620804_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สามัญผลสูตร ตอน 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1FGkSl5KeNEvKBKS0K3vQ7Limw4KanaxtjryrQD9j6iQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ ..https://drive.google.com/open?id=15ErbtCTWueL78SFJze5asAfu_s2sMFw2
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ที่ฮ่องกงก็มีการประท้วง มีรัฐบาลจีนส่งทหารมาดูแล ตรวจเจอพวกชังชาติต้องจับไปดูแล เมืองไทยก็มีพวกชังชาติ เป็นขบวนการเลย มีนิทานเรื่องงูกับนักบุญ นักบุญช่วยงูจากหลุม แต่ต่อมางูจะกินนักบุญ คนก็หาทางพิสูจน์ สุดท้ายให้งูลงไปในหลุม งูขึ้นมาเองไม่ได้ คนก็เลยทราบว่า งูโกหก อกตัญญู เป็นเพราะกิเลสนั่นเอง
SMS วันที่ 2-3 สิงหาคม 2562
_ฟังฝน….. การถอนอาสวะหมดรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ นั่นคือภาวะนิพพานหรืออุเบกขา5 ในแต่ละเหตุปัจจัย หรือทุกเหตุปัจจัย ในระดับสังโยคข้อ5-6-7-8-9-10 ใช่ใหมคะ
พ่อครูว่า…เมื่อพ้นสังโยชน์ กามราคะปฏิฆะก็เป็น
-
รูปราคะ (ความติดใจอยู่ในรูปภพ -ในอุปาทายรูป)
-
อรูปราคะ (ความติดใจอยู่ในอรูปภพ)
-
มานะ (ความถือตัวถือตนในความดีของตน)
-
อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน กระจัดกระจาย รู้ยาก)
-
อวิชชา (ความหลง-ไม่รู้ อันเป็นเหตุไม่รู้จริง) . .
(พตปฎ. เล่ม 11 ข้อ 285) .
อวิชชาตัวสุดท้ายสิ้นความไม่รู้ รู้หมดเป็นวิชชาครบถ้วน พ้นอวิชชาสังโยชน์ ได้สภาวะแล้วตัวเลขเหล่านี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร
พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิบัติหลับตาแล้วบรรลุใต้ต้นโพธิ์
_ยูแมน พาโพธิ์ • พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอนุตระสัมมาสัมโพธิญาณพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บรรลุจากนั่งหลับตาใต้ต้นพระศรีมหาโพธิมิใช่หรือ
พ่อครูว่า…ทุกรกิริยา ทุกระคือ กิริยาที่ไม่ดี ก็ไปเสียเวลากับกิริยาที่ไม่ได้เรื่องได้ราวถึง 6 ปี แล้วเมื่อท่านมานั่งทบทวนก็ทำเตวิชโช
๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)
๗. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .
๘. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)
เอาที่จิตระลึกทวนไปในคลังความรู้คือสัญญาเก่า ท่านก็ได้รู้ว่าท่านได้มาหมดแล้วสมบูรณ์แล้ว ยาม 1 ก็ระลึกได้ระดับหนึ่ง ยาม 2 ยาม 3 ก็ได้รู้สมบูรณ์ขึ้น แต่นั่งหลับตาไม่ได้ปฏิบัติอะไรเป็นการนั่งระลึกในสิ่งที่มีแล้ว เป็นของเก่า นั่งระลึกถึงก็ได้ เดินหรือยืนก็ได้ ทำงานอะไรก็ระลึกถึงความเก่าได้ จิตมีมุทุภูตธาตุเร็วเก่ง สรุปแล้วท่านก็ระลึกของเก่าท่าน จะบอกว่าพระพุทธเจ้าบรรลุจากการนั่งหลับตาไม่ได้
บรรลุนั้นหมายถึงการปฏิบัติแล้วสามารถทำให้ผลเกิด แต่นี่ท่านไม่ใช่การปฏิบัติแล้วเกิดผล ผลนั้นท่านได้ปฏิบัติมาแล้วเกิดมาแล้วสมบูรณ์แล้วเป็นเรื่องได้มาหมดแล้ว ปฏิบัติเสร็จกิจจบหมดแล้ว เหมือนกับระลึกถึงผลไม้ที่ท่านทำมาสุกหมดแล้ว สวยงามหมดแล้ว ไม่ใช่นั่งหลับตาแล้วไปบรรลุทีละขั้น ไม่ใช่ แต่ผู้ที่ไม่บรรลุก็ต้องปฏิบัติไปตามลำดับ ศึกษาตามสภาวะให้ดีๆปฏิบัติให้ได้ของตนเอง ถ้าได้ของตนเองแล้ว จะไม่ใช่แค่ตรรกะเหตุผล แต่บรรลุของตัวเองตามระดับขั้นบรรลุตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ศีลข้อที่ 2 ไม่เอาของของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเรา เป็นวัตถุดินน้ำไฟลมหรือไม่แต่พืช
สรุปอีกทีว่าท่านระลึกถึงของเก่าท่านไม่ได้ปฏิบัติ นั่งนิ่งๆระลึกไป ตั้งแต่ในสิ่งที่ท่านมีได้เป็นได้ ท่านไม่ได้ปฏิบัติกระทบสัมผัสและมีกระบวนการขัดเกลากิเลสรู้กิเลสแต่ท่านหมดกิเลสสิ้นเกลี้ยงไปนานแล้ว เป็นโพธิสัตว์ก็เป็นผู้ที่หมดกิเลสมานานแล้วด้วย กิเลสตนเองหมดแล้วตั้งแต่เป็นพระอรหันต์ แล้วก็มาศึกษากิเลสของคนอื่น เพราะฉะนั้น
อนุโพธิสัตว์ก็เริ่มศึกษากิเลสผู้อื่น เพราะว่ากิเลสมันมากมายของคนอื่นที่เราไม่มีอย่างนี้ หรือแม้แต่อย่างนี้ของเราแต่เราเองมันไม่ขึ้นมา คนอื่นเขาก็มีแล้วก็แสดงออกมา จริงๆแล้วของเราก็เคยมีแต่นึกไม่ออกแต่เมื่อเห็นอันนี้แล้วก็นึกออก มันก็จะรู้ ทางของเราที่ไม่มีของเรามี ถ้าเรามีแต่เรานึกไม่ได้คนอื่นมาแสดงออกให้เห็นเราก็จะรู้ได้ว่าเราเคยมี เพื่อจะได้มากจนไม่มีอะไรจะขัดแย้งได้ นอกจากเราจะรู้ปริมาณมากเราก็ได้ช่วยคนมากด้วย เมื่อได้สัมผัสสัมพันธ์กับคนเราก็ได้ช่วยเขา หรือเรียกว่าการสืบทอดศาสนาพุทธไปอีกด้วย
ไหนๆก็บรรลุแล้วก็มาสืบทอดศาสนาต่อ อาตมามีภพว่าจะต้องไปบรรลุรรลุสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งให้ได้ มันได้จริงๆแล้วก็ไม่เสียหายอะไรเราเป็นคนมีประโยชน์ก็ไม่เสียหายอะไร เราทำก็ทำให้ฟรีได้คุณค่าเต็มๆเพราะว่าไม่ได้เอาอะไรตอบแทนมาเลย แม้จะมีอะไรตอบแทนมาเราก็ไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา เอาไปทำให้ประโยชน์ต่อไปอีก มันซับซ้อนนะต้องศึกษาให้ดี
_Chon Kyun • ขออนุญาตแลกเปลี่ยนนะจ๊ะ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าที่พระองค์ตรัสรู้ก็ด้วยใช้วิธีนั่งแล้วได้ญาณเป็นลำดับๆนั้น เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน
พระองค์ทำสมาธิญาณเพื่อทบทวนและระลึกเรื่องราวที่พระองค์บำเพ็ญธรรมสั่งสมมาแต่หลายๆชาติปางก่อนจนเข้าใจทั้งหมดที่สุดแล้วว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
ดังนั้นในพระไตรปิฏกจึงไม่มีพระสูตรไหนเลยที่พระองค์รับรองว่านั่งสมถะแล้วบรรลุธรรม ไม่เช่นนั้นพระองค์ก็บรรลุธรรมตั้งแต่ฝึกอยู่กับพระอาจารย์ดาบสทั้งสองแล้ว แต่ญาณที่พระองค์ฝึกได้จนระดับสุดท้ายเหนืออาจารย์ตัวเอง แต่พระองค์ก็ทรงตรัสว่านี้ไม่ใช่ จึงออกและแสวงหาใหม่ไง
ที่สุดจึงได้ตัดสินใจแสดงธรรมเพื่อให้สัตว์โลกพ้นทุกข์และเห็นทางไปสู่นิพพาน ซึ่งพระสูตรต่างๆก็แบ่งจำแนกออกเป็นหลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับแต่ละสถานะผู้ฟัง แต่ที่สุดก็สรุปลงไปเป็นอย่างเดียวกันเรียกว่าไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ว่าพระสูตรไหนๆก็สามารถจับความสอดคล้องกันลงตัวอย่างนี้ๆ
และทางเอกทางเดียวที่พระองค์ประกาศเมื่อวันมาฆะฯคือ มรรคมีองค์ 8 ซึ่งเมื่อเทียบเคียงกับระบบไตรสิกขา
ก็จับกลุ่มกันได้คือ
องค์1,2 = ปัญญา หรือความคิด
องค์3,4,5=ศีล หรือพฤติกรรม การปฏิบัติ
องค์6,7,8=สมาธิ หรือจิต
เป็นต้น
ส่วนการนั่งสมาธิหลับตานั้น พระองค์ถือว่าเป็นสมถะสมาธิ ซึ่งลัทธิอื่นก็ทำได้มีมาก่อนที่พระองค์จะประกาศศาสนาอีก ประโยชน์ของสมาธิแบบสมถะนี้คือความสงบจิตใจ คือการกล่อมให้คนเบาสบาย มีความสุข แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้เกิดนิพพานคือตัด กำจัดกิเลส เพราะเป็นการกดข่มจิตใจ เป็นการตัดเวทนา ตัดผัสสะ เวทนาที่เกิดในการนั่งหลับตาก็เกิดจากสัญญาเก่า ที่ตัวเองทบทวน ดังนั้นจากผลลัพธ์ของสมาธิประเภทนี้พระองค์จึงไม่จัดเป็นสัมมาสมาธิ หรือสมาธิของพุทธ
พ่อครูว่า…ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร ผู้รู้สภาวะธรรมของอาการจิตต่างๆก็จะชัดเจน สมาธิคือจิตหยุดนิ่งตกตะกอน ถะ คือตกตะกอน เช่นถีนมิทธะเป็นต้น สมถะ เหมือนตกตะกอนอยู่ก้นถัง จนกลายเป็นก้อนหิน เป็นฟอสซิล แข็งโป๊กตีไม่แตกเลย
มันเป็นจริตตระกูลของสายศรัทธา ใครจะเป็นอย่างนี้ก็ไม่เป็นไรอย่าไปติดใจตัวเองพยายามเอาปัญญามาช่วยมาแก้จนบรรลุสูงสุดให้ได้ แต่ถ้าอยากจะแก้จากปัญญาจริตเป็นพุทธิจริตก็ได้คุณใช้เวลาไปอีกนานเหมือนกัน คุณจะเปลี่ยนรากเปลี่ยน Root เปลี่ยนอนุสัยไปอีก อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์มานานก็จะเข้าใจ โพธิสัตว์สุดท้ายก็จะบรรลุเป็นพุทธิปัญญาทั้งนั้น สูงสุดจริงๆก็เป็นปัญญาเป็นพระพุทธเจ้านั้นก็เป็นปัญญาทั้งนั้นไม่ใช่ศรัทธาเลย สายศรัทธาจะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นปัญญา เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่ใช่บรรลุด้วยศรัทธาแต่บรรลุด้วยปัญญา ไม่ได้ข่มสายศรัทธานะ แต่สัจจะเป็นเช่นนั้น
เวทนาที่เกิดจากการปฏิบัตินั่งหลับตานั้นก็เป็นสัญญา เพราะไปตัดการผัสสะก็ไม่มีเวทนา คุณก็ได้แต่สัญญาเก่าที่เกิดเอง ทบทวนสัญญาของคุณเอง เหมือนกับกบในกะลาครอบ ขยำอึ อึมาใหม่ก็นึกว่าของใหม่แต่คือของเก่าตนเอง
ดีแล้วที่ช่วยกันขยายก็ขอบคุณ
_1182 เขาว่าอโศกเหมือนธรรมกาย? คนที่ว่านะทำไมไม่ลองมาที่บวรอโศกทุกจังหวัดแล้วตรวจดูว่าโกงเงินสหกรณ์ไหม? ออมเงินทอนวัดไหม? สมณะ สิกขมาตุซุกบัญชีเงินฝากไหม?ญาติธรรมมีบ่อนพนันไหม?เด็กสัมมาเสพติดอบายไหม?ต่างกับสมีจานบิน100กว่าๆคดี ยิ่งกว่าขาวกับดำเลย!กบสิ้นโศก
พ่อครูว่า…มันมีรายละเอียดมากกว่านั้นอีก จะได้รู้ว่าชาวอโศกคนละฟากฟ้ากับเหวเลยกับธรรมกาย
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · นั่งหลับตาสมาธิ นั่งทางใน นั่งจนสันหลังแย่ นั่งตั้งแต่อายุ16 นั่งครั้งละ2-3ชม ได้แค่กิเลสพักยก กิเลสไม่ลดครับ นั่งจนเหมือนไม่มีตัวมีตน ใช้ชีวิตปกติ กิเลสเท่าเดิม..วันนี้ชัดเจน เรื่องหิริ โอตัปปะอีก กราบพ่อครูด้วยความเคารพรักครับ
พ่อครูว่า…สัญชาตญาณลึกๆรู้ว่าไม่ควรแสดงกิเลสออกมามาก ก็กดข่มทั้งนั้น แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจะอ่านจิตใจว่าเรามีความละอาย หิริ ยิ่งโอตตัปปะ มันยิ่งมากกว่ามันจะกลัว เรายังมีกิเลสอยู่อีกหรือ หิริ ละอายต่อหน้าไม่ทำ แต่ลับหลังยังทำอยู่ แต่โอตตัปปะ จะมีญาณปัญญาชัดที่จะกลัวต่อสิ่งไม่ดี โวหารคือกลัวต่อการทำไม่ดีนี้ แต่จริงๆแล้วเราไม่ต้องการให้มันมีตัวเราอย่างนี้ไม่เอา เป็นญาณ 7 ของพระโสดาบันข้อที่ 4 เหมือนเด็ก รู้ว่าไฟมันร้อน ไปแตะเข้าก็ทุกข์ร้อน จะไม่เอาอีกเลย จริงใจแตะแล้วร้อน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามมันร้อนมันก็ไม่เอา ถกมือออกเลยทันที
อ่านญาณ 7 เราจะรู้ว่าคนเป็นพระโสดาบัน มันมีรายละเอียด ชัดเจนดี มีบันทึกไว้อยู่ในพระไตรปิฎก เราก็เอามาขยายความอธิบาย พวกเราก็เข้าใจจริง อย่างนี้เอง เมื่อเราปฏิบัติได้แล้วความจริงมันก็จะออกผล เขาไม่รู้ไม่เป็นอย่างเรามันก็ไม่มีวิมุตติรส ธรรมรส ชนิดที่เราได้เขาก็คาดคะเนไม่ได้ จนกว่าเขาจะมีวิมุติรส คนที่มีด้วยกันเพียงแค่ยักคิ้วก็ตรงกัน
_นันท์มนัส · ผู้ใดมีความสัตย์ มีธรรม มีความไม่เบียดเบียน มีความสำรวม และมีความข่มใจ ผู้นั้นแลชื่อว่าผู้มีปัญญา หมดมลทิน เขาเรียกท่านว่า เถระ
_กาน · พ่อท่านพูดจริงไปนั่งหลับตามันได้เหมือนอะไรมันเฉยได้ แต่พอไปมีอะไรมากระทบมันคุมไม่อยู่ มันได้แต่ไม่ถาวร ตัวดิฉันเป็นเองกิเลสเห็นเข้ามาจิตมันเป็นทุกข์กำจัดไม่ได้ ขอบคุณพ่อท่านคะ ดีนะที่ได้ฟังถ้าไม่ฟังคงหลงไปอีกนาน
พ่อครูว่า…คนที่ฟังแต่ปิดกั้นจิตไม่ได้ผลหรอก หรือแม้คนที่ไม่มีฉันทะเต็มที่ ก็ไม่ก็ผลหรอก เหมือนคนชาเต็มถ้วย ของเก่าคุณเต็ม ของใหม่ก็เข้าไม่ได้ แต่ถ้าทำตนเหมือนชาถ้วยว่างๆ ก็รับได้ดี ความยินดีเป็นรากเหง้า เป็นมูลกาว่าอันนี้น่าได้น่ามีน่าเป็นหากไม่มีอันนี้เป็นรากฐานไม่ได้หรอก
_สมนึก · พ่อครูน่าเชื่อถือที่สุด. หาไม่มีอีกแล้วในโลกเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ในยุคนี้ก็ใช่แล้ว เรียกหาผู้พี่อยู่ แต่ก็ไม่มี
สุริยเปยยาลสูตร และอวิชชาสูตร
_วัชรี · ใช่ค่ะ ขอแสดงความเห็นด้วยค่ะพบสัตตบุรุษ ไม่ใช่การเข้ากราบอย่างเดียว(อย่างที่ทำกันประจำ?) ต้องทำให้ครบสุริยเปยยาล 7 นะคะกราบนมัสการท่านเดินดินค่ะ?
พ่อครูว่า…ฉันทะเป็นตัวที่ 3 ของสุริยเปยยาล ต้องได้จากสัตบุรุษ ผู้ที่มีความจริงบอกคุณ แล้วคุณต้องมีความยินดีที่จะปฏิบัติศีล หากไม่มีความยินดีก็จะไม่ได้ เมื่อคบสัตบุรุษก็จะมาให้เรารับศีลแล้วก็ต้องมีความยินดีในการรับศีล
แล้วข้อที่4 อัตตา คุณจะรู้ความเป็นตัวตนของคุณ ตัวตนเล็กๆน้อยๆข้อที่ 1 เช่นตัวตนในความไปติดอบายมุข ข้อหยาบๆเลยก็ได้ของใครของมันตัวต่ำสุดของเรา อบาย คุณก็จะชัดเจนในการตั้งศีลว่าตัวนี้มันไม่ดีต้องละเว้นต้องเลิกขาดต้องเรียนรู้อ่านกิเลสให้มันหลุดไปนะตัวนี้ คุณเริ่มทำคุณก็จะได้จะรู้ตัวตน อัตตาคือตัวตนของกิเลส
พระโพธิสัตว์มีอัตตาตัวตนอาศัย ไม่ใช่อัตตาตัวตนของกิเลส
ก็จะรู้อัตตาตั้งแต่โอฬาริกอัตตา กิเลสตัวต้นตัวใหญ่ มาสู่กิเลสตัวกลางคือ มโนมยอัตตาที่คุณปั้นในจิต โสดาบันพ้นวิติกมกิเลส พ้นมาได้ระดับหนึ่งแล้วมาอยู่ในฐานของปริยุฏฐานกิเลส คือต้องพากเพียรสู้กับตัวที่กำลังยึดถืออยู่ จะชัดเจนว่าตัวที่ทำได้แล้วเป็นอย่างไร ตัวที่กำลังสู้เป็นอย่างไร ตัวที่สูงกว่าเป็นอย่างไรเป็นได้จะรู้เอง ที่อธิบายนี้ยังน้อยนะอธิบายมุมเหลี่ยมมิติของมันยังได้นิดเดียว อย่างนี้เป็นต้น ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
จากนั้นจะมีทิฏฐิ ที่มีความถูกตรง สัมมาทิฏฐิ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงลึกซึ้ง เป็นเองเป็นจริงรู้ตัวจริงตั้งแต่มันมีจนไม่มี ไม่มียังไม่เกิดอีกมาแล้วก็หายวับแข็งแรง พิสูจน์ได้ในตัวอย่างนั้น ทิฏฐิ ก็จะเจริญขึ้นแม้กระนั้นก็ยังประมาทด้วย อปมาทะ เป็นตัวที่6
ต้องไม่ประมาทอย่าประมาท ตัวสุดท้ายข้อที่7ของ สุริยเปยยาล คือโยนิโสมนสิการ ตัวนี้ยิ่งใหญ่ในตัวอกุศล ประมาทหรือไม่ประมาทก็ต้องไม่ประมาท อย่าประมาท ต้องไม่ประมาทเสมอ ถ้าไม่ประมาทเสมอๆมันไม่มีวันพลาด แต่ถ้าคุณประมาทแน่นอนสักวันหนึ่งอย่าอวดดีเลย แม้เป็นใครก็ตาม พระพุทธเจ้าเองท่านก็ต้องทรงสังวร ท่านทำได้สมบูรณ์แบบแล้ว แม้ไม่ประมาทแล้ว ท่านก็ยังต้องเตือนคนอื่น
ตัวสุดท้ายของกิเลส แม้จะหลบไปในก้นบึ้งขนาดไหนก็ต้องจับให้ได้
โยนิโสมนสิการจึงเป็นตัวที่สำคัญมาก
เมื่อได้ฟังสัตบุรุษแล้วคุณก็เปิดใจรับฟัง ปรโตโฆษะ จนบริบูรณ์ด้วยศรัทธาบริบูรณ์ด้วยโยนิโสมนสิการ ตามอวิชชาสูตร ฟังแล้วก็ยิ่งชัดเจน ถ้าคนเข้าใจชัดเจนแล้วฟังเมื่อไหร่ก็จะมีอรรถรสเป็นพระอรหันต์ขนาดไหนเป็นโพธิสัตว์ขนาดไหนก็ไม่มีเบื่อฟังได้ซับซ้อนแม้ของเรามันรู้แล้วของเรามีดีกว่านี้ด้วยก็ไม่เบื่อ
ที่อาตมาทบทวน สุริยเปยยาล ยิ่งอาหารของวิชชาก็ยิ่งชัด
เอาสั้นๆ ผู้ไม่ได้ฟังสัตบุรุษไม่มีทางบรรลุ คุณจะเป็นพระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้คุณต้องมาต่อเชื้อจากใคร จากพระพุทธเจ้าไม่ได้คุณก็ต้องฟังจากสัตบุรุษถ้าหากคุณปฏิเสธสัตบุรุษก็ no way ลงทะเลไปให้ปลาฉลามกิน
การฟังธรรมที่บริบูรณ์จึงจะมีศรัทธาความเชื่อที่บริบูรณ์ มันเชื่อถือ จึงจะเต็ม พอเต็มแล้วคุณก็ได้ความรู้มาคือการมนสิการ คุณก็เอามาปฏิบัติได้อย่างโยนิโส ถ้าไม่มีโยนิโสมนสิการไม่ละเอียดแยบคาย มีแต่ถอยหลังเดินหน้าเดินหน้าถอยหลัง เตี้ยลงแล้วสูงขึ้นอีก
เมื่อฟังสัทธรรมแล้วก็จะเกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ทำให้เกิดการมนสิการทำใจในใจได้บริบูรณ์ เอาไปปฏิบัติก็มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์
สติก็จะค่อยๆเต็มร้อยขึ้นเรื่อยๆ ปัญญาก็จะเต็มความรู้ไปเรื่อยๆ สติมาจากพยัญชนะว่า สตะ แปลว่า 100 ครบ สติ ก็องศาครบหมุนเป็นวงวน ทำงานเป็นกระบวนการสามเส้า สติก็เป็นอธิปไตยมีกำลังมีอำนาจ และก็จะมีปัญญาปัญญาก็เต็มความรู้สติเต็มร้อยปัญญาเต็มรู้ ปัญญาก็คือ อัญญา ธาตุอัญญา สติคือธาตุสตะ อัญญาเป็นความรู้อื่นความรู้ที่ไม่เหมือนความรู้ทางโลกโลกุตรชนรู้กัน ที่มีมาเป็นโลกโลกีย์และนี่เป็นความรู้อื่นจากโลกียเลย แต่มีความแตกต่างเป็นอัญญธาตุไม่ใช่ธาตุตัวเก่า ได้ธาตุตัวใหม่คือเริ่มออกจากโลกียะได้ ได้ตัวใหม่เพิ่มเป็นพหูพจน์ก็เป็นอัญญา เจริญขึ้นไปเป็นตามลำดับ ก็เป็นปัญญา อาจเป็นกัญญา ชัญญา แม้ฆัญญา แปลว่าฆ่า มันฉลาดแต่ตีกลับแต่เป็นตัวร้ายก็ได้ หรือเอาไปฆ่ากิเลสสก็ได้ ฆัญญาแปลว่าการฆ่าการทำลาย ชัญญาคือ ยิ่งจะรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งกลายเป็นน้ำก็เป็น ถัญญา น้ำนม สัญญาก็เป็นตัวสะสมความรู้ขึ้นเรื่อยๆ มัญญาหรือมัญญติ เป็นความสำคัญมั่นหมายที่สะสมไปเรื่อยๆจนเป็นปัญญา ความรู้แบบพุทธเรียกว่าปัญญา
อาตมารู้มากแต่ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไทว่า…ต้องมาทบทวนตนว่าต้องย้ำว่าคบสัตบุรุษแบบเต็มๆ
ความหลง 5 ประการ
_สมณะพอจริง
กิเลสโมหะ หลง 5 ใช้ภาษาบาลีแบบนี้ถูกไหมครับ
-
หลงผิด (เห็นดีว่าชั่ว เห็นชั่วว่าดี) มิจฉาทิฏฐิ
-
หลงลืม (สติกำหนดรู้ไม่ได้) มฏฐสสติ อฏฐ แปลว่า 8มันยังไม่เต็ม 9 เรียกว่าจิตยังไม่เต็ม สติไม่เต็มหลงลืม
-
หลงใหล (คลั่งไคล้) สัมโมหะ ประกอบความหลงเต็มจนคลั่งไคล้ กลายเป็นทาส 100% เขาจะทำชั่วต่ำก็ต่ำตามเขาเละไปหมด
-
หลงเหลือ (โมหะยังไม่สิ้นเกลี้ยง) อัตตามานะ ยึดตัวเองเป็นสำคัญว่าดีที่สุด
-
หลงตัว (หลงดี มีมานะยึดดีในตนเอง) สอุปาทิเสสะ
พ่อครูว่า..เสสะคือเศษที่เหลือ สอุปาทิเสสะคือเหลือเศษอยู่ ก็ได้ พวกเราไม่ได้เรียนรากฐานบาลีมา ก็พยายามช่วยค้น (สู่แดนธรรมว่า..สัมโมหะ แปลว่าหลงลืม )
อย่าไปหลงพยัญชนะมากเกิน ไม่อย่างนั้นคุณจะไปหลงกับพยัญชนะอีกมาก แล้วเราก็จะหลุดนะ เมื่อไปสนุกกับพยัญชนะก็จะหลุดจากสภาวะก็เสียเวลา ให้เอาสภาวะเป็นเอกเอาพยัญชนะเป็นรอง อย่าไปหลงพยัญชนะเป็นเอกมันจะไปใหญ่เลย อย่างที่เป็นกันอยู่ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้พยัญชนะเก่ง แต่ว่าสภาวะไม่ได้นี่มันน่าสงสาร เดี๋ยวนี้ก็กำลังเวียนกลับมาสู่สภาวะ บางทีบางคนก็บอกว่าพยัญชนะของอาตมาใช้ไม่ได้มันสับสนไม่เหมือนกับคนอื่นก็เลยยิ่งแย่ อาตมาก็เลยแสดงสิริมหามายา เขาก็หมุนสมองไม่ทันสมัย อาตมาอธิบายสมบูรณ์คุณก็แย้งอยู่นั่นแหละแล้วคุณก็เป็นอย่างนี้ไม่เปลี่ยน คุณก็เก่งกว่าอาตมาเสียแหละ
_หลงลืมกับสัญญาวิปลาสมันต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไรครับ
พ่อครูว่า..หลงลืมมันเลอะเทอะ วิปลาสมันเป็นเพียงชั่วคราว มันมีได้ สัญญาวิปลาส สัญญาของคนไม่ถูกเรื่องเลยเป็นไปได้ วิปลาส 3 คือ ไปสำคัญผิดไปหมดเลย สัญญาก็วิปลาส จิตก็วิปลาส ทิฏฐิก็วิปลาส ทั้งสามอย่างก็ไม่ใช่แค่หลงลืมแล้ว มันหมดเนื้อหมดตัวเลย สัญญา จิต ทิฏฐิก็วิปลาส จบไม่เหลือหากวิปลาสแบบนั้นก็หมด จะไปเห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง จะเห็นความทุกข์ก็เป็นความสุข ความไม่น่ามีไม่น่าได้ว่าเป็นความน่ามีน่าได้
จริงๆแล้วมันก็จะต้องทั้ง 3 ตัวต้องสมบูรณ์ จะต้องมีสัมมาทิฏฐิ สัญญา จิต ทิฏฐิ ไม่เช่นนั้นจะไปปฏิบัติเปลี่ยนวิปลาส 4 ความเห็นไม่เที่ยงว่าเที่ยง ความเป็นความทุกข์ว่าเป็นความสุข ส่วนมากไปเห็นความทุกข์ว่าเป็นความสุข เพราะความทุกข์กับความสุขมันตัวเดียวกันเลย แต่คุณจะไปถูกไหมกับความสุขตราบใดที่หมดความทุกข์ความสุขก็หมดไปด้วยศาสนาพุทธสุดยอดตรงนี้ มันไม่ใช่ตัวตนแต่ไปเห็นว่ามันมีตัวตน มันก็เลยเสียเวลา แม้แต่มันไม่น่าได้น่ามีไม่น่าได้เลย คุณก็เห็นเป็นสุภะ ก็จบสิ
หลงลืมกับสัญญาวิปลาสนั้นไม่เหมือนกันทีเดียว วิปลาสหนักกว่า เข้าใกล้อาการหนักนะ
-
สามัญญผลสูตร