620814_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 63
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1OD7oakok9ZsVz321WJRhcR8r4FaRTNAmMcK80oYJa70/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1MGPujnd0fawEXfyJJPGJTJ8aNogV4qoG
ดูยูทูปที่
พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 ที่บวรสันติอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(โลกุตระ) ตอน ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างโลกุตระ
สำมะปี๋ก็ทั่วไป แต่ขอยืนยันว่าอาตมาต้องเข้าหาธรรมะสัจจะแม้จะเป็นธรรมะในระดับโลกีย์แต่พยายามให้เป็นธรรมะโลกุตระเสมอเพราะว่าโลกียนั้นมันก็ดี ได้ประพฤติดี อย่าไปทำชั่วอย่าไปประพฤติชั่ว แต่ว่าโลกุตระนั้น เปิดให้รู้ความสุขความทุกข์และเรื่องความสุขความทุกข์กับความสุขความทุกข์ ดับภพดับชาติดับสวรรค์ดับนรก เป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องยาก ถ้าสามารถรู้จักจิตในจิต เวทนาในเวทนา ถ้าสามารถอ่านอาการออกอ่านอาการเป็น ว่ามันยังมีอาการแสวงรสสุขรสทุกข์ คือมันยังไม่เสวย ทำให้ไม่สบายได้ ไม่มีรสของความสุขไม่มีรสของความทุกข์ได้ คนที่สามารถอ่านจิตตัวเองแล้วทำจิตตัวเองได้นั่นแหละคืออาริยบุคคลจนเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่ใช่เรื่องลึกลับเป็นเรื่องรู้จักจิตในจิต แล้วทำให้จิตใจของเราลดกิเลสจนจิตใจไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์
จิตใจไม่สุขไม่ทุกข์ทำโดยไม่ลดกิเลสก็ได้ โลกียะเขาก็ทำด้วยการกดข่ม ก็ได้ โดยวิธีต่างๆมันก็ทำได้ง่าย ทำได้ทนทำได้นานก็เป็นได้แต่มันไม่ใช่ทางของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องลดตัวเหตุแห่งทุกข์ แล้วเข้าใจให้ได้ว่า ความทุกข์ความสุขมันเป็นอนัตตามันไม่เป็นจริงหรอกมันเป็นตัวหลอก อารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้ไปเป็นลำดับตั้งแต่เรียนรู้ความเป็นสุขเป็นทุกข์ในโลกของอบาย เรียนรู้แล้วเราก็เข้าใจ คนที่เข้าใจแล้วก็เลิกมาได้ ป่วยการไปเสียเวลาจะต้องไปมีความสุขความทุกข์ไปมีรสชาติในเรื่องของโลกอบาย หมดสุขหมดทุกข์พ้นโลกอบายจริงๆ และก็เลิกความสุขความทุกข์ในโลกกาม โลกอัตตา รูปโลก อรูปโลก อ่านให้ชัด
ตรงนี้แหละอ่านให้ชัดซึ่งไม่ใช่เรื่องไปหลับตาเลย ไปหลับตานั้นโมฆะจากการดับกิเลสจะไม่ได้ลดกิเลสจริงมันเป็นอดีตกับอนาคตเท่านั้นกับการหลับตา ไม่มีความจริงความจริงนั้นมีแต่ปัจจุบันมีแต่ความจำ หรือสร้างภพชาติ อดีต 18 อนาคต 44 เป็นการปรุงแต่งที่ไม่ใช่ของศาสนาพุทธในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ในพระสูตรแรก พรหมชาลสูตร นักศึกษาศาสนาพุทธ อ่านพระไตรปิฎกให้แตก
ศาสนาพุทธนั้นไม่ได้เป็นนั่งหลับตาปฏิบัติแต่ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ การพูดการจาการคิดการทำอาชีพมีไหวพริบปฏิภาณที่มีพลวัตของจิต มุทุภูตธาตุ จิตของเรามีปฏิภาณแววไว อ่านทันอ่านออก ถ้ามีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ว่ามันเป็นจิตที่มีกิเลสแยกกิเลสออกได้ แล้วก็รู้วิธีที่จะลดกิเลสด้วยปัญญาด้วยวิปัสสนา เห็นว่ามันจรมา มันไม่เที่ยง แล้วก็เป็นเหตุเป็นเหตุแห่งทุกข์และเป็นหลงว่าเป็นความสุข
ปัญญานั้นมีประสิทธิภาพมีอินทรีย์พละเข้มข้นชนะสิ่งที่มันไม่จริง มันจะยืนยันความจริงให้ไปล้มล้างความยึดถือของความสุขความทุกข์ ผู้ที่ปฏิบัติเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติจะรู้ว่าจิตตัวเองสัมผัสด้วยความจริงจนกระทั่งมันหมดกิเลสอันนั้นจนมันตายอย่างลืมตานี่แหละ
ที่อธิบายนี้อธิบายจากที่ตัวเองปฏิบัติมาได้ผลบรรลุแท้ๆ ประกาศไปแล้วว่าอาตมาบรรลุอรหันต์บรรลุเป็นโพธิสัตว์แล้วก็มาทำงานอย่างนี้มาหลายชาติ เสริมสร้างศาสนาพระพุทธเจ้า พูดไปอย่างไม่ปิดบังเปิดเผยไปแล้ว
เขาไปอธิบายผิดหลงผิด แล้วก็ไปมีอรหันต์เก๊ เดาเอา แล้วไปเชื่ออรหันต์เก๊ อาตมาจึงต้องยืนยันความจริง อาตมามีชีวิตอยู่เป็นปัจจุบันยืนยันว่าอรหันต์อันไหนจะจริงกว่ากัน ศึกษาผู้ติดตามแสวงหาจะได้แสวงหาความจริง เอาพระไตรปิฎกมาเปิด ไล่เรียงตามพระไตรปิฎกเลยคำสอนพระพุทธเจ้า อย่างหลับตาในพระไตรปิฎกนั้นไม่มี เดาเอาเองพูดเอาเองต่างๆนานามีแต่อรรถกถาจารย์พูดอธิบายกันอย่างนอกรีต เช่น อ.พระพุทธโฆษาจารย์ ที่รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรคซึ่งเป็นเรื่องนอกรีตพระพุทธเจ้า
ศาสนาพุทธที่ไปถือเอาคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นหนังสือหลักของศาสนาสังคมศาสนาพุทธจึงชิบหาย พูดยังไม่ได้เกรงใจ มานานมาแล้วหลาย 10 ปีจะเกือบ 50 ปีแล้ว ถึงไม่ได้พูดเลี่ยงเหลาะแหละ พูดชัดๆเลย ใครที่คิดว่าเป็นสัจจะก็เอา ใครที่คิดว่าไปล้มล้างก็ไม่เป็นไรก็ไปล้มล้างสิ่งที่ผิดนี่แหละก็ต้องสถาปนาสิ่งที่ถูก สิ่งที่ผิดจะเอาไว้ทำไม ต้องล้มล้างไปเลย สิ่งที่ถูกก็ต้องสถาปนากันขึ้นเป็นธรรมชาติ
_13 สิงหาคม 2562
กราบนมัสการพ่อครูด้วยบูชายิ่ง
จากการฟังเทศน์วันที่ 9 สค. 2562 สะดุดคำว่า นาม ไม่ใช่ อรูป ถ้ามีนามต้องมีรูป แสดงว่านามไม่ใช่รูป
ดังนั้นนามน่าจะเป็นอรูปตามตรรกะภาษา โดยปรมัตถ์แล้ว อรูปก็คือรูปที่เป็นจิตนิยาม ซึ่งต้องพิสูจน์ได้เลยว่านามไม่ใช่อรูป
ปกติพอพูดถึงนามฉันจะเข้าใจนามธรรม Abstract
เมื่อกล่าวถึงนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนัสสิการ
ทำไมสังขารและวิญญาณไม่ใช่นาม จุดนี้ทำให้คิดว่ากระบวนการนี้คือ
[เวทนา / สัญญา / เจตนา / ผัสสะ / มนัสสิการ] >>>>> [สังขารธรรม] >>>>> [วิญญาณ]
ความเข้าใจตรงนี้เกิดจากคำว่า นาม คืออะไรทำไมไม่ใช่ อรูปอยากให้พ่อครูสอนต่อ
เกี่ยวกับนิยาม 5 สัมพันธ์กับ นามพีชไม่ใช่นาม สัมพันธ์กับชีวะ อย่างไร
ดิฉันเพิ่งจะเห็นความสำคัญ ความละเอียดของภาษา มีความหมาย มีความแตกต่าง เป็นเรื่องลึกซึ้ง การได้คลี่คลายปมของภาษาบัญญัติ ทำให้จิตใจเราละเอียดอ่อนวางปล่อยเรื่องของอุตุได้ง่ายขึ้น อยากเรียนรู้มากขึ้น รู้สึกยังมีอีกเยอะที่ต้องรู้ เช่น ความสัมพันธ์ของสภาพธรรม ที่เป็น อากาสา ธรรมะ 0 อุเบกขา
เป็นสภาวะที่ใกล้เคียงกันใช่ไหมคะ
จาก หิ่งห้อยถือศีล
พ่อครูว่า…ถ้าจะว่านามเป็นอรูปของพีชนิยามไม่ใช่ แต่นามนี้เป็นอรูปในจิตนิยาม มี มันก็สำคัญในฐานะที่เราจะปฏิบัติธรรมไปสู่การเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าฟังไปเรื่อยๆถึงเวลาเรามีภูมิเราก็จะตามทัน จิตมุทุภูตธาตุจะฟังทันรู้เรื่องพออาตมาพูดถึงตอนไหนก็จะเข้าใจไปตามลำดับไม่สับสน
อุตุไม่มีนาม พีชะก็ยังไม่เป็นนาม เป็นอรูป พีชะก็ยังไม่สัมผัสกับนาม
จิตเพิ่งจะเริ่มสัมพันธ์กับนาม
จิตที่รู้จักกรรม ธรรมะจึงมีนามสัมผัสกับกรรมกับธรรมะ
ส่วนพีชะไม่ใช่นาม สัมพันธ์กับชีวะคือ พีชะหรือพืชเป็นชีวะแล้วที่มีชีวะในตัวมันเองมีอัตภาพที่เป็นตัวมันเอง ISH สามเส้า พลังงานตัวมันเอง บวก ลบ ให้มีการหมุนเวียนอยู่ได้ด้วยตัวเอง พีชธาตุเป็นสิ่งที่จะต้องสร้างตัวเองทำงานของตัวมันเอง แต่พลังงานของมันอยู่ในระดับแค่พืช พีชธาตุ จะไม่มีความทุกข์ไม่มีความสุขไม่มีความเจ็บปวดไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีการจองเวรจองกรรมข้ามชาติไม่มีพลังงานอัตตาถึงการข้ามชาติ
อาตมาอธิบายสภาวะธรรมเหล่านี้เป็นเรื่องยากไม่ใช่เรื่องง่าย อธิบายได้เพราะว่าอาตมามีภูมิธรรมที่รู้สิ่งเหล่านี้ นี่ไม่ใช่การอวดตัวตน คนไม่มีภูมิธรรมพูดเอาเองขยายเอาเองจากสภาวะที่มีเองไม่ได้หรอก นอกจากอ่านตำราเอง หมดตำราเท่าที่จำได้ ดีไม่ดีสับสนจากในตำราด้วย แต่อาตมานี้ไม่ได้สับสน เช่น การไม่เข้าใจคำว่าบาปกับบุญเป็นต้น
บุญเป็นพลังงานที่ไม่หมุนเวียนเป็นพลังงานที่ใช้ชำระกิเลสในทุกปัจจุบันเท่านั้น ทำลายกิเลสหมดจดแล้วไม่มีบาปให้ทำอีกบุญก็จะไม่มีเลยเรียกว่าสิ้นบุญสิ้นบาป คำว่า อปุญญาภิสงขาร คนที่ไม่มีภาวะสัจธรรมโลกุตรธรรมจะไปแปลอปุญญาภิสังขารว่าสังขารเป็นบาปอีก คนที่ไปแปลอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าเขายังไม่มีสภาวะโลกุตรธรรม ถ้าหากว่าต้องวนเวียนเป็นบาปอีกก็จะไม่มีกิเลสสูญนิพพานไม่มีเลย
บุญมีหน้าที่ตัดกิเลสอย่างเดียวตัดกิเลสแล้วจบ จึงมีการสิ้นบุญสิ้นบาป พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว ท่านได้ตรัสพยัญชนะอย่างนี้เลย แม้แต่พระอรหันต์ พระโมฆราชว่า อาตมาสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว (ปุญญปาปปริกขีโณ)
คนที่เข้าใจสภาวะธรรมถึงขั้นสิ้นบุญสิ้นบาปแล้วไม่ได้ก็ยังไม่ใช่อรหัตตผล ไม่รู้จักนิพพาน
_ใบฟ้า…“นายกตู่กับบททดสอบเสริมสร้างบารมี “
นายกตู่ขวัญใจประชาชนคนดีมีปัญญา (แยกดี ชั่วได้)กำลังเผชิญกับบททดสอบที่เหมาะสมกับบารมี ที่จะได้สั่งสมๆ จากการที่ฝ่ายค้านสามัคคีแตก ผู้นำรัฐบาลท่านนี้ให้จงได้ดู ดูแล้วเกิดความรู้สึกน่าสงสารและน่าสมเภชกับความเขลาเบาปัญญา ปากก็พร่ำจะมาพัฒนาชาติบ้านเมืองตามที่ได้โฆษณาขายฝันให้กับประชาชน แต่พอ เป๊ง! ยกที่ 1 ก็มุ่งจัดการบุคคลสำคัญที่เป็นคนดีมีความสามารถเป็นผู้นำที่ดีที่สุดในกาละนี้ ที่จะพัฒนาประเทศชาติจากผลงานที่ประจักแก่ชาวโลกมา 5 ปีแล้ว จะอย่างงัยอีก????? ประชาชนคนธรรมดาอย่างดิฉันเริ่มเบื่อหน่ายอีกแล้วกับการเมือง “ประชาธิปไตย” ที่เป็นอยู่ในขณะนี้เพราะวังวนของการเมือง “น้ำเน่า” กำลังมาแล้ว
ปรับใจดีกว่าว่านายกตู่จะได้สั่งสมบารมีตามรอย “พระโพธิสัตว์” จากตัวอย่างที่มีจริงในยุคนี้คือ พ่อหลวง ร.9 และพ่อครูค่ะ
กราบขอบพระคุณด้วยเศียรเกล้า
ใบฟ้า น.
พ่อครูว่า…ใช้ได้ก็เป็นสภาวะจริงแต่ยังไม่ขยายความอะไร
_พลอยแผ้ว…ครั้งหนึ่งพ่อครูเคยเทศน์ว่า จะไม่ไปพักที่สุทธาวาส เมื่อเร็วๆนี้พ่อครูเทศน์ว่า 1000 ปีที่ผ่านมา ในถิ่นไทยมีแต่ฝ่ายฤาษีมาสอนธรรมะ ทำให้สงสัยว่า พ่อครูไปอยู่ไหน? ..ดิฉันว่าพ่อครูอาจไม่ได้อยู่ในวรรณะพราหมณ์แต่อยู่ในวรรณะของกษัตริย์ แพศย์ ศูทรเลยสอนธรรมะไม่ได้เต็มที่
พ่อครูว่า..ถูก มีนัยอีกเยอะแยะ กว่าพันปี เกิดมาตั้งหลายรอบกว่าจะมาเป็นพระโพธิรักษ์ แต่ก็จะไม่พูดถึงมาก ให้มาเรียนรู้ธรรมะปัจจุบันดีกว่า แล้วมันจะเป็นสัจจะที่เป็นตัวเองตามฐานะของแต่ละคุณไม่จำเป็นต้องอยากไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำเหตุเท่านั้นเอง
แม้แต่คุณจะไปเป็นเหมือนพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะพระมหากัสสปะ ก็เป็นได้หมดแหละธรรมะนั้นอยู่ในกรอบในขอบเขตอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้แบบพระอานนท์ลักษณะอย่างพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะพระกัจจายนะมันจะเป็นจริง
_SMS วันที่ 12 ส.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู)
ตัวอย่างการปฏิบัติอรูปฌาน
_1062กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ ขออนุญาตทำความเข้าใจสภาวะสุดท้ายของวิโมกข์8 ค่ะ. ขออนุญาตยกตัวอย่าง นะคะ เช่น. เมื่อเราไปเจอผัสสะด้วยถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามเรา. ดุด่าเราแต่ตัวเรารับรู้ถ้อยคำนั้นชัดเจน จึงดับความรู้สึกไม่ชอบใจและความโกรธ ลงจนนิ่งเฉยและไม่โกรธ จนกระทั่งนิ่งเฉยได้อย่างไม่ใส่ใจ สภาวะแบบนี้เรียกว่าบรรลุอากาสานัญจายตนะหรือเปล่าคะ เพราะขณะนั้นจิตสงบเป็นศูนย์เหมือนกับว่าไม่ใช่คำด่า สงบจริงๆค่ะและรับรู้ว่าเขาด่า เขาดูถูกเหยียดหยาม จิตสูงเข้าบรรลุสู่วิญญาณัญจายตนหรือไม่คะ กราบนิมนต์พ่อท่านสาธยายจุดนี้อีกครั้งและกราบนิมนต์พ่อท่านยกตัวอย่างเพื่อเป็นไฟส่องทางแก่ลูกผู้มีฝุ่นละอองธุลีในดวงตาเป็นอันมากค่ะ. กราบแทบเท้าพ่อท่านโปรดชี้นำทางด้วยเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า..จิตของคนทำอย่างนี้ได้เรียกว่า อากาสาฯได้ มองทางนามของตนจิตเราเฉยๆ มองทางรูป อากาสาฯว่างๆ มองทางนามจิตเราเฉยๆ ได้
ตอนนี้คุณกำลังโง่สภาวะโลกคุณก็รู้ว่าเขาด่าแต่คุณจะบอกว่าเหมือนกับเขาไม่ได้ด่า ความรู้สึกของคุณเฉย แต่คุณเข้าใจบัญญัติให้ได้ว่านี่คือคำด่า คุณจะไปเข้าใจคำด่าผิดไปได้อย่างไร ก็เขาด่า แต่คุณเข้าใจแล้วว่า คำด่านี้เป็นคำด่าแต่คุณทำใจของคุณว่าคุณจะเฉยกับคำด่า
ถ้าคุณฟังคำด่าของเขาเช่น ไอ้หน้าดำ ไอ้หน้าขาว เขาจะด่าอย่างไรล่ะ ไอ้หมา เราก็บอกว่าคำด่าของเขาหมายความว่าอย่างไร เราเป็นตามภาษาที่เขาว่านั้นไหม ถ้าเราเป็นคนหน้าดำ เขาด่าถูก เขาไม่ชอบหน้าดำเขาเลยด่าคนหน้าดำ เอ๊ แต่เราดูหน้าเขาก็หน้าดำเหมือนกันก็ถูกเขาเหมือนกันนะ แต่ถ้าเขาขาวเขาด่าเราหน้าดำเราก็เข้าใจความเป็นจริงตามความเป็นจริง หรือมันจะลึกซึ้งกว่านี้ก็ตาม ความหมายของพยัญชนะจะลึกละเอียดกว่านั้นก็ตามเป็นนามธรรม คุณก็เข้าใจตามนั้น คุณจะบอกว่าไม่ใส่ใจในคำด่าคุณก็โง่ เป็นพยัญชนะที่ไม่รู้สมมติสัจจะ คุณต้องรู้สมมติสัจจะและก็รู้ปรมัตถสัจจะคือจิตเจตสิกต่างๆว่าจิตใจเราเกิดอาการความโกรธความโลภความหลงอะไรเราไม่มีเราชัดเจน ตามพยัญชนะที่เขาด่าว่ามันก็มีจริงตามที่เขาว่าเราก็เข้าใจสภาวะนั้น รู้โลกรู้สมมุติรู้ธรรมรู้จิตเรา
เราทำให้จิตเราเข้าใจแล้ว จิตเราก็ว่างกลางๆเฉยๆนี่คือฐานนิพพานอุเบกขา ใครทำจิตนิพพานอย่างนี้ได้เสมอต่อโลก ต่อการสัมผัสเกี่ยวข้องกับอะไรเรื่อยๆแล้วเข้าใจทั้งสมมุติและปรมัตถ์ทำได้จริงอรหันต์เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเป็นอรหันต์ไม่ได้ยาก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_สู่แดนธรรมว่า..คำว่ายังเป็นรูปอยู่เลย …จึงน่าจะว่างไม่ใช่อากาสาฯ
พ่อครูว่า..คำว่า อากาสา ไม่ใช่แค่อากาศ แต่อากาสานัญจายตนะมันมีอายตนะต่อธาตุรู้ ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าคุณสัมผัสกับอันนี้แล้วจิตใจคุณเป็นอากาศ อ่านไปที่นามที่ติดตัวเองเป็นอากิญจัญญายตนะ เป็นเทวะ ธาตุคู่
ส่วน เนวสัญญาฯกับอากิญจัญญาฯ อธิบายในเชิงตัวตนว่า นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี อะไรที่จะไม่มีความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนก็ไม่มี กับเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็คือต้องพยายามรู้ให้จริง จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ ไม่ได้ นานัตตสัญญา เนวะคือเชิงปฏิเสธ รู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ นานัตตะคืออัตตาต่างๆ สัญญาการกำหนดรู้อัตตาต่างๆ ขั้นนี้เป็นอรูปอัตตาแล้ว ต้องรู้ให้ครบนานัตตสัญญาด้วยการสัมผัสทางอายตนะ
การไปนั่งหลับตาไม่มีสัมผัสนอกสัมผัสในไม่เป็นการสัมผัสวิโมกข์ 8 ไม่เป็นการปฏิบัติศาสนาพุทธเป็นโมฆะจากพระอรหันต์ ในขั้นเนวะสัญญานาสัญญายตนะเป็นอรหันต์แล้วนะ เมื่อคนพ้นขั้นกูก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่คุณต้องใช้สัญญาเวทยิตนิโรธังโหติ
ต้องรู้เคล้าเคลียอารมณ์ สัมผัสอ่านรู้แทงทะลุรอบในเวทนาให้ครบ นิโรธัง จนแน่ใจชัดเจนถึงเป็นนิโรธ โหติ จึงเกิดการบรรลุสูงสุด โหติ แปลว่าเป็นของแท้ของจริงบริบูรณ์แล้ว สัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ว่าอาตมาเติมปฏิบัติได้สำเร็จจึงเป็น โหติ
วิญญานัญจายตนะก็คู่กับอากาสานัญจายตนะ
คนที่ยังมีรสอะไรกับการดูกีฬาฟุตบอลคุณก็อ่านได้ ยิ่งอดไม่ได้เลย ชิงแชมป์ฟุตบอลโลกจะดึกดื่นตี 2 ตี 3 ก็ถ่างตาดูอยู่นั่นแหละคุณติดอยู่ในโลกอบาย แต่ถ้าคุณเห็นว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก คุณเห็นว่ามันก็ยังมีรสสัมผัสก็ยังมีรส คุณก็ติดน้อยลงแต่ก็ยังมีอบายมุขรสอร่อย กับการละเล่นบันเทิงเริงรมย์ที่มันเป็นรสจริงๆ ยิ่งรสจัดจ้านอบายมุข เช่นรสราคะ โทสะ ฟุตบอลเป็นการแข่งดีแข่งเด่นทางสายโทสะ แต่ถ้าลีลาแย่งผัวเมียแย่งคู่ก็เป็นเชิงราคะ
คุณก็ยังมีรสชาติอยู่ จริงๆแล้วคุณเจอหนักยิ่งกว่าละครก็มีแต่คุณไม่รู้มันก็เป็นเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยของโลกอยู่อย่างนั้นแหละ ผู้ที่ศึกษาดีแล้วก็เข้าใจว่ามันก็เป็นกรรมกิริยาพฤติกรรมของมนุษยชาติในโลกที่ยังอวิชชา ก็จะมีเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยอย่างนี้อยู่นานตลอดนิรันดร ตราบที่ยังอวิชชา แล้วถ้าเรารู้แล้วอย่าไปหลงในนิทานพวกนี้หลุดออกมาจากนิทานพวกนี้ให้ได้ ตั้งแต่โลกหยาบต่ำวุ่นวายในราคะโทสะ แย่งลาภยศ ก็พ้นได้สูงกว่านั้นมาได้จนกระทั่งไม่ต้องไปแย่งแล้วในลาภยศต่างๆ จะต้องไปมีความสุขความทุกข์ด้วยลาภยศสรรเสริญอะไร ก็ไม่ต้องแย่ง แม้ที่สุดยังมีความทุกข์ความสุขอยู่ในรูปธรรมอรูปธรรม มานะอติมานะก็รู้ฐานความเป็นอนาคามี จนกระทั่งจิตใจของคนไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยคนก็เป็นพระอรหันต์
อธิบายทีไรก็จบที่อรหันต์ทุกทีไม่ได้โมเมด้วยแล้วไม่ได้เอาแต่พยัญชนะมาอธิบายด้วย ไม่ใช่ท่องมาด้วย แต่ใช้สภาวะอธิบายด้วยพยัญชนะ
_1182พ่อครูอ่านประเด็นธ.ธาตุแท้การเมือง โดยธาตรู้ทันนักแก้รธน.ส่องกระจก6ด้านชัดควันหลงสภานกกระสาจากปชธต.ใบเลือกตั้งไร้ปฏิรูปฯชัดแจ้งชัดเจนชัดใจมวลมหาปชช.จริงๆสาธุ
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ผมอยู่ทางโลกียะ ต้องรับภาระหลายชีวิต โดนกระทบต่อเศรษฐกิจ เต็มๆครับ แต่ก็อาศัยเศรษฐกิจพอเพียงประคับประคองอยู่ครับ
พ่อครูว่า..ดีถ้าคุณเข้าใจเศรษฐกิจพอเพียง
_วาส ทองจันทร์ · จารย์อุ้ด สายหลับตาเขาไม่ได้พูดถึงเลยว่าเดี๋ยวนี้มีพระโสดาบัน สกิทามี พระอนาคามี จะมีแต่พระอรหันต์เดา และพระอรหันต์ของเขาต้องทำเครื่องรางของขลัง เป่าเสก เลขยันต์ มีฤทธิ์เดชเท่านั้นครับ
พ่อครูว่า..อาตมาก็ว่าเขาพูดถูกนะ อย่างหลวงพ่อคูณเขาทำเหรียญมา ก็เอาไปแจกแล้วก็เกิดว่ามีความขลังเกิดขึ้นก็ยังไม่ชัดเจนในตนเอง
คนเจริญโลกุตระถึงขีดจะมาอยู่กับชาวอโศก
_อ๋อย เอื้อมพร กราบนมัสการค่ะ หลังจากคิดอยู่หลายตลบ วันนี้ดิฉันตัดสินใจบอกที่ทำงานขอลาออกสิ้นเดือนมกราคม 2563 ค่ะ ทั้งที่จริงยังสามารถทำงานต่อได้อีก 3ปี จนถึงอายุ 65- แต่ไม่เอาแล้วค่ะ อยากมีอิสระภาพ จะได้เดินทางไปอโศกได้บ่อยขึ้น และอยู่ได้ยาวขึ้น ด้วยตระหนักว่า ชีวิตใกล้กองฟอนเข้าไปทุกวัน อยากทำอะไรก็จะต้องรีบทำ เดี๋ยวตายก่อนจะหมดโอกาส ทำงานได้เงินเยอะ ก็ไม่รู้จะใช้อะไร นอกจากยกให้วัด ซึ่งที่จริงก็ดีอยู่นะคะ แต่ยังดีน้อยกว่าเอาตัวไปอยู่กับหมู่กลุ่มให้มากขึ้น
คิดมานานแล้วค่ะ พ่อเรียกให้ลูกมาอยู่บ้านราชฯทีไร ก็นึกเสมอว่าเมื่อไหร่จะถึงรอบตัวเอง ถึงคราวนี้จะไม่ได้ไป 100% เพราะยังติดพ่อบ้าน แต่ก็ยังดีกว่าเดิมค่ะ
ลาออกเดือนมกรา ก็จะได้ไปร่วมงานพุทธาภิเษก แล้วอยู่ต่อจนถึงงานปลุกเสกค่ะ
ยังพอมีวันหยุดพักผ่อนเหลือ คิดว่าจะไปงานมหาปวารณาด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…เรามาร่วมปฏิบัติธรรมเป็นหมู่คณะเพราะเห็นว่าเวลาชีวิตมีค่า แทนที่จะไปหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข วันเวลาผ่านไปก็ตายก็เท่านั้น แต่เราคิดได้เอาเวลาที่แบ่งกันไม่ได้ จะเอาไปทางโลกหรือเอามาทางธรรมมันก็ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณเอาเวลาไปทางโลกเสียหมดก็ทุ่มเทไปเรื่องโลก คุณก็ได้แต่เรื่องยุ่งวุ่นวายทางโลก แต่คุณเอามาทางธรรมก็ได้ทางธรรม
ที่นี้คุณฉลาดคุณไม่ได้ทิ้งทางโลกคุณก็ทำงานทางโลกแต่คุณมีธรรมะติดตัวคุณไปแม้แต่กระทั่งทำงานอาชีพ ก็ทำงานที่สัมมาอาชีพ กรรมกิริยาก็เป็นสัมมากัมมันตะพูดจาอยู่ก็เป็นสัมมาวาจา คิดนึกก็เป็นสัมมาสังกัปปะคนๆนี้ไม่ได้แบ่งโลกแบ่งธรรมคุณมีธรรมอยู่ในโลก เพราะฉะนั้นคุณจะรู้ความจริง ว่าคุณได้ธรรมะเจริญไปถึงขีดหนึ่งคุณก็จะลดความเป็นโลกแล้วเอาตัวมาอยู่กับธรรมะจนกระทั่งเริ่มอยู่กับธรรมะ ชาวอโศกเรา เรื่องการทำงานทางโลกแล้วก็ไม่ทิ้งแต่เราไม่แย่งลาภยศสรรเสริญกับโลกหรือแม้แต่เรื่องโลกียสุขทางโลกเราก็ลดลงโลกอบายมุขโลกกามคุณ เราก็เป็นพระอาริยะเป็นพระสกิทาคามี จนกามหมดจริงเป็นอนาคามี เหลือในจิตเป็นรูปราคะอรูปราคะทำออกหมดอีกคุณก็เป็นพระอรหันต์คุณก็ยังอยู่ในโลกนี้แหละ ศาสนาพุทธไม่ได้หนีผัสสะ ไม่ได้หนีโลกอยู่กับโลกแต่จิตของเราเจริญปฏิบัติให้เกิดสัมมาทิฏฐิให้ถูกต้อง แล้วคุณจะลดกิเลสอยู่เหนือโลกๆๆถูกต้องและเร็วด้วยสบาย แต่ทุกวันนี้มันแยก ปฏิบัติธรรมก็จะไม่ได้หรอกเรามีภาระทางโลก แต่คุณไม่รู้สามารถทิฐิของพระพุทธเจ้าก็ยืนยันในมรรคมีองค์ 8 คุณจะทำงานอาชีพอะไร
ถ้าคุณรู้ว่าคุณทำงาน ขายเหล้า เป็นมิจฉาชีพระดับขายเหล้ายามันไม่ได้เรื่องแล้วคุณก็จะเลิก คุณก็จะรู้อาชีพของเราเป็นการฆ่าสัตว์ มันเป็นมิจฉาชีพแน่นอนก็ต้องเลิก ยิ่งคุณไม่ฆ่าสัตว์แต่คุณยังขายเนื้อสัตว์อยู่พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไม่ฆ่าไม่ขายมันเป็นมิจฉาวณิชชา สัตถวณิชชา เป็นมิจฉาชีพ เรารู้เราก็เลิกทำ ถ้าขายเหล้ายาค้าขายอยู่ในวงการพนัน หรืออยู่ในการพนันทางการเมือง อันนี้เป็นเรื่องรู้ยาก พนันกันเอาเป็นเอาตายนะ แล้วจับประเทศมาเป็นตัวประกันด้วยร้ายแรงและจะทำอย่างไร เราอย่าไปนึกว่าเราเป็นนายใหญ่เป็นพระเจ้าจะไปจัดการเขาได้นะ คุณก็เอาตัวของคุณเองให้รอดก็แล้วกันอย่าไปวุ่นวายกับเขามากมาย
_ค่อยไท…. ผมคาใจมาตั้ง 10กว่าปีแล้ว มีรองเลขาสมเด็จพระสังฆราชโทรมาหาผมเพื่อให้ผมไปปรับปรุงวัดเพื่อถวายพระสังฆราช ผมก็ไปตามนัด พอถึงที่ผมก็โทรไปหาท่าน รองเลขาฯ แต่ท่านไม่รับสายเลยไม่ติดต่อเลย ผมก็เลยว่า พระท่านโกหกตกนรกไหมครับ ผมอีเมล์ไปท่านก็ไม่ตอบ ตอนนั้นผมอารมณ์ไม่ดีมาก
พ่อครูว่า..ทำไมว่าท่านโกหก ท่านอาจมีเหตุการณ์ที่โทรไม่ได้..แสดงว่าท่านเลิกล้มได้แต่คุณไปเหมาว่าท่านโกหกแต่ว่าท่านอาจไม่ทำแล้วก็เลยไม่ได้ติดต่อกลับ
_ต่อมาผมไปบ้านราชฯโทรหาท่านคมคิดแต่ท่านไม่ได้รับ แต่คราวนี้ไม่ได้เกิดอารมณ์โกรธแบบตอนนั้นเลย
พ่อครูว่า..ก็ดี
_แสงอรุณ ..ช่วงเข้าพรรษานี้ตั้งตบะไว้ว่าจะอ่านหนังสือรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร พอตั้งตบะก็มีกิเลสมาเลยว่าต้องจบ แต่พออ่านไปก็รู้สึกว่าไม่จบในพรรษาแน่ เพราะว่ามันเป็นเรื่องลึกซึ้งจะต้องทำความเข้าใจ เมื่ออ่านถึงหน้า 83 มีความถามว่า พ่อครูได้เขียนว่า กรรมคือการกระทำที่ตนเองทำลงไปแล้ว กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่ตนได้กระทำจริงแล้ว ประเด็นสำคัญก็คือ ทำแล้วเราผูกลงไปในใจจริงหรือใจยึดเองจริงๆโดยเราชังหรือชอบนั้นเอง หนูติดใจประโยคที่ว่าผูกลงไปในใจจริงๆ
พ่อครูว่า…ผูกลงไปในใจจริงๆคือ ความรู้สึกของเราชอบหรือชัง
ชอบผูกฝังในจิต ฝัง คือบอกดีกรีของความดูดความผลักหากดูดก็แรงผลักก็แรง ฝังคือความหมายเข้าไปหาประทับไว้ในอนุสัย สั่งสมในสันดาน เรียกว่าฝัง
คนไม่รู้ก็พูดอย่างนี้ เราทำเองด้วยนะ จะมีความชอบหรือความชังเราไม่ควรให้มันเกิดน้อยที่สุดหรือไม่ให้มันเกิดเลย ถ้ามันไม่เกิดเลยคุณก็เป็นพระอรหันต์
สองอย่าให้มันฝังลึก
ทำไมคนเราไม่รู้จักยอมกัน
_ดูแล ..ทำไมคนเราไม่รู้จักยอมกัน
พ่อครูว่า..มันโง่ หลวงปู่ยอมไหม?…ยอม แล้วหลวงปู่โง่หรือฉลาด เอ๊ จริงไหมเอ่ย หลวงปู่นี้ยอมแพ้ คือเรื่องของเรื่อง จะว่าแพ้ แพ้อย่างโง่ๆไม่เข้าเรื่องมันก็ไม่ดีสิ จริง มันก็ไม่ดี แต่เรื่องอะไรที่เราจะต้องไปเอาชนะคะคานรบราให้เสียเวลา เขาบอกว่าแพ้เราก็แพ้ แต่ถ้าเรามีความสามารถมีศาสตร์และศิลป์ในการที่จะทำสิ่งที่อันนี้ควรจะดีควรจะให้เจริญ อันนี้ไม่ควรให้เจริญคุณก็ทำไป เขาจะไปเถียงด้วยพยัญชนะว่าแพ้หรือชนะก็ช่างเขาเถอะ อาตมาก็แพ้มาเรื่อยๆแต่อาตมาก็ทำงานไปตามที่ควร อะไรไม่ควรทำอาตมาด่าเลย อะไรควรทำก็ยกย่องไป อย่างนี้เป็นต้น แพ้แต่อาตมาได้ทำงาน จะไปแย่งแพ้ชนะทำไม การเป็นผู้แพ้ เถียงด้วยบัญญัติภาษาพยัญชนะเท่านั้นเองแต่ถ้าเขาว่าแพ้เราก็แพ้ แต่ในภาคการปฏิบัตินั้นเขาไม่รู้หรอกว่าเราทำในสิ่งที่เขาไม่อยากให้เราปฏิบัติเราก็ทำได้
อย่างอาตมาอธิบายธรรมะแบบนี้แล้วบอกว่าเป็นของพุทธก็ทำ จนมีผู้มาประพฤติปฏิบัติร่วมด้วยจนมีหมู่กลุ่มของชาวอโศก ซึ่งมันสำเร็จผลจนถึงขั้นเป็นชุมชนเป็นหมู่กลุ่มชาวพุทธ เรียกว่าชาวพุทธ เพราะว่ามีศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวบ่งชี้ หมู่บ้านชาวอโศกทุกหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านมีศีลจริง ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่เขาก็ปฏิบัติจริง ทุกหมู่บ้านไม่มีอบายมุขไม่มีเหล้ายาปลาปิ้ง ไม่มีสิ่งหยาบๆ ไม่มี เป็นหมู่บ้านศิวิไลซ์เป็นหมู่บ้านเจริญแบบอริยะจริงๆ เพราะมีศีลทั้งหมู่บ้านไม่มีอบายมุขทั้งหมู่บ้าน จะเรียกว่าเป็นเบื้องต้นก็มีเบื้องต้นที่ไม่มีอบายมุขมีศีล 5 มีศีล 8 มีศีล 10 มีศีล 43 จุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล มีพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ด้วย ไม่ใช่มีแค่พื้นฐานศีล 5 แล้วมีจริงที่อาตมาพูดอาตมาทำสำเร็จผล แต่เขาว่า ผู้แพ้ก็ไม่เป็นไร ได้เป็นหมู่กลุ่มเป็นกอบเป็นกำ
คุณมาสลายให้หมู่กลุ่มนี้มีอบายมุขสิ คุณมาให้ที่นี่ปฏิบัติสมาธิแบบหลับตาสิ ไม่ได้หรอก มันมีปัญญาชัดเจน
นี่มันเป็นสัจจะ สัจจะนี้เป็นเรื่องสุดยอด แต่ผู้ชนะเขาทำอะไรบ้าง…เขาก็ทำไปจนว่ากันไป ตอนนี้ก็มี ผู้เป็นนักบวชต่างประเทศพระจูเลี่ยน สมีจูเลี่ยนก็ยีงนิยม
ศาสนาพุทธนั้นมันเสื่อมจนกระทั่งไม่รู้ว่าสมี คือบุคคลต้องห้ามเลยในวงการสงฆ์ ยิ่งกว่าผู้มีความผิดขั้นพรหมทัณฑ์ พรหมทัณฑ์ยังอยู่กับหมู่ได้แต่ปฏิบัติกับเขาเหมือนเขาไม่ได้อยู่ร่วม แต่ปาราชิกนี้ให้มาสุงสิงด้วยอยู่ด้วยไม่ได้เลย แต่นี่เขาให้มาเป็นมัคทายกอีก ไม่รู้เรื่องเลย เขาว่าเป็นเณรก็เลี่ยงไปแต่คุณก็ควรรู้ว่าควรคบหรือไม่ควรคบสิ ถ้าไม่ได้เขาแล้ววงการศาสนาพุทธจะไปไม่รอดหรืออย่างไร เขารู้มากแค่ไหนแล้วยังมาพากเพียรเน่าๆอีก
ปาราชิกกันเละอยู่ในสังคมศาสนา โดยเฉพาะปาราชิกเรื่องเงินมาก จะไม่เหลือเลยนะ ใช้เงินผิดประเภท โยกทรัพย์ไปมา เข้าข่ายปาราชิกนะ แค่เกิน 5 มาสก เอากันจริงจะไม่เหลืออะไรเลย
อาตมาให้มีสมณะ มาจะ50 ปีแล้วไม่มีด่างพร้อยเรื่องเงินทองเลย แม้สิกขมาตุถือศีล 10 ก็ยังบริสุทธิ์ได้ จะพูดแก้ตัวว่า ในยุคนี้ไม่มีเงินไม่ได้จะเดินทางได้อย่างไร…แต่อย่างท่านเพาะพุทธไปมาต่างประเทศไม่รู้กี่ประเทศก็ไปได้โดยไม่ต้องมีเงินใช้เงินเลยมีฆราวาสเขาอนุเคราะห์ไวยาวัจกรเขาก็จัดการไป คือจะมีผู้สงเคราะห์อนุเคราะห์ขอให้จริงเถอะเขายิ่งจะสนับสนุนด้วยท่านจะไปทำงานศาสนา ไม่ต้องมาพูดแก้ตัวเลยแม้ในยุคเดียวกันนี้
อาตมาไม่มีเงินทองแต่เมื่อวานอยู่ที่บ้านราชฯวันนี้ก็มาอยู่ที่สันติอโศกแล้ว
รู้จักกิเลสงัวเงีย
_1จะแยกอาการกิเลสถีนมิทธะ กับอาการง่วงที่เกิดจากการกินอาหารอิ่มหรือจิตใจร่างกายใช้พลังงานมากไป
2 พ่อท่านสอนวิธีทำให้นอนหลับสนิท
พ่อครูว่า…แยกอาการกิเลสถีนมิทธะ กับอาการง่วงที่เกิดจากการกินอาหารอิ่ม กินอาหารอิ่มหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนมันอิ่ม ด้วยสรีระร่างกายจะทำของชีววิทยามันต้องการพลังงานไปเลี้ยงย่อยอาหาร มันก็เลยจะต้อง ดึงออกพลังงานไปทำงานส่วนนั้น ยิ่งกินอิ่มมากก็ต้องง่วงมากไปย่อยเยอะก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ถีนมิทธะมันแรงคือมันอยากพักอยากนอนก็อย่าไปกินมากจนง่วง แต่ถ้ากินอิ่มแล้วจะง่วงก็หาวิธีเคลื่อนไหวร่างกาย
แต่ขณะกินอิ่มร่างกายต้องใช้พลังงานมาก ก็อย่าไปออกแรงมากไป ให้พลังงานไปย่อยอาหารหน่อย หากไม่พอก็ย่อยไม่ละเอียดไม่ดี
หรือจิตใจร่างกายใช้พลังงานมากอย่างไรก็เรียนรู้อิ่มพอดีคงไม่ง่วงหรอก
จริงๆเรื่องความง่วง ความง่วงเป็นการติดอัสสาทะของความง่วง อธิบายหลายทีแล้ว คุณได้จับอาการง่วงที่มันอร่อยให้ได้ มันอร่อยที่ความงัวเงีย อาการงัวเงียคุณหลับแล้วเกิดอาการนี้ อยากจะไปกับมัน อันนี้แหละ งัวเงีย อยากจะนอน แต่มันไม่ได้นอนเต็มที่ ก็พยายามรักษาความงัวเงีย ก..อย่าให้อาการงัวเงียเกิดในอารมณ์ไม่ว่าเมื่อไหร่ให้มีแต่ตื่นกับหลับ
อาการงัวเงียคืออาการกิเลสที่เกิดระหว่างตื่นกับหลับ
ตื่นคือสว่างเลย หลับคือหลับ นอกจากคุณจะฟุ้งซ่าน พอลดความฟุ้งซ่านได้ก็หลับ จะให้สอนวิธีทำจิตเพื่อนอนหลับก็ลดความฟุ้งซ่าน นี่พูดง่ายๆ
คนที่ไปนั่งสมาธิหลับตาสะกดจิตเขาก็หลับง่าย คุณก็ฝึกสมาธิหลับตาแล้วทำจิตให้ไม่ฟุ้งซ่าน มันจะฟุ้งซ่าน มันหลับแล้วก็พาลไปถีนมิทธะ คุณทำฟุ้งซ่านดับคุณก็หลับได้
แต่ถ้าไม่ฟุ้งซ่านแล้วแต่สะลึมสะลือคือตัวง่วงคือถีนมิทธะ
ก็ฝึก ถ้าฝึกแบบที่ว่าคุณจะนอนหลับก็ฝึกแบบนั่งหลับตาปฏิบัติไม่ให้ฟุ้งซ่าน แต่ถ้าจะหลับแล้วมีอะไรคั่น มีปวดเยี่ยว แต่กลัวอารมณ์สะลึมสะลือรักษาไว้ ระวังตกส้วมหัวแตกนะ
เหตุที่คนอยากไปแต่งงาน 2 อย่าง
_ถ้าเราจะตั้งจิตเป็นโสดตลอดไปเราจะตั้งจิตของเราอย่างไร
พ่อครูว่า..จะไปยากอะไร? ก็อย่าไปแต่งงานอย่าไปเผลอไปรักผู้ชายอย่าไปเผลอไปรักผู้หญิงเท่านั้นแหละ กระเทยไม่พูดก็ 2 อย่างเท่านั้น
_จะตั้งจิตอย่างไรให้เป็นถึงชาติต่อๆไป
พ่อครูว่า..คุณทำในชาตินี้ให้ได้ตลอดก็ล้างกิเลสอยากแต่งงาน
1.กิเลสราคะทำให้ไปแต่งงาน
2.หลงไปกับโลกที่เขาหลอกว่าต้องแต่งงาน เดี๋ยวแก่ไม่มีใครดูแล นี่เรื่องโง่ๆกลบเรื่องกาม ที่แฝงอยู่ แล้วก็อ้างแต่งงานเป็นเพื่อนกัน สร้างสังคม อ้างไปสารพัดแต่มันแฝงกามลึกๆ
คนไม่ต้องเป็นคู่ไม่ต้องไปแต่งงาน เป็นเพื่อนกันโดยไมต้องเป็นคู่แต่งงานต้องเสพกาม เป็นเพื่อนกันผู้ชายผู้หญิงเป็นเพื่อนทำงานกันโดยไม่ต้องมีอาการกามได้หรือไม่? …
คุณไม่ต้องเสพกามเลย เป็นเพื่อนผู้ชายผู้หญิงไป มีเยอะไป
พูดอันนี้ให้ฟัง อาตมามีชีวิตมา คนเข้าใจว่าอาตมาคบเพื่อนผู้หญิง แล้วคนแวดล้อมคนทั้งตัวผู้หญิงเองไปคิดว่าอาตมาไปจีีบเขาทั้งที่อาตมาไม่ได้ไปรักเขขาแต่คนเข้าใจไม่ได้ ตอนนั้นอาตมาก็ไม่เข้าใจ เพื่อนผู้หญิงนึกว่าอาตมารักเชิงกาม แต่ก่อนอาตมาไม่เข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้รู้ว่าใจเราไม่ได้ไปรักทางเพศกับเพื่อนผู้หญิง คุยกันสนิทสนม ไปมาหาสู่จนคนเข้าใจว่าไปจีบแต่ที่จริงไม่ใช่เลยไม่มีจิตทางกาม
การตั้งจิตเป็นโสดดี พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่าผู้ตั้งตนเป็นความโสดเขาเรียกกันว่าเป็นบัณฑิต ผู้ฝักใฝ่ในเมถุนย่อมเศร้าหมอง ศึกษาให้ดีอย่างมีปัญญา ถ้ามีปัญญาแล้วจะเข้าใจ มีพลังไม่ไปหลงอย่างนั้น
ทำใจไม่ให้ยินดีในสิ่งที่เป็นกิเลสได้อย่างไร
_เรื่องของคนในครอบครัว ที่ชอบซื้อหวยใต้ดิน ปากดิฉันก็ไม่สนับสนุนให้เล่น แต่เมื่อเขาถูกหวยได้เงิน ดิฉันอ่านจิตตัวเองว่ามันมีความยินดีทั้งที่เขาไม่ได้เอาเงินมาให้สักบาท อยากเรียนถามว่าต้องล้างจิตใจที่มันโมหะอย่างนี้อย่างไร
พ่อครูว่า…เหมือนพระพุทธเจ้าท่านเคยเล่าว่าท่านเห็นชาวประมงเขาจับปลาได้เยอะท่านมีใจยินดี ในการที่เห็นคนเขาจับปลาได้เยอะ อาการที่ไปยินดีที่เขาจับปลานั้น มันเป็นความชั่ว วิบากนั้นทำให้ท่านปวดหัว ท่านก็บอกว่าเป็นวิบากแห่งการอวิชชาที่ติดตัวในสมัยก่อนมาจนถึงบัดนี้ ไปยินดีที่เขาจับปลามา ท่านเองท่านรู้กรรมวิบาก
ท่านจะเจ็บมากหรือน้อยก็เรื่องของท่านแต่ท่านบอกเล่าเรื่องวิบากกรรมของท่าน
คุณรู้อยู่แล้วคุณก็รู้ว่าจิตเราไปยินดีกับสิ่งที่มันไม่ดีนี่ คุณก็ใช้ปัญญาให้ฉลาด อาการที่ยินดีมันคืออย่างไรก็อยากให้เกิดอาการอย่างนั้นของจิตเรา ไปยินดีทำไม อาการยินดีกับสิ่งที่ไม่ดีมันก็ผิด คุณก็ต้องบอกตัวเองว่ามันยังเกิดอาการนี้เพราะมันยังโง่มันอยากไปยินดีในสิ่งที่ไม่น่ายินดีก็โง่อยู่อย่างนั้น ฉลาดสักทีสิ คุณเคยจะบอกตัวเองได้ว่าอย่าไปยินดีในสิ่งไม่ดี คุณทำความเข้าใจไปแล้วก็จะไม่ยินดีในสิ่งที่ไม่ดีได้เรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรไม่ใช่แค่เรื่องหวย ในสิ่งที่ไม่น่ายินดีต่างๆนานาเราก็รู้ความจริงของจิตเราว่าไปยินดีอยู่ แต่คนไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็จะไม่เรียนรู้วิธีปฏิบัติ คุณมาเรียนรู้คุณจะรู้และปฏิบัติจริงคุณจะได้ แต่คนไม่ได้เรียนรู้อย่างนี้ก็ปฏิบัติไม่ได้เลย เราอาจบอกเพื่อนบ้านว่าเรายินดีจะได้อาย
_จับใจ…ตอนเด็กเป็นคนเอาแต่ใจ เรารู้สึกว่ามีความทุกข์ พอโตมาก็ดำเนินชีวิตแม้สมใจบ้างก็ยังทุกข์ พอเจอชาวอโศกดิฉันมาเลย ว่าเป็นหนทางพ้นทุกข์ ดิฉันอาศัยศีล 5 ไม่รู้พระไตรปิฎกเลย จะถามว่าดิฉันโต่งไปไหมที่ไม่เอาเรื่องพระไตรปิฎก
พ่อครูว่า..พอพ่อครูพูดอะไรมาเราก็เห็นด้วยแบบไม่เถียงไม่ค้าน ญาติธรรมบางท่านก็รู้พระไตรปิฎก แต่ดิฉันรู้แต่ว่าศีล5 เราไม่ให้กระดิก มี error บ้างแต่ไม่ค้านสิ่งที่พ่อครูพูดมาเลย แต่พอเขาถามเรื่องพระไตรปิฎกก็ตอบไม่ได้ เขาว่าบางเรื่องพ่อครูไม่ตรงพระไตรฯ
ประเด็นพระไตรปิฎก คุณไม่สนใจพระไตรฯหรอก เพราะคุณเจอตัวพระไตรฯแล้ว อาตมาคือตัวพระไตรฯแต่คนเขาไม่เชื่อหรอก อาตมาอธิบายคำว่ากาย คำว่าบุญคำว่าสมาธิ เขาอธิบายกันผิดยึดผิด แต่อาตมามายืนยันความถูกต้องนี้ คุณเองไม่ต้องไปวุ่นวายในพระไตรปิฎกหรอกเพราะมีตัวพระไตรปิฎกแล้วคุณฉลาด ที่รู้จักสิ่งที่จริงยิ่งกว่าพยัญชนะ เพราะว่ามีพยัญชนะอธิบายได้ พยัญชนะที่ขยายความหมายอีกเยอะแยะกว่าพระไตรปิฎก ซึ่งอ่านแล้วเข้าใจตีความได้ยากอาศัยอาตมาตีความดีกว่า คุณไปเจอพระไตรปิฎกที่ฉลาดกว่าพระไตรปิฎก ฉลาดกว่าคนที่ไปหลงพระไตรปิฎก
_จากลูกศีรษะอโศก
กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง
ขอกราบเรียนผลจากการฟังธรรมเรื่องวิโมกข์๘ และสัตตาวาส 9 ดังนี้ค่ะ
มีศิษย์เก่าชื่ออาร์ตมาทำพิซซ่าเลี้ยงชาวชุมชนในวันแม่ที่ศรีษะอโศก
วิโมกข์ข้อที่ 1 (รูปนอก) เห็นอาร์ตกำลังปรุงเครื่องพิซซ่ามีหลายอย่างสีสันน่ากิน
ในขณะเห็นรู้สึกเฉยๆ อาร์ตเอาพิซซ่าไปอบที่หน้าศาลาฟังธรรม
วิโมกข์ข้อที่ 2 (รูปใน) ในขณะที่กำลังฟังธรรมอย่างตั้งใจ
แล้วลมเย็นๆก็พัดพาเอากลิ่นหอมอันโอชะมากระทบจมูก
ทันใดนั้น น้ำลายเริ่มแตกออกมาในปาก (ผีเปรตตื่น)
สัญญาเก่าคืนชีพว่าเราเคยได้กินและรู้รสชาติความอร่อยของพิซซ่า
และแล้ววิญญาณเทวดาที่นั่งฟังธรรม ก็อ่อนแรงลง (ปัญญินทรีย์)
หันมาคบหากับผีเปรตแล้ว ชวนกันออกจากร่างไปหาพิซซ่า
(กายต่างกันสัญญาเดียวกัน) พอเทศน์จบได้เวลา ถวายอาหาร
พิซซ่าก็เลื่อนมาถึงเรา ทันใดนั้น เทวดาก็สั่งว่าให้หยิบ 1 ชิ้นเท่านั้น
ผีเปรตเชื่อฟังแต่โดยดี (เมื่อก่อนหยิบ 3 ชิ้นอิ่มแทนข้าวเลย)
พอถึงเวลากินลิ้นรับรส เอ๊ะ! ทำไมจิตไม่กระดี๊กระด๊าเหมือนแต่ก่อน
พ่อครูว่า..ตอบเพราะคุณคุมมันสติสัมปชัญญะคุณชักแข็งแรงก็ออกมาทำงาน
ทั้งที่รับรู้รส อร่อยมาก แต่ทำไมจิตไม่แช่มชื่นเหมือนแต่ก่อน ไม่เข้าใจตัวเองค่ะ
ขอเรียนถามค่ะ
-
หยิบพิซซ่า 1 ชิ้น (แต่ก่อนหยิบ 3 ชิ้น) จะเป็นโสดาบัน สัตตักขัตตุปรมะน้อยๆได้หรือไม่
พ่อครูว่า..ได้
-
โสดา โกลังโกละไม่หยิบเลย แต่ยังเหลือในใจอยู่ใช่หรือไม่
-
โสดา เอกพีซี จบสิ้นสังโยชน์ 10 แล้ว ทุกอย่างทั้งรูปนอกรูปในใช่หรือไม่