620802_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สภาวะของวิชชาจรณสัมปันโน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/11EUojzJrOgYuAA8Zg22O7asLRbfyfQo7BmIM3wz-7N8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1EgDd9VWgcgyVnWOJK-siYji0M9bB8abk
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ข่าวร้อนแรงในเมืองไทยคงเป็นเรื่องของระเบิดที่กรุงเทพฯ วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทยสาขาจังหวัดเชียงใหม่ เปิดขายศูนย์บาทก็ทานได้มานานเกิน 10 ปี ด้วยอาหารมังสวิรัติไร้สารพิษ ชาวอโศกเราอยู่แบบคนจน แต่แสนสบาย พ่อครูเลี้ยงพวกเราแบบคนจน ทำให้พวกเราเป็นคนจนโลกุตระ ทำงานเป็นประโยชน์ต่อโลกอีก เป็นทฤษฎีที่ลึกซึ้ง คนทำได้แต่มีเป็นจำนวนน้อย ธรรมะโลกุตระไม่เสียสตางค์แต่จนหมดตัว
พ่อครูว่า..SMS วันที่ 1 ส.ค. 2562
_ไข่นุ้ย ยศสุวรรณ · ผมติดตามฟังรายการศีลประจำคับผมฟังแล้วเข้าใจให้คับผม
_สาวิตรี • ธรรมะของท่านไม่ผิวเผินเหมือนธรรมะทั่วไป ฟังแล้วพิจารณาตาม ใช่แน่ๆ พุทธแท้
จิตเดิมแท้ของอรหันต์เท่านั้นจึงบริสุทธิ์จริง
_ประไพ ออกผล • จริงๆค่ะเทวนิยมยังอยู่ในโลกค่ะออกนอกโลกไม่ได้ หลุดโลกไม่ได้ พระพุทธองค์ ของทุกคน สอนให้หลุดโลกค่ะถึงโลกุตรธรรม เทวนิยม เป็นโลกียธรรม ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ คนไทยก็มีเยอะแยะค่ะ บางคนยังไม่จบกิจของตัวเองเลยค่ะ ก็อยากจะไปสอนคุณโน้นสอนคนนี้คนนั้น อยากเด่นอยากดัง อยากดูดี ดูเรียบร้อย พูดจาเพาะ เสนาะหู นั่นเขาเรียกว่ายังอยากให้ตัวเองดูดีอยู่ ยังเหนียวรั้งตนเองอยู่ค่ะ ธรรมะของพระพุทธองค์ ไม่ลึกลับ แต่ล้ำลึก ทุกคน จริงๆแล้วจิตเดิมของทุกคน ก็เป็นพระอรหันต์
พ่อครูว่า..จิตเดิมของทุกคนเป็นอวิชามาก่อนทั้งนั้นไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นคำอธิบายของท่านพุทธทาสบอกว่าจิตเดิมสะอาดบริสุทธิ์ รหัสเด็กเกิดมาจิตบริสุทธิ์ก็เป็นทหารเลยสิ ซึ่งไม่ใช่แต่ว่าเกิดเพราะว่าอวิชาพาเกิด ต้องมาศึกษาเรียนรู้จนกระทั่งเป็นอริยบุคคลได้จึงสะอาด เป็นจิตบริสุทธิ์ แล้วจิตบริสุทธิ์นี้ก็จะสะสม อย่างเช่นบรรลุอรหันต์แล้วจิตก็จะบริสุทธิ์สะอาดได้ เมื่อบริสุทธิ์สะอาดแล้ว พระอรหันต์องค์นี้ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังไม่ยอมจบจะบำเพ็ญสูงขึ้นไปสู่พุทธภูมิขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้จิตของพระอรหันต์มาเกิดหรือว่าจิตเดิมแท้ของพระอรหันต์นี้บริสุทธิ์ได้ ถ้าอย่างนี้แหละ แต่ถ้าคนสามัญจะโมเมว่าจิตเดิมแท้บริสุทธิ์เลย อันนี้ไม่ถูก เกิดบริสุทธิ์ได้ถึงขั้นจิตมีความนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
จิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์ของอรหันต์จะมีความสะอาดบริสุทธิ์ตลอดไป จะเกิดมาอยู่ในโลกอาจจะถูกกระแสโลกครอบงำได้แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม ก็จะไปตามกับเขาเป็นโลกๆกับเขา แม่ที่สุดบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาเป็นคนในชาติสุดท้ายเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ยังถูกมอมเมาไปกับโลกเขา ยังต้องไปมีแบบโลกๆแบบโลกีย์ มีกามมีพยาบาทมีโกรธ มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสตามเขาพอสมควรแต่ท่านก็ไม่จัดจ้าน ก็ยังเป็น อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็เสียเวลาไปตั้ง 29 ปี มาบวชแล้วยังเสียเวลาอีก 6 ปีถูกครอบงำทางธรรมะถูกหลอกให้ไปเป็นฤาษีไปเป็นลัทธินอกรีตอีก 6 ปี จนท่านระลึกของตัวเองได้
อันที่ว่าระลึกตนเองได้ เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก หาว่าท่านตรัสรู้ตอนนั้นที่จริงแล้วท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณมาก่อนแล้วก่อนจะเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ บรรลุมาเรียบร้อยหมดแล้ว บรรลุมาจนกระทั่งรอเป็นพระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้วก็จะประกาศ เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีสัมมาสัมโพธิญาณมานานแล้ว เมื่อถึงวาระถึงคิวจะเป็นพระพุทธเจ้าท่านก็มาประกาศศาสนาแล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 พอจะรู้ความละเอียดเรานี้อธิบายให้ฟังกันได้คนทั่วไปถ้าผมไม่ถึงจริงๆขยายความ อย่างที่อาตมาอธิบายไม่ได้ไม่ใช่อวดตัวตนนะ แต่พูดความเป็นจริงให้ฟังอย่างอุตริ พูดเลย ความผิดแบบโลกๆแต่ละทีผิดแล้วมันเป็นวิบากหนัก ดีไม่ดีมันก็เป็นอนันตริยกรรมเสียเวลาตนเองหนักหนาสาหัสไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จะไปทำเล่นๆกับสัจธรรมกรรมวิบาก กรรมวิบากไม่ใช่เรื่องเล่นแต่เป็นเรื่องจริงทุกกรรมทุกกิริยา จงระมัดระวังให้ดีโทษภัยอันมีประมาณน้อยอย่าทำเสียเลยนี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
_ จิตพุทธะ หรือจิตบริสุทธิ์อยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านทรงชี้แนะให้ค้นหาที่ตัวเราเองนั้นที่ตัวเรา แก้ไขที่ใจเรา ปรับปรุงใจเรา ตัดที่ใจเรา ความคิด อารมณ์ และจิตใจ และขันธ์ 5 ของเรา ค้นหาตัวเราให้เจอ เรียนรู้ตัวเราให้เจอ กิเลสตัณหาความคิดปรุงแต่ง โกรธเขาเคืองเขาอาฆาตเขาชอบใจไม่ชอบใจ ยกตัวเองสูงคนอื่นต่ำ กินยากอยู่ยากเลี้ยงยาก แถมขี้เกียจอีก เอารัดเอาเปรียบเจ้าเล่ห์เจ้ากล พูดจาเพ้อเจ้อ นินทา ตำหนิติเตียนผู้อื่น นั่นแหละค่ะมันอยู่ในกายของเราทุกคน มันมีกันทุกคนไม่งั้นไม่หลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรอกค่ะ อย่าลืมนะว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผู้ประเสริฐ แก้ไขได้ ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ ผู้ที่สำเร็จแล้ว จบกิจของตัวเองได้แล้ว ก็เหมือนปกติชนคนธรรมดา ดูเหมือนคนยัง มีโกรธ มี หลง อยู่ ทำอะไรอะไรก็ได้เหมือน เหมือนคนปกติ ถ้าเรายังมีขันธ์ 5 อยู่ อะไรๆก็ยังเกิดอยู่ในกายนี้ได้ ทำอะไรก็ได้เพราะท่านมีแต่กุศลมีแต่เจตนาดี ขันธ์ 5 จิต และอารมณ์ ความคิดปรุงแต่ง เพราะทุกอย่างที่กล่าวมานี้ท่านแยกออกจากกันหมดแล้ว ไม่รวมกันแล้ว ความคิดปรุงแต่งไม่รวมกับใจแล้ว กิเลสทุกตัว ก็เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน เพราะฉะนั้นประชาชนคนธรรมดา ไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้เลย ผู้ที่สำเร็จแล้วด้วยกัน แค่พูดก็รู้ ว่าคนไหนจบกิจแล้ว หรือยังไม่จบกิจ
พ่อครูว่า..เข้าใจได้ดีเรียบเรียงให้ดีเพราะยังมีบางคำที่ยังไม่ตรงนัก
_กระบี่ไร้ตา เมื่อคนไร้หัวใจ • พูดอย่างกะตัวเองเป็นพระอริยะบุคคล จิตใจไม่เป็นไม่หลุดพ้นได้แต่มโนไปเรื่อยๆ ดูการใส่เสื้อใส่รองเท้าผ้าใบและสิ่งต่างๆที่มันผิดจากพระธรรมวินัยก็รู้ว่าจิตใจท่านเป็นอย่างไร. ความจริงกับความจำตำรามาพูดมันต่างกันมาก….
พ่อครูว่า..อาตมาก็ขอบอกตรงๆ ว่าอาตมาเป็นพระอาริยบุคคลก็เลยต้องพูดตรงกับที่เป็นแต่คุณนี้ไม่เชื่อ อาตมานำความจริงกับความจำตามตำรานั้นจะตรงกันไม่ต่างกันหรอกถ้าตำรานั้นเป็นตำราพระพุทธเจ้าแท้และความจริงของอาตมามันตรงกับความจำ
พระพุทธเจ้า ความจริงกับความจำคนคนนี้บอกว่า ตามตำรามาพูดกับความจริงมันต่างกัน
สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่านพูดลึกกว่าที่เขาจะเข้าใจ
พ่อครูว่า…เขาก็เข้าใจตามภูมิ อาตมาบอกได้ว่า คุณยังเข้าใจอาตมาไม่ได้ แต่อย่าทิ้งอาตมานะติดตามมาตามมาต่อไป แล้วมาฟังไปเรื่อยๆ อะไรไม่ดีก็ทวงมาเถอะ แสดงออกมาเรื่อยๆส่งมาเถอะ คุณจะเข้าใจแค่ไหนผิดถูกอย่างไรคุณเข้าใจคุณก็ว่ามาไม่มีปัญหาอะไรที่เข้าใจถูกได้ก็บอกกันอะไรที่ผิดก็บอกมาเถอะ ไม่มีปัญหา ขอบคุณเลย
_อวยไชย มาสุวัตร • อโศกมันก็เหมือนธรรมกาย
พ่อครูว่า..อาตมาก็ว่าเหมือนกันตรงมีหัวมีแขนขาเป็นคนเหมือนกัน แต่ธรรมะนั้นคนละขั้วเลย เหมือนกับก้นเหวกับท้องฟ้าคนละทิศทางเลย ต้องศึกษาให้ดีๆยังไม่พูดอะไรมากนักตอนนี้
_ใบฟ้า…เมื่อใช้ฝอยแสตนเลสขัดกาวเหนียวออกจากปกหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ ข้อคิดต้องอาศัยองค์ประกอบที่เหมาะสมครบพร้อมจากตัวอย่างที่หยิบยกเทียบได้ดังนี้ค่ะ
กาวเหนียวเท่ากับกิเลส คือสุขทุกข์
ฝอยแสตนเลสเท่ากับธรรมมาวุธเท่ากับไฟฌานไฟปัญญา
ผงซักฟอก น้ำ ถาดรองรับ โต๊ะ เท่ากับมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี
ข้อที่1 2 3 รวมกันเท่ากับบุญถูกต้องหรือไม่
พ่อครูว่า…ถูกต้อง บุญคือองค์ประกอบ ที่ต้องมีการกริยาปฏิบัติประพฤติเพื่อให้เกิดไฟฌานสลายกิเลสได้ เสร็จจบก็เรียกว่าบุญ ไฟฌานกับบุญจึงเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้
บุญเกิดต้องมีฌานร่วมด้วย และสำคัญอีกอย่างหนึ่งบุญคือต้องมีปัญญาเป็นความฉลาดด้านโลกุตระไม่ใช่ความฉลาดแบบเฉโก โลกีย์ บุญต้องเป็นความฉลาดระดับโลกุตรเท่านั้น ต้องมีไฟฌานทำให้บุญสลายเสร็จไปเรียบร้อย
ถ้าบุญชำระกิเลสจบแล้วก็ยังไม่สำเร็จสักทีต้องกลับมามีบุญอีกก็ไม่ใช่นิพพาน
นิพพานคือลักษณะหลุดพ้นจิตเลยไม่ต้องมีอะไรที่ต้องทำอีกไม่ต้องมีเครื่องมือจะต้องเอาไปทำอีกมันจบในตัว ทำงานที่ล้างกิเลสซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ใช่ งั้นก็จบกิเลสก็จบ จบหมด
งานที่จะล้างกิเลสถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ล้างมากหน่อยพระสกิทาคามีพระอนาคามีก็หมดกิเลสพอดี ก็ต้องพูดย้ำซ้ำซากไปอธิบายไปเรื่อยๆ
_กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
คุณยายขออนุญาตถามพ่อครูดังนี้ค่ะ ยายอยากรู้ค่ะ
๑. สมัยก่อนที่พ่อครูเป็นพี่คนโตในบ้าน คุณพ่อคุณแม่ก็จากไปก่อนวัยอันควร ในขณะเดียวกันต้องรับผิดชอบเลี้ยงน้อง หาเงินส่งเสียน้องๆ เรียนจนจบ พ่อครูเคยมีแรงจูงใจ แรงผลักดันอะไรถึงได้รับผิดชอบน้องๆ ได้อย่างดี จนน่านำมาเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต ที่เป็นตัวอย่างที่ดีของความสัมพันธ์ของพี่ๆ น้อง ๆ ในชีวิตครอบครัวในปัจจุบัน
๒. เปรียบเทียบจากการเป็นพี่ชายของน้องๆ ที่มีแม่คนเดียวกัน กับการดูแลน้องๆ และความเป็นพี่ ของนักเรียนรุ่นพี่สัมมาสิกขา และนักเรียนรุ่นพี่อาชีวศึกษาของเรา ที่ต้องดูและน้องๆ พ่อครูมีอะไรที่จะบอกถึงพี่ๆ ที่ดูและน้องๆ อย่างไรบ้างคะ
คุณยาย ขอกราบขอบพระคุณพ่อครู ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…คำถามข้อที่ 1 และข้อที่ 2 มีความคล้ายกันเชื่อมโยงกันได้ อธิบายข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ พี่ดูแลเลี้ยงน้องอย่างที่เห็นตัวอย่างอาตมาเลี้ยงน้อง
ที่อาตมาเกิดจิตเช่นนี้ได้ ไม่ได้เกิดในชาตินี้ชาติเดียว ขออภัยไม่ได้พูดยกยอตนเอง แต่พูดสัจธรรมสภาวธรรมที่อาศัยร่างกายชาตินี้เอามาพูดเอามาแฉ พูดทั้งพฤติกรรมชีวิตและที่ทำงาน มันเป็นเรื่องอาศัยร่างกายนี้ชีวิตของคนนี้ แล้วมีพฤติกรรมต่างๆที่ไปเป็นตามร่องรอย อาตมาเลี้ยงน้องไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองลำบากยากเย็น ไม่ค่อยอยากจะทำงานก็ไม่มีเลยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา น้องที่ต้องเลี้ยงนี้มี 6 คน แม่มีลูก 10 คนเสียชีวิตไป 3 คน
อาตมาก็เลี้ยงมา เราเป็นพี่คนโตหากเราไม่เลี้ยงแล้วใครจะไปเลี้ยง ลูกของพี่ป้าน้าอาคนอื่นก็มาให้เราเลี้ยงด้วย อาตมาเห็นลุงหมอสุรินทร์ พรหมพิทักษ์ เลี้ยงลูกหลานในบ้านบางทีมีเป็น 30 คนเลย ลุงก็เฉยๆเลี้ยงไป ดูแลช่วยเหลือส่งเสริม ช่วยในด้านต่างๆได้ก็ทำ ท่านเองก็มีลูกถึง 8 คนมีพี่คนโตผู้ชายมีน้องสาวอีก 7 คน ก็อยู่ด้วยกันอย่างนี้ คนโตๆมาเรียนในกรุงเทพฯซะเยอะนอกนั้นน้องๆก็อยู่ด้วยกันที่บ้านในเมืองอุบลฯ
พวกเราก็อยู่ด้วยกันรวมกันในบ้านนี้ ตอนนั้นแม่ท่านดาวดินก็มาเป็นแม่บ้านอยู่ในบ้านนี้ด้วย แกงส้มเอร็ดอร่อยฝีมือแม่ทุม อาตมาเรียกพี่ ลูกสาวก็คือบัวพร แม่ท่านดาวดิน ตอนนั้นตัวน้อย ยายอาตมามีลูกผู้หญิงสองคน ตอนอยู่กทม.อาตมาก็เช่าบ้านเดือนละ 700 เลี้ยงน้องหลายคนอยู่ในบ้าน
สรุปที่ถามมาสงสัยคือ อยู่ดีๆก็ไม่ใช่จะมาเป็นคนดีก็ไปที่พูดเช่นนี้ อยู่ดีๆคนเราจะมาเป็นคนดีไม่ได้หรอก เป็นสัตว์เซลล์เดียวมันไม่รู้เรื่องอะไรกว่าจะมาเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ตามประสาของสัตว์จนกระทั่งค่อยๆพัฒนามาเป็นคนแล้วก็ค่อยๆศึกษา แม้เป็นโลกียก็เป็นคนดีๆคือไม่เห็นแก่ตัวเขาก็พอรู้ แต่ไม่มีทฤษฎีที่จะรู้คำว่าตัวตนอัตตา แล้วค่อยมีความรู้ปัญญาสามารถฆ่าความเป็นอัตตา ศาสนาเทวนิยมได้แต่ข่มอัตตา ทำแต่ดี ข่มชั่วไว้ แต่แล้วสักวันมันก็ฟื้นขึ้นมา วนเวียนอยู่อย่างนั้นดีๆชั่วๆตกต่ำแล้วก็เจริญได้ วนเวียนอยู่อย่างนั้นนับชาติไม่ถ้วน เป็นได้ถึงศาสดาของศาสนา เจริญได้ถึงขั้นนั้นเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยมได้ ปานนั้นทีเดียวแต่น้อยคนจะได้ถึงศาสดา
ผู้ที่รู้ทางออกเป็นโลกุตระแล้วก็ไม่ต้องไปเสียเวลาที่จะไปวนเวียนสามารถปฏิบัติเป็นลำดับ ได้แล้วเลิกโลกียะขั้นต่ำ มาสูงขึ้นตามลำดับ สูงขึ้นไปไม่ต้องวนเวียนซ้ำซ้อนอีกพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าธรรมะของท่านมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ เพราะมันจะไม่วกวนซ้ำซ้อนเสียเวลา มันเป็นลำดับไปขึ้นมา ไม่ต้องเสียเวลา ถ้าศึกษาผู้ที่ศึกษาสัมมาทิฏฐิเป็นลำดับที่ดีไม่เสียเวลา เพราะฉะนั้นสายปัญญาแท้ๆจะเร็ว เรียงลำดับเป็นลำดับได้ดี สายเจโตบ้างปัญญาบ้างจะช้า ยิ่งสลับไปสลับมา ยิ่งสายวิตกจริต หมุนเวียนซับซ้อนวนไปวนมาอันนั้นอันนี้ก็ดีเสียเวลามากกว่าเพื่อน ท่านเทียบว่า ผู้ที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่ 3 สาย
สายปัญญา ใช้เวลา 20 อสงไขย เศษแสนกัปป์
สายศรัทธา ใช้เวลา 40 อสงไขย เศษแสนกัปป์
สายวิตักกะ ใช้เวลา 80 อสงไขย เศษแสนกัปป์
อสงไขยนั้นนานนับชาติไม่ถ้วนเลยเป็นล้านล้านล้านๆชาติไม่ต้องนับเลย
การเกิดมาเป็นคนนั้นยากและจะได้พบศาสนาพุทธนั้นยิ่งยาก แล้วจะกลับมาเป็นคนอีกก็ยาก เทวนิยมโลกียะ มีความรู้แค่ดีๆชั่วๆดีๆ ละชั่วประพฤติดี เป็นสัจธรรมง่ายๆต้นๆแล้วก็เป็นอย่างนั้นอยู่ จนกว่าจะมาได้รู้ว่า อ๋อ.. มันมีทางไม่วน สูงกว่านี้อีกคือโลกุตระ ผู้นั้นแหละจึงชัดเจน มีทางออกทางที่จะมาเป็นโลกุตระไม่ต้องไปวนเวียนดีๆชั่วๆอยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้นับชาติไม่ถ้วนตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า กรรมวิบากเขาไม่ได้ศึกษาเลย เขาไม่รู้ Reincarnation หรือ Rebirth เขาก็ไม่รู้เขาไม่มีความรู้อธิบายกัน มีสูตรสำเร็จของพระเจ้าแล้วตามสูตรสำเร็จของพระเจ้านั้นแก้ไขไม่ได้ อนุโลมอะไรก็ไม่เป็น มันก็เลยได้อยู่แค่นั้นอาจจะทำได้ดีที่สุดต้องเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม แล้วก็ตกต่ำนะ ศาสดาไม่ใช่จะถาวรนะ เทวนิยมอัตราหมุนเวียนตกต่ำลงไปเป็นสัตว์นรกได้ ฟังแล้วไม่ใช่ลงโทษนะแต่เป็นสัจจะ
อีกอันหนึ่ง ถ้าใครไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เขาจะเป็นอย่างศาสนาพุทธว่าไว้ไหม เป็น เขาจะตกนรกขึ้นสวรรค์อย่างที่ศาสนาพุทธพูดทั้งนั้น แล้วเขาจะไม่ได้มาเป็นอย่างชาวโลกุตระ เขาก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ เขาไม่ได้เป็นชาวพุทธ ไม่ได้เป็นโลกุตระ แต่เขาก็จะเป็นอย่างที่ชาวโลกุุตระศาสนาพุทธบอกไว้ว่ากรรมวิบากจะเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ไปบังคับหรือมีใครไปกำหนดแต่กรรมเป็นอันทำ เขาจะไปตามกรรมวิบากของเขาทั้งนั้นแหละอย่างที่ศาสนาพุทธว่าไว้
เช่น วิบากฆ่าสัตว์ต้องไปวนเวียนใช้หนี้อีก ลักทรัพย์ก็วนเวียนใช้หนี้ทรัพย์ ติดโลกียะ รสกามคุณ เขาก็วนเวียนอยู่กับรสของกามคุณ
เขาว่าเขาไม่นับถือศาสนาพุทธเขาไม่เป็นหรอก ไม่ได้หรอก สัจจะมันต้องเป็นโดยสัจจะ กรรมจำแนกสัตว์ไม่ใช่พระเจ้าจำแนกสัตว์ พระเจ้าสั่งไม่ได้หรอก ที่จริงเราคิดว่าพระเจ้าสั่งเพราะเขาไม่รู้ ทุกอย่างก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้นจะให้ดีหรือชั่วก็เป็นพระประสงค์ ซึ่งมันก็ดีในระดับหนึ่งคำสอนของพระศาสดานั้นดีทุกองค์ เป็นศาสนาที่สอนเรื่องดีเรื่องชั่ว ทำดีทั้งนั้นแหละถ้าไม่ดีก็ไม่ได้เป็นศาสดาดีจริงๆเป็นโลกียะแต่มันไม่เที่ยง มันวนขึ้นสูงลงต่ำไม่รู้แล้วมันไม่รู้จบ แต่ที่สำคัญก็คือ
จุดสำคัญคือไม่รู้สุข ไม่รู้ทุกข์ ศึกษาแต่
ดีชั่วโลกียะ ไม่ศึกษาความสุขความทุกข์แต่อยากได้ความสุข บำเรอสุข บางทีก็เอาความชั่วมาบำเรอสมใจตนเอง อาการสุขเป็นอาการที่หลอกกันมาอย่างผิดๆ แต่เอาเรื่องที่ผิดมาเสพติด เช่น การโกงเขาได้ชื่นใจเป็นสุข ฆ่าเขาได้สมใจ อื้อหือ..สุข แล้วเขาก็ไม่ได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าการฆ่าเขานี้มันดีหรือ ทำชั่วแท้ๆเขาก็ยังไม่ชัดเจน
ยิ่งบอกว่าคนมาติดในรูปรสกลิ่นเสียงเหล่านี้มันจะติดใจอร่อย เขาจะฟังรู้เรื่องเหรอ แล้วมันจะเลิกความอร่อยได้อย่างไรเพราะมันอร่อย ของที่ชอบอันนี้ยืนหยัดยืนยันว่ามันชอบไม่เคยไม่ชอบเลย เจอเมื่อไหร่ นอกจากจะใส่เต็มท้องอร่อยก็ลดลงไปบ้าง ถ้ายังไม่เต็มท้องก็ยังซัดไปได้เรื่อยๆ ก็มันอร่อย อย่างนี้เป็นต้น
นิมนต์พ่อครู จิบน้ำ
สิกมาตุกล้าข้ามฝัน
พ่อครูว่า…เปิดตำรา พระไตรปิฎก พระสูตรเล่มแรก
สรุปในพุทธคุณ 9 มีข้อเดียวที่คนอื่นทำได้คือ วิชชาจรณะ สัมปันโน แล้วทำไปจะได้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ แต่ต้องทำไปตามลำดับ นอกนั้น เป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย
- อรหํ เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส ทำลายกำแพงสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชา เป็นต้น
- สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง
- วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา คือความรู้ และจรณะ คือความประพฤติ
- สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ได้ประดิษฐานพระศาสนาไว้เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา
- โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตวโลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดาโดยถ่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้น และทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังจมอยู่ในกระแสโลกได้
- อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งกว่า คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมเท่า
- สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
- พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิด ๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลในสิ่งใด ๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์ โดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์
เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้ทรงเบิกบานด้วย
- ภควา ทรงเป็นผู้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็นผู้จำแนกแจกธรรม
จรณะ 15 ศึกษาให้ดีเถอะ 15 ข้อนี้ในนั้นครบระบุไว้ครบแล้ว
1.ศีล การปฏิบัติศีลไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วโมเมว่า ได้ศีลสมาธิปัญญาวิมุติแล้วศีลก็บริสุทธิ์เอง ซึ่งมันไม่ใช่ แม้แต่ศีลข้อที่ 1 ก็ชัดเจนแล้วว่า คุณจะต้องมาตั้งต้นตั้งแต่มีศีลกำกับว่า คุณจะปฏิบัติตามศีลกำหนด ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ มีเมตตาต่อสัตว์ แล้วก็ต้องปฏิบัติสัมผัสกับสัตว์ แล้วคุณเกิดจิตไม่ทำร้ายมีความเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงจริงคน ที่สุดจริงๆ แล้วคุณก็จะลืมตาไม่เห็นจะต้องไปหลับตาคุณก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กับสัตว์ คุณก็เป็นพระอรหันต์อยู่อย่างนี้กับสัตว์ทั้งปวง สัตว์ทั้งปวงก็มีพระอรหันต์อยู่ด้วยเป็นผู้หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้ สัตว์ทั้งตัวก็คือสัตว์คนนี่แหละ สัตว์เดรัจฉานอื่นก็จะไปช่วยอะไรได้มากมาย มันมีวัฏสงสารของมันอีกเยอะแยะมากมาย ก็ไม่ต้องไปช่วยมันหรอก มีพระพุทธเจ้าให้ช่วย พระพุทธเจ้าจะช่วยสัตว์เดรัจฉานที่ท่านรู้ว่าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้เป็นโพธิสัตว์มาเกิดท่านก็ช่วยเท่านั้นเอง แต่ถ้าสัตว์เดรัจฉานที่มันไม่สามารถที่จะพัฒนาได้ท่านก็จะต้องปล่อยมันไปตามยถากรรม พระพุทธเจ้าจะไปช่วยสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นได้อย่างไร มีในตำนานพระไตรปิฎกมีไหม
ต้องมีศีลเป็นตัวยืนยันเป็นหลักกำหนดขอบเขตของศีล ศีลข้อที่ 1 เป็นอย่างนี้ศีลข้อที่ 2 เป็นอย่างนี้ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ รวมทั้งดินน้ำไฟลมและพืช ของมันไม่มีบาปไม่มีบุญแต่มันมีความสุจริตเมื่อเอาของของเขา มันไม่สุจริตมันก็เป็นเรื่อง อีกอย่างก็เป็นเรื่องของเกี่ยวกับสัตว์ ต้องเมตตาปราณี ส่วนอันนี้เป็นเรื่องของตัวกูของกูข้อที่ 2
ข้อที่ 3 นั้นเป็นการเสพรส ถ้าทำศีล 1 2 3 ถ้าเข้าใจให้ดีๆปฏิบัติได้ดีแล้วก็จะเป็นอรหันต์ได้ ส่วนวจีกรรมก็เป็นส่วนที่เสริมหนุน ยิ่งจิต เป็นตัวปฏิบัติทั้งข้างนอกกายกรรม หรือวจีก็ตาม มีมโนกรรมเป็นตัวประธาน จัดการกิเลสในมโนนั่นแหละแล้วก็จะบริสุทธิ์สามารถกดข่มได้แต่มันไม่จริงแต่ถ้าจิตบริสุทธิ์จริง กายกรรมมันก็จริงนะ วจีกรรมมันก็จริง ไม่ขัดแย้งกันเลย
ศีลเป็นจรณะข้อแรก 3 ข้อต่อมาก็เป็นตัวยืนยันว่าไม่มีการหลับตา
- สำรวมอินทรีย์ ท่านบอกว่าสำรวมอินทรีย์ คุณสำรวมอินทรีย์ หากทำแต่จิต 1 ก็ทิ้งไปอีก 5 ทวาร พระพุทธเจ้าอนุโลมว่าทำอย่างนี้แล้วนะบางอย่างอาจจะหมดได้มีกายสักขียืนยันทั้งรูปนอกรูปในได้ แต่ไม่ได้เป็นอรหันต์ ที่พูดอย่างนี้คือคนที่ปฏิบัติธรรมมาแล้วมีภูมิเก่ามา ถ้าไม่มีของเก่ามาปฏิบัติอย่างนั้นไม่มีทางบรรลุได้ที่อาสวะมันจะหมด ไม่มีการถอนอาสวะได้เลยในศาสนาอื่น มีศาสนาพุทธเท่านั้นถอนอาสวะได้ ผู้ที่ปฏิบัติไปถึงกายสักขี โดยไม่ได้ปฏิบัติสมบูรณ์แบบให้ครบตั้งแต่ ศีล แล้วอปัณกธรรม 3 แล้วจึงเกิดสัทธรรม 7
อปัณกธรรม 3 ต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 แล้วก็มาพิจารณาการกินการใช้
๓. โภชเนมัตตัญญุตา สิ่งที่กินไปได้เป็นอาหาร กินข้าวไปหล่อเลี้ยงร่างกาย อย่างเดียวนี้ก็สามารถพาให้บรรลุธรรมได้ อาหารคือคำข้าวนี่แหละจะรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในนั้นเราก็ปฏิบัติจนไม่ติดยึดได้ อาหารนี้ท่านขยายความต่อ อาหารเป็นคำข้าวแล้วยังมี ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหารวิญญาณอาหาร ถ้าเข้าใจแล้วไม่ได้ออกนอกจากที่พระพุทธเจ้าสอนถ้าได้แล้วมันจะรู้หมดเลยทำถูกหมดเลย อาตมาก็จะไม่ขยายความต่อเรื่องอาหาร 4
โภชเนมัตตัญญุตา หากไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีวันเป็นพระอรหันต์หรอก แม้ว่าจะมีภูมิเก่าบ้างแต่ว่าก็จะได้แค่กายสักขีไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ดีไม่ดีจะยาวนานกว่าปกติสายวิตรรกะที่ใช้เวลาถึง 80 อสงไขย เศษแสนกัปป์
แม้ข้อที่ 3 ของวิธีปฏิบัติที่ไม่ผิด คือการตื่น ชาคริยา
4.ชาคริยานุโยคะ คือตื่น ไม่ต้องไปหลับตา แค่หลับตาก็ไม่ใช่แล้ว ชาคริยาคือลืมตาตื่น สามข้อนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ไปหลับตานี้มันโมฆะ
อธิบายอปัณกปฏิปทา 3 ข้อนี้ แค่หลักฐานแค่นี้ก็เชื่อว่าสมบูรณ์แล้ว
การสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตาแล้วก็การตื่นชาคริยานุโยคะไม่ต้องไปหลับตาปฏิบัติหรอกทฤษฎีพระพุทธเจ้าเรียนรู้ให้ดีไม่ต้องปฏิบัติแบบหลับตา ได้เป็นพระอรหันต์อย่างจริงด้วยไม่ต้องเป็น สุขวิปัสสโก อย่างที่อรรถกถาจารย์เอามาพูดที่ผิดเพี้ยนไป มันไม่ใช่อย่างนั้นด้วย
ผ่านอปัณกปฏิปทา 3 คุณเข้าใจและปฏิบัติได้จริงก็จะเกิดสัทธรรม 7
หากว่าไม่ปฏิบัติอปัณกปฏิปทา 3 นี้สัทธรรม 7 ไม่เกิด
สัทธรรม 7 คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา
5.ศรัทธาคือความรู้ความเชื่อความเข้าใจ ถ้าไม่มีอาการความรู้ความเข้าใจความเชื่อที่เป็นสัจธรรมที่เป็นของพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้ามันไม่เกิดศรัทธานี้มันไม่เกิดความเป็นหิหิริโอตตัปปะ
เช่น ถ้าคนที่ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 เข้าใจมีภูมิปัญญาลึกซึ้งว่าเราต้องไม่ฆ่า เราไม่ไปเป็นเหตุให้เขาจะต้องมาตายด้วยอะไรก็แล้วแต่ คุณจะรู้ตามขึ้นไปเลยขึ้นเรื่อยๆ หิริ เสร็จแล้วคุณก็จะรู้ว่าจิตเรายังมีจิตที่ไปยินดีในการเห็นสัตว์เขาตาย ไม่ต้องอะไรหรอก เห็นสัตว์เขาตายก็เป็นวิบากแล้วไปยินดี ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังไม่พ้นวิบากได้ง่ายๆ ยินดีในสัตว์ที่เขาฆ่าเขาฆ่าสัตว์ เขาก็ฆ่าได้เยอะ ชาวประมงฆ่าสัตว์ได้เยอะ ก็ไปมีจิตยินดี ขนาดมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ววิบากยังไม่หมดเลย น่ากลัวไหม แค่ไปยินดี ที่เขาจับสัตว์มา ยังไม่ได้ฆ่าไม่ได้แกงต้มให้กินเลย สัตว์ตายถูกจับมา แค่นั้นยังเป็นวิบากที่ต้อยติ่งมาจนเป็นพระพุทธเจ้า
มันต้องมีกุศลมากแล้ววิบากตามไม่ทันเท่าไหร่ แต่นี่ยังมีมาให้ท่านเป็นอีก วิบากมาปวดสมองเลย รู้ว่าวิบากตามเล่นงาน ท่านก็รู้เพราะว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า อันนี้ลึกซึ้ง อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็รู้ตามมาว่ามีวิบากอย่างไร บางทีมันมีอะไรอยู่ในใจแต่มันก็ไม่แรงอะไรหรอก นี่ก็พูดให้ฟังเมื่อถึงคราวถึงเวลาแล้วคุณจะรู้ ยังไม่ถึงคราวมันไม่รู้หรอกอันนี้มันลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้นคนจะมีศรัทธาที่เชื่อมีน้ำหนักความเชื่อ เชื่อ อาตมาแบ่งไว้สาม
1 เชื่อถือ 2 เชื่อฟัง 3 เชื่อมั่น คำไทยนะ ถ้ามีคนเชื่อถือศาสนาพุทธก็เชื่อถือไปอย่างนั้นแหละหัวหกก้นขวิด ไม่ได้ปฏิบัติอะไรทำตัวเละเทะ บอกว่าเป็นศาสนาพุทธ รักศาสนาพุทธ ใครอย่ามาแตะ ศาสนาข้าใครอย่าแตะสามารถตายแทนได้เลย แต่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลยนั่นคือ เชื่อถือ
2 เชื่อฟังจะปฏิบัติตาม คนที่เชื่อฟังก็จะปฏิบัติตามที่ท่านสอน ไม่ให้ฆ่าสัตว์หรือ ก็จะเชื่อฟังสูงกว่าเชื่อถือ
3 เชื่อมั่นปฏิบัติแล้วเห็นผลชัดเจนจริงเลย อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่นเลย เมื่อศรัทธามากพอจึงเกิดอาการหิริ ละอาย เมื่อจิตไม่ดีกับสัตว์ คุณจะละอาย เช่น ปลาตัวนี้อ้วนพี น่าใส่หม้อแกงนะ คุณรู้จักใจตัวเองแล้วจะละอาย เห็นผู้หญิงคนนี้งาม เฮ้ย! กามนะเว้ย จะละอาย แต่ถ้าคนไม่มีสำนึกอย่างนี้จ้างให้มันก็ไม่ละอาย แล้วมันไม่รู้ด้วยว่าอายทำไมวะก็ผู้หญิงสวย ชายมันก็ต้องชอบสิ ปลามันอ้วนพีมันก็ต้องน่ากินสิ น่าเอามาลงหม้อแกง ใช่ไหม มันจะหิริอะไร
หิริ แล้วก็โอตตัปปะ
หิริ คือ ละอาย แต่ลับหลังก็ยังทำอยู่แต่ถ้าโอตตัปปะแล้วมันมีความเกรงกลัว ต่อหน้าหรือลับหลังก็ไม่ทำบริสุทธิ์ตลอด
แค่หิริโอตตัปปะ ปฏิบัติแล้วจะเจริญขึ้นจากบาปอกุศลที่คุณละอายคุณกลัวและคุณก็ปฏิบัติถูกต้องคุณก็สั่งสมคุณธรรมลงไป เป็นจริงเรียกว่าพหูสูต เป็นผู้รู้ที่ได้เกิดจากผลของการกระทำมากไม่ใช่แค่รู้เฉยๆนะ พหูสูตหรือพาหุสัจจะ
ท่านปยุต พระพุทธโฆษาจารย์แย้งอาตมาว่า พหูสูตหรือพาหุสัจจะ ต่างกันแต่อาตมาว่า สภาวะเดียวกัน พหูก็แปลว่ามาก พาหุก็แปลว่ามาก แต่มากคนละระดับ
อา กับ อุ พาหุ กับพหู
อู นี้มีน้ำหนัก อุ นี่เริ่มต้นคี่ อา พา หุ นำมา พอมาถึง พ มันสั้นแล้วมันก็สูง พหู สูงกว่าพาหุสัจจะ พหูสูต สูต ก็แปลว่าความเจริญความดีงามความรู้ มันมีความรู้สูงขึ้นสูงขึ้น เจริญมากขึ้นมากขึ้น ถ้าจะเอาคำว่าพหูสูต มาใช้ตรงนี้ ไม่ใช่พาหุสัจจะ
ส่วน วิริยะ สติ ปัญญา เป็นพลังงานร่วมที่จะเสริมให้เจริญใน 4 อันนี้แหละ ในศรัทธาหิริ โอตตัปปะ พหูสูต มันจะเป็นตัวเสริม เมื่อเห็นว่าดีแล้วก็จะเว้นระยะมีสตินำสติกับปัญญาเป็นคู่ที่จะพาให้เจริญ สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตตระพาให้เจริญให้ได้
ในอินทรีย์ 5 ศรัทธาเป็นตัวต้นเหตุวิริยะสติสมาธิปัญญาต่อมาสั่งสมคุณสมบัติเหล่านี้จึงจะเกิดเป็นฌานเป็นสมาธิ
ก่อนจะเป็นสมาธิ ไม่มีสมาธิในสัทธรรม 7 นะ คือจิตจะตกผลึกตั้งมั่น ต้องมีสัทธรรม 7 นี้ทำให้เกิดจิต สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นไปตามลำดับของฌานที่ 1 2 3 4
ฌาน 1 ก็เป็นสร้างพลังงานในระดับต้องมีวิตกวิจาร ต้องมีการคิดต้องมีการรู้พฤติกรรมของจิตต่างๆ แล้วก็ต้องรู้ขนาดแล้วรู้วิธีทำ ทำได้ เมื่อทำได้ก็ได้ผล เมื่อได้ผลคุณก็ดีใจเป็นปิติ ฌาน 1 มีทั้ง วิตกวิจาร ปีติ สุขก็มีรวมหมด เอกัคคตา เป็นจิตที่ยิ่งใหญ่
ฌาน 2 จะต้องทำงาน ได้ง่ายขึ้นเก่งขึ้นเบาขึ้นแล้ววิตกวิจารที่ยากลำบากหมดไปเหลือที่ทำได้ง่ายขึ้นแล้วก็มีปีติ เริ่มมีสุขจริงมากกว่า จนถึง
ฌาน 3 จึงชื่อว่า ปีติ สุข และ อุเบกขา
ฌาน 4 จึงเป็นอุเบกขาเต็มที่หรือสุขอุเบกขา สุขด้วยความว่าง สุขด้วยจิตที่ไม่มีกิเลสจนกระทั่งความสุขนี่มันเนียนกลาง
คุณต้องอ่านจิตที่เป็นเนกขัมมสิตะ 18 ในภาคปฏิบัติ
ธรรมชาติก็เป็นเคหสิตะ 18 มโนปวิจาร 18 มีอะไร ก็มี
สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ 3 อย่างนี้ เป็นสภาพของจิต
แล้วไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นเคหสิตะได้ ปุถุชนก็ทำได้ ยิ่งไปนั่งหลับตาสะกดจิตก็ยิ่งทำได้ ถ้ามันไม่ใช่แล้วมันก็ฟื้นใหม่กลับ หมุนเวียนกลับ กดข่มได้มากก็ได้นานหน่อยหลายชาติก็เป็นได้ แต่แล้วไม่ได้ฆ่าตัวเหตุ ต้องฆ่าตัวเหตุ
จะฆ่าตัวเหตุได้ต้องอาศัย สัมผัส 6 ตาหูจมูกลิ้นกายกับใจ ที่จะเกิดอาการ เวทนาเป็นตัวความรู้สึกที่จะต้องปฏิบัติตรงนี้แหละ ถ้าไม่มีเวทนาก็ไม่มีฐานปฏิบัติ
เวทนาจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ แล้วต้องมีอายตนะจึงเกิดผัสสะ ต้องมีรูปนาม
วิญญาณจะเรียนรู้ได้ต้องมีนามรูป ต้องสัมผัส ตากระทบรูป หูกระทบเสียง…พอกระทบกันก็เกิดอายตนะ ผัสสะเกิด ผัสสะกับอายตนะจะไม่ตั้งอยู่ ณ ที่ไหนเลย มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกรรมกิริยาของคุณเกิดขึ้น ตากระทบรูปก็เกิดผัสสะตอนนั้น ถ้าไม่มีผัสสะ ตาก็ไม่กระทบรูป อายตนะก็ไม่มี เพราะผัสสะไม่มี
ผัสสะมี มันจึงมีอายตนะเกิด หมดผัสสะอายตนะก็ไม่มี ไม่เกิด
เพราะฉะนั้นผัสสะกับอายตนะจึงเกิดในปัจจุบันมีในปัจจุบันเท่านั้น
ถ้าปัจจุบันคุณไม่มีผัสสะ ไม่มีการกระทบกันอายตนะมันก็ไม่เกิดมันก็ไม่มี ผัสสะไม่มีเพราะไม่มีอายตนะ อายตนะไม่มีเพราะไม่มีผัสสะ
เมื่อมีผัสสะอายตนะ จึงเกิดเวทนา แล้วจึงพิจารณาเวทนา 108 นี่แหละเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ กรรมฐานเดียวไม่ใช่มี 40 กรรมฐาน
40 กรรมฐาน เป็นความเข้าใจผิดของอรรถกถาจารย์
อรรถกถาจารย์หลายคนเป็นพี่อาตมา แต่ทำไมต้องมาทำผิดให้อาตมาต้องตามล้างตามเช็ด พูดอย่างสำนวนโพธิรักษ์นะพูดอย่างพี่ๆน้องๆ อย่าเลียนแบบล่ะ
เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจแม้สัทธรรม 7 ชัดเจน คุณมีได้ก็สั่งสมเป็นฌาน 1 2 3 4
ฌาน 4 นั่นแหละ คุณจะรู้ฐานที่แท้จริงของนิพพาน ฌาน 4 จิตจะว่าง ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ อุเบกขา ตัวอุเบกขาเพียวๆ เกิดเป็นอารมณ์เดียวไม่มีปิติสุข คุณจะรู้รายละเอียดอย่างที่เรียกว่าสุข มันว่าง มันไม่แรง ไม่หนักอะไรเลยมีจิตที่จะต้องไปชักจูงให้ต้องตามใจอย่างที่อยากได้ มันไม่อยากอะไรมากมาย มันมีความจำได้จริงๆ ตัวจำนี่มันไม่ใช่ตัวจริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า เรื่องความจำนี้มันยากนะกว่าจะล้างความจำได้เกลี้ยงสนิทมันยากนะ
เพราะฉะนั้นในตัวอุเบกขาจึงเป็นฐานนิพพาน คนที่มีอุเบกขาแล้วจะชัดเจนในอุเบกขา 5 ที่จริงมีมากกว่านั้น อาตมาตัดเอาเนื้อแท้ของอุเบกขาสำคัญ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
จิตสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส คุณจะอ่านออก จิตไม่มีกิเลส จิตไม่มีอุปกิเลส แม้้เศษเล็กเศษน้อยก็ไม่มี กิเลสก็ไม่มี อุปกิเลสก็ไม่มี บริสุทธิ์
ปริสุทธา คือ จิตสะอาดบริสุทธิ์
ปริโยทาตา ท่านก็แปลทับศัพท์ไปว่า ผ่องแผ้ว ผุดผ่อง(ปริสุทธา) ท่านแปลสองคำนี้ แล้วมันต่างกันอย่างไร 2 คำนี้ ปริสุทธาคือ คุณอยู่กับโลก สัมผัสกับโลก สัมผัสเหตุแห่งทุกข์แห่งความไม่สะอาดนี้ เดี๋ยวนี้มันก็ยังสะอาดอยู่ แม้เราไม่เคยสัมผัสกับเหตุนี้มันก็ยิ่งสะอาด จะสัมผัสแรงขนาดนี้มันก็ยังสะอาดทั้งน้ำหนักและความแตกต่าง สัมผัสอีก มันก็ยังสะอาดๆๆ คือความเจริญจาก ปริสุทธา
ไม่ทิ้งฐานสะอาดนะ แต่มันมีคุณสมบัติเจริญยิ่งขึ้นจากปริสุทธาเลย คุณภาพก็สูงขึ้น เหตุนี้แรงกว่าเก่ามันก็ได้ เหตุนี้แปลกไม่เคยเจอแต่เราก็บริสุทธิ์ได้
มันจะมีนัย ละเอียดอย่างอื่นมันก็ยังสะอาด ยืนยันความสะอาด ปริโยทาตา
เพราะจิต มุทุ จิตมันหัวอ่อน มันรับรู้ได้เร็ว ปฏิภาณเร็วรับรู้ได้ง่ายปรับได้ง่ายทั้งเจโตและปัญญา มันเร็วทั้งลักษณะความรอบรู้ ทั้งลักษณะของจิตที่ให้เป็นอย่างนี้หรืออย่างนี้อย่างไรก็ได้ มีวสวัตตี มีอำนาจเหนือจิต ไม่ให้มันเปื้อน ให้แข็งแรงได้ แล้วมันก็ต้องรู้เร็วรู้ทันด้วย ไม่ใช่กินยาเข้าไปตั้งสองแผงแล้วถึงรู้สึกไม่ใช่ มุทุ แปลว่า เร็วแคล่วคล่องว่องไว กายมุทุตา คือ เวทนาสัญญาสังขารเร็วแคล่วคล่องว่องไว
ตา คือคำนาม มุทุคือ คุณศัพท์ของมันเอง
มุทุ คือแกนจิต ที่เร็วยิ่งกว่านักเล่นกล คนที่ตามไม่ทันก็จะบอกว่าพูดสับสนกลับไปกลับมา ท่านพูดกลับไปกลับมากับคนที่รู้ด้วยกันว่าคนจะเร็วรู้ทันไหม หากรู้ไม่ทัน มันยังถูกอยู่ก็ไปนึกว่ามันผิด มันยังผิดอยู่ก็นึกว่ามันถูก มันก็เสียเวลากับคุณหมุนไม่ทัน คุณหมุนไปไม่รู้กี่รอบแล้วคุณก็ยังไม่รู้
สรุปแล้ว มุทุ ก็เป็นตัวแกนกลาง รู้แววไว คล่องแคล่ว เป็นเวทนาคล่องแคล่ว สัญญาก็คล่องแคล่ว สังขารก็คล่องแคล่ว เป็นเจตสิก
ในพจนานุกรมก็แปล กายว่า หมวดของเวทนาสัญญาสังขาร คนไม่มีสภาวะจะไปแปลอย่างไรได้ พวกเราพอจะรู้ ยิ่งพวกเรามีสภาวะธรรมแล้วก็จะรู้ว่าเวทนาสัญญาสังขารจะใช้ประโยชน์อย่างไร และกาละจิตของเราเป็นเวทนาอย่างไรปรุงแต่งเป็นสังขารอย่างไร เราก็จะทำสังขารของเราให้เป็นอภิสังขารได้เร็วขึ้นเพราะปฏิบัติจนกระทั่งสังขารสะอาด เป็นผลจากเราได้ทำเวทนากับสัญญา มีเหตุที่ไม่บริสุทธิ์อย่างไรเราก็กำจัดจิตของเราก็ยิ่งบริสุทธิ์สะอาดแล้วก็ปรุงแต่งด้วยความสะอาดก็ยิ่งเป็นจิตสังขารที่สะอาดๆๆ ไม่มีอสังขาริกัง ไม่มีตัวอกุศลมาร่วมด้วยเลย
ถ้าสสังขาริกังก็มีอกุศลมาร่วมด้วยมากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่นี่อสังขาริกัง ไม่มีกิเลสมาร่วมด้วย
เพราะฉะนั้นจิตอย่างนี้ สะอาดอย่างนี้ ผ่าน มุทุภูตธาตุ ได้ จึงไปใช้ทำงานทำกรรม กัมมัญญตา(นาม) หรือ กัมมัญญา(กิริยา) ยิ่งไปทำงานได้สะอาด ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมทำงานด้วย เป็นการทำงานของจิตสะอาด แม้ว่ากายกรรม วจีกรรมจะดูหยาบ ดูว่าผิด พูดแรงๆอย่างนี้ หยาบ ไม่เชื่อ นี่หยาบ เสือใส่เกือก พูดหยาบอย่างนี้ได้อย่างไร เราก็สื่อเท่านั้นเอง อาตมาก็ไม่ได้ไปว่าอะไร อุตส่าห์พูดเลี่ยงไม่พูดคำเต็มแล้ว เพื่อใช้พยัญชนะสื่อสภาวะ เขาก็ว่าหยาบ ก็ไม่เป็นไร คนที่ติดใจในสิ่งที่อาตมาเจตนาจะใช้สื่อสารเพื่อคุณ ไม่ใช่พูดเอามัน เอาอร่อยที่ใจ อาตมาได้พูดคำหยาบสะใจมันไม่มี สื่อเพื่อคุณ ธรรมดาจะพูดทำไมเล่าคำเหล่านี้ ถ้าสามัญธรรมดาก็ไม่ได้พูด อาตมามาบรรยายธรรมะแล้วจะดูหยาบ แต่สามัญไม่ได้หยาบ มีแต่คำสนุกๆไม่หยาบ แต่เวลาอธิบายจะใช้ภาษาที่เป็นคำหยาบอธิบาย ก็เลยดูเหมือนพูดหยาบในการอธิบายธรรมะ ขนาดพูดหยาบแรง คุณยังเฉยไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่มีหิริโอตตัปปะ คุณมันต่ำขนาดนี้ต้องใช้คำหยาบขนาดนี้ ตัวคุณต้องใช้ขนาดนี้นะ แต่ก็ยังไม่รู้ตัว เอาคนที่รู้ตัวก็แล้วกัน คนไม่รู้ตัวก็ปล่อยเขา ก็ทำอย่างไรได้ บังคับกันไม่ได้ ให้เขารู้ของเขาได้เอง
สรุปแล้ว กัมมัญญาผ่านการทำงานแล้วอย่างไรก็ยัง ปภัสสร คือ ผุดผ่องผ่องแผ้ว จะทำอย่างไร จะยากอย่างไรก็ยังสะอาดบริสุทธิ์ ไม่เกิดความหงุดหงิดรำคาญลำบากใจอะไร สบายๆ ผ่องแผ้วตามเดิม นี่คือคุณสมบัติของจิตอรหันต์ ที่อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์อาตมาใช้อาตมาทำตรวจสอบ อาตมาไม่มีจิตที่เปื้อน ที่พูดจริงๆอันนี้ไม่ได้อยากอวดอะไรเลย พูดตามสภาวะความจริงสู่ฟัง คนจะเป็นไปได้อย่างนี้ ในยุคนี้ เป็นได้จริงๆ
เพราะงั้นคนที่มีปัญญาฟังอาตมาเข้าใจจะไม่ติดใจอะไร คุณก็มารับประโยชน์ อย่างนี้คุณไม่ได้ถือสา คนที่ถือสาอยู่เขาก็ยังมาไม่ได้ คนไม่ได้ถือสาก็ได้ความลึกละเอียดเอาไปปฏิบัติได้อีกมันก็เกิดประโยชน์ไป เพราะว่าคุณไม่ได้มีอะไรมาเพ่งโทษ ไม่ได้หาว่าอาตมาโกหก แล้วอาตมาจะโกหกไปทำไมโกหกจะต้องได้อะไรตอบแทน โกหกมันเสียหายนะ อาตมาไม่ได้ทำงานเพื่อต้องการสิ่งตอบแทนแล้วจะไปโกหกให้เสียหายทำไม มาให้ก็เท่าเก่า ไม่ให้ก็เท่าเก่า จิตอาตมาเท่าเก่า แล้วจะทำไปทำไม จิตเท่าเก่า คือไม่ได้ไม่เสีย แต่อาตมาเปื้อน ใช่ไหม แล้วจะทำไปทำไม ฟังทันไหมนี่
พูดสภาวะซับซ้อน แต่พวกเราเข้าใจตามสภาวะได้ ฟังเข้าใจทั้งพยัญชนะสภาวะก็มีรองรับพยัญชนะเหล่านี้ด้วยไหม บางคนชัดเจนมีมาก บางคนมีน้อย
สรุปแล้วนะ สัทธธรรม 7 คุณต้องมีอาการต้องมีสภาวะเหล่านี้ให้คุณได้ปฏิบัติ ถ้าคุณไม่มี สัทธรรม 7 หรือ คุณไม่รู้เลย แล้วจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องตรวจสอบว่าคุณเจริญมาถึงขั้นไหนแล้ว จรณะ 15 เป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ไม่มีใครตรัสรู้หลักสูตรวิธีพวกนี้ เหมือนคนที่รู้จักหลักสูตรหรือวิธี หลักสูตรการทำปรมาณู ระเบิดปรมาณู คนที่รู้หลักสูตรก็ทำระเบิดปรมาณูเป็นผลสำเร็จได้ แต่ถ้าคุณไม่มีหลักสูตรคุณไปทำมันจะไปเป็นระเบิดอย่างไร มันก็เป็นสากกะเบืออย่างเดียว ก็มันไม่ระเบิด
ไม่ได้พูดหยาบนะ แต่ให้ชัดเจนง่ายดี เทียบกับสากกะเบือ มันก็ชัดเจนดี
คุณมีสัทธรรม 7 จึงเกิดฌาน 1 2 3 4 ตามลำดับ
ฌาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาวิตกวิจาร แบบเจโตสมถะ อาตมาก็เคยนั่งมันว่างนิ่ง ลดวิตกวิจาร มีปีติ บางทียินดีมากเป็นอุพเพงคาปีติผางๆ จนมาบางเบาเหลือผรณาปีติ มันก็ยินดีไม่ผางๆอะไรหรอก ผรณาปีติ อธิบายเหมือนกับเอาจุนสีมาแช่ในน้ำละลายลงไปแล้วเอาตัวลงไปแช่ จุนสีก็จะแทรกเข้าไปในทุกรูขุมขนทุกซอกมุม ไม่มีเอกเทศไหนที่จุนสีจะไม่เข้าไปแทรกได้ โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว อย่างนี้แหละเป็นที่อาศัย ใช้ผรณาปีติ เป็นที่อาศัยเราก็รู้ว่ามันเบาไม่ทำให้เราเสียหายได้ไม่แรงจนกระทั่งเสียหายได้ เป็นแต่เพียงใช้อาศัย
หรือคำว่า ผรณาปีติ หรืออภิปโมทยังจิตตัง อีกคำหนึ่งในอานาปานสติสูตร หากสามารถ อภิปโมทยัง ปราโมท แปลว่า ยินดี, ยินดีอย่างยิ่ง อภิปราโมท ยินดีมากหรือน้อยก็รู้ ยินดีน้อยๆ น้อยแค่ไหนก็อนุโลมได้ บางทีต้องยิ้มแย้มบางทีต้องมีเสียงหัวเราะอาตมาต้องปรับอนุโลมตามใจบุคคล มันไม่ได้เสพรสนั้น อาตมาหัวเราะตามเรื่อง ดีไม่ดีอาตมาก็ไม่เคยหัวเราะติดลมไปตามเรื่องหรอก ไม่เคย ที่หัวเราะแบบ555 อาตมาก็ทำไม่เป็นด้วยถ้าจะพยายามทำก็คงจะต้องทำ 555 เอิ๊กอ๊าก อาตมาหัวเราะแบบนั้นไม่เป็นมันก็ค่อยๆเข้าใจค่อยๆรู้ว่า กรรมกิริยาที่เราเลิกแล้วหลุดพ้นแล้ว ผรณาปีติ หรืออภิปโมทยังจิตตังมีนัยที่ต่างกัน
อภิปโมทยังจิตตัง เรายังสามารถกำหนดความแรงหรือเบาได้ แต่ว่า ผรณาปีติ มันเบา เป็นฐานสุดท้าย ธรรมดาสามัญก็อยู่ที่ ผรณาปีติ ไม่ใช่คุณเฉยๆไปแบบใครก็ไม่กล้าเข้าไปพูดด้วยไม่เข้าไปยุ่งด้วยได้ คนอย่างนี้คุณจะกลัว มันไม่กล้าไปปฏิสัมพันธ์ ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ปฏิสันฐาน มันไม่มีเลย
หากอาตมาตีหน้าเคร่ง อาตมาสบายนะไม่ต้อนรับแขกอะไรเลย หน้าไม่รับแขกเลย มันก็ทำได้นะ แต่ก็ต้องยิ้มแย้มโอภาปราศรัยดีไม่ดีต้องหัวเราะบ้างตามสมควรไปกับเขาเหมือนกับเล่นหม้อข้าวหม้อแกง แม่เล่นให้ลูก หรือแม่ครัวทำกับข้าวให้เขากินตามที่เขาชอบ แต่เราก็ไม่ได้ชอบกินอย่างที่เราปรุงเลย เรากินง่ายๆจืดๆ เราก็ต้องพยายามช่วยเขาหน่อย อยากให้เต็มที่อย่างที่เขาชอบเลยทั้งหมด แม่ครัวทางโลกเขาก็ต้องปรุงให้เขาติดยึดให้เขามากินของฉันตลอด ฉันก็ได้ลูกค้าตลอดกาลนาน
เราจึงต้องมีจุดสัมพันธ์กันอย่างเฉลียวฉลาดกับคนในโลกนี้อย่างเหมาะสมควร ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุดเลย เมื่อเข้าถึงฌาน
คำว่าฌานของพระพุทธเจ้าคือ ไฟ คือ พลังงานจิต ที่ปรุงอยู่ในปัจจุบันเท่านั้นนะ เกิดอยู่ในปัจจุบัน คุณนั่งหลับตาทำฌาน คุณก็ได้ความว่าง ฌานของคุณติดเกาะ แต่ฌานพระพุทธเจ้าไม่ได้ติดเกาะ ฌาน จะรู้เร็วรู้ไวชัดเจนทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง4 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตอะไร
แม้คุณจะอุเบกขา บางทีอาตมานั่งอาตมาก็วางเฉยๆทุกคนก็คุยกันไป คุณพูดอะไรก็รู้แต่ไม่ปรุงแต่งด้วยจิตก็ว่างวางเฉย ไม่ได้ปรุงด้วยก็ไม่รู้เรื่องกับคุณ แต่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร บางทีก็รู้ว่าคุณปรุงมากไปอาตมาก็ไม่รับผิดชอบด้วย ก็เป็นเรื่องของพวกคุณที่จะต้องรับผิดชอบ อาตมาไม่ได้รับผิดชอบแล้ว จะไปเสียแคลอรี่ทำไม อาตมาก็อยู่เฉยๆ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็ฟังได้แต่ไม่รู้เรื่องด้วย เหมือนคุณเล่นอะไรในเครื่องพวกนี้ คุณก็เก่งสิอาตมาไม่เก่งอาตมาต้องใช้ก็ต้องให้คุณช่วย ถ้าคุณไม่ช่วยอาตมาก็ใช้ไม่ได้เท่านั้นเอง อาตมาก็รับผิดชอบแต่แนวลึกที่มันยากที่จะต้องเสริมเติมให้แค่นี้ก็หนักแล้ว เรื่องพวกนี้คุณช่วยอาตมาไม่ได้ ต้องเห็นใจหน่อย
จรณะ15 ฌาน 1 2 3 4 จิตคุณจะแคล่วคล่อง จะปรุงร่วมด้วยหรือไม่ร่วมด้วย อาตมาอยู่กับปีติก็ไม่ต้องมาก อยู่กับสุข และว่าง อาตมาอยู่กับฌาน 3 หรือฌาน 4 ฌาน 1 อาตมาไม่ร่วมด้วยก็ได้ คือการได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง4 เราจะร่วมด้วยแค่ไหนอย่างไรเราก็มีสิทธิ์ เราไม่ร่วมด้วยเราก็ไม่ต้องเสียภาษี เราร่วมด้วยเราก็ต้องเสียภาษี หมดฌานทั้ง 4
มาถึง วิชชา 8 วิชชานั้นมีตั้งแต่ศีล เป็นยาดำ คือความรู้ ธาตุรู้ เรียกว่า ปัญญา วิชชา เรียกว่าเป็นปัญญา
ปัญญา ญาณ หรือวิชชา ก็ดี เป็นความรู้โลกุตระมันไม่ใช่ความรู้ของเ ฉโก อันโลกีย์ แต่อันนี้โลกุตระ แล้วก็พูดแล้วพูดอีก เอาของพระพุทธเจ้ามายืนยันว่าปัญญาก็ดี ญาณก็ดี วิชชาก็ดี จะต้องมี 5 เงื่อนไข จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลกะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเราจะดูด้วย 5 อย่างนี้มันเป็นตัวบังคับเลยว่าจะต้องลืมตาสัมผัสอยู่กับโลกข้างนอก อาโลกะ มีแสสว่าง มีโลกหมุน พระอาทิตย์ส่องแสงมากระทบแล้วมากระทบเข้าลูกตาคุณจึงรู้ เป็นปัญญาเป็น ญาณ เป็นวิชชา หากคุณไปหลับตาปฏิบัตินั้นโมฆะจากศาสนาพุทธ ไม่มีปัญญาเกิดมีแต่สัญญาความเก่า หรืออดีต 18 คุณจะเก่งประมาณไหนก็แล้วแต่คุณก็ไม่ถึง 18 หรอก อนาคต 44 คุณก็ไม่มีครบทั้ง 44 หรอก พระพุทธเจ้าประมวลลงแล้วเท่านี้ อาตมาก็ยังไม่อยากจะขยายอดีต 18 และอนาคต 44 มันยากไม่ใช่น้อยเลย ค่อยๆขยาย สักวันหนึ่ง อย่าเพิ่งรีบตาย
เพราะฉะนั้นคนที่มิจฉาทิฏฐินั้น ในพรหมชาลสูตร ไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติ คุณจะจมอยู่กับสัญญา คุณจะมีแต่อดีตและอนาคตไม่มีแสงสว่างที่ตากระทบรูปปัจจุบันต้องลืมตาปัจจุบันต้องมีทุกอย่างครบพร้อมทั้งจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลกะ นี่เป็นตัวกำหนดเพราะฉะนั้นปัญญาไม่มีองค์ประกอบครบ 5 นี้ ไม่ใช่ปัญญา
ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ จะเกิดได้ พัฒนาได้ต้องมีมรรคมีองค์ 8 มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีโพชฌงค์ 7 แล้วก็ต้องมีสัมมาทิฐิ
ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ 2 4 5 6 10 แล้วคุณถึงจะปฏิบัติธรรมเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาเจริญปัญญาเป็น ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมีองค์ประกอบเป็นธัมมวิจัยและมรรคมีองค์ 8 ในขณะพูดในขณะทำในขณะคิดทำอาชีพไม่ใช่ไปจมอยู่ในนั่งหลับตา นี่เป็นความชัดเจนเลย
พระพุทธเจ้าสาธยายไว้ การหลับตาให้เกิดปัญญามันไม่มีเลย แล้วคุณจะบรรลุธรรมะพระพุทธเจ้าได้อย่างไร อาตมาจะต้องเหนื่อยกับพวกที่ติดยึดในการนั่งหลับตานี้นานพอสมควร เพราะมันหลงมานานหลายพันปี แล้วอาตมาก็มาอยู่ในคราบเจ้าเงาะในชาตินี้ไม่ได้เป็นสังข์ทองมา ดำขี่หรี่มา ไม่มีอลังการ ไม่มีความงดงาม สู้ด้วยสัจธรรมความรู้ความจริงเพียวๆ เอาสัจธรรมมาเสนออย่างเดียว ไม่ประกอบด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่มีปริญญาไม่มีดอกเตอร์ปริญญาจัตวายังไม่ได้เลย เจ้าคุณโสภณคุณาภรณ์ มหาระแบบ เลยบอกว่าโพธิรักษ์มีอะไร อาตมาเจ้าคุณปริญญาโทเปรียญ 6 นะ ดูเหมือนตายไปแล้วนะ ท่านเจ้าคุณโสภณคุณาภรณ์ พี่ชายของ จตุพร พรหมพันธุ์
ก็ขอผ่านตัวฌานไปที่วิชชา ต้องมีศีลเป็นยาดำที่จะเกี่ยวข้องกับวิชชาและจรณะ ตั้งแต่อปัณกธรรม 3 แล้วจะเกิดจิต สัทธรรม 7 ศรัทธาหิริโอตัปปะพหูสูตวิริยะสติปัญญา จะต้องรู้จิตมีปัญญาว่า จิตเรามันเกิดคุณสมบัติอย่างนี้แล้วจึงจะเกิดเป็นฌานเป็นพลังงาน
จากฌานก็มีปัญญาเรียนรู้มาตลอดสาย รู้ว่าตอนนี้เป็นสัทธรรม ตอนนี้เป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด เอ้อ.. กิเลสลดลงในจิต เห็นความไม่เที่ยง เห็นความจางคลาย เห็นความดับ เห็นมันเกิดเป็นปัจจุบันนะ ถ้าคุณไปนั่งเตวิชโช อานาปานสติหลับตาก็เป็นเตวิชโช แล้วก็มีทั้งคุณสมบัติ อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี วิโรทานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี ตามเห็นความไม่เที่ยงตรวจสอบด้วยเตวิชโช ตามเห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี วิโรทานุปัสสี กิเลสมันดับ ทำไปทำมากิเลสมันเกิดอีกดับอีกดับแล้วดับอีกอีก จนกระทั่งมันเป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี ปฏินิสสัคคะไม่เกิดกิเลสอีก คุณก็จะอ่านออกทวนแล้วทวนเล่าทุกปัจจุบัน 36
ในอุเบกขา อดีต 36 อนาคต 36 เพราะปัจจุบัน 36
อวิชชา 8 คือ
- ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
- ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
- ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
- ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ ๘)
- ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
- ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
- ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) .
- ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)
(พตปฎ. ล.๓๔ ข.๖๙๑ ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
ก็มีคนถามอาตมาว่า อดีต อนาคต ผ่านมาแล้ว ทำไมข้อ 7 ต้องมีอีก
อนาคตหรืออดีตในข้อ 5 6 เป็นส่วนที่ยังไม่เที่ยง คือ ถ้าคุณยังมีปัจจุบันที่กระทบสัมผัสแล้วก็จะผ่านจากปัจจุบันไปเป็นอดีต ถ้าของคุณ แม้เป็นอรหันต์ไม่ต้องพูดถึงปุถุชนไม่เที่ยงแน่ แม้เป็นอรหันต์แล้ว ไม่ทำบาปทั้งปวงแต่ปัจจุบันคุณก็ยังทำกุศล แต่ก่อนมี 8 มี 9 แล้วทำเพิ่มไปมันก็ต้องเป็น 10 11 อดีตมันก็ไม่เที่ยง เมื่ออนาคตมาอีกก็ทำเป็นกุศลอีกมันก็ยังไม่เที่ยงอีกมันก็เป็นอดีตที่ไม่เที่ยง เมื่ออนาคตมาอีกคุณก็ต้องทำอีก คุณก็ต้องทำกุศลอีกมันเที่ยงที่ไหนล่ะ ได้กุศลอีกก็ไปตกเป็นอดีตเพราะฉะนั้นอดีตก็ไม่เที่ยง อนาคตมาถึงปัจจุบันนี้ก็ไม่เที่ยง ส่วนอดีต กับปัจจุบันของอันที่ 7 สูญ คือกิเลสสูญ
ต่างกับอดีตและปัจจุบันที่มีกุศล แต่นี่มันไม่มีกุศล อกุศล มันเป็น 0เป็นจิตว่างเพราะฉะนั้นตัวที่ 7 คุณจะมี 0 ถาวรไหม ถ้า 0 ถาวร มันจะผ่านมาอย่างไรอีกมันก็ยัง 0 ตัวนี้แหละเป็นตัวตัดสิน ผ่านปัจจุบันทุกปัจจุบัน 108 ทำแล้วทำอีก มันก็ยัง0 0 0 0 ของปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นถ้ามันมีกุศลมามันก็เป็นอดีตมันก็เพิ่ม อกุศลมาแล้วคุณก็ทำให้เป็นกุศล อกุศลที่เป็นอนาคตมาคุณก็ทำให้เป็นกุศลมันก็เป็นอดีตที่เป็นกุศลอีก แต่ทั้งอดีตและอนาคตนี้ของคุณเอง คุณก็ว่างของคุณตลอดกาลนาน เที่ยงตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้นนิพพานของผู้นี้เที่ยง คุณต้องพิสูจน์ความเที่ยงของคุณเอง
อดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต 36 นี้ 0ทั้งหมด มาอีกกี่อนาคต ปัจจุบันก็ทำให้เป็น 0 อนาคตมาอีกเมื่อไหร่ก็ทำให้ปัจจุบันนี้เป็น 0000 อดีตมันก็เป็น00000ไปตลอด
นี่คือโพธิรักษ์สาธยาย ใครสาธยายได้อย่างโพธิรักษ์มาช่วยกันสาธยายหน่อย
สมณะฟ้าไท…สรุป จบ