620721_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เปิดเผยสัตบุรุษที่มาสืบทอดสาธารณโภคี
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/11KXF_OR3kNVTyRU_3TFnzV2TqvFrT80XJfw7__AV0pE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ ..https://drive.google.com/open?id=1lELaKxmVxxW4rgIBQG8cas9iy7hk-vxs
คบสัตบุรุษให้บริบูรณ์เป็นต้นทางแห่งวิชชาและวิมุติ
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้เป็นช่วงเข้าพรรษา ชาวพุทธก็จะมาเข้าวัดปฏิบัติธรรมถือศีล โดยทั่วไปก็ทำตามกันไป แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ได้แต่เอาของไปถวายพระแล้วก็จบกัน ส่วนผู้ที่ปฏิบัติธรรมสูงขึ้นมาก็รู้จักการทำทานเสียสละแบบกัลยาณชน แต่ไม่สามารถลดละกิเลสตัวเองได้ ถ้าปฏิบัติแบบอาริยชน ก็จะมาฟังธรรมจากสัตบุรุษ พ่อครูเคยกล่าวไว้ว่า มาวัด 7 วัน 1 ครั้ง ก็ถือว่าเลวแล้ว พ่อครูมาแสดงธรรมอย่างกระฉับกระเฉงกระชุ่มกระชวย แต่คนฟังก็ชักหรี่ลงๆ ดูซิว่าคนฟังกับคนเทศน์อย่างไหนจะกระชุ่มกระชวยกว่า
พ่อครูว่า…จริงๆ คุณเห็นผมกระฉับกระเฉงอยู่ไหม มีฉันทะเป็นมูลกาเป็นรากเป็นต้นเค้า
สมณะฟ้าไทว่า…คบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ แล้วก็ต้องฟังธรรมให้บริบูรณ์ ไม่ใช่สักแต่ว่ามาฟังแต่ในจิตวิญญาณส่งไปไหนไม่รู้มีกามพยาบาทเพียบหรือไปอยู่กับการงานเสียอีก มันก็ฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง ไม่concentrate ไม่ฟังธรรมบริบูรณ์นั้นเอง เหมือนสมัยโบราณแม้ว่าไฟจะไหม้บ้านก็ขอฟังธรรมให้จบก่อน ไม่กังวลเลย จะกล่าวไปถึงงานหรือสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา เป็นของส่วนกลางหมดเลยทั้งนั้น
พ่อครูว่า…ถ้าคนที่มีธรรมะเห็นสำคัญขนาดนั้น ไฟจะไหม้บ้านก็ไม่ไปเราจะฟังธรรมเอาธรรมะนี่แหละ คนนั้นรับรองว่าแน่จริงๆ บรรลุจริงๆ
สมณะฟ้าไทว่า…เราทำงานส่วนกลางแท้ๆ แต่ไม่ตัดใจมาฟังธรรม ฟุ้งซ่านไปกับอนาคตจมไปกับอดีต เราต้องมาอยู่กับปัจจุบัน บรรลุธรรมท่ามกลางการแสดงธรรมนี่ได้เลย เหมือนยุคพระพุทธเจ้าที่เทศน์ไปแล้วคนเป็นพระอรหันต์กันหมดเลยเป็นต้น ก็เอาอรหันต์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเบื้องต้นก่อนให้ได้
พ่อครูว่า..ฟังธรรมไม่บริบูรณ์ก็จะโยนิโสมนสิการไม่บริบูรณ์ ทำใจในใจไม่บริบูรณ์ ขอพูดเลยว่าเถรสมาคมสอนให้ทำใจในใจได้ไม่บริบูรณ์ ไม่เข้าใจการทำใจในใจอย่างชัดเจน มันกลายเป็นเรื่อง ไปนั่งหลับตามันทำใจในใจให้บริบูรณ์ไม่ได้ ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจครบพร้อมทั้งภายนอกภายใน ครบโลกครบอัตตา
สมณะฟ้าไทว่า…หากเราทำได้บริบูรณ์อย่างที่พ่อครูบอกเราก็จะลดละกิเลสได้ หลังฟังเทศน์แล้วก็จะไปมีสติสัมปชัญญะรู้ว่าตัวเองมีกิเลสอยู่หรือไม่ เราต้องจัดการกิเลส ทำได้แล้วกรรม3 ก็จะบริสุทธิ์บริบูรณ์เต็มที่ มีสติปัฏฐานที่รู้จักกาย มีสติสัมโพชฌงค์ที่จะทำลายกิเลสในขณะปัจจุบัน มีธรรมะวิจัย ซึ่งมันไม่ง่ายนัก ทำได้ก็จะใกล้จะบรรลุธรรมไปสู่วิชชาและวิมุติ
พ่อครูว่า..หากทำเป็นลำดับไม่รู้จักกาย
กายเป็นโลกุตระทำข้อแรกพิจารณากายเข้าไปในกาย พิจารณาเวทนาในเวทนา แยกเวทนาในเวทนา ก่อนจะไปถึงจิตในจิต
สมณะฟ้าไท…หากเราฟังธรรมพ่อครูจะปฏิบัติได้อย่างเป็นลำดับไม่สับสน แม้จะพูดกลับไปกลับมาก็ไม่สับสน หากเรามีสภาวะแล้วไม่สับสน นอกจากเรารู้ตามไม่ทันก็ปีนต้นไม้ฟังเอาเท่านั้น ฟังวันนี้ไม่รู้ ฟังวันอื่นก็จะต้องรู้ ชาติหน้าก็จะต้องรู้
พ่อครูว่า…เริ่มด้วย sms
_เพชรดินฟ้า – ได้ยินว่า “การเป็นรัฐบาลหลายพรรค และเสียงปริ่มน้ำ เป็นจุดอ่อน”
แต่ผมว่า น่าจะเป็นจุดแข็ง เพราะเป็นโอกาสให้ทุกพรรคได้ผนึกกำลังทำงานเพื่อประเทศชาติ จะเกิดความปรองดองแท้จริง
สำคัญว่านายกลุงตู่จะสามารถ”บริหารความขัดแย้ง”ได้ดีแค่ไหน ?
-บุคคลที่บริหารความขัดแย้งได้ดีที่สุดคือพ่อครู
“คนที่อยากชกหน้ากัน ก็ทำงานร่วมกันได้”
นี้คือ”จุดแข็งของสาธารณโภคี”
คนดี คนเก่ง ที่แตกต่าง หลากหลาย สุดขั้ว ทั้งแนวคิด การศึกษา รสนิยม ความชอบ ความถนัด สุดโต่ง ทั้งทางปัญญา ทั้งทางเจโต แต่สมานอัตตาได้ เป็นกระบวนการกลุ่มที่พัฒนาจิตวิญญาณได้เห็นผล
-ถ้าทีมงานนายกลุงตู่ ได้มาเรียนรู้สิ่งนี้ จะเป็นช่วยเสริมหนุนได้ดีที่สุด
……พ่อครูเห็นว่าอย่างไรครับ ?
…….และผมสงสัยว่า อันนี้เป็น “สาธารณโภคี ด้านรัฐศาสตร์” ที่พ่อครูพูดถึงหรือไม่ อย่างไรครับ ?
พ่อครูว่า..Champion ที่จะเก่งจะต้องมีรองแชมเปี้ยนที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน คนดูก็ดูอย่างมัน Champion ที่ยิ่งใหญ่ รองแชมป์เปี้ยน ก็มีฝีมือยอดเยี่ยม ถ้าใครชนะขึ้นมาแล้วก็เป็นแชมป์เปี้ยนแห่ง Champion มันยอดเยี่ยมเลย ลุงตู่ฟังให้ดีๆ อาตมาไม่ได้เล่นการพนันนะ ถ้าเล่นก็แทงหมดตัวเลยนะ
การบริหารความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งสำคัญ อาตมาดูจากสภาวธรรม ตอนนี้การบริหารภายในประเทศ ลุงตู่บริหารประเทศได้ดี บริหารความขัดแย้งได้สบายไม่ยากสงบเรียบร้อยดีมากเลย เป็นแต่เพียงว่า มีหมานอกโลกไปเห่าอยู่ข้างนอกเท่านั้นเอง แล้วพวกตระกูลเดียวกันก็ขานรับตาม มีเสียงเท่านั้นในประเทศไทย เห็นสภาพชัดไหม เท่านี้เอง
SMS วันที่ 19 กรกฎาคม 256
ชาวอโศกปลูกหรือใช้กัญชาจะผิดศีลหรือไม่
_3867บวรอโศกทุกพุทธสถานผลิตสมุนไพรพื้นบ้านปรุงยาโบราณพื้นเมืองผ่านมาตรฐานอย.ฯ ถ้ากัญชาเสรีผ่าน ญตธ.จะปลูกกัญชาผลิตยารักษาผู้ป่วยจะผิดศีลข้ออบายมุขไหม?ชาวพุทธอโศกชนกลุ่มน้อยแม้ทานมังสะวิรัติก็ยังมีวิบากโรคภัยจะได้เอามารักษาอยู่ยืนยาวได้!
พ่อครูว่า..ถ้ากฎหมายกัญชาเรียบร้อย มีหลักเกณฑ์มีอะไรเรียบร้อยกฎหมายนี้ผ่าน การปลูกก็อยู่ในกฎหมาย ได้ เพราะของดีในพืชพันธุ์ธัญญาหารในธรรมชาติ ไปแย่งหน้าที่กัญชาได้อย่างไร กัญชาเอามาได้เฉพาะวิเศษ กัญชาเป็นสิ่งที่จะใช้ เป็นธาตุที่กัญชาทำได้ พูดอย่างอื่นมันทำไม่ได้เท่ากัญชา ตัวนี้มันเป็นการสังเคราะห์จากธรรมชาติไม่ใช่สารเคมี เราเอามาใช้ได้อย่างสัดส่วน เราต้องมีความรู้ในการใช้ก็เกิดประโยชน์เพราะมันมีประสิทธิภาพจริง เช่นยกตัวอย่างเอามาใช้แล้วบรรเทามะเร็งได้อย่างนี้เป็นต้น บรรเทาปวดนั้นเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว บรรเทาโรคอื่นมันก็ทำได้ ข้อสำคัญมันมีฤทธิ์ข้างเคียง ที่คนเอาไปใช้เสพติดมึนเมา เหมือนกับเห็ดเมาเหมือนกับเหล้า เหมือนกับยาเสพติดอีกหลายอย่างเขาก็เลยจำเป็นต้องควบคุมดูแล ถ้าหากกฎหมายออกมาแล้วก็ใช้ได้
_1561กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพครับ จิต กับ เจตสิก ต่างกันอย่างไรครับ แล้ว จิต เจตสิก รูป นิพพาน มีความสำคัญอย่างไรที่เราต้องศึกษาครับ ขอบคุณครับ และขอเป็นกำลังใจให้พ่อครูครับ
_2166ตอนสังคายนาครั้งแรกท่านพระมหากัสปท่านเป็นเพียงนั่งเป็นประธานมิใช่หรือครับพ่อท่าน ผมฟังดูแล้วพ่อท่านสมัยนั้น (ในปรางพระสมณโคดม)พ่อท่านกับพระมหากัสปคงอยู่กันคนละก๊ก ใช่ไหมครับ?
พ่อครูว่า..ไม่ใช่อยู่คนละก๊กเลย แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย พระกัสสปะก็ทำงานไปส่วนอาตมาในยุคนั้นตายไปแล้ว
เมตตากับกรุณามีนัยต่างกันไฉน
_เฉลิมชัย ล้อลีลา โลกภาคกลางวัน กับ กลางคืน สลับช่วยกันทำหน้าที่หรือทำงานปล่อยคลื่นพลังงานย่านความถี่รักเมตตาให้ระบบโลก ดั่งคำตรัสของพุทธองค์ที่ตรัสว่า”เมตตาธรรม คํ้าจุนโลก” ครับ ถูกต้องไหม ทำไมไม่ใช้คำว่า กรุณา
พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าตรัสเช่นนั้นก็ถูกต้องสิ สภาวะของเมตตากับสภาวะของกรุณาก็ต้องต่างกัน คำว่าเมตตากรุณาถ้าไม่เข้าใจสภาวะที่มีนัยต่างกันแล้วคุณจะใช้สลับกัน
เช่น เมตตา เขาแปลกันว่าเห็นคนอื่นทุกข์ก็อยากให้เขาพ้นทุกข์ เขาแปลความกรุณาว่าอยากให้คนนี้มีสุข ที่จริงความสุขกับความทุกข์มันอันเดียวกัน ถ้าคุณแก้แล้วล้างเหตุแห่งทุกข์ก็เป็นสุขสุดยอด ยิ่งเข้าใจความสุขความทุกข์ที่เป็นอนัตตามันไม่มีตัวตน มันเป็นอุปาทานที่คุณไปยึดเข้าไว้ สูงสุดกว่านั้นมันเป็นเทวะสุขกับทุกข์ พระพุทธเจ้าทำลายเทวดาทำลายความสุขความทุกข์ทิ้งได้เลย โลกอยู่กับความสุขความทุกข์ตีความสุขความทุกข์ไม่ได้ดับความสุขความทุกข์ไม่ได้ มีแต่ศาสนาพุทธทั้งนั้นที่ดับความสุขความทุกข์ได้
พระเจ้าคือแดนสุขเป็นแดนสุขาวดี ศาสนาเทวนิยมจะต้องไปอยู่กับพระเจ้าจะต้องทำให้พระเจ้ารักถูกต้องตามพระเจ้าบัญญัติ แล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าเป็นสุขนิยมนิรันดร นี่คือศาสนาเทวนิยมทั้งโลก มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ดับพระเจ้าดับความสุขความทุกข์ดับโลกหมดอัตตา แตกธาตุของตัวเองเป็นอุตุธาตุไปเลย นี่คือสุดยอดของศาสนาพุทธ
อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 จึงรู้ชัดเจนสิ่งเหล่านี้พูดด้วยความรู้ของตัวเองที่ได้ศึกษาตามพระพุทธเจ้ามา เพราะฉะนั้นเทวนิยมทุกวันนี้ จะมีความกระจายกระจุย ตีแตกแยกแยะไม่เต็มที่ ไม่เข้าใจให้ได้ว่าทุกวันนี้เทวนิยมครองโลก อเทวนิยมนี้มีน้อยแต่แม้จะฟื้นได้ในยุคนี้ ในยุคของพระพุทธเจ้านั้นมีปริมาณเยอะท่านมีบารมี แต่อาตมามาสมัยนี้ทำหลังจากมันเสื่อมไปแล้วตั้ง 2,500 กว่าปี ต้องมาซักล้างมาขัดเกลา มาดึงขึ้นมาจากใต้ทะเล 500 โยชน์ทั้งหนักทั้งเหนื่อยลำบากลำบน
สรุปแล้ว เมตตาอาตมาไม่ได้แปลอย่างที่ท่านแปลกัน ความสับสนในพยัญชนะกับสภาวะมีเยอะมาก เขาเข้าใจสภาวะยังตื้นๆผิดไม่เข้ารูปนามของศาสนาพุทธ
เมตตาธรรมค้ำจุนโลกไม่ใช้คำว่ากรุณาเพราะว่าคำว่ากรุณามันเป็นอีกคำหนึ่งความหมายอีกอย่างหนึ่ง เมตตามันต้องการให้เขาพ้นทุกข์ แล้วแปลว่ากรุณาคือการทำให้เขาเป็นความสุขนั้นมันอย่างเดียวกัน กรุณานั้นแปลว่าการกระทำ เมื่อเห็นเขาทุกข์ก็ลงมือช่วยเขาทำ ช่วยให้สำเร็จให้เขาพ้นทุกข์ให้เป็นสุขให้ได้ เมื่อเขาพ้นทุกข์มีสุขแล้วก็มุทิตา ยินดีด้วยนะ ยินดีไม่มีปัญหา มีพ่อชื่อบังเอิญมีแม่ชื่อบังอร เอามาอธิบายเป็นธรรมะได้ดีเหมือนกันนะ
แม้ช่วยคนอื่นเขาได้ดีแล้วก็เลิกอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในความยินดีอย่าไปติดในความดี อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในดีนั้นเป็นเราเป็นของเรา เราทำได้ดีแล้วก็เลิกล้มจบไม่มีอะไรอีก 0 นั่นคืออุเบกขา
บุญเป็นนักฆ่าผู้ร้ายที่สิริมหาทุกปัจจุบัน
_2166 พ่อท่านครับ! ผมว่าเขาแปลคำว่าบุญเอาไว้ดีใจความชัดเจน เหมาะสม น่าฟังว่า”การชำระล้าง” ส่วนพ่อท่านมาแปลฟังแล้วมันน่ากลัวจังเลยครับ เปรียบเหมือนบุญคือพระเอกแต่พ่อท่านมาพูดให้บุญเป็นผู้ร้าย???
พ่อครูว่า..บุญคือการชำระจิตสันดานให้สะอาดปราศจากกิเลส สะอาดจากกายกลิซึ่งเป็นตัวโทษตัวภัยของจิต บุญนั้นเกิดในปัจจุบัน บุญจึงไม่มีอะไรจะเกิดได้นอกจากปัจจุบัน และไม่ไปตกค้างอยู่ในอดีต แม้ในปัจจุบันทำหน้าที่เสร็จมันก็จบไปแล้ว แล้วจะไปให้เป็นอดีตที่สะสมบุญไม่ได้หรอก ถ้าบุญยังเป็นสมบัติเป็นอนาคตได้ สั่งสมเป็นคลังบุญได้แล้วมันจะมีอะไรที่เป็นศูนย์ อดีตก็ยังมี อนาคตก็ยังเอา แล้วเมื่อไหร่มันจะเป็นศูนย์เมื่อไหร่จะเป็นนิพพาน
พูดถึงคุณสมบัติของบุญนั้นยากจะเข้าใจได้ พยายามอธิบายมาจนถึงวันนี้พวกเราเข้าใจกันบ้างหรือยัง
บุญเป็นนักฆ่าเป็นผู้ร้ายแต่เขาทำอย่างสิริมหามายา คือทำดีอย่างยิ่งใหญ๋ หากไปเรียกดีคนก็อยากได้เป็นสมบัติเพราะคนเข้าใจว่าเป็นสมบัติไม่เข้าใจว่าศูนย์ ทุกอย่างเขาเข้าใจว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็น แต่บุญนี้ไม่ต้องได้ต้องมีต้องเป็น เป็นสิ่งที่ต้องทำในปัจจุบันเอามาชำระกิเลสได้ สร้างไม่เป็นก็ไม่เกิดไม่สร้างก็ไม่เกิดสร้างเป็นแล้วทำลายกิเลสทันที ทำลายเสร็จแล้วก็เลิก ทำงานทำลายกิเลส ในปัจจุบันนั้นขาดไปแล้วมันก็ไม่มีอีก
หากเข้าใจว่ายังมีอยู่ก็เป็นส่วนที่ค้าง ในอดีตต่อไปในอนาคตยังมีอีก หากว่าหมดไปแล้วก็จะทำบุญไม่เป็นทำบุญไม่เป็นแล้วอรหันต์ลืมไปแล้ว
_สู่แดนธรรมว่า…จริงๆแล้วบุญเป็นพระเอก แต่พระเอกใช้บุญเป็นอาวุธ พระเอกใช้น้ำกรด ไม่ใช่น้ำมนต์
พ่อครูว่า…ที่จริงอาวุธเป็นเครื่องมือของพระเอก พระเอกเอาน้ำกรดไปล้างบาป บาปก็เลยเปื่อยเลย
_ภาณุ 168 • สัมมาอาริยมรรคมีองค์ 8 พุทธเจ้าบอกทำสัมมาทั้ง7 แล้วจึงเกิดสัมมาสมาธิ
แต่พวกมิจฉาทิฏฐิคิดว่านั่งสมาธิ แล้วจะเกิดสัมมาทั้ง7…
พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าให้สัมมาทั้ง 7 แล้วจะเกิดสัมมาสมาธิในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 253 มหาจัตตารีสกสูตร
อาริโยสัมมาสมาธิเป็นไฉน พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าสัมมาสมาธิของพระพุทธมีมรรคทั้ง 7 องค์ เป็นเหตุเป็นบริขารที่จะปฏิบัติให้เกิดสัมมาสมาธิ
[๒๕๓] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมา-
*สมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ
แต่พวกมิจฉาทิฏฐิดันไปบอกว่า นั่งสมาธิแล้วจะเกิดสัมมาทั้ง 7 จะบ้าไปหรือ บอกว่าไปนั่งสมาธิแล้วศีลจะสะอาดบริสุทธิ์เอง ปัญญาจะเกิดเอง อย่างนี้ไม่รู้จะพูดกันอย่างไร
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก บุญไม่ใช่ของดี แต่ผลของบุญที่ทำลายกิเลสลงแล้วต่างหากที่เป็นของดีใช่มั๊ยครับ กราบพ่อครูด้วยความเคารพ รัก ครับ
พ่อครูว่า..ถูกต้องแล้วชัดเจนขึ้นพวกเรา มันละเอียดในสภาวะ 2 ทุกวันนี้ไปเข้าใจหัวเป็นตีน ตีนเป็นหัว เอาหัวเดินต่างตีน ไม่รู้จะพูดกันอย่างไรแล้ว อันนี้ก็ไปห้ามไปบังคับเขายาก เขาต้องมีภูมิปัญญาเข้าใจรายละเอียดของเทวะ สภาวะ 2 นี้ต้องแยกให้ถูก ว่าเมื่อไหร่พูดถึงสภาวะว่าเมื่อไหร่พูดถึงพยัญชนะต้องชัดเจนยิ่งพูดอะไรแล้วยิ่งพูดละเอียดมันก็ยิ่งเล็กละเอียด ยิ่งเปลี่ยนแปลงพูดไวมันก็เลยงงสับสน เลยไปไม่ออกเลย ต้องชัดเจนตรงนี้
ย้อนที่ค้างเอาไว้เมื่อกี้นี้ว่า
ล้มละลายเพราะยึดพยัญชนะประชาธิปไตย
-ถ้าทีมงานนายกลุงตู่ ได้มาเรียนรู้สิ่งนี้ จะเป็นช่วยเสริมหนุนได้ดีที่สุด
……พ่อครูเห็นว่าอย่างไรครับ ?
…….และผมสงสัยว่า อันนี้เป็น “สาธารณโภคี ด้านรัฐศาสตร์” ที่พ่อครูพูดถึงหรือไม่ อย่างไรครับ ?
พ่อครูว่า..สาธารณโภคีนั้นมีทุกด้าน ด้านรัฐศาสตร์ด้านเศรษฐศาสตร์ด้านสังคมศาสตร์ก็มีสาธารณโภคีก็คือทุกคนไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ส่วนรวมทำแล้วก็อยู่ร่วมกันกับส่วนรวมอย่างเต็มใจอย่างเข้าใจ อย่างไม่เห็นแก่ตัวอย่างมีความมักน้อยสันโดษ แล้วก็เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรเป็นคนที่ขัดเกลาตามวรรณะ 9 อย่างที่จริงเลย
เพราะฉะนั้นที่บอกว่า รัฐบาลหลายพักมีเสียงปริ่มน้ำเป็นจุดอ่อน อาตมาก็บอกว่ามีเสียงปริ่มน้ำนี้ดีมันลองของ มันเป็นจุดอ่อน คุณเพชรดินฟ้าบอกว่าเป็นจุดแข็งที่เป็นพยัญชนะภาษาว่าคนนี้มองเห็นว่าเป็นจุดอ่อน เพราะเขาเองรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ จะทำให้เกิดความเสียหายได้ง่าย แต่อีกคนหนึ่งบอกว่านี่แหละเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ระมัดระวังอย่าประมาทอย่าดูถูกใครจะต้องทำให้ดีที่สุด แล้วสิ่งที่บกพร่องมันจะได้ไม่เกิดได้ มันเป็นเรื่องของความท้าทายเป็นเรื่องของความสำคัญเป็นเนื้อหาสาระของความเจริญของมนุษยชาติ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพราะฉะนั้นในยุคนี้ประชาธิปไตยของไทยเป็นประชาธิปไตยที่เจริญมากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพราะฉะนั้นสังคมประเทศไทยจึงชัดเจนที่สุดเลยว่า
ฝ่ายค้านที่เหลืออยู่นี้คุณอภิสิทธิ์ลาออกไปแล้วจึงเหลือฝ่ายค้านที่เป็นสาระ ส่วนอภิสิทธิ์นั้นเป็นฝ่ายค้านที่ไปหลงภาษาทฤษฎีความหมาย ที่มันผิดเพี้ยนไปจากสภาวะออกไปไกลๆ เขาหลงอย่างนั้นแล้วไม่ประสบผลสำเร็จจึงได้ล้มละลายตัวเอง ที่ไม่สำเร็จและเมืองไทยไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด คุณก็เลยทำไม่ได้ คุณจะเอาฝาเอาตัวมาใส่กันไม่เข้ากันเพราะเข้าใจผิดฝาผิดตัวของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคุณได้แต่บัญญัติภาษา แม้จะจบจาก oxford จบจากประเทศอังกฤษที่เป็นตัวตั้งต้นของประชาธิปไตย แต่มันนานปีมาความยึดถืออุปาทานในบัญญัติกับพยัญชนะกับสภาวะมันผิดเพี้ยนไป ก็เลยได้แต่พยัญชนะ เหมือนกับผู้รู้ในประเทศไทยที่ติดยึดในพยัญชนะไม่เข้าใจสภาวะ อาตมาเป็นคนมากอบกู้ศาสนาเอาสภาวะและพยัญชนะมา แต่มันไกลห่างจากพยัญชนะและสภาวะที่เขายึดถือกัน เขาเข้าใจอาตมาไม่ได้แต่อาตมาก็จะทำงานไปเรื่อยๆ ผู้ที่คัดค้านนั้นอาจจะตายก่อนแล้ว ตายทางธรรมะคือตัวเองยังไม่ได้ตายทั้งร่างกายแต่น้ำยาในการต่อสู้ ต้องระงับต้องหยุดจนสุดท้ายร่างกายก็ตายไปด้วยในอนาคต
มิตรดีพาให้ทำใจในใจพ้นทุกข์ได้
มิตรดีเป็นข้อแรกของสุริยเปยยาล 7
มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี 3 ความหมายนี้ แต่ท่านแปลจากพระบาลีว่ากัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก
ท่านแปล กัลยาณมิตโต แปลว่ามิตรดี กัลยาณสหาโย ก็แปลว่าสหาย แต่สัมปวังโก เขาแปลว่าเพื่อน ก็เลยทำให้งงว่า เพื่อน กับมิตรสหาย มันเหมือนกันหรือไม่
อาตมาแปล มิตรนี้ เป็นสภาวะของจิตวิญญาณแท้ๆ ส่วนสหาโย แปลว่าร่วมประโยชน์ สห แปลว่า อายะ แปลว่าประโยชน์เป็นการรวมประโยชน์กัน
นักการเมืองทุกวันนี้เป็นแต่เพียงคบกันด้วยสหาย ไม่ได้ทำความบริสุทธิ์อย่างมิตโต อย่างมิตโตคือด้านจิตวิญญาณ แม้จิตที่สงบเป็นมุทุธาตุก็รวมอยู่ที่จิตวิญญาณทั้งนั้นเลย
พระพุทธเจ้าตรัสเช่นนี้ ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตนี้เป็นมิตรสหายดีของเธอทั้งหลาย และตรัสอีกว่าต้องคบหาสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังสัจธรรมจากสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ถึงจะมีศรัทธาที่บริบูรณ์ จึงจะเกิดมีมนสิการ มีการทำใจในใจได้อย่างโยนิโส เป็นการทำโยนิโสมนสิการ แต่ว่าการทำใจในใจได้อย่างถ่องแท้แยบคายบริบูรณ์
โยนิโสแปลว่าเป็นปัญญา มนสิการ เป็นเจโต
มนสิการคือจัดการกับจิตให้เป็นไปตามโยนิโส หรือปัญญาท่านถึงบอกว่า โยนิโส จ มนสิกโร จ ท่านจึงแยกกันให้รู้เหตุที่กิเลสที่อยู่ในใจให้ล้างออกไปให้ถ่องแท้ด้วยดับเหตุคือสมุทัย
สมุทัยในมูลสูตรคือการผัสสะ ส่วนสมุทัยในอาริยสัจ คือตัณหา คือเหตุแห่งทุกข์ แต่การปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ไม่เข้าใจสมุทัยในการปฏิบัติคือ ผัสสะ ก็เลยไม่ได้พ้นทุกข์ ไม่เดินตามมูลสูตร 10
ศาสนาพุทธที่หลับตาทิ้งผัสสะภายนอก 5 ทวารออกไป จึงล้มเหลวหมดเลยศาสนาพุทธ อาตมาพูดจนไม่รู้กี่ที ประกาศตนว่าเป็นสัตบุรุษ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้คบสัตบุรุษฟังธรรมจากสัตบุรุษแปลว่าจะมี อัตถิโลเก ..แต่เขานัตถิโลเก สมณะพราหมณ์ เขาก็คิดว่าในยุคนี้ไม่มีสัตบุรุษแล้ว ผู้ประกาศตนเองว่าบรรลุเท่ากับผู้นั้นไม่บรรลุ ผู้รู้ที่นับถือกันในประเทศไทยประกาศอย่างนี้เลย เขาก็เชื่อผู้รู้คนนี้กันแล้วก็ได้หลงเชื่อตามกันไปแล้วจึงน่าสงสารมาก เมื่อสัตบุรุษตัวจริงมาประกาศความจริงก็ถูกหาว่าไม่ใช่สัตบุรุษ เพราะว่าผู้นั้นไม่รู้จักสัตบุรุษ ในอัตถิโลเก ในโลกนี้ขณะนี้มีสัตบุรุษ เขาก็เชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีแล้ว ไม่เหลือเลยสัตบุรุษหรือเชื่อว่าฉันเองเป็นสัตบุรุษ แต่ถ้าเป็นสัตบุรุษคุณก็ต้องรู้จักสัตบุรุษ เมื่อสัตบุรุษตัวจริงมาประกาศคุณก็ต้องรู้จักสัตบุรุษตัวจริง แต่ถ้าคุณไม่รู้จักสัตบุรุษตัวจริงคุณนั้นจริงหรือว่าสัตบุรุษตัวจริงเป็นตัวจริงกว่ากัน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้ประชาชนฟังธรรมทั้งสองข้าง แล้วก็ตัดสินเองว่าข้างในเป็นธรรมวาทีข้างในเป็นอธรรมวาที ตัดสินผิดคนก็ได้ตัดสินถูกคุณก็ไม่ได้ นี่คือความแปลกของพระพุทธเจ้าไม่บังคับใครเลย ทุกคนมีอิสระที่จะไปฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างไม่ทะเลาะกัน มีแต่ขัดแย้งกัน ต่างคนต่างบอกว่าของตัวเองถูกแล้วก็คัดค้านของคนอื่นได้ปฏิกโกสนา ท่านประยุทธ์ปยุตโตแปลว่าคัดค้านอย่างจัง ปฏิกโกสนา นี่นะ อาตมาก็กล่าวคัานอย่างจัง แต่จะให้ไปอักโกสะไปด่าว่าติเตียนไม่ได้ แต่กล่าวสัจจะ อธิบายอย่างแรงเสียงคอจะแตกอย่างไรก็ได้
สมณะฟ้าไท นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ พ่อครูแสดงธรรมอย่างเต็มที่ เปรียบว่าเป็นคนขับรถที่แข็งแรงมาก
พ่อครูว่า..ความเป็นสัตบุรุษจะปรากฏขึ้นได้ไม่ง่ายเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในจักร 4 หรือในปัญญาวุฑฒิ 4 ก็ตาม ก็ต้องคบสัตบุรุษ ประเด็นอยู่ที่ว่า ใครตาดี ส่วนคนตาถั่วตาบอด เหมือนกับกามนิตหนุ่มไปตามหาพระพุทธเจ้านอนคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืน สุดท้ายตื่นขึ้นมาก็บอกว่าคุยกับท่านสนุกดีมากเลยตอนนี้ผมจะไปพบพระพุทธเจ้าแล้ว กามนิตก็ไปตามหาพระพุทธเจ้าต่อไป เป็นอย่างนั้นน่าสังเวชใจ อาตมาไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรม แต่อาตมามีอุตริมนุสธรรมจริงแล้วก็พูดความจริงไม่ได้อยากอวดเลย เขาก็เข้าใจไม่ได้ เขาก็ยังเชื่อว่าอาตมาไม่จริงไม่บริสุทธิ์พูดอะไรผิดเพี้ยนโกหกหลอกลวง เพ่งโทษ เชื่อบ้างไม่ต้องเชื่อหมดก็ได้ว่าอาตมาเป็นคนจริงแล้วมากล่าวความจริง และมาสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ไม่ได้เป็นของปลอมอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าจะมีสัตบุรุษมาสืบทอดศาสนา มามีสัมมาทิฏฐิ 10 สัตบุรุษจึงจะรู้จักสัมมาทิฏฐิ 10 และเอาสัมมาทิฏฐิ 10 มาอธิบายให้คนเข้าใจ
ทานที่มีผลเป็น อัตถิทินนัง เป็นอย่างไร
ยิตถัง พิธีกรรมต่างๆที่มีผลเป็นอย่างไร การปฏิบัติศีลพรตที่ถูกต้องเป็นอย่างไรก็เอามาแนะนำขยายความ ไม่ใช่สีลัพพตุปาทานหรือสีลัพพตปรามาส ซึ่งหาได้ยากในเถรสมาคม แล้วสีลัพพตปรามาส เขาก็ไปแยกกระบวนการของศีลสมาธิปัญญาซึ่งแยกกันไม่ได้
แต่คนไปปฏิบัตินั่งหลับตาไม่เกี่ยวกับสัตว์ไม่รู้จักสัตว์แล้วคุณจะรู้จักกิเลสได้อย่างไร สัตว์เดรัจฉานที่คุณกินคุณฆ่าคุณใช้ก็แล้วแต่ก็ต้องพิจารณา เอาไม่ต้องมากเอาคนก่อน
สัมผัสกับคนและเกิดความโลภความโกรธความหลงกับคนคุณก็ต้องเรียนรู้อันนี้สัมผัสอันนี้แล้วก็ล้างกิเลสตัวนี้เป็นลำดับต้น แต่คุณไม่ทำ ถ้าคุณมาเข้าใจยังที่อาตมาพูดแล้วก็มามีผัสสะแล้วดูกิเลสเกิด มันเกิดวิจัยเวทนาแยกเคหสิตะกับเนกขัมมะว่านี่คือกิเลสนี่คือจิต แยกจิตแยกกิเลสได้ สักกายะ แล้วจัดการปฏิบัติเพื่อให้กิเลสมันลดละจางคลายออกไป
ตั้งแต่กายสังขารังปัสสัมภายังหรือปัสสัมภยังจิตตสัขารัง ในอานาปานสติสูตร
ในอานาปานสติสูตร คุณจะต้องทำเริ่มต้นคือ ปัสสัมภายังกายสังขารัง แต่ถ้าคุณไปนั่งหลับตาคุณจะทำความสงบระงับ คุณก็ไม่ทำเบื้องต้นแล้วคุณเข้าไปในจิตเลย ก็ไปตัดลัดไปทำที่จิต ภาวะกายนั้นมีทั้งนอกและในแม้แต่จิตสังขารังก็มีภายนอกไม่ได้ขาดจากภายนอกนะ
พระอนาคามีท่านอยู่เหนือกามภายนอกแล้ว หลุดพ้นมีโลกุตตรจิตแล้วแต่กิเลสไม่มี กามไม่มีกิเลสภายนอกไม่มีแต่ไม่ได้หลับตา ลืมตากระทบสัมผัสสิ่งนี้อยู่แต่จิตก็อยู่เหนือมัน ไม่ใช่ว่าทำกายภายนอกแล้วก็ต้องไปนั่งหลับตาทำภายในไม่ใช่เลย ลืมตาตลอดกาลนาน แต่กิเลสไม่เกิดอีกแล้วภายนอกไม่มีแล้วมันเกิดท่านที่เหลืออยู่เป็นปริยุฏฐานกิเลส มันก็คือกิเลสที่อยู่ในติดภายในกระทบสัมผัสอันนี้แหละเป็นเหตุให้เกิดกิเลสภายในข้างนอกมันไม่เกิดอีกแล้ว ไม่ใช่มันไม่เกิดเพราะคุณหลับตา แต่ลืมตานี่แหละมันก็ไม่เกิด กระทบกระแทกแดกดันอย่างไรมันก็ไม่เกิดกิเลส คุณสำเร็จแล้วบรรลุแล้วจิตมันมีอำนาจเหนือแล้ว มีวสวัตติ มีอำนาจยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ มันเป็นเรื่องจิตเจตสิก
จิตเจตสิกของกายและเวทนา
ตอบตรงนี้ จิตกับเจตสิก ต่างกันอย่างไร
จิตก็คือรวมสภาวะของธาตุจิต คำว่า จิต คำว่า มโน คำว่า วิญญาณ สามคำนี้เป็นคําไวพจน์ synonym ที่แทนกันได้ แต่มีนัยต่างกัน
วิญญาณเป็นองค์รวมทั้งหมดของขันธ์ 5 วิญญาณแยกเป็นธาตุรู้แจกมาเป็นจิต จิตแจกเป็นเจตสิกอีกที จิตคือ พยัญชนะที่บอกอาการของวิญญาณเรียกว่าจิต แล้วอาการของจิต มันมีหลากหลายมากก็มาย่นย่อลงมาเอาทีละเจตสิกทีละคู่ๆ
เจตสิก จึงแจกออกเป็นเวทนาสัญญาสังขารต่างๆ แล้วจัดการโดยเฉพาะที่เวทนาไม่ต้องไปเยอะแยะมากมาย เพราะว่าเป้าหลักของศาสนาพุทธอยู่ที่เวทนาเป็นกรรมฐานเป็นฐานแห่งการปฏิบัติ กรรมฐานแปลว่าฐานปฏิบัติ ไม่ใช่ฐานไปสะกดจดจ่อไว้แบบเดียรถีย์ แต่จะแตกเวทนาออกเป็น 108 ของเดียรถีย์ไม่มีการแตกเป็นเวทนา 108 ไม่รู้จักเวทนาด้วยซ้ำดับเวทนาไปซะอีกตัดความรู้สึกไปเลย นิโรธ คือดับเวทนาดับสัญญาหมดเลย เขาก็แปลสัญญาเวทยิตนิโรธว่าดับสัญญาดับเวทนา นั่นคือนิโรธ
ในขันธ์ 5 นั้นมีเวทนากับสัญญาเป็นสิ่งที่รู้ 2 ตัว เทวะ ถ้าเวทนา เป็นตัวรู้สึก สัญญาก็เป็นตัวกำหนดรู้ สัญญาก็เป็นตัวนามที่จะไปรู้เวทนาเป็นรูป อาตมาใช้พยัญชนะแทนสถานะของสภาวะ
เมื่อเข้าใจสภาวะไม่ได้ จะเอาพยัญชนะมาเรียกสภาวะที่ แปะป้ายสภาวะ มันก็ไม่ถูกไม่ตรงผิดเพี้ยนหมด เพราะฉะนั้นต้องรู้สภาวะเป็นหลัก พยัญชนะนี้มันไม่เที่ยงกว่า สภาวะจริงๆนั่นมันเที่ยงนะ มันเป็นธรรมะที่ทรงอยู่ คือสภาวะทรงอยู่อย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น เป็นกุศลอกุศลเป็นโลกิยะเป็นโลกุตระ แจกเป็นเจตสิกแจกเป็นเวทนาออกไปอีกต่างหาก ขยายเวทนา 108 ดู
ถ้าไม่รู้จักเวทนา 108 ไม่เข้าใจแล้วไปปฏิบัติกระบวนการ 108 นี้ไม่สำเร็จไม่ใช่พระอรหันต์ พระอรหันต์ถ้าไม่เข้าใจเวทนา 108 กระบวนการ 108 นี้ของศาสนาพุทธ โดยเฉพาะไม่รู้จักเคหสิตเวทนา กับเทวะที่เป็นสอง กับเนกขัมมสิตเวทนา
รู้จัก เนกขัมมะ เคหสิตะ แยกสภาวะลิงคะหรือความแตกต่างของสองอย่างนี้ไม่ได้ ของเคหสิตมันเป็นอย่างหนึ่งเป็นอย่างธรรมดาโลกโลกีย์เคหะสิตะมันก็อยู่อย่างนั้น มี 18 อย่างเป็นอย่างนั้น มีคนถามในใจว่าอีก 18 เป็นอย่างไรอย่าใจร้อน ค่อยๆไป
เวทนา 2 คือกายกับจิต
กายคือองค์รวมของธาตุสองภายนอกกับภายใน ขาดจากภายนอกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวทนา 2 ตัวนี้ยืนยันชัดเจนแล้วว่า ผู้นั่งหลับตานั้นขาดภายนอก ล้มละลายไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ขาดกายภายนอก เพราะฉะนั้นคุณจะพิจารณากายคำว่ากายนี้หมายถึงภายในด้วย คุณจะไปเอาแต่ภายในไม่ได้คุณไม่มีกาย คุณไม่มีภายนอก แล้วเข้าใจว่ากายคือภายนอกเท่านั้นไปอีก มิจฉาทิฏฐิเป็นส่วนใหญ่อย่างนั้น คำว่ากาย คำนี้เข้าใจผิดด้วย ว่าเป็นหนึ่งเดียวคือภายนอกนี่ก็ผิดอีก พระพุทธเจ้าท่านจำเป็นต้องยืนยันว่า กายตถาคตเรียกว่าจิตมโนวิญญาณ
คนไปอ่านก็จะบอกว่าคนแปลนี้แปลผิดหรือไม่หรือว่าพระพุทธเจ้าพูดผิดหรือไม่ จึงน่าสงสารเพราะมันผิดเพี้ยนไปจนยึดมั่นถือมั่นผิดแล้ว อาตมาก็เอามาพูดว่ากายนี้อย่าไปโยนทิ้งภายนอกซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผิด อธิบายว่ากายต้องมีภายนอกด้วยขาดจากจิตไม่ได้ และกายก็คือจิต มโน วิญญาณ พูดมานานแล้วนะ
85 ปีนี้จึงเริ่มมีสัตบุรุษที่มาสอนให้เป็นคนจน
อาตมาต้องชื่อรัก แม้แต่คนมาฆ่ามาทำลายก็ต้องรักเขา คนที่เห็นค่าอาตมาเขาก็ตายไปหลายคนแล้วแต่ทำไมยังไม่ตายมันเป็นอย่างนั้น เข้าเป้าอีกทีหนึ่งว่า ถ้าโลกนี้คุณไม่เจอสัตบุรุษแล้วไม่ยอมรับว่าใครคือสัตบุรุษคุณก็ล้มเหลว พระศาสนาพุทธนั้นต้องได้ฟังจากสัตบุรุษคือผู้ที่บรรลุผู้ที่มีคุณธรรมที่แท้จริง ถ้าคนไม่ได้คบสัตบุรุษ คุณรู้เองไม่ได้ ศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้เอง แล้วก็มีพระสาวกมาสืบทอด จนเป็นผู้สืบทอดต่อเรียกว่าสัตบุรุษ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้วก็เหลือแต่สัตบุรุษที่จะออกมาสืบทอดธรรมะเป็นโลกุตรธรรมเป็นสัจธรรมแท้ของพระพุทธเจ้า
สมมติว่าในยุคใด เอาชัดๆในประเทศไทย ในช่วงหลายร้อยปีมาแล้ว อาจจะถึง 1000 ปี ไม่รู้นะ อาจจะหลายร้อยปีมาแล้ว สัตบุรุษไม่มีแล้วในช่วงนั้น คุณก็ไม่มีทางที่จะได้พบสัตบุรุษ เพราะสัตบุรุษไม่ได้อุบัติขึ้นมาในกาละในช่วงนั้น ไม่ต้องนานหรอก พูดง่ายๆในช่วง 85 ปีนี้ไม่มีสัตบุรุษเกิด
พอเริ่มต้น 85 ปีมาถึงทุกวันนี้มีสัตบุรุษชื่อโพธิรักษ์เกิด เกิดมาแล้วในโลกยุคนี้ 85 ปีนี้อาตมายืนยันว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษเกิดมา แล้วก็บอกความจริงออกไปสู่โลกว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษ คุณก็มองไม่เห็นว่าคือสัตบุรุษเพราะว่าคนถูกครอบงำแล้วว่าโลกนี้ไม่มีสัตบุรุษไม่มีพระอริยะแล้ว อย่าไปพูดถึงพระอรหันต์อย่าไปพูดถึงโพธิสัตว์ที่สูงส่งหรอก เขาไม่มีความรู้ พวกนี้คือพวกที่เข้าใจว่าโลกนี้ว่างจากสัตบุรุษ แน่นอนเขาก็ปิดประตูเห็นปิดประตูรู้จักสัตบุรุษในตัวเขา เขาก็เกิดมา โลกนี้ นัตถิโลเก ที่จะมีสัตบุรุษแน่นอน
ส่วนคนที่เข้าใจว่าน่าจะมีนะมีผู้พยากรณ์ว่าจะมีธรรมิกราชเกิดมาในยุคกึ่งพุทธกาลนี้นะ ตอนนี้มันก็ 2,500 กว่าปีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาเห็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 เป็นสัตบุรุษหรือเปล่า อาตมาก็เกิดมาอาตมาก็ประกาศตัวเอง ในหลวงท่านไม่ได้ประกาศตัวเองว่าเป็นสัตบุรุษแต่ท่านทรงมีพฤติกรรม มีพระจริยวัตรของท่านเป็นสัตบุรุษรับใช้ทางรูปธรรม อยู่ในฐานะที่ท่านต้องปฏิบัติทางรูปธรรม ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อาตมาเป็นธุลีดิน แล้วอาตมาก็มาอธิบายธรรมะขึ้นมา สอดคล้องเป็นอันเดียวกันกับพระเจ้าแผ่นดิน อาตมาเป็นธุลีดิน ดินเหมือนกัน แล้วมาอธิบายสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกันเช่น
ต้องมาเอาแบบคนจนตรงกันเป๊ะเลย พระเจ้าแผ่นดินตรัสมาขัดแย้งกับนักบริหารเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐกิจของประเทศ ที่บอกว่าจะให้รวย แต่ในหลวงบอกให้มาเป็นคนจน ในหลวงท่านก็ตรัสเองว่า พอบอกว่าต้องมาขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นักเศรษฐศาสตร์ก็จะบอกว่าไม่ใช่ พูดอย่างนี้ไม่ถูก ท่านตรัสอย่างสุภาพไม่เหมือนโพธิรักษ์กระโชกโฮกฮาก ในหลวงท่านสุภาพเรียบร้อยนิ่มนวล
มีรัฐมนตรีเกาหลีเป็นเพื่อนกับประธานาธิบดีอยากรู้ว่าในหลวงท่านบริหารประเทศแบบไหน ท่านก็ตรัสแบบคนจน…ไม่ติดตำรา
“แบบที่เรียกว่าทำแบบคนจน คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขา เราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำก็ทำ แนะนำได้ ทำแบบคนจน เพราะเรา เราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก แล้วไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมากมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขาเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมสูง มีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔
Concept ของคนโลกีย์ทั่วไปจะต้องก้าวหน้าให้มากจะต้องรวยกว่าคนอื่น แต่ในหลวงเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า บอกว่าเราไม่อยากเป็นประเทศที่ก้าวหน้า อย่างทั้งหลายที่โลกียเขาเป็น ไม่อยากก้าวหน้าอย่างนั้น ก็ถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมากอย่างนั้นมันจะมีแต่ถอยหลัง อันนี้สิก้าวหน้าและถอยหลังอย่างไร การก้าวหน้าอย่างนั้นมันคือการถอยหลัง ไปเอาแต่รวยๆนี่คือประเทศที่ถอยหลังต้องเอามาเป็นแบบคนจนจึงจะเป็นประเทศที่ก้าวหน้า
ท่านบอกว่าจะถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย ตอนนี้ฝากไว้ก่อนเดี๋ยวจะมาอธิบาย
…แต่ถ้าเรามีการบริหาร แบบ…เรียกว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ตำราที่จะให้ก้าวหน้าแบบอุตสาหกรรมอย่างนั้นไม่ใช่ฐานของประเทศไทย ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ ท่านก็สรุปตรงนี้ทำการกสิกรรมทำอย่างสามัคคี เราไม่สามารถสร้างองค์กรนาซ่าได้แข่งกับอเมริกาหรอกแต่ว่าทำอย่างเมตตากันก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามบัญชี ตามวิชาการแล้วก็วันหนึ่งก็วิชาการนั้นเราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอก อนาคตยังมีแต่ไม่บอกว่าต้องอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้ว มันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอะล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ
หยุดก้าวหน้าแบบอุตสาหกรรมมาข้างหน้าแบบกสิกรรมและหยุดตำราแบบทุนนิยมมาเอาตำราแบบบุญนิยมมาถ้อยทีถ้อยอาศัยแบ่งกันกินแบ่งกันใช้อย่าไปกักตุนแย่งชิง อย่าไปโลภโมโทสันอย่าไปสร้างช่องว่างระหว่างความรวยกับความจนให้ห่างกันไปอีก ชาวอโศกความรวยกับความจนใกล้กันมากเพราะไม่สะสมความรวย เพราะฉะนั้นช่องระหว่างความรวยและความจนจึงไม่เกิดไม่เกิด Gap เข้ามาหาเสียงปริ่มน้ำ
สรุปว่าการบริหารประเทศประเทศไทยดำเนินรอยตามศาสตร์พระราชาเท่าที่จะมีภูมิปัญญา อาตมานี้ขอยืนยันเลยว่าของในหลวงรัชกาลที่ 9 กับของอาตมา อาตมาก็พาคนทำจนเกิดชุมชนที่เป็นเศรษฐกิจ แบบบุญนิยม รัฐกิจก็เป็นแบบบุญนิยม สาธารณโภคีด้วย สังคมก็เป็นสาธารณโภคีแบบบุญนิยมตามแบบพระพุทธเจ้า ตามศาสตร์พระราชา แถมในหลวงที่เป็นพุทธมามกะเป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่ง อย่างถูกต้องจึงเกิดผลสังคมแบบนี้โดยปริยายและมีแก่นแกนเป็นชาวอโศก ที่ทำได้ เป็นแบบคนจนที่จริงๆขาดทุนของเราคือกำไรของเก่าจริงๆอย่างจริงใจ
คนเขาก็อาจจะไม่เชื่อ เพราะเมื่อมองเข้ามาในชุมชนสังคมชาวอโศกในหมู่บ้านชาวอโศก ทำไมดูเหมือนอุดมสมบูรณ์มีมากมาย มีความพร้อม
คนในหมู่บ้านนี้จนแต่ส่วนรวมรวย เพราะฉะนั้นถ้าหากปฏิบัติบริหารประเทศแบบเศรษฐกิจแบบคนจนแบบอโศกทำ ประเทศทำทฤษฎีแบบในหลวงถูกต้องตรงตามพระพุทธเจ้าแบบอโศก ประเทศไทยคนไทยจะเป็นคนจน เมื่อเปรียบเทียบกับต่างชาติแล้วคนไทยจะเป็นคนจน รายได้ต่อหัวจะมีน้อย จนถึง 0 ชาวอโศกมีรายได้ 0 แต่อยู่กันอย่างเป็นสุขสงบเย็น เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนที่เข้าใจได้ยากมากเลย
สรุปอีกที คนไทยจะมีคนจนเป็นฐานแต่อุดมสมบูรณ์อยู่เย็นเป็นสุข ไม่แย่งไม่ชิง เพราะว่าจิตใจมีวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายเป็นคนกล้าจนเป็นคนมักน้อยเอาแต่น้อยมีน้อยก็พอมีความสุขก็พอ
เป็นคนไม่มักมากเลย อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ แม้ว่ามีน้อยแล้วก็ขัดเกลาจนกิเลสให้เป็น 0 ไฟไหม้ยังไม่สูญก็ขัดเกลาโดยใช้หลักเกณฑ์ของศีลเคร่งครัด ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาให้กิเลสลดลงจนมีกายกรรมวจีกรรมที่น่าเลื่อมใส ปาสาธิโก จบลงด้วยการเป็นผู้ไม่สะสมเลย อปจยะ เป็นผู้ไม่สะสมเลยและเป็นคนยอดขยัน ชีวิตจบด้วยการเป็นคนไม่สะสมอย่างพวกเรานี้ทำมาหากินไป แม้เราเป็น 0 ไม่มีทรัพย์สมบัติเราก็อยู่กับส่วนกลาง เขาให้ใช้เท่าไหร่ก็ใช้เท่านี้เท่านี้ เสร็จแล้วก็สร้างสรร วิริยารัมภะ ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร ได้เท่าไหร่ก็เอามาเข้ากองกลาง 100 เปอร์เซ็นต์ กินใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด สุดยอดจริงๆเลย อาตมาต้องขอประกาศ และประกาศมานานมากแล้วจนเขาหมั่นไส้ว่าพวกนี้คุยตัวหรือไม่ แล้วไม่ให้คุยตัวจะเอาคนอื่นมาคุยได้อย่างไรเราไม่รู้ แต่ของเราเป็นอย่างนี้เรารู้จักดีแล้วก็คุยของเราไปคุยตัวมากเลย อาตมาจะเอาคนอื่นมาอวดไม่เท่หรอก เอาของตนเองมาอวดนี่แหละเท่รู้ไว้เสียด้วย หากคุณไม่มีแล้วไปยืมเขามาใส่แล้วคุณเข้าอวดไม่ใช่ แต่ของเรานะมีเท่าไหร่แล้วก็อวดเราอวดความจน เราอวดความมีน้อยเรามีน้อยเดียว ปัดโธ่เอ๋ย แหวนเพชรเม็ดเล็กนิดเดียว ทำไมเอามาอวดเราก็บอกว่าเราพอแค่นี้ จริงๆแล้วเราจะมีมากมีเยอะกว่านี้ก็ได้แต่เราพอ เพราะฉะนั้นคำว่าพอ คำว่าสันโดษคำนี้คำเดียว เดี๋ยวนี้ไม่รู้จะกินอะไรเลยกองนี้ อะไรๆก็มีมากมายเหลือเฟือขายได้อย่างถูกๆแจกจ่ายเจือจานได้
ก่อนจะขึ้นไปเวทีก็เลยพูดกันว่า จะขึ้นป้ายให้คนแถวนี้หรืออยู่ที่ใกล้ๆแถวนี้ย่านนี้ เชิญเลยนะ ราชธานีอโศกพยายามทำอะไรเอาไว้ เพื่อที่จะเผื่อแผ่เกื้อกูลใช้สอย ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาทำน้ำตกทำที่ให้พักผ่อนหย่อนใจ ซื้อกระท่อมซื้ออะไรมาวางเพื่อให้มาพักผ่อนหย่อนใจ เดี๋ยวนี้ก็มารับบริการกันพอสมควรเชิญมาเลย จะมาอาบน้ำอาบท่าก็ได้ ต้องการให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สาธารณะเลยนะแต่มันอยู่ ว่าไม่ใช่ที่สาธารณะแท้เท่านั้นเอง ต้องบอกไปว่าแม้จะไม่ใช่ที่สาธารณะ แต่ก็เปิดใจว่าคือที่สาธารณะ คุณจะมาเลอะเทอะทำนักเลงทำอุบาทว์ไม่ดีไม่งามอย่ามาเท่านั้นเอง ถ้าหากทำอย่างเรียบร้อยสุภาพมาเลยมาพักผ่อนหย่อนใจมาใช้สอยมาอาศัย
ยกตัวอย่างทำน้ำมาให้อาบให้มาโดดให้มาใช้ ผู้ใหญ่ก็ให้มาใช้ได้ แต่ผู้ใหญ่ยังไม่เชื่อยังไม่เห็นดียังไม่เข้าใจยังไม่กล้าก็เลยมีแต่เด็กเป็นส่วนใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ยังไม่กล้ามาเท่าไหร่ แต่เอาเลยผู้ใหญ่ทั้งเด็กมาได้เลย มาเลย แต่อย่ามาแต่งทูพีชวันพีชอะไร มาให้มันสุภาพเรียบร้อยหน่อย มาใช้กระท่อมก็ดีใจแล้ว ที่นี่มีคนใช้เป็นฉากถ่ายภาพพรีเวดดิ้งเลยนะ หอบเอาชุดแต่งงานมาถ่ายภาพเอาที่นี่เป็นแบล็คกราวก็ใช้ได้แล้ว เห็นในภาพคนมาเยอะยังกะหนอนเลย อาตมาว่าเป็นเรื่องอบอุ่นใจผ่านมาแล้วก็ใช้สอยเอามาใช้ประโยชน์ เหมือนกับประเทศชาติที่จะต้องสร้างสวนสาธารณะ หรือว่าที่พักผ่อนหย่อนใจสาธารณะให้แก่ประชาชนก็คล้ายกัน เราก็ทำที่สาธารณะให้แก่ประชาชนตามสถานะที่เราจะทำได้ ประกาศให้พี่ป้าน้าอาน้องนุ่งลูกหลานเชิญ หรือว่าจะมาพักผ่อนหย่อนใจก็ได้ ตอนนี้มีผู้ใช้บริการพอสมควรก็ดีแล้วเจตนาเป็นอย่างนั้นจริงๆ ประเทศชาติเขาก็ทำสวนสาธารณะให้คน อาตมาก็ช่วยประเทศชาติส่วนหนึ่ง ถือว่าเป็นสาธารณูปโภคก็ได้ เป็นการมาบริโภคสาธารณะ พวกเราก็มาใช้บริการอยู่คนข้างนอกก็มา
หรือแม้แต่ตลาดอาริยะตลาดประชารัฐอาคารบวรที่สร้างขึ้นมาเป็นอาคารที่จะให้เป็นตลาดให้ชาวบ้านชาวช่องนี่แหละมาอาศัยเป็นที่ขายของ โดยไม่ได้คิดเงินไม่ได้จะเก็บเงินทองเลยเอามาเป็นย่านตลาดให้มาค้าขายได้ จะมีวัตถุดิบมีผลผลิตอะไร ผลหมากรากไม้ของสด เป็นของแห้งก็ตาม ก็มาใช้อาศัยตลาดนี้ได้ ค้าขายได้ สร้างขึ้นมาเพื่ออย่างนั้น พวกเราเองก็ไม่ได้ใช้ค้าขายอะไรมากมายมีที่ตั้ง 11 ไร่ จริงๆแล้วมันก็รวมชั้น 2 ด้วยก็มากกว่านั้น ก็มาอาศัยใช้สอย เขียนป้ายบอกไว้แล้วว่าเป็นตลาดฟรี
แต่ที่คนไม่ค่อยเข้ามาก็เพราะเหตุว่าคนยังไม่มาเยอะมากไม่จอแจ ก็เลยไม่ได้เริ่มเสียที ต่อไปในอนาคตอาตมาก็ไม่มีปัญญาจ้างลิเกมาเล่นเรียกคนให้มาตลาด เหมือนกับข้างนอกเขาที่เขาทำ เอาลิเกมาเล่นเรียกคนเข้าตลาดจึงจะติดตลาด อาตมาก็ไม่มีปัญญาขนาดนั้น ก็อาศัยเหตุการณ์บ้านเมือง คนเราถ้าติดแล้วจะบอกว่าใครเขาก็ขับรถไป ทางนี้ไม่มีถนนตรงด้วยก็ต้องอ้อมมา ต้องเข้ามาจากกุดระงุมท่ากกเสียวต้องเข้าทางคำกลาง
ประชาชนเข้าใจเจตนาดีของเรา ก็จะเข้ามาเขาจะไม่ได้วัตถุเท่าไหร่หรอกไม่ใช่สถานที่คนรวย เป็นย่านทองย่านเงินอะไร ใกล้ชิดสะดวกไปมาในทาง 4 แพร่ง ไปสร้างมุขสี่ด้านไว้ตรงนั้นไม่ใช่ เราทำไม่ได้เพราะเราทำแบบคนจนก็ค่อยๆซื้อเก็บไป หมู่บ้านนี้อาภัพเสียจริงก็ต้องซื้อที่ทางเอง หมู่บ้านอื่นเขาก็มีที่สาธารณะของเขา แต่เราต้องมาซื้อที่รวมและซื้อที่ตัวเอง เพราะฉะนั้นแผ่นดินของราชธานีอโศกนี้ ต้องซื้อแผ่นดินมาเป็นพื้นดินของหมู่บ้านนี้
แต่พื้นดินของเราก็เป็นสาธารณะที่พวกเราเป็นเจ้าของร่วมกันหมด เป็นแผ่นเดียวกันทั้งหมดเป็นของส่วนกลางเป็นของสาธารณะ เป็นความซับซ้อนของสาธารณโภคี ซึ่งเป็นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้ง เมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่มีทฤษฎีมีความรู้หลักของพระพุทธเจ้าวันนี้ ในหลวงท่านได้ทรงงานเป็นสาธารณโภคีมาแต่เขาไม่เข้าใจ ท่านอยู่ในฐานะที่ลำบากจะแสดงสาธารณโภคีได้อย่างเต็มรูป ในยุคของพระพุทธเจ้าท่านยังแสดงสาธารณโภคีอย่างอาตมาไม่ได้ อาตมานี่มันมีโชคมาก ที่ได้มาแสดงสาธารณโภคีให้เป็นถึงขั้นเอามาให้ฆราวาสทำสาธารณโภคีได้ คนจะเข้าใจสาธารณโภคีไม่รู้ว่าอีก 50 ปีจะเข้าใจกันหรือเปล่าในโลก หรือว่าสัก 30 ปี อาตมาก็อายุ 100 กว่า ถ้าหากต่างประเทศเข้าใจสาธารณโภคี อาตมานั่งวอเลยนะ อาตมาก็คงจะแก่มากเลย ถ้าเป็น 115 ปีต่อไป ยังจะแข็งแรง Active อยู่อย่างนี้ มั่นใจว่าอาตมาจะไม่เป็นคนแก่ที่เซื่องๆเงอะงะ
คนจะต้องหันมาเอากับระบบบุญนิยม เพราะ..
-
คนทุกข์มากขึ้น สาหัสมากขึ้น เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่รู้สึกอบอุ่น ไร้ความไว้วางใจ หวาดระแวงกันมากขึ้น ทำร้ายกันรุนแรงยิ่งขึ้น ทุจริตหยาบคายยิ่งขึ้น
-
ทรัพยากรของโลกร่อยหรอลง ขาดแคลน ไม่พอกันจริงๆ พลโลกมากขึ้น
-
ไม่มีทางอื่นให้เลือกดีเท่าอีกแล้ว
-
มีตัวอย่างของสังคมที่ไปรอดในทิศทางนี้.. ให้ดูเป็นการยืนยัน ได้แล้วจริงๆ
-
ระบบบุญนิยมเป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ได้ด้วยกาละ จนคนต้องเชื่อในที่สุด