ก.ค.162019ศาสนา620716_พ่อครูเทศน์เวียนธรรมอาสาฬหบูชา ปี 2562 บ้านราชฯ อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1VI0eG50c9zKJXGxEpQwpJZCkx7SKTDPbDdUDka18_bE/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1VZ3ktS1Mrd90EYkPwe7SZfYKIdEGAtVc พ่อครูว่า…วันนี้วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก อาตมาเกิด พ.ศ.2477 บวชวันที่ 7 พฤศจิกายน 2513 วันนี้วันเกิดของพระสงฆ์รูปแรก อาตมาก็มาเกิดทางโลก วันที่ 5 มิถุนายน 2477 เกิดทางธรรม 7 พฤศจิกายน 2513 วันนี้เวียนมาถึงวันเกิดพระสงฆ์รูปแรกของศาสนาพุทธสมณโคดม ตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ปีนี้ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 วันอาสาฬหบูชา อาตมาวันนี้ก็อายุ 85 ปี 1 เดือนกับ 11 วัน มาถึงวันนี้ตั้งแต่บวชมา ตั้งแต่ 7 พฤศจิกายน 2513 ตั้งแต่บวชมาเป็นพระสงฆ์ เป็นผู้ที่มาทำงานสืบสานพระศาสนาพระพุทธเจ้า ตั้งแต่วันบวชจนถึงวันนี้ก็ยังภาคภูมิใจว่าชีวิตนี้เราไม่หลงทาง ชีวิตนี้เราไม่ไปเสียเวลา เริ่มต้นรู้สึกตั้งแต่อายุ 36 ปีนั่นแหละ รู้สึกแล้วก็รีบมาบวช อาตมาออกมาบวชไม่ได้เคยคิดเลยว่าจะแลกลับข้างหลัง คืนกลับไปเป็นฆราวาสอีกไม่เคยคิด แล้วก็ไม่เคยมีใจวอบแวบที่จะออกไปสู่ทางฆราวาสอีกเลย มาบวชแล้วก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าเราไปเสียเวลาอยู่ตั้ง 36 ปี ถ้ารู้ตัวว่าจะบวชตั้งแต่เมื่อไหร่ก็บวชตั้งแต่เป็นเณร แต่ยังไม่รู้ก็เลยต้องเสียเวลาไป 36 ปี ชีวิตคนเราไม่มีอะไรดีเท่ากับมารู้ว่าชีวิต ชีวะของมนุษย์ มันก็คือธาตุของธรรมชาติ มันได้มาเกิดเป็นจิตนิยาม เกิดมาเป็นจิตวิญญาณ ไม่ใช่แค่พีชธาตุ ก็ได้เป็นอัตภาพ พอได้เป็นอัตภาพขึ้นมาแล้วโอ้โหทีนี้ มันจะกลับไปเป็นสิ่งที่ไม่ใช่จิตนิยาม สิ่งที่ไม่ใช่สัตว์มันจะกลับคืนไปไม่ได้เลย ศาสนาเทวนิยมนั้นเลยสุดทาง ไม่ได้กลับคืนไปเป็นอะไรได้อีกเลย แม้ที่สุดจะกลับคืนไปเป็นอุตุธาตุ ไม่ได้เลย เทวนิยมศาสนาที่เป็นพระเจ้าเขาไม่รู้จักโลกุตระ เขาก็ต้องค้างเติ่งเป็นอัตตาหรืออาตมัน เป็นปรมาตมันอยู่กับพระเจ้า เขาก็รู้ว่าเขาทำลายชีวะ ทำลายอัตภาพของตัวเองไม่ได้ แล้วต้องอยู่ตามธรรมชาติ อยู่กับพระเจ้าซึ่งเป็นอวิชชา ตายไปแล้วเขาไม่มีการเกิดต่อ ชาติต่อไปเขาไม่รู้เรื่อง ศาสนาพุทธรู้หมดเลย มาเกิดเป็นชีวะชีวิตเป็นสัตว์ตายแล้วก็เวียนเกิดเวียนตาย ด้วยอวิชชา ไม่รู้จักหรอกว่าเราเกิดมาได้จิตนิยามแล้วเป็นอัตภาพแล้ว หรือเรียกว่าเป็นสังขารปรุงแต่งเป็นสังขาร แต่ผู้ที่มีอวิชชาไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้จักว่าสังขารที่เราได้นี่แหละคือวิญญาณ และถ้าศึกษาวิญญาณก็จะรู้นามรูป แล้วก็ไปมีผัสสะเรียนรู้อายตนะ แล้วก็มีเวทนาให้เรียนรู้ ศึกษาตรงเวทนานี่แหละ เป็นจุดที่ทุกคนจะถึงนิพพาน จะปรินิพพานจะสามารถทำให้ตัวเองดีที่สุดไม่มีสุขไม่มีทุกข์ และเป็นคนไม่มีโทษแก่ใครอีกเลยต่อไป หรือจะเลิกเกิดจากอัตภาพ สลายอัตภาพเป็นอุตุนิยามไปได้อีกเลย เป็นดินน้ำไฟลมอีกเลย อัตภาพไม่มีเหลือ ไม่มีพระเจ้าไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาบงการอะไรเรา สำหรับศาสนาพระพุทธเจ้า แต่ว่าศาสนาเทวนิยมเขาไม่มีสิทธิ์ ต้องตกเป็นทาสพระเจ้า พระเจ้าต้องบงการและพระเจ้าก็ไม่รู้ทางปรินิพพาน จะต้องกลายไปเป็นอัตภาพหรืออาตมันนิรันดรแล้วเทวนิยมเขาก็ไม่รู้เรื่องเป็นอาตมันแล้วจะอยู่กับนรกหรือสวรรค์ไม่รู้เรื่อง เพราะเขาไม่มีความรู้ต่อจากการเกิดการตาย การตายการเกิดที่มันเป็นความวนเวียน ในสังสารวัฏ เขาไม่เข้าใจ เขารู้การเกิดต่อจากนั้น ตายไปที่จริงไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ตายแล้วมันก็ต้องเกิด แต่เขาไม่รู้ก็เป็นอวิชชา ศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่เห็นชัดเจนในจิตวิญญาณ หรืออาตมัน อัตภาพ รู้จนกระทั่งสามารถสลาย อัตภาพหรืออาตมัน สลายหยุดชีวะ เลิกเป็นชีวะเลิกเป็นอัตภาพ สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้นี่แหละเป็นเรื่องสูงสุด แม้ว่าคุณจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว รู้จักการปรินิพพานสลายอัตภาพตัวเองเป็นธาตุดินน้ำไฟลมได้แล้ว แต่ยังไม่อยากจะสลาย จะมาเป็นต่อไปอีก เวียนเกิดเวียนตายทำประโยชน์อยู่ในโลกอยู่อีก อย่างพระอวโลกิเตศวร ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานยังจะเวียนเกิดเวียนตาย ทำงานอยู่กับโลก ช่วยเหลือมนุษย์ ท่านมีปณิธานถึงขั้นนั้น ฉันจะกอบกู้มนุษย์คนสุดท้าย ให้บรรลุธรรมแล้วท่านถึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านคิดได้อย่างไรก็ไม่รู้และท่านจะทำได้อย่างไรจะทำให้คนบรรลุธรรมหมดทั้งโลก แล้วท่านถึงจะปรินิพพาน เป็นปริโยสาน อย่างนี้ท่านจะได้ปรินิพพานเป็นปริโยสานไหม อาตมาพูดถึงขั้นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ในยุคนี้ ไม่มีใครพูดแล้ว มีอาตมานำเอามาจากหลักฐานพระพุทธเจ้าตรัสไว้ นำมายืนยันพวกเราก็รู้ก็เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เป็นความจริงของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วในมูลสูตรข้อสุดท้ายคือข้อที่ 10 ของมูลสูตร ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วมีวิมุติเป็นแก่นสารแล้วเป็นอมตะแล้วจะเกิดจะตายก็ได้ จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือจะเกิดและตายเวียนวนอยู่ อย่างเช่นอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ บรรลุอรหันต์แล้วก็เวียนเกิดเวียนตายสืบสานศาสนาพระพุทธเจ้าช่วยมนุษย์โลกต่อไปอยู่ อาตมาก็ชัดเจนเข้าใจแล้วที่พูดนี้ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรม แต่เป็นการพูดสัจธรรม พูดพุทธธรรมอาตมาไม่ได้มีจิตอกุศล ไม่ได้มี สาเฐยจิต อยากอวดตัว แต่ที่พูดนี้เป็นการรายงานความจริงพูดความจริงให้ฟัง อาตมาพูดไปเรานี้ไม่มีอาบัติหรอก อาตมาเป็นพระอรหันต์แล้วก็มีสติวินัย เพราะฉะนั้นไม่ต้องมีอาบัติอะไรเลยตามสัจจะ มันเป็นเช่นนั้นแต่คนไม่รู้ก็เอาพระวินัยมาว่าอาตมา มันเป็นข้อเสียของเขา จะเอาโทษภัยมาใส่อาตๆมาก็เป็นบาปของเขา แทนที่เขาจะตั้งใจฟังธรรมะจนกระทั่งเห็นว่า องค์นี้แสดงสัจธรรมจริงๆ เป็นสัจธรรมที่ต้องฟังเพราะเป็นสัตบุรุษ เขาก็จะรู้ อาตมาว่าทุกวันนี้ คนที่ฟังธรรมของอาตมา หรือว่าคลายใจจากที่เคยตั้งใจต่อต้านอาตมาไม่เข้าใจอาตมาทุกวันนี้ก็ลดลง ที่อาตมาพูดต่างๆ พูดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็บอกว่าทำไมจะต้องมาบอกว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ ทำไมอยากอวดนักหรือ อาตมาไม่มีใจอยากจะอวด เป็นเรื่องสัจจะที่คุณอาจจะฟังไม่ได้ อาตมาเป็นพระอรหันต์จริง จะมีจิตใจอยากจะอวดทำไมอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว ไม่ได้พูดแต่โวหาร ไม่ได้พูดคารมเล่นลิ้น แต่พูดสัจจะสู่ฟังทั้งสิ้น คำพูดที่อาตมาพูดเป็นความจริง ที่ไม่มีกิเลสผสมอยู่ในคำพูดทุกคำพูด ที่พูดนี้เหมือนกับอวดตัวตนว่าเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสเป็นผู้ที่ไม่มีความผิดพลาดอันนี้เป็นเรื่องจริงที่อาตมาพูด คนฟังก็จะยิ่งไม่ชอบใจ คนที่ไม่ศรัทธาเพราะเขาอวิชชา เขาฟังไม่เป็นเขาไม่รู้จักสัจธรรม พอฟังอาตมาแล้วก็ติดใจว่าเป็นคนที่ไม่ถูกต้องไม่ต้องไปฟังอะไรก็แล้วแต่ เขาตัดทิ้งเลยก็น่าสงสาร เพราะเขาเชื่อแล้วว่าเป็นคนไม่มีสาระเข้าใจว่าเป็นคนมาทำลายศาสนาพุทธ พูดเรื่องศาสนาพุทธแบบผิดๆด้วย เขาพูดตรงๆว่าเข้าใจอย่างนี้เป็นคนซวยแล้ว หากเข้าใจว่าอาตมาที่พูดนี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ซวยแล้ว อาตมาพูดไปหมดแม้แต่ ในหลักฐานพระไตรปิฎกว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญาผู้จะมากอบกู้ศาสนาเป็นผู้ที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศ เป็นสัมมัคตาสัมมาปฏิปัณณา อัตถิโลเก ในโลกขณะนี้ที่อาตมามาเกิด อาตมานี่แหละ เป็นคนนี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นหลักฐานยืนยันในพระไตรปิฎก อาตมาพูดยืนยันตามสิ่งเหล่านั้นไม่ได้พูดเล่นพูดความจริงเป็นจริงพระพุทธเจ้าให้บอกสวากขาตธรรม ว่าจะมีคนมาสอนนะบอกมาบรรยายมาสืบทอดศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนมานานมันไม่มีความถูกต้องมันไม่มีโลกุตรธรรม ศาสนาพุทธได้จมไปนานแล้ว อาตมาต้องมางมขึ้นจากก้นของทะเลลึก ทุกวันนี้มีแต่โลกียเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ ออกนอกรีตนอกทาง กลบศาสนาจริงหมดเลย อาตมามาทำงาน เกือบ 50 ปี ได้ผู้ที่สนใจเข้าใจมาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาเอาธรรมะพุทธเจ้ามาปัดฝุ่น ปัดภูเขาที่หุ้มศาสนาพระพุทธเจ้าไว้ ก็แงะออกแล้วเอามาประกาศก็มีคนประมาณพวกเราเป็นผู้ที่สนใจเห็นดี เปิดจิตศึกษารับก็ได้เพียงเท่านี้ ศาสนาพุทธก็จึงเกิด และอาตมาก็ยืนยันว่าเกิดเป็นพุทธแล้วในอินเดียไม่เหลือแล้ว มีแต่ในเมืองไทยโดยอาตมาเอามาประกาศในยุคนี้ วันนี้เป็นวันที่ผู้เป็นสาวกพระพุทธเจ้ารู้จักศาสนาพุทธคืออัญญาโกณฑัญญะ ได้รู้ธรรมะอาตมาก็นำเอาธรรมะศาสนาพุทธที่ไม่มีใครรู้แล้วมาย้ำยืนยัน ตั้งแต่อาตมาบวชก็เริ่มสาธยายธรรมพระพุทธเจ้ามาเกือบ 50 ปี ย้ำเปิดเผยมาจนถึงทุกวันนี้ก็ยิ่งย้ำชัดขึ้น แต่คนยังไม่ยอมเชื่อหรือคนยังเชื่อได้ยาก ก็จะค่อยๆคลายใจค่อยๆเชื่อเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ใส่ใจแสวงหาความจริง แม้บางคนจะเคยต่อต้านเชื่อว่าอาตมาผิดแต่เขาตั้งใจฟังให้ดีสุสูสังลภเตปัญญัง ถึงหลายคนมาขอขมาอาตมาว่า แต่ก่อนนี้มองอาตมาผิดลบหลู่ปรามาสอาตมาว่ามาทำลายศาสนา แต่สุดท้ายก็ยอมรับก็มีมากขึ้นเรื่อยๆหลายคน เข้าใจแล้วเห็นจริงแล้ว อาตมาเชื่อมั่นว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญาคนนั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) ผู้สยังอภิญญาคือผู้บรรลุธรรมตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไปจนถึงเลยพระอรหันต์ แล้วก็จะเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศเพราะมีของจริงในตัวเอง ที่มีของจริงของถูกต้องของพระพุทธเจ้ามาประกาศได้ คนที่เอามาประกาศได้ ก็ทวนไปได้เลย แม้แต่ในสัมมาทิฏฐิ สูตรข้อที่ 10 ที่กำลังกล่าวถึง ผู้เป็นจริงก็จะรู้ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 คืออย่างไร ทานคืออย่างไร ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่รู้จักทาน ทานคือพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่สำคัญในมนุษยชาติ ผู้ที่มีการทานแล้วล้างกิเลสได้เรียกว่า อัตถิทินนัง แต่ทุกวันนี้ไม่มี ทานกันมีแต่ อิมานิ สัปปริวารานิฯ ตั้งจิตเพื่อที่จะให้ได้จากทานนี้ สิ่งที่ทานแล้วจะได้อะไรมาให้แก่ตัวเอง ทานนั้นไม่ใช่บุญ ทานนั่นไม่ได้ตัดกิเลส บุญนี้คือเครื่องมือตัดกิเลส อาตมาเป็นคนนำคำว่าบุญมาแปลความหมายคำว่าบุญของศาสนาพุทธอย่างถูกต้อง ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเข้าใจไม่ถูกเลยไปเข้าใจบุญว่าเป็นกุศล นี่เป็นนัย คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔) เป็นเรื่องลึกซึ้งของศาสนาพุทธ คนเข้าใจบุญและปฏิบัติได้อย่างถูกต้องมีชาวอโศกเท่านั้น บางคนก็จะมีกุศลที่ปนกับบุญ ยังไม่เป็นบุญที่แท้ ยังมีสาเปกโขอยู่มีมากกว่านั้น ปฏิพัทธจิตโต สันนิธิเปกโข คือทำทานแล้วยังมีความหวังว่าจะได้อะไรกลับมา อันนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ถ้าทำไม่ได้มันก็จะยืดยาดผิดไปเรื่อยๆ ปฏิพัทจิตโต คือหวังเป็นสวรรค์วิมานที่จะได้มาตอบแทนจนกระทั่งเกี่ยวเนื่อง ต่อไปอีกโยงใยต่อไปอีกไม่มีจบ แทนที่จะตัด แต่ทานแล้วสะสมเป็น สันนิธิเปกโข เป็นคลังที่เก็บ ก็จะเก็บสิ่งที่ตัวเองทำ เก็บอะไรก็เก็บกิเลสเก็บอัตตาเก็บภพชาติเกิดวิมานสะสม อันที่สุดท้าย จะได้เอาไว้กินตอนตายไปในชาติหน้าเป็นผลให้ตัวเองได้รับเสวยผล ปริภุญชิตสามีติ เดี๋ยวนี้อธิบายกันไม่ได้ถ้าอาตมาไม่มาเกิดมาอธิบายสิ่งเหล่านี้ก็หมดไปเลย กลายเป็นเข้าใจผิดทำทานแล้วมีภพชาติมีอัตภาพ เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นไม่มีทางหมดสิ้นกิเลสหมดสิ้นอัตภาพได้เลย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธทุกวันนี้ มันตื่นขึ้นแล้วอาตมาพาผู้ใส่ใจแสวงหา มารับรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าที่สอนไว้เอาสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติไปปฏิบัติจนเกิดสัมมาปฏิเวธเป็นผลเกิดขึ้น จึงได้เกิดมีอริยบุคคล เกิดขึ้นในที่นี้ เป็นอิธพรหมจริยวาโส เป็นการประพฤติพรหมจรรย์ได้ในที่นี้ในเมืองไทย ในอินเดียไม่มี เพราะฉะนั้นในอินเดียจึงเป็น อิธพรหมจริยวาโสไม่ได้ ชมพูทวีปต้องเป็น อิธพรหมจริยวาโส แล้วก็ต้องเป็นคนที่มี สุรภาโว สติมันโต ต้องเป็นคนที่รู้จักการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เป็นสติสัมโพชฌงค์หรือเป็นสัมมาสติ ที่เป็นสติที่เกิดเป็นสติอาริยะ สติ 3 อย่างมีสติปุถุชน สติกัลยาณชนและสติอาริยชน ถึงที่สุดสามารถที่จะมีสติแล้วก็รู้จักสติสัมโพชฌงค์ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ รู้จักตัวกิเลส พ้นสังโยชน์ 3 แล้วล้างกิเลสได้ เกิดปีติ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์จนถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ได้ อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้าแต่ละคำกล่าว เป็นธรรมะโลกุตระ อาตมาพูดนี้อธิบายถึงสภาวะของพยัญชนะต่างๆที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นสวากขาตธรรม ขออภัยไม่ได้ยกตัวเอง ถ้าอาตมาไม่ได้รู้ความจริงของสัจธรรมกล่าวไปก็จะเละเทะ แล้วก็ในยุคนี้ไม่มีใครจะมากล่าวอย่างนี้ ยุคที่พระพุทธเจ้ายังไม่หมดไปยังไม่เสื่อมก็ยังมีแน่นอนแต่ในยุคนี้พูดได้เต็มปาก ไม่มีหรอก นอกจากอาตมา พูดชัดๆเหมือนยกตนหยิ่งผยองอวดดี ทำไมอาตมาต้องบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ทำไมต้องบอกธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมเน้นย้ำอยู่อย่างนี้ ที่ต้องพูดเพราะโลกนี้มันไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว แล้วมันก็ไปเข้าใจเอาสิ่งที่ผิดมาเป็นสิ่งที่ถูก เช่น ไปเข้าใจว่าอรหันต์เก๊เป็นอรหันต์จริง อาตมาก็ปล่อยไว้ไม่ได้เลยบอกว่าอย่าไปงมงายกับอรหันต์เก๊ ให้มาดูอรหันต์จริงนี่ จึงต้องบอกยืนยันมันมีความจำเป็นจริงๆที่ต้องบอก ถ้าไม่บอกให้เดากันเองก็จะมีแต่อรหันต์เดา แล้วเขาจะไม่เดาตามที่อาตมารู้ เขาจะเดาตามมิจฉาทิฏฐิอรหันต์ปลอมอรหันต์เก๊ เขาก็จะโง่งมงายอยู่อย่างนั้น อาตมาจึงจำเป็นต้อง ว่าเฮ้ย อย่าไปหลงกับอรหันต์เก๊ มาติดตามอรหันต์จริงที่นี่อันนั้นไม่ใช่ จึงต้องปักหมุด จึงต้องบอกสิ่งเหล่านี้ มันเป็นความจำเป็นที่สุด ไม่มีทางเลือกจึงต้องพูด คนที่มาเข้าใจจุดอย่างนี้เขาก็จะบอกว่าทำไมอยากอวดตัว ซึ่งมันไม่ใช่เลย ฟังภาษาไทยเป็น ฟังดีๆ อย่าเอาอะไรมาพรางความเข้าใจวิจัยวิจารณ์ อาตมาทำงานมาจนถึงทุกวันนี้แล้ว ก็ได้กอบกู้ศาสนาขึ้นมาได้พอสมควร อาตมามาเห็นผล ก็เลยบอกว่าอย่างนี้ดี มันควรจะต้องพยายามลากสังขารชีวิตต่อไปอีก หมดเวลาแล้ว Category: ศาสนาBy Samanasandin16 กรกฎาคม 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรมสำมะปี๋ซี่วิต Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:620715_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 58NextNext post:620717_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เทวนิยมกดข่มจมกับ 2 ที่ตีไม่แตกRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024