620605_พิธีน้อมกตัญญูบูชาพ่อครู งานอโศกรำลึก ปี 2562
พ่อครูมารอที่บนเวทีใหญ่ เฮือน บวร เวลา 18.00 น. รอ สมณะ สิกขมาตุ เดินธรรมญาตราจากหลังพระพุทธโตมาที่เวที จากนั้น สมณะกราบพ่อครู ต่อด้วย สิกขมาตุกราบ กรัก ปะ กราบ แล้วญาติธรรมกราบกันตามลำดับ
สมณะเดินดิน..เนื่องในโอกาสครบรอบอายุ 85 ปีของพ่อครู จึงเป็นปีแห่งการกตัญญุตาของลูกๆชาวอโศก พวกเราคงไม่ได้เดินทางแสดงความกตัญญูเพลงวันนี้วันเดียว ตั้งแต่พ่อครูดำริว่าจะไม่เดินทางไปไหนโดยไม่จำเป็น ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ญาติธรรมจึงได้เดินทางมาจัดกิจกรรมที่ ราชธานีอโศกตลอดปี และแต่ละบวรชาวอโศกก็มีกิจกรรมที่มาช่วยกันทำงานเปิดร้านพิสูจน์จิตอาสา ส่งอีกไม่กี่เดือนก็ครบรอบ 1 ปีที่ได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ มหาปวารณาปีที่แล้ว ก็ถือว่าเป็นปีแห่งการเดินทางมาแสดงความกตัญญุตาต่อพ่อครู
กิจกรรมงานแต่ละครั้งพวกเราก็มาทุ่มเทแรงกายแรงใจ ให้เกิดรัตนราชธานีของชาวอโศกเกิดความคืบหน้าได้ดี ก็เป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนา ในความอุตสาหะวิริยะ มากันโดยไม่มีใครรู้สึกว่า เป็นเรื่องลำบากหรือยาวไกล การหมุนเวียนมาที่ร้านจิตอาสาฯ บางคนมาจากภูผาฟ้าน้ำ ทะเลธรรมก็มาจากระยะทางที่ยาวไกล ก็หมุนเวียนกันมาได้ เป็นการพิสูจน์ศรัทธาอันแรงกล้าของพวกเราในการมาช่วยบำเพ็ญ
วันนี้ก็เป็นวันสำคัญของชาวอโศกเป็นวันครบรอบ 85 พรรษาของพ่อครู ถ้าพ่อครูจะให้โอวาทอะไรแก่พวกเราก็ขอนิมนต์
พ่อครูเกริ่นกล่าวก่อนเริ่มพิธี…ก่อนอื่น อาตมาจะพูดอะไรก็พาไหว้พระ ไปถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์กันก่อน …
เจริญธรรมทุกคน วันนี้วันที่ 5 มิถุนายน 2562 เป็นสุริยคติ ถือว่า…(ไฟดับ ทำให้ไมค์ดับไปชั่วครู 1 นาที) เครื่องเทคนิคมันก็ขัดข้องตามประสาที่ไม่เรียบร้อยบริบูรณ์ มีเหตุปัจจัย ที่ขลุกขลักบ้างเป็นธรรมดา คนก็มีเหตุการณ์ขลุกขลักให้เป็นเรื่องที่ไม่ตลอดรอดฝั่งไม่ราบรื่น จะไม่มีอะไรสะดุดเลยก็ไม่มีเป็นธรรมดา และคนเรามีธาตุรู้ รู้จักว่าจะต้องจัดองค์ประกอบของกิจกรรม องค์ประกอบของการทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ แล้วเรียกว่าเป็นพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ สารพัดวิธี พิธี วิธี แปลว่า มากเรื่องมากราว อย่างนั้นอย่างนี้
ก็คนเรารู้จักจัดการประกอบ จัดให้มีคำพูด วิธีคิดวิธีสร้าง สร้างท่าทาง ภาษา จัดหาคำพูดอย่างนั้นอย่างนี้ มีสุ้มเสียงสำเนียงสื่อสารให้รู้มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติโดยมีมโนเป็นตัวสั่งการ มีเจตนาจะให้รู้อย่างนั้นอย่างนี้ โดยมีความคิดว่า ถ้ารู้อย่างนี้เข้าใจอย่างนี้แล้วไปทำอย่างนี้มันจะดี ผู้กระทำแต่ละคนก็เกิดคำกิริยาที่ดีเป็นผลประโยชน์ที่ดีต่อมวลมนุษย์ที่เราอยู่ร่วมกัน จนกระทั่งเป็นผลที่เชื่อมโยงเป็นคลื่นเป็นกระแสต่อไป เป็นลูกโซ่ไปถึงสังคมมวลมนุษย์ทั้งหลาย
มนุษย์มีความรู้มีความคิดความเข้าใจอย่างนี้ จึงเกิดพิธีกรรมก็คำเดียวกับวิธีนี่แหละหลากหลาย ทำกันไปต่างๆนานาสารพัด เป็นวิธีการ พิธีกรรม มนุษย์มีมากมายมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเยอะ บางลัทธิ บางหมู่กลุ่มเขามีพิธีมาก มากจนฟั่นเฝือ กินเวลาเสียเวลา แล้วหลงยึดว่าการทำอย่างนี้จะเกิดประโยชน์เป็นกุศล หรือหลงว่ามีบุญ เข้าใจคำว่าบุญกุศลก็เพี้ยนไปจากความจริง ก็คิดกันว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่ว่าจะเป็นกุศลหรือบุญ
อาตมาได้มาถึงขณะนี้ได้พยายามอธิบายใช้ภาษาคำพูดรากฐานเดิมของพระพุทธเจ้าเช่นคำว่าบุญมันไม่ใช่ความหมายที่เป็นกุศล บุญมีความหมายลึกซึ้งมาก คำว่าบุญเป็นของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้นมาใช้เดี๋ยวนี้มันเพี้ยนไปหมดแล้ว เพี้ยนจนไม่เหลือซาก เพราะคำว่าบุญมีนิยามการกำหนดหมายของคำนี้ละเอียดลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งจนอาตมาอธิบายไปพูดไปมันหมดหรือยัง ในนัยละเอียดของความหมายที่ต้องจำกัดความให้รู้
แล้วพวกเราที่พูดไปแล้วอธิบายไปแล้วจะรับซับซาบได้แค่ไหน จริงๆ คำว่าบุญไม่มีรูปแบบภายนอกที่เป็นพิธีกรรมเลย มีแต่กรรมกิริยาของจิตและปัญญา ปัญญาหรือว่าจิตมันทำงานอย่างนี้ จิตมันจัดการอย่างนี้ แล้วมีอย่างเดียวคือจิตมันทำงานจัดการกับกิเลสขณะนี้เลย สร้างพลังงานที่เป็นอุณหธาตุ เตโชธาตุ มาทางร้อน มาทางไฟ เป็นพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานสูงสุดเลย แล้วมีประสิทธิภาพมีฤทธิ์ สามารถที่จะกระจาย ละลายทำลายพลังงานที่เรียกว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้
ถ้าเผื่อว่าเข้าใจไม่ตรงและไม่สามารถที่จะทำใจในใจที่เรียกว่ามนสิการ หรือมนสิกโรติ(กิริยา) ผู้ที่ทำใจในใจของเราให้เกิดพลังงาน ก่อนจะเป็นบุญหรือพลังงานที่จะสำเร็จบุญ พอประกอบขึ้นมาก็เรียกว่าพลังงาน ฌาน
ฌาน ไม่ได้แปลว่า ไปเพ่ง ไปจดจ่ออยู่ที่อะไรต่ออะไร ไม่ใช่ แต่ฌานมันแปลว่า ไฟ กองเพลิงใหญ่ หรือกองเพลิงวิเศษมากที่สร้างกองเพลิงนี้ได้ พลังงานอุณหธาตุ จะมีฤทธิ์อำนาจสลายเฉพาะกิเลสไม่ไปทำอะไรอย่างอื่นเลย ไม่ไปกระทบกระเทือนอย่างอื่นเลยนอกจากกิเลสอย่างเดียว เพราะฉะนั้นก่อนจะทำลายกิเลส ก็ต้องมี จิตเจตสิกที่เรียกว่าปัญญา หรือความฉลาด
ความฉลาดนี้ประกอบด้วยสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์เป็นหลัก เข้าไปกำหนดให้รู้ว่าพลังงานที่เกิดขึ้นในจิตนี้ แฝงในจิตนี้ คือกิเลส แล้วจึงจัดการกับกิเลส สัญญาจึงเป็นอภิสัญญาจะมีพลังงานนำ เลือกเฟ้นอาการกิเลส มีลิงค นิมิตของกิเลสแล้วจึงจะใช้พลังงานอีกอันหนึ่งเรียกว่า ฌาน สลายกิเลสไป
เมื่อสลายกิเลสได้รวมหมดเรียกว่าบุญ เห็นอาการจางคลายแล้วดับได้ ทำอีกทำอีก ดับได้จนเร็ว จิตมุทุภูตธาตุไวเร็ว สัมผัสอะไรที่เกิดกิเลสก็รู้ทันและเร็ว แล้วก็ใช้พลังงานสร้างอภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร สลายกิเลสได้เร็ว (เสียงดังจากลำโพง) และเร็วยังเป็นอัตโนมัติ เร็วจนเกิดพลังงานที่เป็นตถตา เป็นพลังงานที่มีประสิทธิภาพ กิเลสเข้ามาแตะเมื่อไหร่มีแต่ปัญญารู้ กิเลสทำอะไรจิตเท่าเราไม่ได้เลย มีแต่จิตใจเราที่มีปัญญารู้กิเลสสัมผัสแล้วเราลูบหัวกิเลสได้ หรือจะสามารถบีบหัวกิเลสให้มันตายไปได้ กิเลสมันแพ้ภัยจากจิตใจเราที่มันมีฤทธิ์อำนาจจนกำจัดมันสลายมันให้มันตายไป คาตา อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ที่อาตมาพูดอธิบายให้ฟังไม่ได้เอามาจากตำราเล่มไหนเลย แต่เอามาจากที่ตัวเองได้เกิดได้เป็นได้ฝึกฝน ถ้ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาในตัวเองแล้วเอามาอธิบายให้ฟัง เป็นของสิ่งที่ตัวเองมีจึงเอามาพูดมาอธิบายไม่ได้เอามาจากตำราหรือเอามาจากใคร ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งในศาสนาพระพุทธเจ้า รู้จักกิเลสแล้วทำลายกิเลสได้ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว เมื่อกิเลสหมดแล้วก็อยู่กับโลกอย่างมีโลกะวิทู แล้วมีโลกุตระ โลกวิทู รู้เท่าทันโลก โลกคือสิ่งที่ปรุงแต่งกัน จะปรุงแต่งกันเล็กน้อยจนถึงใหญ่เป็น ลูกโลก เป็นจักรวาลก็เป็นเหตุปัจจัยร่วมกันสังเคราะห์สังขารการเกี่ยวข้องกัน มีอุตุธาตุ มีทั้งบางสิ่งบางอย่าง เป็นพีชนิยาม บางสิ่งบางอย่างก็เป็นพลังงานจิตนิยามซึ่งล้วนแล้วแต่ ถ้าเป็นจิตนิยามันจะรู้ว่า พลังงานจิตนิยามเป็นตัวการ ตัวบงการให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ เช่นนั้นเช่นนี้
ถ้าพลังงานนั้นเป็นตัวกิเลสเป็นตัวยิ่งใหญ่ ทางศาสนาเทวนิยมเรียกว่าซาตาน เป็นมารยิ่งใหญ่ มันก็จะเอามาเพื่อเป็นของตัวของตน หรือให้สลายตามอำนาจความปรารถนาของตน ไม่เอามาเป็นของตนแต่ปรารถนาจะทำลาย จะทำให้มันหายไปจากโลกสลายไป ก็เป็นพลังงาน ผลัก กับพลังงานดูด มีสองปลายสองขั้วนี้อยู่
ความสําคัญของพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ ผู้ที่สามารถรู้จักกิเลสตนเอง แล้วก็ทำกิเลสของตนเองให้หาย ให้หมดไป ได้จริง คนนี้เป็นคนที่ไม่มีภัยไม่มีโทษ เป็นผู้มีโลกวิทู รู้จักอนุโลมปฏิโลมกับโลกเขาแล้ว อยู่กับพวกเขายังสร้างสรรค์มีประโยชน์ไม่ทำอะไรที่เป็นพิษภัย และไม่มีตัวมีตนไม่เป็นของตัวของตน มีชีวิตอยู่มีกรรมกิริยาการงานก็ทำไปให้เกิดผลผลิต ให้เกิดผลงานตามแรงงานเกิดผลผลิตตามแรงงาน เราเองต้องกินต้องใช้ บางทีเราไม่ได้ทำโดยตรง อย่างอาตมาไม่ได้สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารมากินไม่ได้สร้างวัตถุมาใช้ อาตมาก็อาศัยกินใช้ แต่อาตมาทำงานถ่ายทอดความจริง หรือคนอื่นก็ทำงานอื่นที่ตนเองถนัดโดยไม่ได้มาทำสิ่งกินใช้หรอก ก็ทำงานนั้นที่จะเป็นประโยชน์ให้แก่คนอื่นที่ต้องอาศัยด้วย ก็แบ่งหน้าที่แบ่งงานกันทำตามที่จะเป็นประโยชน์คุณค่า
คนไม่รู้ อวิชชาก็เอาพลังงานไปสร้างสิ่งที่ไม่ดีเช่นเอาไปสร้างอาวุธ สร้างอาวุธนี้เลวร้ายที่สุดคนคิดสร้างอาวุธคือสร้างสิ่งที่มาฆ่าคน จุดมุ่งหมายคือเอามาฆ่าคนเป็นความคิดที่อำมหิตโหดร้ายที่สุด บาปมากที่สุดคนสร้างอาวุธ เพราะอาวุธไม่ใช่เครื่องมือฆ่าสัตว์แต่ไปฆ่าสัตว์ได้ แต่จริงๆแล้วเจตนาคือสร้างมาฆ่าคน หากเราไปสร้างเป็นสิ่งแวดล้อมสร้างองค์ประกอบที่เกี่ยวกับคนสร้างที่อยู่อาศัย หากมีอาวุธก็ไปทำลายเกลี้ยงอันนี้คือความอำมหิตโหดร้าย ของคนที่เขาไม่เข้าใจไม่รู้ว่าเขาทำขึ้นมาเขาก็เป็นตัวต้นทาง ที่เขาเป็นเจ้าของอาวุธเอาไปฆ่าคน เขาก็ได้บาปไปตั้งต้นแล้ว เขาไม่รู้บุญไม่รู้บาปไม่รู้กรรมวิบาก
สังคมใดที่เลิกไปทำงานที่เลวร้ายแล้ว ก็เอาพลังงานแรงงานเอาเวลา เอาความรู้ความสามารถ มาทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ชาวอโศกไม่ไปสร้างอาวุธได้เลวร้าย อาวุธเป็นสิ่งเลวร้าย สิ่งที่มาทำร้ายเป็นพิษเป็นภัยอย่างอื่นก็ตาม เป็นพิษเป็นภัยต่อสัตว์โลกต่อมนุษย์ เรามีปฏิภาณความรู้ สิ่งที่มอมเมาสิ่งเลวร้ายเป็นพิษ เราก็ไม่ไปสร้าง เราจะสร้างแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ที่เอาไปใช้อาศัยให้ชีวิตเป็นอยู่สุขเป็นอยู่แข็งแรงมีประสิทธิภาพ พี่จะมีความรู้มีสมรรถนะมีกำลังวังชา ที่จะสร้างสรรขึ้นมาให้แก่โลก ให้แก่มนุษย์ด้วยกันให้แก่สัตว์ให้แก่พืชให้แก่ดินน้ำไฟลม
อาตมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าได้เรียนรู้ความรู้นี้มาก็นำความรู้นี้มาถ่ายทอดให้แก่พวกเรา พาพวกเราทำอย่างนี้จนกระทั่งกลายเป็นชุมชน ชุมชนอโศก โรงเรือน บวร อยู่ในที่รวมอาณาบริเวณ 11 ไร่ที่จะอาศัยใช้สอย เจตนาอาตมาสั่งเพื่อมีเจตนาให้คนมาอาศัยใช้สอยไม่ได้สร้างด้วยเจตนาหากำไรเอาเปรียบซื้อขายไม่มีจิตตัวนี้เลย แต่สร้างมาเพื่อให้คนใครก็ได้ที่จะมาร่วมกับเราได้ในกายกรรมวจีกรรม ไม่ทำสิ่งที่พวกเราถือว่าเป็นกรรมที่ไม่ดีเช่น เข้ามาไม่มีศีล มีอบายมุขต่างๆ หรือมาแค่มามีพฤติกรรมกินเนื้อสัตว์เสพติดสิ่งมอมเมาเป็นพิษเป็นภัย เราเรียกว่า 4 ห้าม 3 ต้องที่เป็นหลักเกณฑ์ของเรา อาคารนี้ใครมาก็ไม่มี 4 ห้าม แต่ต้องทำ 3 ต้องทำนี้ คนก็เข้ามาใช้อาคารนี้ได้ไม่ต้องเสียตังค์ ใช้ไฟใช้น้ำในนี้ก็ไม่เคยคิด คนของข้างนอก คนทั่วไป ไม่ใช่ชาวอโศก เขาไม่เคยคิดว่ามาที่นี่จะมาขาย 1 คนก็ยังไม่มามาก 2 เขาไม่เชื่อว่าเราจะให้เขามาขายฟรีได้ มีโรงเรือนขนาดนี้มีด้วยหรือโลกนี้มีคนมีใจเสียสละเอื้อเฟื้อเกื้อกูลขนาดนี้เขาไม่เชื่อ ทุกวันนี้เขาไม่เชื่อ
ตอนนี้ก็มีคนลองเข้ามาทำดู คนก็ไม่ค่อยมามากเท่าไหร่ยังไม่จอแจ มีคนซื้อหาอุดหนุนบ้าง 3 ระแวง ว่า พวกนี้จะตลบหลังหรือไม่ ให้มาใช้ฟรีโดยไม่ได้คิดเอาอะไร มันจะมีไม้ตลบหลังอะไร ลึกๆเขาจะมีเรื่องนี้ คนไม่คิดระแวงเขาก็มา คนที่มีระแวงเขาไม่กล้ามา พวกนี้แล้วดูสิ มันบอกว่าพวกนี้มันบอกว่ามันเป็นคนจนแล้วคนจนจะสร้างอะไรใหญ่โตขนาดนี้ จนแล้วให้ฟรี จนแล้วต้องอาศัยกินใช้บ้างสิจนแล้วจะเอาอะไรมาให้อย่างน้อยก็ค่าน้ำค่าไฟ แล้วมันจะมาให้ฟรีมีหรือในโลกมนุษย์นี้ เขาไม่เชื่อ
จะว่าไปแล้วที่อาตมาสร้างเรียกว่าตลาด เจตนาให้ขายอาหารสดด้านหนึ่งอีกด้านให้เป็นขายของแห้ง หรือข้างบนจะใช้เป็นที่อะไรต่างๆก็ได้ แต่ที่ใช้มากที่สุดคือใช้เป็นที่จอดรถ ถ้ามันอยู่ที่ใกล้ๆเต็มหมดแล้ว มันห่างไกลหน่อย
มนุษย์เกิดมาแล้วไม่มีอะไรดีกว่าเราได้เกื้อกูลได้ให้อะไรแก่กันและกัน จบแล้ว อย่างในบารมี 10ทัศ มีคำว่า ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ขันติ สัจจะ อธิษฐาน จนถึงสุดท้ายเมตตาอุเบกขา ในบารมี 10 ทัศ
จะปฏิบัติศีลก็เพื่อให้เราเป็นผู้ให้ จะไปเนกขัมมะ ก็เพื่อปฏิบัติให้ตนเองมีลดกิเลส เนกขัมมะคือทำให้กิเลสออก ก็เพื่อให้จิตใจเราจะได้เป็นผู้ให้เป็นผู้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เพราะฉะนั้น ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ปัญญาก็ต้องมีความรู้ความเฉลียวฉลาดเราจะทำอะไรก็แล้วแต่เพื่อให้สามารถยืนอยู่ในกรรมกิริยาของเราให้เป็นกรรมกิริยาที่เป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่น ได้ให้ผู้อื่น ให้ความรู้ ให้แรงงาน ให้วัตถุ สูงสุด เพราะฉะนั้นเราจะมีข้อต่อรองเป็นการเสริมในหลักเกณฑ์ว่า เราจะต้องอดทน สร้างตนเองให้เป็นผู้ให้ มี ทมะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน ก็ต้องมาศึกษาฝึกฝนอบรมอย่างอุตสาหะวิริยะ แล้วอย่างการตั้งจิตให้ถูก ให้ตรงสัจจะ อธิษฐาน สรุปคือการให้ ทำบารมีนี้เสร็จจบ ก็มีแต่เมตตา อุเบกขา เป็นบารมีสองตัวท้ายก็อยู่ด้วยจิตเมตตาผู้อื่นเป็นผู้ให้แล้วก็อาศัยอุเบกขาเป็นฐานพัก ผู้ที่จบบารมีแล้วมีแต่เมตตากับอุเบกขา พระอรหันต์ก็อยู่ด้วยเมตตากับอุเบกขาเป็นฐานของชีวิต ก็พักกับเพียรเท่านั้นเองชีวิตก็จบได้ กาละไหนรู้จักพักรู้จักเพียร เราก็มีชีวิตอยู่ด้วยกรรมกับกาละ
ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงจบด้วย Karma and Time of Continuum
คือทุกกรรมกิริยาปัจจุบันที่มีเวลา กับกรรม ไอน์สไตน์สรุปความรู้สูงสุดของเขาคือ Space and time of Continuum คือการเชื่อมโยงระหว่างกรรมกับกาละ
โลกวัตถุก็มีการเชื่อมโยงระหว่าง space and time
spaceคือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอวกาศเป็นเทหวัตถุแท่งทึบ กับกาละ นั่นเป็นความรู้ของไอน์สไตน์หรือวัตถุนอกตัว ส่วนพระพุทธเจ้ารู้ด้วยกรรมและกาละ
ชีวิตจึงอยู่กับกรรม และกาละ ผู้ที่สามารถควบคุมกรรม ให้มีวสวัตตีให้จิตทำกิริยาต่างๆได้ ตั้งแต่จุดตั้งต้น เป็นเจตนากำหนดให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามปฏิภาณปัญญารู้ว่าจะทำกรรมอะไร ดีที่สุด มีกรรมพัก กับกรรมเพียร จะเพียรอะไรที่เป็นประโยชน์คุ้มค่าที่สุดในขณะปัจจุบันนี้ ขณะนี้ มีสัปปุริสธรรม 7 เอามาประมาณว่าต้องทำอย่างนี้ดีที่สุด
ก็อยู่กับสิ่งพวกนี้ในชีวิต ผู้ที่อยู่กับกรรมกับกาละ หากไม่พักก็ทำกาละสูงสุดทำกาละคือทำลายกรรมของเราออกจากกาละเพราะกาละคือการเคลื่อนตัว ของทุกอย่างในจักรวาล ส่วนผู้ทำกาละได้คือตายหายไปจากจักรวาลจากกาละได้ ตายสูงสุดที่ศาสนาพุทธมี หายไปจากจักวาล แม้แต่พระเจ้าก้หาไม่เจอ เราสลายจิตนิยามเป็นอุตุ เป็นพีชะได้
ศาสนาพุทธรู้จักตัวตั้งต้นของกรรม ไม่ใช่ว่าตัวการของกรรมคือพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ใช่แต่เราเป็นเจ้าของกรรมของเราเอง แล้วเราก็ถ่ายทอดกรรมเป็นของเราเองต่อเชื่อมไป ต่อให้ลูกต่อให้หลานก็ไม่ได้เราเป็นทายาทของกรรมเราเอง ลูกหลานเป็นทางวัตถุ DNA ทางสรีระ แต่จิตวิญญาณของพ่อแม่ถ่ายทอดให้ลูกไม่ได้ กรรมชั่วดี จนเป็นอาริยะ เป็นอรหันต์จนเป็นพระพุทธเจ้าก็ถ่ายทอดจิตวิญญาณให้แก่คนอื่นไม่ได้ มีแต่บอกวิธีสร้างทำ ทำจิตตัวเองให้เป็นแบบใดก็เอาไปทำเอง
ศาสนาพุทธมีอิสรเสรีภาพสูงสุด ศาสนาเทวนิยมเป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป มีสิ่งที่ดีที่สุดคือพระเจ้า แต่ศาสนาพุทธมีจิตวิญญาณสูงสุดให้ทำแต่ดีไม่ทำชั่วเลย สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)คนไม่ทำชั่วเลยก็เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป บุญทำลายกิเลสแล้วก็หายไป บุญเป็นพลังงาน one way สลายกิเลสอย่างเดียวไม่มีอื่น ทำลายกิเลสสิ้นอาสวะบุญก็ไม่มีที่ไหนอีกเลย อรหันต์ทุกองค์ไม่มีบุญ มีแต่ทำกุศลอย่างเดียว ไม่ทำกรรมชั่วแล้ว กรรมทุกกรรมมีแต่ดี เป็นหลักที่คนบรรลุอรหันต์แล้วก็จะมี สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) สจิตปริโยทปนังคือทำจิตของเราจนจบได้ โดยรอบให้จิตสะอาดผ่องแผ้ว
พระพุทธเจ้าไม่ทำงานอื่นนอกจากงานนี้ทั้งที่ท่านเคยผ่านงานทั้งหมดมาในโลก เป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้บริหารเป็นอะไรอย่างอื่นมาในโลกหมดแล้ว มันไม่มีงานอะไรดีกว่างานนี้ อาตมายังไม่ใช่พระพุทธเจ้า อาตมายังไม่รู้ตัวเกิดมาในชาติไหนก็ยังไม่รู้ตัวต้องลงทำงานกับทางโลกก่อน พอรู้ตัวก็รู้ว่าเสียเวลาก็มาทำงานนี้ดีกว่า ทำงานนี้ตลอดชีวิต เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ทำงานนี้ตลอดจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นงานที่ดีที่สุดสูงที่สุดของมนุษยชาติจบ
อย่างอาตมาแต่ในชาตินี้และปรินิพพานเป็นปริมาณสารก็ได้ก็จบแต่ว่าไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าอาตมายังอยากเป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังจะต้องเกิดมาอีกเพื่อบำเพ็ญบารมี เรียนรู้โลก โลกวิทูที่โลกแต่ละกัป แต่ละยุคสมัยไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างทุนนิยมในสมัยนี้กับทุนนิยมในสมัยพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกัน นักการเมืองในยุคนี้กับนักการเมืองสมัยพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกัน เกิดมาในยุคสมัยก็เรียนรู้ให้มากที่สุด มันจะมีการปรุงแต่งสังขารปรุงแต่งอย่างไรสังคมในยุคนี้จะมีการปรุงแต่งอย่างไร พวกนักการเมืองนายทุนก็มีการปรุงแต่งอย่างนี้แหละ จะดูลิเกโรงใหญ่ให้เราดู แต่เราไม่ไปแย่งชิงไม่ไปวุ่นวายแต่ถ้าหากทำอะไรเดือดร้อนสังคมวุ่นวายมาก พอที่เราจะต้องไปทำหน้าที่ไม่ได้นะเราก็ต้องไปห้าม เราก็ต้องทำ แต่ตอนนี้นักการเมืองที่ป่วนประเทศ ฝีมือยังไม่มีผลเท่าไหร่มีแต่เสียงดัง เห่าแรงดัง ไม่มีฤทธิ์เดชอะไรมากเพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลอะไร ให้มันเอาไปเดี๋ยวมันมืดมันก็หมดแรงเอาไปเอง
อาตมาถือว่าการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ เป็นการเมืองที่เข้าที่ดี แต่เห็นว่ายังไม่ควรจะประมาทเท่านั้นเอง ต้องระมัดระวัง เผลอๆมันรุกประมาทไม่ได้ แต่โดยองค์รวมโดยประสิทธิภาพแล้วพวกนี้มีแต่เสียงที่ดัง พลิกพริ้วไป ประกอบวาทกรรมออกมาโฆษณาชวนเชื่อไป เพราะฉะนั้นให้คนในส่วนหนึ่งเขาจัดการกันเอง ที่พูดขึ้นมานี้เพื่อที่จะให้ผู้ที่ยึดถือ จะกังวลเรื่องนายกตู่ก็ไม่ต้องกังวลมากหรอกจะมีคนเข้าไปจัดการ หรือมีนายธนาธรยกตัวอย่างอีกคน
ธนาธรดูเปลือกมันกับเด็กคะนองแต่ไม่เท่ากับทักษิณหรอก ทักษิณนั้นลึกและกว้างกว่าธนาธร แต่ตอนนี้มันมีเศษส่วนที่เหลืออยู่ เป็นโมเมนตัมพลังงานการเมืองทรราช ธนาธรคือโมเมนตัมของพนักงานทรราชที่เหลือ แต่เขาก็พยายามแสดงเต็มที่ อาตมาว่าแสดงไม่ได้นานหรอก ศาลกำลังตัดสินคดี
คนไทยนิยมน้ำใจ มีเมตตาปราณีกันดีมาก หากไม่เมตตาก็เข้าคุกนานแล้ว เพราะสายตาของอาตมาเห็นว่ามันชัดเจนแล้วเขาทำผิดมาหลายอย่างมาหลายอย่าง แต่สังคมไทยเรามีเมตตาปราณีอาจจะคิดว่าถ้าไม่มีอะไรมาแสดงก็จะไม่สนุกเหมือนมีงิ้วมาแสดง ถ้าไม่มีอะไรมาแสดงให้ดูเดี๋ยวมันไปทำอย่างอื่นที่เลวร้าย แสดงตัวเองเป็น นักรบเตียวหุยกวนอู มันไม่เป็นจริงหลอกมันก็หลอกกันไปแค่นั้นแหละ
สมณะ สิกขมาตุไม่ค่อยตอบเลย มีแต่เสียงฆราวาสดัง
บอกตรงๆว่าอาตมาไม่ได้เป็นตัวปลอมตัวอาตมาเป็นตัวจริงเป็นพระโพธิสัตว์ที่มาสืบทอดศาสนา ฝึกฝนตนเองพากเพียรเพื่อจะไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้าเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเล่นหรอกในยุคนี้ อาตมาเอามาเปิดเผยซึ่งมันไม่มีแล้วในยุคนี้ เมื่ออาตมาทำไปแล้วปรากฏว่ามีประชาชนที่มีธุลีในดวงตาน้อย มีคนมาฟังเข้าใจ ไม่มีภูเขาบังตาไม่มีธุลีบังตา ส่วนพวกที่เขาไม่เข้าใจเขาก็ไม่ฟังหรอก บอกว่ามาพูดอะไรไม่เห็นจะได้เรื่อง โลกุตระ อะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องแต่พวกเราเป็นพวกที่มีธุลีในดวงตาน้อย ยอมเสียเวลาเสียแรงงานฝีมืออาชีพมาฟังอาตมาพูด เออ อย่างนี้ควรฟัง ไม่มีใครพูดให้ฟังอย่างนี้หรอกเสียเวลามาฟังได้ เพราะเวลาของคนมีความรู้ความสามารถเวลายิ่งเป็นเพชรเป็นทองเป็นเงินเป็นทองใช่ไหม หากเป็นเรื่องไร้สาระเขาจะมาทำไม แต่เพราะว่าเห็นเป็นสาระเขาจึงยอมหยุดพักเวลาที่เป็นเงินเป็นทองไม่เอา เอาเวลาที่เป็นสาระ แต่เห็นว่าอันนี้เป็นสาระที่ดียิ่งกว่าเงินทอง ก็หยุดจาก อันโน้นมาฟังอันนี้มารับอันนี้ บางคนมีวิบากไม่ได้มาก็รับฟังจากทางบ้าน ทำงานที่เขาจำเป็นต้องทำก็ทำงานไป ดีไม่ดี ทำงานผิด เพราะว่า Concentration ไปอยู่กับการฟังมากกว่าก็อาจเป็นได้ คนที่รู้สาระเป็นสาระแล้วก็มาเอาสาระ คนที่ไม่รู้ว่าสาระเป็นสาระเขาก็ไม่เอาสาระก็เป็นธรรมดา
อาตมาบวชตั้งแต่ 2513 มาถึงวันนี้ 2562 ก็ 49 ปี จะเต็มก็ตอน 7 กรกฎาคม
ทำงานมาทางนี้ทางโลกหลายคนทำงานมา 40 ปีก็กลายเป็นเศรษฐีใหญ่ ได้ยศศักดิ์ได้ลาภ ฐานะ 40 ปีถ้ามีความรู้ความสามารถก็รวยเยอะแล้ว อาตมาหากไปทางโลกก็คงรวยพอสมควร แต่มันเป็นความซับซ้อนที่อาตมาอย่างไรก็ไม่ไป แม้ถ้าไปก็รวยไม่ได้ พระบารมีที่จะไปโดยไม่มี มีแต่บารมีจะมาจน จนได้ไม่พอมาบอกคนไม่ได้มาหลอกพวกคุณให้มาจนนะ อาตมาพยายามพูดถึงความจริงที่จริงที่สุดว่ามาจนนี่ดีกว่าคนรวย คนไปรวยนี้เป็นบาป รวยเท่าไหร่ยิ่งบาปเท่านั้น ยิ่งรวยด้วยอกุศลรวยอย่างเป็นโทษภัย เช่นรวยก่อสร้างอาวุธไปฆ่าคนเป็นบาปมหาศาลรวยเพราะสร้างสิ่งที่เป็นพิษไปทำร้ายคนนั้นบาปมหาศาล รวยที่สร้างความเมา ให้คนเมาเละเทะ กินน้ำเมากินแล้วตายไปยิ่งกว่าสงคราม ฤดูกาลหนึ่งตายนับศพมากกว่าสงครามอีก แล้วมันบาปไหมแต่เขาได้เงินเขาไม่รู้เขาอวิชชา ก็สร้างบาปไป
แต่พวกเราดีที่รู้ตัวว่าชีวิตต้องมาศึกษาสิ่งที่ไม่ควรจะให้มีในกรรมวิบากของเราก็เอาออกไปเราก็เลิก มาทำกรรมวิบากที่จะมาจน ทำกรรมกิริยาที่มีแต่คุณค่าประโยชน์
1 เป็นคุณค่าประโยชน์ด้านโลกียะคนได้ใช้อาศัยไม่เป็นโทษ 2 เป็นโลกุตระ ไปขัดเกลากิเลส ใครก็ตามได้ฟังได้ศึกษาได้เข้าใจก็ได้ความรู้ไปฆ่ากิเลส ไปกำจัดกิเลส คนได้รับความรู้นี้ไป ถ้าจะเป็นอาวุธ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ถ้าจะเลือกเป็นอาวุธ ก็เป็นอาวุธฆ่ากิเลส เพราะฉะนั้นคำว่าอาวุธฟังแล้วน่ากลัว แต่ในความซับซ้อนอาวุธนี่แหละเป็นธรรมาวุธพิเศษประเสริฐ ใครสร้างอาวุธชนิดนี้ได้สุดประเสริฐแล้ว อย่าว่าแต่เพียงกุศลเลย แต่เป็นโลกุตระเป็นบุญ เหนือกว่ากุศล คืออาวุธที่ฆ่ากิเลส กุศลก็ได้แต่สมบัติได้แต่วิบากดี วิบากได้อาศัย มีอยู่ในโลกเป็นสมบัติ ผลบุญนั้นไม่เป็นสมบัติมีแต่วิบัติทำบุญนั้นเกิดผลและบุญก็หมดหน้าที่ไป มีแต่ one way มีหน้าที่ทำวิบัติได้สำเร็จ บุญก็เลิก ไม่มีสมบัติมีแต่วิบัติ เป็นเอกังเสนะ ทำหน้าที่เดียว
ศาสนาพุทธเข้าใจบนไม่ได้เอาบุญกลายเป็นกุศลและไม่มีอาวุธฆ่ากิเลสเพราะเข้าใจผิด ทุกวันนี้ใช้ภาษาเรียกว่าบุญแต่คุณไม่มีกรรมกิริยาชัดเจนว่าคุณจะสร้างพลังงานในตัวคุณ ให้มีอาวุธฆ่ากิเลสมันก็ไม่ใช่บุญแล้ว น่าสงสารมากศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นเขาไม่รู้ แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธทำบุญไม่เป็นมีแต่ชาวอโศกที่ทำบุญเป็น อาตมาไม่ได้พูดใหญ่โตนะ แต่เป็นสัจจะ
ทำบุญคือทำจิตให้มีพลังงานจิตที่เป็นฌาน เป็นอุณหธาตุ เตโชธาตุที่พิเศษ เป็นพลังงานไฟที่เหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะ สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายไฟราคะโทสะโมหะในตัวเรา ได้จริง ทำลายหมดแล้ว ไฟราคะโทสะโมหะ บุญก็หายไป เป็น one way (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) นิมนต์พ่อท่านจิบน้ำ
ส.เดินดิน…พวกเราที่ทำงานแล้วไม่เกิดบุญ คือไม่ได้ทำ แล้วทำให้ความโลภ ความโกรธ หลง หายไปหมดไป แต่ทำอย่างไรไม่ให้เกิดโลภโกรธหลง ทำสาธารณโภคีทำแล้วเราก็ไม่มีอะไรตกค้างในโลกนี้ บางทีบางคนทำแล้วก็อยากจะได้ลาภยศสรรเสริญเงินทองคือมีความโลภ แต่ผมสงสัยว่า บุญเป็นการเผาแต่ทำไมกิเลสไม่ถูกเผาแต่ทำแล้วเราก็สูญ อย่างนี้จะเผาอย่างไร
พ่อครูว่า…มันไม่หมดหรอก แต่มันไม่รู้ มาอยู่ในนี้เรามีกฎระเบียบสาธารณโภคีก็ปฏิบัติตามกฎระเบียบกฎเกณฑ์ของที่นี่เท่านั้นเอง แต่เราทำแล้วจิตใจเรายังไม่เป็นสาธารณโภคีเต็มที่ แต่คนที่เข้าใจแล้ว ในชาวอโศกที่เข้าใจแล้วว่าที่นี่ไม่ได้ให้รายได้อะไรหรอกมาอยู่ในชุมชนทำงานอยู่ในชุมชนนอกจากจะทำงานข้างนอกแล้วจึงจะได้รายได้ ทำงานในนี้ก็ไม่ได้มีค่าแรงงาน ผู้ที่รู้แล้วเข้าใจแล้ว แต่ว่ากิเลสแต่ยังมีเขาก็ตั้งใจทำ เพื่อล้างกิเลส ส่วนคนไม่รู้นั้น มาทำก็ทนทำไม่ได้นาน ทนไม่ได้นานก็ต้องไปแล้ว ต้องไปเพื่ออะไรเขาก็ไม่รู้ แต่คนที่เข้าใจแล้วรู้ว่าเราลดกิเลสความต้องการ ในลาภยศที่นี่มันไม่มี เรายังอยากได้ ดีไม่ดีก็แฝงซ่อนอำพราง ผลประโยชน์ทับซ้อน ในชาวอโศกก็มีพวกแฝงประโยชน์ทับซ้อนในอโศกนี้ก็อาจมี ฆราวาสก็มี นักบวชใครแฝงเก่งอาตมาจับไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่กรรมเป็นอันทำ ลับหลังแม้จะทำก็เป็นอันทำ ไม่ให้คนอื่นดูได้แต่คำนี้เป็นอันทำไหม บาปซับซ้อนด้วย เราทำชั่วไม่ให้คนอื่นรู้ บาปก็ไม่เท่าไหร่ แต่บาปที่เราปิดบังบาปชั่วตัวเอง ทำชั่วแล้วปิดบังบาปชั่วถือว่าโกหกไหม? โกหก
กรรมชั่วหยาบกลางละเอียดขนาดไหน ไม่ควรปิดบังอำพรางซ่อน ยุคนี้เป็นยุคที่หยาบมากโลกุตรธรรมนี้เกือบไม่เหลือแล้ว ที่จริงไม่เหลือแล้ว อาตมาต้องงมมาจากก้นทะเลมาให้โลกเขา เหนื่อย ก็ได้มา
งานอโศกรำลึกมานั่งฟังธรรมวันนี้ วันนี้ก็แสดงธรรมโลกุตระที่ลึกพอสมควร มีคนนั่งฟังอยู่เท่านี้แล้ววันนี้วันที่ 5 ด้วยนะ เป็นวันเคารพบูชา เขาถือว่าเป็นวันเกิดอาตมา ที่จริงอาตมาไม่ได้อยากใส่วันที่ 5 เข้าไปด้วย แต่พวกเราเอาไปเอามาก็บอกว่าต่อกันเลยก็เลยยาว วันที่ 5-9 หากิจกรรมให้ดีๆ บำเพ็ญกุศลบำเพ็ญธรรมให้ได้ประโยชน์
คนในประเทศไทย พุทธศาสนิกชน 95% โฆษณาออกไปทางโทรทัศน์ ไปทางไลน์ออกไป คนก็ไม่กดดูเท่าไหร่
มีคนฟัง 34 คนดูสดในเฟสบุค แต่อาตมาไม่ได้ท้อหรอกอย่างนั้นก็เกิน 5 คน นับคนมาฟังที่นี่ ก็ประมาณนี้ อาตมาทำงานมาก็เบื่อไม่ลง มันน่าเบื่อน่าท้อ แต่เบื่อไม่ลงเบื่อไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรดีกว่านี้ ถ้าคุณเข้าใจแล้วว่าพระพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มาทำงานอันนี้ ท่านไม่เลือกงานอื่นเลย ท่านไม่เอางานอื่นหรอก งานอื่นที่จะได้ลาภยศสรรเสริญมีอีกเยอะท่านก็มีฝีมือด้วย แต่ท่านก็ทำงานนี้จนสิ้นพระชนม์ชีพ 45 ปีที่ทำอยู่ จนปรินิพพานไปเสีย อาตมาก็ชัดเจนอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์อาตมารู้ตัวเองแล้วก็มาทำงานนี้ เราหลงไปเสียเวลาอยู่ในทางโลก 36 ปีมาทำงานนี้ก็ยังภาคภูมิใจ ว่าเราได้สืบทอดโลกุตระนี้ของพระพุทธเจ้าต่อไปยังมีผู้ที่รับได้ รับโลกุตรธรรมได้ เอาไปประพฤติปฏิบัติอย่างจริงใจ แม้จะมีอัตราการก้าวหน้าที่น้อย ก็ยังดี ดีที่สุดแล้ว มันไม่มีอะไรดีกว่านี้อีก มันต้องอันนี้เท่านั้น ทำไมถึงไม่เอาอันอื่นอาตมาถึงว่าตายดีกว่าถ้าไม่มีอันนี้ให้ทำ สมมุติว่าอาตมาทำอันนี้แล้วไม่มีใครมาฟัง
สมมุติว่าอาตมาทำงานนี้ตอนนี้มีคนฟัง 1000 คน เวลาผ่านไปต่อไปคนก็ลดลงๆๆ จนเหลือแค่ 10 คน อาตมาจะไปมีกำลังใจเทศน์อยู่อย่างไร แต่นี่แปลก ตอนเทศน์ใหม่ๆมีคนน้อย พอเทศน์ไปคนก็เพิ่ม พอจะจบ 2 ชม.ก็เพิ่ม คนยังไม่มา บางคนอาจไม่กล้าออก เพราะว่ามีใจว่าฟังธรรมะชั้นสูงเราไม่ฟังเรื่องนี้แสดงว่าเราโง่หรือยิ่งฟังยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจได้ประโยชน์คุณก็ไม่ไปจนกว่าอาตมาจะเลิก ก็มีนัยต่างๆ คนโลกๆบรรยายไปตอนแรกไม่มาก พอเทศน์ไปมีมาก แต่สุดท้ายก็หมด แต่นี่ไม่ใช่ลักษณะนั้นจะมีเพิ่มมากขึ้นๆ อาตมาก็ไม่เทศน์นานเกิน 4-5 ชม. แต่แรกๆเทศน์ 4 ชม.ก็ไม่ไปไหนนะศรัทธาสูง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ถึงขนาดนั้นแล้ว
สรุปเข้าเป้าว่าเกิดมาเป็นคนแล้วไม่มีอะไรเป็นที่หนึ่งเท่ากับธรรมะ เพราะฉะนั้นคนขนาดเป็นพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้เป็นผู้รู้สูงสุดแล้วในความเป็นคน ท่านอุบัติขึ้นมาเป็นตัวตนท่านก็มาทำงานนี้ไม่ทำงานอื่นเลยจนสิ้นพระชนม์ อาตมาเป็นโพธิสัตว์บอกได้ว่าตั้งแต่ตัวมาทำงานนี้ รู้ตัวแล้วก็มาทำงานนี้ อาตมาไม่ได้ทำงานอื่น เพราะเป็นงานที่ดีที่สุดใครไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา
ที่เป็นเครื่องชี้บ่งว่าพวกเราเห็นงานนี้สำคัญ หลายคนเคยมีชีวิตในโลกเอาเวลาทุนรอนแรงงานในชีวิตไปรับใช้โลก นิปเปสิกตา ยังมอบตัวในทางที่ผิด ยังทำงานเป็นผู้รับใช้โลกีย์ ทำงานลาภแลกลาภ ทำงานได้เงิน หรือได้ยศชั้น หรือได้สรรเสริญ ก็ได้ลาภแลกลาภอยู่ทำแล้วได้สรรเสริญ หรือไม่ได้สรรเสริญแต่ยังเสพสุข ได้ทำแล้วเป็นสุข
อย่างอาตมานี่ทำงานแล้วอย่าว่าจะได้สรรเสริญเลย ได้ด่าด้วย แต่อาตมาก็ไม่ใช่คนมาโซคิสม์ แต่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เข้าใจยังมีปัญญารู้ว่าเขาทำอะไร แต่เราก็เห็นว่างานนี้ดีที่สุด เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านเลือกงานนี้ ดีที่สุดแล้วก็ทำอย่างนี้จนสิ้นพระชนม์ อาตมาก็จะทำงานนี้จนตายไปเลยเหมือนกัน อย่างพวกเรามาบวช แม้แต่ฆราวาสหลายคน เลิกทำงานทางโลกมาทำงานที่นี่ดีกว่า ทำงานที่นี่ไม่ได้สิ่งตอบแทนทำงานฟรีในระบบสาธารณโภคี ยศก็ไม่ได้ สรรเสริญ อย่าทำผิดเชียวนะโดนด่าด้วย สรรเสริญก็มีบ้างแต่ไม่ปากหนักแต่ถ้าด่าแล้วปากไว อย่างนั้น แต่เราก็เข้าใจว่ามาทำงานอย่างนี้ดีกว่าคนที่มีปัญญามีความรู้ก็เลือกอันนี้ให้แก่ชีวิต เอาชีวิตมาทำงานนี้ พิสูจน์ถึงสัจธรรมโลกุตระ ว่าโลกุตระยังมีคนยังเข้าใจโลกุตรธรรมได้ ว่ามันเหนือลาภยศสรรเสริญโลกียสุข จนกระทั่งพวกเราสร้างสังคมขึ้นมา
มีสัปปายะ 4 เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะอาหารสัปปายะธรรมะสัปปายะ
เจริญเป็นที่อยู่อาศัยที่เจริญ เป็นกลุ่มหมู่บุคคลเจริญ มีสิ่งอาศัยใช้สอยที่เจริญโดยเฉพาะมีโลกุตรธรรมมีธรรมะที่เจริญ ไม่เอาอย่างโลกีย์ คนเข้าใจแล้วก็มาทางนี้ดีกว่าใจมันยินดีใจมันพอ สันโดษแล้วไม่เอาอย่างอื่นเอาอันนี้ดีกว่า มันก็เป็นความจริงของแต่ละคนที่มีปัญญาตัดสินให้แก่ตัวเอง เลือก ชีวิตที่จะมีกรรมกิริยาอยู่กับชีวิตอยู่กับสังคมนี้ สังคมที่อาตมาภูมิใจที่ชีวิตที่อาตมาเกิดมาแล้ว เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
แล้วมีคนมาฟังเข้าใจจนมารวมกลุ่ม แล้วเกิดเป็นสาธารณโภคี (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ส.เดินดินว่า..รายการวันนี้ไม่ได้กำหนดเวลา ขึ้นอยู่กับพ่อท่านตามอัธยาศัยแต่ตอนนี้ขันธมารมาแล้ว ก็เป็นวันพิเศษ
พ่อครูว่า…ก็มาสรุปตรงนี้ว่ากลายเป็นสังคมกลุ่มสาธารณโภคีมีชีวิตอยู่กันได้ คำว่าสาธารณโภคีนี้เป็นเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกยังไม่รู้กัน เป็นของพระพุทธเจ้า ถ้าเข้าใจความหมายว่าเศรษฐกิจคืออะไร พวกเรานี้มาอยู่กับเศรษฐกิจ คือสิ่งที่อาศัยกินใช้ อย่างพอเพียงอย่างไม่เดือดร้อนอย่างไม่เป็นทุกข์ ดีไม่ดีอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ ให้เป็นประโยชน์คุณค่าอย่างดีไม่เป็นโทษ นี่เป็นเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ แล้วกินอย่างที่เรียกว่า ชุมชนในสังคมในประเทศไหน เขาจะเรียกเศรษฐกิจโดยการเอาตัวเงิน เอาเงินเป็นตัววัดค่า มีรายได้เข้ามา วิธีคิดแล้วเอาตัวนั้นวัดว่าเป็นเศรษฐกิจที่เรียกว่า GDP ก็แล้วแต่
รายได้องค์รวมเรียกว่า Gross มาก ที่นี่แหละเป็นสังคมที่มี G หรือรายได้องค์รวมดีที่สุด เพราะที่นี่ทำงานแล้วเสียภาษี 100% เอาเข้ากองกลางทั้งหมด มีวิธีทำ แล้วทุกคนทำอยู่เอาเข้ากองกลางหมด เสียภาษี 100% เป็นสัมมาอาชีพสูงสุด ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานแล้วไม่เอาอะไรแลกเปลี่ยนให้แก่ตัวเองเลยเอาเข้าส่วนกลางหมด เป็นทวดของทวดของคอมมิวนิสต์เป็นประชาธิปไตยที่สุดยอดเป็นเผด็จการที่ไม่ต้องเผด็จการเป็นอิสระเสรีภาพที่สูงสุด คุณสมัครใจเข้ามาเป็นคนทำงานฟรี รายได้ของเราเอาเข้ากองกลางหมด อย่างเต็มใจให้ด้วย สุดยอดประสบการณ์สุดยอดคอมมิวนิสต์สุดยอดประชาธิปไตยอยู่ในนี้ จบแค่นี้ก็แล้วกัน…
พิธีกล่าวคำกตัญญุตาบูชาพ่อครู ..ตั้งนโม 3 จบ ขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงประทานเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์ให้แก่มวลมนุษยชาติ ด้วยการประกาศอาริยสัจ 4 และมรรคมีองค์ 8 ซึ่งมีสัมมาทิฏฐิ 10 เป็นเข็มทิศนำทางไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ณ บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ก้าวพ้นความสงสัย และมีความเชื่อมั่นอย่างมุ่งมั่นว่า
อัตถิทินนัง ทานมีผลจริง
อัตถิยิตถัง ยัญพิธีมีผลจริง
อัตถิหุตัง วิธีปฏิบัติจนเกิดผลที่จิตมีจริง
อัตถิสุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก การทำดีทำชั่วมีผลดลบันดาลได้จริง
อัตถิอยังโลโก โลกนี้มีจริง
อัตถิปโรโลโก โลกหน้าคือโลกโลกุตระมีจริง
อัตถิมาตา อัตถิปิตา แม่และพ่อผู้ให้กำเนิดทางจิตวิญญาณของข้าพเจ้าทั้งหลายมีจริง
อัตถิสัตตาโอปปาติกา การก่อเกิดทางจิตวิญญาณมีจริง
อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ สมณะพราหมณ์ผู้รู้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตัวเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นได้รู้ตามมีจริง
และบัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ได้มีที่พึ่งที่อาศัยในสมณพราหมณ์ ที่เป็นผู้รู้แจ้งทั้งโลกนี้โลกหน้าด้วยตัวเอง คือพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ผู้นำสัมมาปฏิบัติจนส่งผลให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เกิดแสงสว่างในชีวิต
อันมีสัมมาทิฏฐิ 10 และสัมมามรรค สัมมาผล ตามธรรมสมควรแก่ธรรม
ในวาระครบรอบ 85 วัสสาของพ่อครู ในการกอบกู้ศาสนา ที่ผ่านมาพ่อครูได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงด้วยเลือดทุกหยด และเหงื่อ ทุกหยาด เพื่อประโยชน์และความสุขของมวลของมวลมนุษยชาติมาโดยตลอด
จนวาระสำคัญในโอกาสนี้ ที่พ่อครูจะมีอายุขึ้นปีที่ 86 ข้าพเจ้าทั้งหลายซึ่งเป็นลูกๆที่ได้ชีวิตใหม่ได้กำเนิดขึ้นใหม่ทางจิตวิญญาณ ขอปฏิญาณตนร่วมกันว่า
ข้าพเจ้าทั้งหลายจะวิริยะอุตสาหะตั้งใจศึกษาให้ถึงพร้อมในไตรสิกขา อันได้แก่อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา จะตั้งใจฝึกฝนอบรมตนให้เกิดมรรคผลยิ่งๆขึ้นไป ด้วยความไม่ประมาทในโทษภัยอันมีประมาณน้อย สัจจะอธิษฐานที่เป็นปิตุบูชาของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ จะเกิดเป็นจะเกิดจริงได้เป็นจริงได้ ก็เพราะการมุ่งมั่นเอาจริงของข้าพเจ้าทั้งหลายนั่นเอง
ยอดคนฟังที่เฮือน บวร 1096 คน
พ่อครูกล่าวปิดพิธี….ขอบคุณทุกคนที่ได้มาร่วมกันทำพิธีการ นี่เป็นวิธีการอันหนึ่งของชาวอโศกเรา เป็น ceremony เราก็รักษาให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้นในชีวิตต่อไปมาร่วมกันเสมอไปนะทุกคนทุกคน จบ…