด็นของศิลปะนั้นไม่ใช่ไม่เหมือนใครเท่านั้น
มันไม่เหมือนใครคือไม่เหมือนกับโลกที่เขาเป็นกัน ไม่ใช่เป็นโลกจินตาคิดให้แปลกเท่านั้น แต่ไม่เหมือนใครที่เป็นของศาสนาพุทธที่ไม่ใช่เรื่องบ้าคือ ไม่เหมือนใครก็คือ โลกุตรจิตอย่างเดียวเท่านั้น
โลกุตระจิตคือ รู้กิเลส ทำให้กิเลสลดหมดได้ นอกนั้นไม่ใช่เลยอันนี้แหละเป็นเรื่องของจิต อัญญธาตุ เป็นความหลุดพ้นเป็นปัญญาธาตุรู้ ไม่ใช่โลกียะ ที่เป็นธาตุรู้ของปุถุชนทุกคนหมุนอยู่ในความดีความชั่ว จะเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สวยงามสูงส่ง ลาภยศสรรเสริญมาก แม้แต่แปลกมากๆ แปลกประหลาดมากๆก็อยู่ในโลกีย์
แปลกประหลาดของโลกุตระก็มีเรื่องจิตที่นอกจากโลกธรรม ไปเท่านั้น เป็นจิตอื่นที่แยกโลกียะออกจากโลกโลกุตระได้ นอกนั้นยังเป็นความแปลกที่เป็นโลกียะบ้าบอทั้งสิ้น
_ส.คิดถูกว่า…สรุปคือคนมีจิตยังไม่ปกติเท่านั้นเอง
-
พ่อครูว่า…คุณเอาปกติ กับบ้า มาคู่กัน ผมก็นิยามให้ฟังว่า บ้าคือความแปลกที่อยู่ในโลกียะ ถ้าแปลกคือมีจิตมีปัญญารู้กิเลส แล้วทำให้กิเลสลด รู้จักตัวกิเลส คือสักกายะ เรามีธาตุรู้ที่ไปรู้ตัวกิเลส ตัวตนอัตตาก็คือตัวจับได้ยังไม่สงสัยพ้นวิจิกิจฉา นี่คืออาการของกิเลสตัวตนของกิเลสมันไม่มีรูปร่าง มันมีอาการ เรากำหนดหมายรู้เองว่า อาการอย่างนี้ไม่มีสีสันรูปร่างแต่เป็นอาการของจิต อย่างไม่ผิดเพี้ยนไม่ไปละเมิดอะไรเลยพ้นวิจิกิจฉา แล้วคุณก็มีทฤษฎีเรียกว่าศีลพรต หรือสัมปทาวิธีการให้กิเลสลดด้วยวิปัสสนาวิธีวิปัสสนาญาณนั่นแหละคุณก็ทำ ถ้าคนไม่ได้ทำ รู้ทฤษฎี ศีลพรตแต่ไม่เอาจริงก็เรียกว่า สีลัพพตปรามาส
อาจเป็นโสดาปัตติมรรค พ้นสังโยชน์3 แต่ไม่เอาจริง เล่นหัวกิเลสอยู่ ต้องเอาจริงให้กิเลสลดได้ ลดได้เข้าข่ายโสดาบัน แต่ถ้าลดหมดก็เป็นพระอรหันต์
_ส.คิดถูก…คนบ้า เราชอบเรียกคนไม่ปกติว่าคนบ้า แต่ถ้าคนบ้านี้ตั้งใจปฏิบัติให้จริงจะสามารถบรรลุธรรมหรือไม่
พ่อครูว่า…ก็ได้ ถ้าบ้านี้ ไม่ทำให้เกิดเดือดร้อนอะไรมากมายก็อยู่ไปเถอะ บ้าคือพิลึกพิเรนไม่ทำให้เดือดร้อนอะไร ท่านก็ให้อยู่ในอธิกรณสมถะ5 อมูฬหวินัย แม้กฎหมายทางโลกก็ยังอนุโลมให้คนบ้าเลย คือการบ้าที่ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ใคร แม้แต่เดือดร้อนที่สุดถึงขั้นฆ่าคน กฎหมายก็ยังพิจารณาสิ่งแวดล้อมแล้วปล่อยไป ให้มันบ้าอยู่ในที่กว้างดีกว่าดีกว่าขังในที่แคบ ก็อธิกรณสมถะ อมูฬหวินัยก็ยกไว้ไม่เอาโทษกับคนบ้า
_สีดิน…ตอนอยู่ปฐมอโศก ทีนี้พอมาอยู่บ้านราชฯก็เห็นวัฒนธรรมภาษาท้องถิ่นอีสาน รู้สึกว่า ดูแล้วนุ่มนวลดี อ่อนโยนดี แล้วก็ลึกซึ้ง พ่อครูเทศน์บ่อยๆว่าที่พ่อครูว่า อักษรทุกตัวมีความหมายและจะมีสภาวะทุกตัวอักษร ดิฉันก็ตีไม่ออกว่า ความหมายกับสภาวะมันแตกต่างกันอย่างไร ?
พ่อครูว่า…ความหมายก็คือบอกว่ามันเป็นความเข้าใจ ว่า มันเป็นอย่างนี้ๆนะ แล้วมันต้องเป็น ถ้ากายกรรมก็ต้องเป็นอย่างนี้ที่ว่า กายกรรมคือกระทำออกมาเห็นความเคลื่อนไหว ของดินน้ำไฟลมสรีระภายนอก พูดด้วย จิตด้วย ทั้งสามอย่าง จิตเป็นประธานแล้วก็ออกมาเป็นการเคลื่อนไหว กายวิญญัติ วจีวิญญัติ นี่ถือว่าเป็นสภาวะเคลื่อนไหว ภาษาบอกว่าอย่างนี้นะ เช่นซ้อนในกายวิญญัติ แต่ซ้อนในท่าทาง ขณะนี้อาตมามีทั้งกายกรรมวจีกรรมและมีจิต- มโนเป็นประธาน เป็นตัวปัญญาเป็นประธานที่พูดออกมาอย่างนี้
-
สภาวะนี่แหละเข้าใจยากสภาวะกับบัญญัติ นี่แหละที่สุดแห่งที่สุด สภาวะกับบัญญัติภาษา สลับซับซ้อนกันอยู่ไม่ได้ลงตัวกันง่ายๆเลยจึงเรียกว่าสิริมหามายา ก็ให้ชัดเลย อาตมาพูดอยู่ตอนนี้หมายถึงตัวไหนแน่ ประเดี๋ยวมันก็เป็นคำนี้ป่ะเดี๋ยวก็เป็นอันนี้คงต้องตามให้ทัน จิตของคนจะต้องสร้างจิตตัว มุทุภูตธาตุ จิตที่ต้องมีความไว ไหวเร็วไว มีความฉลาดไหวพริบเร็วไว และไม่ได้หมายถึงแค่ความฉลาดไหวพริบ หมายถึงจิตใจก็ทำได้ด้วย มุทุมีสองนัย จิตทำได้ด้วย แค่รู้ไวเป็นปัญญา ถ้าทำได้ด้วย จิตที่ทำได้เลยเป็นเจโต จิต จิตวิมุติ เจโตวิมุติกับปัญญาวิมุติถือว่าครบสอง สูงสุดของวิมุติต้องมี 2 ถ้าเอาแต่เจโตวิมุติ พระพุทธเจ้าไม่ยอมรับว่าเป็นอรหันต์ แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุติ พระพุทธเจ้านับว่าเป็นพระอรหันต์ ต้องมีปัญญานำศาสนาพุทธต้องมีปัญญานำ พุทธแปลว่าผู้รู้ ศาสนาพุทธ ถ้ามีปัญญานำและปฏิบัติตามไปได้เรื่อยๆ
_สีดิน…กรณีที่ลูกๆไปหาพ่อครูไปขอชื่อ แต่ละชื่อกว่าจะได้ก็น่าจะยาก หากเราเอาไปเป็นกรรมฐานในการลดกิเลส เราอักษรตรงนั้นไปปฏิบัติธรรมให้จริงบรรลุธรรมได้ด้วยเหมือนกัน
พ่อครูว่า…ได้สิ หากคุณเข้าใจสภาวะในอักษรพวกนั้น
_น้ำมนต์..ทำอย่างไรหนูจะหายทุกข์ คะหลวงปู่ ?
พ่อครูว่า…คำถามของเด็กหญิงน้ำมนต์อายุ 7 ขวบ ทำอย่างไรจะหายทุกข์ เราก็ต้องรู้ของเราเองเสียก่อนว่าทุกข์คืออะไร ทุกข์คือความลำบาก ทุกข์คือความยาก ทุกข์คือความไม่ขยัน ทุกข์คือความขี้เกียจ..เราก็ต้องรู้ให้ได้ว่าอย่างนี้คือความขี้เกียจ อย่างนี้คือความไม่ขยันอย่างนี้ยากลำบากเป็นทุกข์ แต่ความทุกข์นี้ ถ้าเป็นความยากลำบากถ้าจะทำงานก็ต้องไม่ขี้เกียจ มันถึงจะไม่ทุกข์ ถ้าหากขี้เกียจอยู่ก็จะทุกข์ ถ้าไม่ทำให้เก่งไม่ทำให้ชำนาญมันก็จะยาก ถ้าสิ่งไหนทำให้ชำนาญแล้วก็จะง่าย
เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่จมอยู่กับความลำบากความยาก เพราะมันก็ยากลำบากทำอะไรไม่ได้แล้วยิ่งขี้เกียจไม่ฝึกไม่ทำเลยก็เลยทำไม่ได้สักที ก็จะมีแต่ทุกข์ เพราะความยากเป็นทุกข์ความลำบากเป็นทุกข์ความขี้เกียจเป็นทุกข์ เอาแค่นี้ก่อนนะ ถ้าเข้าใจอันนี้แล้วก็ฝึกฝนปฏิบัติไป
_ส.คิดถูก…วันก่อน เห็นเขาเดินตามเพื่อนไม่ทันก็ร้องไห้คิดว่าเขาก็น่าจะทุกข์
พ่อครูว่า…อธิบายหลายอันเดี๋ยวจะสับสนเดี๋ยวจะยาวไป
_อุบาสิกา รินอุรา…การทำงานที่ต้องสัมพันธ์กับคนภายนอก ในบางครั้งคนนอกเขาไม่เข้าใจ เขาถามว่าทำไมพวกเราถึงถกเถียง แล้วก็กล้าจะเถียงกับพ่อท่าน เราจะตอบอย่างไร ซึ่งสำนักอื่น เขาไม่เถียง
พ่อครูว่า…ก็ตอบว่า อาตมาให้เกียรติแก่ทุกคน ใครเขาจะเถียงก็เถียงเลยอาตมาไม่ว่าอะไร อาตมาไม่ได้เป็นคนมีตัวตนหรือถือตัวว่าแตะไม่ได้เถียงไม่ได้ อาตมาเห็นเลยว่า ถ้าไม่กล้าเถียง มันจะไม่ทะลุปรุโปร่ง แต่ที่จริงเถียงก็คือแย้ง ยังไม่เข้าใจยังไม่เห็นด้วย คนกล้าแย้ง ดี แต่ถ้าคนที่มีความลึกซ้อนเข้าไปอีก เถียง ก็แย้ง เพื่อเอาชนะคะคานแล้วยึดมั่นถือมั่นถ้าอย่างนี้ไม่มีปัญหาสำหรับอาตมา อาตมาจะรู้ พอแย้งเถียงไปสักพัก ก็จะรู้ว่าเขายึดมั่นถือมั่น เถียงไปก็เสียเวลาอาตมาก็ตัดบทว่าคุณเห็นเช่นนั้นก็เรื่องของความเห็นคุณ ส่วนของเราก็คือของเรา เรียกว่าเป็นนานาสังวาส ต่างคนต่างยืนอยู่คนละขั้ว ก็เป็นเพื่อนกันร่วมกันในสิ่งที่ร่วมได้ความเป็นไปได้เราก็ทำร่วมกัน อะไรที่ร่วมกันไม่ได้ก็ต่างคนต่างทำ ก็จบ ก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ศาสนาพุทธแม้เป็นชาวพุทธด้วยกันก็มีความเป็นนานาสังวาสได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
_สมณะคิดถูก …อย่าว่าแต่พวกเราเลย แม้แต่คนนอกที่เขาว่ามาก็เอามาอ่านให้พวกเราฟัง แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่ค่อยกล้าเถียง
พ่อครูว่า…แม้กล้าเถียงหรือกล้าผ่าอย่างอาตมานี่ มันเป็นความต้องการ อย่างอาตมาต้องการให้เขาเข้าใจต้องการให้เขาได้รับสิ่งที่อาตมาเสนอ ส่วนเถียงนี่ต้องการรู้ทะลุปรุโปร่ง หรือ ถ้าไม่ดีคือเอาชนะคะคาน เป็นอัตตามานะ คนนี้ถ้าเถียงไปพอสมควรเริ่มตะแบงแล้ว เราเห็นว่าคนนี้เริ่มออกนอกกรอบไม่ได้เรื่องมีอะไรมาปนเปเราก็จะจบ จบด้วยการตกลง คุณเห็นของคุณแบบนั้นคุณก็ทำของคุณไป นี่เป็นเครื่องตัดสินสูงสุด นานาสังวาส จบที่ว่า เมื่อเห็นคนละอย่างแล้วต่างคนก็ต่างทำอย่างที่แต่ละคนเชื่อก็ต้องให้เกียรติเขาว่าเขาทำถูก เราเชื่อของเราว่าถูกเขาก็แย้งกับเรา มันแย้งกันอย่างถาวรแล้วมันจะเป็นนิรันดรต่อไปก็แล้วแต่ จนกระทั่งเราปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว เขาก็ยังเห็นของเขาอย่างนั้นอยู่ก็ช่วยไม่ได้ ของเรามีที่ไปที่มามีความจบมีอรหัตผล ของเรามี ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ชัดเจนมีรายละเอียดรองรับ เมื่อเราปรินิพพานเป็นปริโยสานนี้เป็นสุดยอดที่สุดเลยในมูลสูตร 10
ปรินิพพานเป็นปริโยสาน พระอรหันต์ก็ใช้คำว่าปรินิพพาน แปลคำว่า ปริโยสาน ไม่ค่อยมีคนเอามาพูด อาตมาเห็นในมูลสูตร 10 ก็เอามาพูด ปริโยสาน คือจบแล้ว อวสานจบเด็ดขาดไม่มีรื้อฟื้นอีกเลย
นิพพานอย่างอรหันต์ก็มีนิพพาน หรือแม้แต่โสดาบันก็มีนิพพานแต่ละเรื่องของตนไปได้
พยัญชนะที่สุดแห่งที่สุด ปรินิพพานเป็นปริโยสาน พูดเล่นกับใครไม่ได้มีหนึ่งเดียว เป็นคำสุดท้าย มูลสูตรคือเค้าเงื่อน ต้นกับปลายไม่เหลือแล้ว มูลนี้คือต้น
ผู้ที่เป็นอมตะ วิมุติ คือระดับอรหัตตผลแล้ว ในมูลสูตรข้อที่ 8 มีวิมุติเป็นแก่นสารเป็นสาระ คนที่มีวิมุติเป็นคนที่หลุดพ้นบรรลุธรรมแล้ว แล้วมีวิมุติมากพอ จบเลยเป็นอรหันต์ ก็เป็นอมตะ
ถ้าพากเพียรไปอีก คุณก็เป็นโพธิสัตว์ แต่ถ้าเป็นอรหันต์แล้วไม่ต่อภพภูมิอีก คุณก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสานสุดท้ายไปได้ แต่ถ้าไม่ จะต่อภพภูมิอีก อย่างอาตมานี้จะต่อ บางคนให้เกียรติว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 แล้ว ก็ไม่มีปัญหาหากภูมิธรรมถึงแล้ว ไม่เป็นก็ยังไม่เป็น ถ้าหากไม่เป็นแล้วเราก็หลงตัวเองว่าเป็นอย่างนี้ซวย แต่ถ้าเราเป็นแล้วใครจะว่าไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ให้มันมีสภาวะจริง แม้แต่ในมูลสูตร 10
ขออธิบายมูลสูตร 10 เพื่อเสริมหนุนว่า การนั่งหลับตามีผัสสะเป็นปัจจัยปฏิบัติธรรมไม่อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย เป็นสวากขาตธรรม ที่ท่านตรัสไว้ดีแล้ว
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) .ถ้าหากเสแสร้งมาทำไม่สำเร็จหรอกต้องมีความยินดีพอใจที่จะมาเรียนรู้ปฏิบัติ จนเข้าใจถึงการมนสิการ
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) เขาไปแปลโยนิโสว่าถ่องแท้แยบคาย แต่เอามนสิการไปแปลเป็นโยนิโสก็เลยเพี้ยน มนสิการในมูลสูตรยังไม่มีโยนิโส นะ
มนสิการแปลว่า การทำใจในใจ จะจัดการใจให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ให้เป็นพลังงานบุญชำระกิเลส หรือจะทำใจของเราให้สบายทำใจของเราให้เป็นทุกข์ เป็นสุข ให้มีปัญญาให้มีความเฉลียวฉลาดอะไรก็แล้วแต่คุณก็จัดการทำใจคุณเพื่อการปฏิบัติธรรม ทำมโนกรรมของคุณให้เกิดเป็น หากทำใจในใจไม่เป็น ปฏิบัติธรรมยังไม่ได้หรอก หรือแม้แต่ทำใจในใจ จะเป็นความมิจฉาทิฏฐิ เช่น จะทำความสงบให้แก่ใจก็ไปนั่งสะกดจิตให้สงบ แต่มันเป็นสมถะสงบอย่างนอกรีตไม่ใช่ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเลย ก็เป็นการทำใจในใจเหมือนกันแต่มันยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่างนี้เป็นต้น เพราะว่ามันไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยในข้อที่ 3 ของมูลสูตร
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) ผัสสะคือต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ที่จริงแล้วภายในไม่เรียกว่าเป็นผัสสะ หากไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย เอาแต่เพียงการคิดก็ไม่ถือว่าเป็นผัสสะ หากคิดก็เป็นการ ตักกะ วิตักกะ ตรึก นึกคิด มันก็ได้แต่นึกแต่คิด มันไม่ใช่เรื่องของสภาวะที่เอามาถูกต้องสัมผัสกันเป็นรูปนาม
-
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) ไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา แต่เวทนา ความรู้สึกของคุณอยู่ในภพมันก็ได้ คุณอาจจะปฏิบัติจนกระทั่งกิเลสบางอย่างของคุณในภพดับ จะดวยวิธีใดๆก็ไม่รู้ยกให้ สมมุติว่าดับได้ก็แล้วกัน แม้คุณจะดับได้มันก็แค่ข้างใน 1 ทวาร อีก 5 ทวารคุณก็เป็นสามัญมนุษย์ จิตคุณจะเป็นอย่างนั้นตลอดกาลนาน นิรันดร แล้วก็ไม่รู้ว่าภายนอกคุณดับได้หรือไม่สำเร็จหรือไม่สำเร็จอีกตั้ง 5 ทวาร คุณยกเลิก สรุปเอาแต่ใจเท่านั้นเอง จริง ใจเป็นประธานแต่มันต้องมีองค์ประกอบ กายะ
พระพุทธเจ้าถึงรวมเป็นคำว่าสัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกาย คำนี้จึงยิ่งใหญ่มาก วิโมกข์ 8 ต้องมีทั้งภายนอกภายในทั้ง อัชฌัตตังและพหิทา แต่คุณมีแต่อัชฌัตตังภายใน คือนั่งหลับตามีแต่ภายใน พหิทาคือภายนอกคุณไม่มี ฉะนั้นวิโมกข์ 8 ต้องครบทั้ง 6 ทวาร
อรหันต์แปลว่าเป็นเรื่องไม่ลึกลับ แต่คุณรู้ของคุณคนเดียวคุณบอกว่าคุณบรรลุธรรมเป็นอรหันต์อยู่ในภพ คนอื่นไม่รู้กับคุณเป็นคนที่ 2
ยกตัวอย่างคุณเคี้ยวหมาก ปากเปรอะ อันนี้เป็นสิ่งเสพติดคุณเลิกได้ไหม มันเป็นอาหารหรือมันเป็นยา เป็นยาก็ไม่ใช่ อาหารก็ไม่ใช่และคุณกินอะไร คุณเสพอะไรล่ะ ถึงแม้ว่าเป็นอาหารก็ต้องเป็นมื้อเป็นคราว แต่นี่กินตลอดเวลาต่อเนื่อง คุณบอกว่าไม่ได้อยากหรอกแต่มันต้องกินติดต่อกันมันห้ามไม่ได้ เรียกว่าเป็นการเล่นคารมตีฝีปาก ไม่ได้รู้เลยว่าอันนี้เป็นสิ่งเสพติด แค่หมากพลู ยาดมยาหอม ของตื้นๆก็ยังไม่รู้ ก็ติดยึด แล้วมันจะไปล้างกิเลสอีกอย่างอื่นได้อย่างไร
ขออภัย อย่าว่าแต่มหาบัวกินหมากเลย สายนั่งหลับตากินหมากกันทั้งนั้น ต่อให้เป็นอาจารย์มั่น ต่อให้เป็นอาจารย์เสาร์ที่เป็นอาจารย์ของอาจารย์มั่นอีกที อาจารย์เสาร์ก็อยู่ที่อำเภอพิบูลมังสาหาร รกรากของอาตมา วัดป่า อาตมาก็เคยไป
สรุปแล้วอาตมาไม่ได้ไปเจตนาว่าร้ายใคร ท่านพากเพียรจริงๆ แต่ท่านก็ยังมีอัตตา สมมุติก็ยังหลง เป็นจิตวิญญาณล่องลอย เป็นภิกษุสาติ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)