620825_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ จรณะวิชชาที่พาเป็นคนจนอยู่เหนือคนรวย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1LCgMKWxS6spww33-wPGu-KEnzbLP_wVfQhjOzSeYdSQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1TpI6spyA4IWjtffLfQmhJrDd0trKfNkz
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก เมื่อวานมีชาวต่างประเทศมาศึกษาดูงาน เขาถามว่าทำอย่างไรจะมีชุมชนอย่างนี้เพิ่มมากขึ้น ก็ได้ตอบไปว่าของเรามีสาระมาก (พ่อครูว่า สาระยากด้วย) คนก็เลยไม่ได้มีความอร่อยกับของเราอย่างเช่นเพลงของพวกเราคนก็ไม่อร่อยด้วย คนที่จะมาเอาแบบนี้คือคนที่ต้องการความมีสาระจริงๆ และจะพาคนให้พ้นทุกข์ได้
พ่อครูว่า…เพลงของพวกเราเป็นเพลงโลกุตระซึ่งชาวโลกเขาเข้าใจกันยังไม่ได้ ผู้ที่มีปัญญารับได้จะรู้กิเลสและจัดการกิเลสได้ โลกุตระคือธรรมะที่ทำให้กิเลสลดได้
สมณะฟ้าไทว่า…คนที่จะมาฟังธรรมจึงยาก เขาก็ยกมือถามกันอยู่จนหมดเวลาเลย เพราะเป็นสาระที่ดีจะพาให้พ้นทุกข์ได้
พ่อครูว่า…ไม่รีบมาเอาเดี๋ยวรีบตายซะเลย
วันนี้พ่อมานั่งที่เวทีก็เห็นแต่ข้างหน้านี้ ดอกขาวข้างหน้านี้ดอกเห็ด เป็นเห็ดตีนแรด ซึ่งก็ดูไม่สมประกอบ ฐานใหญ่ขาโต แต่ดอกนิดเดียวเป็นขาใหญ่ แสดงความจริงของธรรมะเลยอาตมาคือพวกขาใหญ่มีธรรมะเต็มมากเลย พยายามบอกไปเท่าไหร่พยายามให้ดอกใบต่อมันก็ได้เท่านี้ มันยากจังเลย เบ่งอย่างไรให้ดอกมันบานมันมากมันขยายใหญ่มันก็ไม่ค่อยออก ยาก
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องตรวจโลกก่อนประกาศศาสนา ถ้าหากมนุษย์ไม่มีภูมิพอจะรับได้ก็ทำให้ศาสนาเสียของ ประกาศไปก็ไม่มีคนรับได้มันก็ไม่คุ้มค่าก็จะไม่ประกาศ
_SMS วันที่ 23 สิงหาคม 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู)
_สุพัฒน์ เบ้าวันดี • เข้าใจท่านมีเจตนาที่อยากจะช่วยให้เขาหายโง่ เพราะมันถึงที่สุดของท่านแล้ว แต่ท่านควรหวนมองดูใจเขาบ้าง ถ้าเขาปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว เขาก็คิดว่าท่านผิดทางแล้วและอยากให้ท่านกลับมาให้ถูกทางบ้าง อย่าไปนั่งคิดเอาเฉยๆท่านจะว่าอย่างไร จะไม่เถียงกันจนคอแห้งตายรึ ผมก็เข้าใจท่านปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แล้ว จะประสงค์ร้ายคงไม่มี แต่มันยังมีแต่นะท่าน ผมไม่เคืองท่านหรอกท่านว่าผมยังงัย ผมอาจจะใช้คำอ้อมไปหน่อยไม่กล้าพูดตรงๆท่านจะเข้าใจพูดวกวน ใจจริงอยากจะให้ท่านเข้าใจ ว่ามันผิดยังงัย แต่มันก็ยากจริงๆ ผมว่าท่าน ฉลาดเกินที่จะเข้าใจพูดง่ายๆว่าสูงเกิน เลยมองไม่เห็นว่าผู้คนเขาทำเขาพูดกันอย่างไร จะให้คนส่วนใหญ่เข้าใจ สาธุ.
พ่อครูว่า…คุณนั่นแหละต่างหากที่ถึงที่สุดที่คุณมีอยู่ แล้วคุณก็ยังวนอยู่นั่นแหละเพราะคุณยังไม่มี อัญญธาตุเกิดได้ คุณก็ยังวนจมอยู่ในโลกียภูมิอย่างนั้น ศึกษาให้ดีแล้วคุณจะเข้าใจความวนของคุณเอง แทนที่จะหาว่าอาตมาวน อาตมาพยายามที่จะสอนคนอธิบายให้คนรู้ว่ามันไม่ได้วนอยู่ในโลกีย์เท่านั้นมันมีโลกใหม่คือโลกโลกุตระ คนจะเข้าใจอัญญธาตุ โลกุตระยาก
คุณสุพัฒน์ก็ยังสงสารอาตมาว่าพูดอย่างไรวนอยู่อย่างนั้น เขาเข้าใจว่าพูดกวนได้เก่งมากเลยสารพัดฉลาดมากเลยเอาอะไรมาพูดมากก็ไม่รู้ เขาก็เลยสงสารอาตมา ที่ว่าอาตมาออกจากความวนไม่ได้ ทั้งๆที่เขายังวนอยู่ในโลกีย์
อาตมาจึงต้องซ้ำซากบอกที่เก่าแล้วเสนอความใหม่ที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .
แม้แต่สันตา (ความสงบ) ก็รู้ยาก คนทุกวันนี้ไม่ได้เข้าใจ สันตา
ความสงบของพระพุทธเจ้า เป็นความสงบที่ร้อนแรง เป็นความสงบที่ไวเร็ว เป็นความสงบที่เร็วยิ่งกว่าลูกข่างกินน้ำจั้นหรือลูกข่างนอนวัน เร็วไว จนกระทั่งนิ่งจึงเรียกว่าสงบ อย่างนั้นจริงๆ ความสงบของพระพุทธเจ้าที่คนไม่รู้ได้เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ สันตา ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔)
ถ้าคุณสุพัฒน์ เบ้าวันดี เข้าใจอาตมาแล้วเห็นใจอาตมาจะส่งเสริมจะไม่ติงแต่จะให้กำลังใจ ผมเอาใจช่วย แต่นี่เขากลับว่า เขาเข้าใจว่าอาตมาวนอยู่อย่างนั้น ถ้าหากเข้าใจแล้วก็เป็นอรหันต์หมดสิ คุณเอ๋ย มันไม่ใช่
คำว่าความวน กับสันตา วนเร็วเป็นสภาพสอง เห็นเป็นสภาพ 1 แล้วแยก 1 นี้ไม่ได้ นี่แหละมันยากที่สุดในโลก มันมี 2 แต่เห็นเป็น 1 แยก 1 นี้ไม่ได้แล้วก็เลยอยู่กับ 1 ที่เป็น 2 3 4 5 จนเป็นมหาศาลหาที่สุดมิได้
เพราะฉะนั้น จึงจมอยู่กับ 2 ที่เป็นหนึ่งเรียกว่าเทวะ ตีไม่แตก ตีเทวะไม่ออก เพราะฉะนั้นเทวะว่าอย่างไรก็ว่าตามไปหมด ไม่มีอิสระเสรีภาพคิดเองไม่ได้รู้เองไม่ได้ ต้องให้พระเจ้าบอกถ้าไม่มีพระเจ้าแล้วโง่ตลอดกาล ก็ยังดีที่มีพระเจ้ามาเปิดเผยความรู้ไว้แม้จะไม่เป็นความรู้ที่ตาย ความรู้ที่ทุกคนแตะไม่ได้ ทุกคนขยายความอย่างละเอียดพิสดารไม่ได้ ต้องเป๊ะๆๆ ตามที่พระเจ้าว่าอย่าผิดเพี้ยนเลยนะมันก็จริงอยู่ ความจริงมันไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความจริง แต่นี่ มันเป็นความต่าง เป็นความเป็นที่อยู่ในคราบของความตาย
เพราะฉะนั้นความรู้ของเทวนิยมจะเป็นความรู้ตาย มีพระเจ้า อยู่ไหนก็ไม่รู้ ความรู้ตามพระเจ้านะ แล้วจะมีคนเป็นพระบุตรรับมาจากของพระเจ้าแต่ที่แท้แล้วเป็นของตัวเองนั่นแหละ ศาสดาทุกองค์ก็มีความรู้ของตัวเอง แต่ความรู้ที่เป็นเทวฺ ตีไม่แตกขยายไม่ได้ นี่มันไม่ใช่ของเรานี่เราขยายไม่ได้ ต้องเอาตามคำสอนที่บันทึกอยู่นี่แหละ ที่จริงก็ตัวเองบันทึกไว้เอง มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นศาสดาเยซู ศาสดามูฮัมหมัด ศาสดาบาไฮพระบาฮาอุลลาห์ เขาเข้าใจว่าศาสนามี 2 อันคืออย่างเทวนิยมกับอเทวนิยมซึ่งท่านก็จะเอามารวมกัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้มันเป็นสองตระกูลใหญ่ของมหาจักรวาล ฉะนั้นท่านจะทำความเป็นไปไม่ได้นั้นให้เป็นไปได้ท่านก็เลยไม่สำเร็จ เลยสร้างศาสนาบาไฮไม่เจริญ พวกคุณเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักศาสนาบาไฮนี้เลย เป็นศาสนาใหม่ที่พระบาฮาอุลลาห์ ที่พยายามจะเผยแพร่แต่มันไม่ออกกว้างเพราะมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสองตระกูลใหญ่ จึงจะมีสองอยู่ตลอด เทวฺ
มนุษย์มีกายกับใจเป็น 2 มีรูปกับนามเป็น 2 รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือธาตุรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดมาเป็นจิตนิยาม จิตนิยามเป็นธาตุรู้ที่รู้ได้สารพัดรู้รอบโลกรู้จักรวาล เป็นผู้รู้ที่สุดคือมนุษย์ รู้ตั้งแต่โลกียะในระดับของวัตถุสิ่งที่เป็นรูปธรรมสิ่งที่เป็นสสารพลังงาน จนกระทั่งถึงจิตนิยาม อุตุนิยาม พีชนิยาม
ผู้ที่รู้จักจิตนิยามได้อย่างแท้จริงจึงเป็นผู้ที่รู้จักอุตุนิยาม พีชนิยาม แล้วสามารถสร้างกรรมนิยามธรรมนิยาม สร้างจิตตัวเองให้มีความสามารถจัดการกาย ได้สมบูรณ์แบบ
ผู้ที่รู้จักคำว่ากาย กายคือเริ่มต้น เป็นหมวดหมู่
กายนี้แปลว่าหมวดหมู่ ฝูง กอง กายนี้ไม่ได้แปลว่า 1 แต่กายนี้รวมตั้งแต่ 2 ขึ้นไป
ทุกวันนี้คนไทยเข้าใจคำว่า กาย เป็นเรื่องภายนอกนั้นผิดเลยเพี้ยนเลย
อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาในยุคกาละนี้ ทะลุโลกออกมา ไม่อย่างนั้นวนอยู่ในไข่ออกจากไข่ไม่ได้ อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ที่ทะลุออกมาในยุคนี้
พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ว่าท่านเป็นไก่ตัวพี่ที่เจาะออกมาเป็นคนแรกในโลกนี้ที่ไม่มีโลกุตระ คนทั่วไปก็วนอยู่อย่างนี้ อย่างคุณสุพัฒน์ก็ตีอาตมา วนอยู่อย่างนั้นน่าสงสาร หากคุณรู้อย่างที่อาตมาพูดและเห็นใจอาตมาจะไม่ติติงอาตมามา แต่จะมีคำพูดที่ให้กำลังใจส่งเสริม จริงๆเป็นอย่างนั้น นี่ก็เป็นการขยายให้ฟัง
แม้แต่คำว่ากายในศาสนาพุทธก็ผิดเพี้ยนไปแล้ว ยังดีที่ในพจนานุกรมยังมี กายแปลว่ากอง หมวดหมู่ แห่งเจตสิก หมวดของธาตุ เวทนาสัญญาสังขาร เป็นธาตุรู้รวมๆกันอยู่ เรียกว่ากาย
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า เราเรียกกายว่า จิต มโน วิญญาณ ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปแล้วเข้าใจว่ากายไม่ใช่จิต ไม่ใช่มโน ไม่ใช่วิญญาณ นี่คือมิจฉาทิฏฐิไปเลย เพราะฉะนั้นจึงเริ่มตั้งแต่กายกรรม ก็ผิดแล้ว ไปแปลว่า การออกกำลังกาย ทั้งๆที่กายกรรมมันหมายความว่า การกระทำหรือสิ่งที่พึงกระทำของกาย คือรูปกับนาม กายกรรมคือ สิ่งที่พึงกระทำทางกายก็ยังพอเข้าใจได้ แต่พอไปแปลว่าการออกกำลังกาย ออกนอกเขตเทศบาลพุทธไปเลย
กัมมัญญตา แปลว่าความคล่องแห่งกาย เป็นความเป็นของควรแก่การงานหรือการกระทำแห่งกองเวทนาสัญญาสังขาร เป็นเรื่องของนามธรรมจริงๆ
กายกัมมันตะ คือกายกรรม
กายกลิ ซึ่ง กลิ คือโทษภัย แล้วโทษภัยของนาม จิตวิญญาณ สิ่งที่ชั่วช้าเป็นโทษที่อยู่ในกาย ก็คือกิเลสนั่นเอง กลิ ก็คือกิเลสนั่นเอง
กายสาวะคือความหมักหมมแห่งร่างกาย เขาแปลอย่างนั้น ก็เลยคิดว่าเป็นขี้ไคล อุจจาระปัสสาวะทำความหมักหมมให้แก่ร่างกาย แต่กายสาวะ มันประกอบไปด้วยอาสวะ มันซ้อนเป็นรูปนามอยู่ในกายเรานี่แหละ
กายคต สิ่งที่เป็นไปในกาย สิ่งที่อยู่ในกาย
กายทัณฑะ กิเลสเครื่องร้อยรัดกาย
กายคัณฑธ กลิ่นที่เกิดจากกาย เครื่องหอมที่ใช้ลูบไล้ร่างกาย
การเข้าใจคำว่ากายออกนอกเรื่องเป็นทิ้งจิตไปเลย ศาสนาพุทธจึงไม่เหลือเชื้อที่จะพัฒนาไปหากันหรือนิพพาน ลดกิเลสได้ นี่คือความผิดเพี้ยนของศาสนาพุทธ กายมันเข้าใจผิดไปมากกว่าหมายถึงสรีระ ถ้าหากอาตมาไม่ได้ขยายความอย่างนี้คุณก็จะเข้าใจกายเป็นสรีระ เข้าไปหาทางนั้นตลอดเวลาเลยจะไม่วนกลับ วกกลับ ให้หมายถึงจิตเป็นหลัก
_กลิ่นสีและกาวแป้ง…ความเป็นฌานวิสัย เกิดขึ้นอย่างนี้ใช่ไหมคะ สภาวะที่รู้สึกยินดี ภูมิใจปิติ เมื่อพ่อครูอ่านคำถามของดิฉัน คำถามในที่นี้หมายถึงคำถามที่เขียนใส่จดหมายให้พระครูตอบตอนเทศน์สด ทุกครั้งที่พ่อครูตอบจะเกิดความรู้สึก 2 อย่าง
-
คือได้เข้าใจและรู้ปริยัติเพิ่มขึ้น
-
ให้ความสมใจพอใจที่ที่มีพ่อครูตอบคำถาม ถ้าหากสมณะอื่นตอบคงจะต้องพิจารณาก่อนไม่เชื่อ ในจิตใจเหมือนได้คุยธรรมะกับพ่อครูมันเป็นความภูมิใจอย่างยิ่ง ความรู้สึกอย่างที่ 2 นี้ไม่ควรจะเกิดใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…แม้จะมีฐานแห่งความจริงอยู่บ้างก็ไม่ควรจะทำจิตใจเช่นนั้นมันเป็นการไม่เปิดรับคนอื่น ควรจะรับให้เต็มๆถ้าเราเปิดจิตให้รับเต็มๆ คุณมีน้อยคุณก็เข้าน้อยคุณมีมากก็เข้ามาก
แต่ ยิ่งมีน้อยแล้วคุณเปิดน้อยอีกก็รับได้น้อยสิ มันขาดทุนมากๆเลยไม่ควรทำอย่างนั้น ก็เลยบอกว่าอาตมารู้สึกอย่างนี้
การล้างจิตคือการทำนิสัยตนเองใหม่
_แล้วที่กำลังฟังนี้ได้ทำฌาน 1 ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..ฌาน 1 มี วิตกวิจาร ปีติ สุข
คำว่าจิตเป็น 1 จิตรวมเป็นฌาน จิตรวมเป็นสมาธิ ที่เขาสอนกันมามันวนเวียนอยู่ในเทวนิยม ในพุทธก็ตาม เป็นความรู้อันเดียวกันแต่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความถูกต้องแล้ว มันก็เลยเสื่อมไปเอง แต่ความจริงของสัจธรรมมันไม่เสื่อมนะมันคงที่
เพราะฉะนั้นเมื่อมันเสื่อมไปผู้รู้ในความผิดเช่น ขออภัยต้องยกตัวอย่างตัวเอง เช่นอาตมา เป็นผู้ที่ถูกต้อง นำความจริงของพระพุทธเจ้ากลับมาย้ำลงไปเพราะมันเป็นความจริงว่าโลกนี้มันเสื่อมไปจากความถูกต้องของศาสนาพุทธแล้ว อาตมาได้มาเกิดในยุคนี้ จึงเป็นไก่ตัวพี่ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาแล้วมาพูด สิ่งที่ขัดแย้งเขารู้ผิด
เมื่ออาตมาบอกว่าถูกมันอันนี้ ผิดมันอันนี้ เขาก็ ตาเขมาหาอาตมาเลยว่าเอ็งเป็นใคร เอ็งมาจากไหน แล้วแถมบอกว่า มาเองไม่มีอาจารย์ ไม่มีครูสอน รู้มาเอง เขาก็ยากจะเชื่อ หาว่าเป็นพระพุทธเจ้าไปเสียเลย อาตมาเองไม่บังอาจ อาตมาจะไม่กล้าเป็นอันขาดเลยว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าในตอนนี้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่อาตมาทำงานมาย่างเข้าปีที่ 49 เมื่อถึง 8 พ.ย.63 ถึงจะครบ 50 ปี
ทำงานมาจนป่านนี้แล้วก็มีคนที่พอเข้าใจรู้ได้แล้วก็เป็นตัวจริงของจริง สิ่งนี้เขาควรสะดุดใจ อาตมาสอนโลกุตรธรรมมาเพียง40-50 ปีก็ยังมีมนุษย์โลกุตระแต่ละบุคคลจริง มีอาริยบุคคลจริง มันมีคนลดกิเลสได้จริง
กิเลสคือการไม่หลงโลกียะ ละเว้นปล่อยโลกียะ โลกียะคือ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็ทิ้งลาภยศสรรเสริญมาจริงๆ วางมา ปล่อยมา ลดมา ไม่ได้มุ่งหน้าไปร่ำรวยแย่งชิงเอาพลังงานในชีวิตเรามามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน
แต่ก่อนนี้ 24 ชั่วโมงเป็นฟืนเป็นไฟที่จะไปล่าลาภยศสรรเสริญ แต่ก่อนตื่นเช้ามาจะไปเอาที่ไหนดี ไปหาทางได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่บัดนี้ สบายๆ ศึกษาไปลดไปเรื่อยๆ แล้วมันก็เกิดความจริงความรู้ที่ลึกซึ้งซับซ้อน แต่ละคนก็ได้มาตามลำดับ
แต่ก่อนนี้ลดไม่ได้พร่องไม่ได้ จะต้องเต็มจะต้องรวยด้วยลาภยศสรรเสริญทุกวินาที แต่เดี๋ยวนี้เห็นความหยุดความวางความสงบเป็นความพอดี สำหรับชีวิตนี้มีเหตุปัจจัยที่พอเหมาะพอดี จึงวางไปได้แล้วมาอยู่กับหมู่กลุ่ม ที่เป็นหมู่กลุ่มที่มีทัศนคติหรือมีสัมมาทิฏฐิ เป็นทิฏฐิสามัญตา ตรงกันร่วมกันก็มา จนกระทั่งมารวมหมู่รวมกลุ่ม มากผู้มากคน ขอฝากชีวิตไว้กับคนกลุ่มนี้ ที่อื่นก็สัมพันธ์ด้วยข้างนอกจากอนุรดีก็สัมพันธ์เราไม่ตัดสัมพันธ์ แต่ชีวิตที่สำคัญอยู่ที่นี่ เป็นตายฝากชีวิตไว้กับคนกลุ่มนี้ จิตจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นเลย …เคยเป็นอย่างนั้นบ้าง (ยกมือครบเลย)
ขอบคุณที่ยกมือบอกความจริง คนที่ไม่อยากยกเพราะขี้เกียจมาก หรือ อัตตาใหญ่ ถามหน่อยยกให้ก็ไม่ได้ ขี้เกียจจนกระทั่งระวังเถอะ ระวังแก้วตาขึ้นขนนะ
อาตมายังขยัน ยังไม่ขี้เกียจ ยังเต็มใจ ยังสมัครใจ พากเพียร เพื่อที่จะสาธยายธรรมะ แม้ว่าอายุจะมากขึ้นก็ยังไม่อยากจะจบ ยังจะต่ออายุไปอีกเพื่อจะได้สาธยาย เพราะรู้สึกว่ายังน้อยไป โลกุตรธรรมที่ได้พยายามแจกแจง แจกยากจริงๆ หรือไม่ก็แจกหวยเสียเลย หรือแจกกระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ก็มาเอาแน่เลย อาตมาก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้ไปแจก
เป็นความซับซ้อนลึกซึ้งที่เป็นสิริมหามายา
หมู่บ้านนี้มีมาไม่กี่ปีเจริญกว่าหมู่บ้านข้างเคียง เจริญทางวัตถุด้วย เจริญทางนามธรรมนี่แหละสำคัญ เจริญทางจิตวิญญาณนี่แหละสำคัญ คนหมู่บ้านข้างเคียงมาทำงานเลี้ยงชีพอยู่ในหมู่บ้านนี้ จนบางบ้านสามารถซื้อรถแบคโฮได้ ซื้อรถกระบะได้หลายบ้าน ก็มาทำงานช่วยสร้างสรรอยู่ในนี้ แต่ที่นี่ไม่เห็นมีกิจการที่จะไปหาเงิน เช่น การหาเงินทองขายดอกไม้ รดน้ำมนต์ ทำงานจัดงานมหกรรมเพื่อที่จะเรียกคนมาแล้วก็ได้เงิน เหมือนอย่างเช่นวัดอื่นเขาเราก็ไม่เคยทำ เขาก็เลยบอกว่าแล้วมันเอาเงินมาจากไหนวะ ที่นี่มีรถแบคโฮ 800 200 400 150 มีรถตักรถเครน หมู่บ้านอื่นเขาไม่เห็นมี แล้วก็สร้างอาคารอะไรตั้ง 11 ไร่(รวม 2 ชั้นเนื้อที่ 17 ไร่ )
ใหญ่โตมโหฬาร สร้างไว้ทำไม..สร้างให้เป็นตลาดประชารัฐให้ประชาชนมาอาศัยขายของได้ ถ้ามีหลักเกณฑ์ 4 ห้าม 3 ต้อง เราทำเพื่อช่วยเหลือประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อหาเงินทองอะไรทำด้วยความจริงใจ แม้แต่ในบริเวณนี้ก็ทำเพื่อให้คนได้มาพักอาศัยเป็น
Pleasant Land เป็นแดนเพลิน เชิญมาพักได้ Please Rest
ผู้ใหญ่ก็มาได้จะมาอาบน้ำอาบท่าอาบน้ำตก น้ำโตน น้ำม่านก็ได้ เรือก็เอามาให้พายกันแต่เขาก็ไปใส่โซ่เสีย คงจะกลัวของเสียเพราะซื้อมาแพง แต่เราก็ต้องยอมเสียบ้างอย่าฆ่าควายเสียดายเกลือ ไม่ใช่ว่าสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยทิ้งขว้างไม่ดูแลเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นก็ช่วยกัน
วัตถุต่างๆที่เราพยายามทำขึ้นมาในที่นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในการใช้สอยไม่ได้เอามาเพื่อค้าขายหาเงิน เท่าที่เรามีเรี่ยวแรง แล้วก็มีความลึกซึ้งซับซ้อนมากที่นี่เป็นระบบสาธารณโภคีทุกคนเป็นแรงงานฟรี ถ้าให้แต่ละคนออกไปต่างสร้างงานเท่าที่คุณทำอยู่ที่นี่ แล้วก็เก็บรายได้เป็นของตนเอง แล้วก็รวมกันเป็นก้อนนั้นมานั่นแหละคือก้อนนี้ ก็บอกว่าได้มาจากไหนก็ได้มาจากพวกคุณ ที่มาทำงานฟรีแต่ไม่เอาเข้าส่วนตัว เอาเข้ากองกลาง นี่แหละคือสาธารณโภคีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คอมมิวนิสต์จะต้องร้องไห้ ยกมือไหว้ว่าเป็นพ่อของเศรษฐศาสตร์ คาร์ลมาร์กซ์ ไม่น่าจะตายก่อนเลยน่าจะพบโพธิรักษ์ก่อน แต่เขาเป็นสายเทวนิยม ไม่ได้มาทางพุทธ ศาสนาพุทธนี้สุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์-การเมือง-สังคมศาสตร์ พร้อมครบแต่คนยังเข้าใจไม่ถึง อาตมาก็พยายามจะขยายความ
เมืองไทยมีในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งแล้วอาตมาเป็นอีกคนหนึ่งมาในยุคนี้ ในหลวงท่านก็ทรงงานสำเร็จไปแล้ว สวรรคตไปแล้ว ยังเหลืออาตมาที่ยังต้องเหนื่อยอยู่
ก็เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามา ในหลวงท่านเป็นสายรูปธรรม แต่อาตมาเป็นสายนามธรรม อาตมาก็ต้องขยายนามธรรม ให้ลงกันเป็นกาย เป็นเทวเป็นองค์ 2 ที่จะใช้เป็นรูปนามพัฒนาไป ในความเป็นคนนี้ต้องเป็น 2 เสมอต้องมีกายกับจิต
สัตว์โลกมีกายกับจิต พีชะไม่เรียกกาย ไม่เรียกสภาพนามธรรม เป็นพลังงานชีวะในระดับพีชะเท่านั้น
ผู้มีจิตธาตุเป็นอาริยบุคคล จึงสามารถอยู่เหนือกรรม การควบคุมกรรมแล้วสามารถทรงธรรม สร้างกรรมนิยาม ธรรมนิยามได้สัดส่วนพอเหมาะพอดี
ในหลวงท่านใช้คำศัพท์ว่า พอเพียง คือพอเหมาะพอดี อาตมาก็เอามาขยายความต่อ ในหลวงท่านเป็นสายรูปธรรม ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมาก อาตมาก็เป็นสายพูด เป็นสายนามธรรม เป็นสายแจกแจง
ในประเทศไทยเป็นประเทศพุทธศาสนายังจะมีรูปนามของธรรมะพระพุทธเจ้า ดังที่ปรากฏในยุคนี้เป็นยุคกึ่งพุทธกาล ศาสนาใดเสื่อมไปมากแล้ว เสื่อมจนกระทั่งไม่เหลือเชื่อของโลกุตระ ในหลวงก็มาทำเป็นรูปธรรมก่อน อาตมาก็มาขยายนามธรรม เพื่อที่จะเติมโลกุตรธรรมให้เป็นความยาวยืนต่อไปถึง 5000 ปีของพุทธกัปป์ของพระสมณโคดม
ศาสนาพุทธมีจรณะ 15 วิชชา 8 และสั่งสมเป็นสมาธิจนเป็นอุเบกขาซึ่งเป็นองค์สุดท้ายของฌานที่ 4 เป็นฐานนิพพาน บัดนี้มันได้เสื่อมไปแล้ว ถ้าเข้าใจจรณะ 15 วิชชา 8 สมาธิของพุทธ จนกระทั่งถึงจิตวิญญาณทะลุไปถึงอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ตั้งแต่มีศีล อปัณกธรรม 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 วิชชา 8 ปฏิบัติแล้วเกิดจิตที่สะอาดจากกิเลส บริสุทธิ์ตกผลึกตั้งมั่นเป็นอุเบกขาฐาน
ซึ่งมีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
บริสุทธิ์และบริสุทธิ์อีกแม้จะมีเหตุปัจจัยคลุกคลีเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์ทำงานมีปฏิกิริยากับสังคมกับสิ่งที่แปดเปื้อนอย่างไรก็ยังขาวผ่องผุดผ่อง ปริโยทาตา
จิต แกนของจิต มุทุ แปลว่าอ่อน เป็นสิ่งที่เล็กที่สุดอ่อนที่สุดไวที่สุดรู้มากที่สุดรู้เร็วที่สุด มุทุภูตธาตุ ทั้งศรัทธาเจโตทั้งปัญญาร่วมอยู่ในนั้น
จิตจึงมีการกระทำด้วย อัญญา ด้วยธาตุรู้ที่เจริญงอกงามไปได้เรื่อยๆ กัมมัญญา
ก็จะยิ่งเกิดความ ปภัสสรา มีโลกอันสดใสงดงาม เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ไปได้เรื่อยๆนี่คือคุณสมบัติ 5 ของ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ที่อาตมาเอาสภาวธรรมต่างๆมาขยายความ พยัญชนะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งหมด นี่คือคำตรัสสอนเป็นบาลี ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น อาตมาก็เอามาขยายความเป็นภาษาไทยๆ ที่สามารถเข้าใจกันได้จะได้เอาไปประพฤติปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้ประโยชน์
เมืองไทยจึงเป็นเมืองประภัสสรเพราะศาสนาพุทธ มีเชื้อของโลกุตระไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐกิจ รัฐกิจ สังคมกิจ ยังเจริญกว่าทุกประเทศในโลกเลย อาตมาพูดนี้ไม่ได้พูดเล่น พูดใหญ่ แต่คนเขาไม่เข้าใจ เป็นประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการเมืองเจริญที่สุด ประชาธิปไตยสูงที่สุดดีที่สุด ทุกวันนี้สูงเยี่ยมยอด
การเมืองประชาธิปไตยต้องมีฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านก็จะเป็นอย่างนี้ ค้าน แต่ค้านไม่ค่อยมีปัญญา แต่ต้องมีค้าน เพราะปัญญาไปอยู่กับทางรัฐบาลไปกับแกนของประชาธิปไตยแล้ว แล้วฝ่ายค้านก็บอกว่าเขาเป็นประชาธิปไตยคนอื่นเป็นเผด็จการ ทั้งที่ตัวเองเป็นเผด็จการ หลงว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย นี่เป็นลักษณะสิริมหามายาซับซ้อน เห็นถูกเป็นผิด เห็นดำเป็นขาว ตัวเองดำก็นึกว่าตัวเองขาว
นิมนต์จิบน้ำ…
สมณะฟ้าไทว่า…พ่อครูสอนให้คนพึ่งพาตัวเองให้ได้
พ่อครูว่า…ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างตัวเองหรือหมู่กลุ่มตัวเอง ชาวอโศกเกิดหมู่กลุ่มมา เริ่มต้นตั้งแต่อาตมาเริ่มทำงานมา ออกมาบวชพ.ศ. 2513 เมื่อพ.ศ 2516 ก็เริ่มตั้งกลุ่มที่แดนอโศก ก็ยังไม่มีประชาชนฆราวาสมากมายนัก จนมาถึงปฐมอโศกแล้วก็มามีศาลีอโศกกับศีรษะอโศกเพิ่มขึ้นเป็นชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนที่เป็นไปตามธรรม เป็นสาธารณโภคีมาตั้งแต่เริ่มต้น
สาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์ที่คอมมิวนิสต์ต้องการมากเป็นส่วนกลางที่ยิ่งใหญ่ แล้วมีผู้บริหารที่บริสุทธิ์สะอาด ผู้สะพัดแจกจ่ายให้ได้สัดส่วนที่ดี แต่เขาก็ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุคือจิตวิญญาณคน อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาแก้ที่จิตวิญญาณคน พวกคุณถ้าไปทำมาหากินก็มีความสามารถอีกเยอะแยะ แต่ตอนนี้คุณก็ มาทำงานฟรีเข้าใจแล้วว่าชีวิตมาเอาอย่างนี้ดีกว่า พออยู่พอกินพอเพียงแล้วสบาย เกิดมาก็เหลือให้คนอื่นดีแล้ว ก็เป็นผลซับซ้อนให้แก่สังคมประเทศชาติเราเป็นผู้ที่ได้ช่วย เราไม่ได้ลดความขยัน วิริยารัมภะ แต่ไม่สะสม อปจยะ มีปาสาธิกะ มีอาการกายกรรมวจีกรรมอย่างนี้ ผู้รู้เห็นแล้วก็เลื่อมใส มีอาการไม่สะสมเลยสะพัดให้แก่ผู้อื่น ผู้ที่ทำอย่างนี้ทำได้เพราะมี ธูตะ มีสัลเลขะ ตามลำดับ มีศีลเคร่ง จนกระทั่งบรรลุศีลได้ขัดเกลาไปสัลเลขะ จนมีจิตสันโดษใจพอ มันพอ แต่ก่อนนี้เราใช้เดือนนึง 50,000 บาท ก็มากไป หันมาใช้สัก 30,000 บาทก็พอคุณก็จะเจริญขึ้น
30,000 บาทก็ยังมากไปก็น้อยลงไปอีก อัปปิจฉะ 30,000 ก็ยังมากไปใช้เดือนละ 10,000 ก็พอ คุณก็ใช้น้อยลงมาเหลือเดือนละ 10,000 หนักเข้าเดือนละ 5,000 ก็พอ หนักเข้าเดือนละ 300 500 ก็พอ ก็เป็นไปตามวิถีชีวิตแต่ละคนให้น้อยที่สุด จนกระทั่งมีระบบมาอยู่ที่นี่ ทำงานทั้งวัน 0 ก็พอ ได้เท่าไหร่เอาเข้ากองกลางทั้งหมดเราไม่เกี่ยว ก็อยู่กินอยู่กับสาธารณโภคีกองกลาง เงินเดือน 000 สบายใจเลย แต่ก่อนคิดตัวเลขจังเลย วันนี้ได้เท่าไร
จิตมันสันโดษมักน้อย จิตเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย สุภระสุโปสะ ครบวรรณะ 9 อาตมาเอามาให้พวกคุณพิสูจน์ปฏิบัติได้เป็น สังคมที่บรรลุธรรมวรรณะ 9
จึงเป็นสังคมของ สาราณียธรรม 6
เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าได้ถึงมีสาราณียธรรม 6 ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนหรือไม่ มีคุณสมบัติคุณธรรมพฤติกรรมของคนจริงๆตรงไหม มีวรรณะ 9 จริงไหม ปฏิบัติได้ตามกถาวัตถุ 10 หรือไม่ตามหลักตรวจสอบพระธรรมวินัย 8 ข้อหรือไม่ ก็ตรงหมด อาตมาให้คะแนนตัวเองนะแล้วพวกคุณว่า ผม อาต มาพูดผิดหรือไม่ …
ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานที่เขาเรียนกันเป็นด็อกเตอร์ แต่ไม่เห็นด็อกเตอร์ ไปสร้างสังคมสร้างหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านของคนมีศีลทั้งหมู่บ้าน หมู่บ้านชาวอโศกทุกหมู่บ้านกระจัดกระจายอยู่ในประเทศไทยเป็นหลายสิบหมู่บ้าน มีศีลทั้งหมู่บ้าน มีศีล 5 เป็นอย่างต่ำศีล 8 ศีล 10 ศีลโอวาทปาติโมกข์ ไม่ใช่แค่สีลัพพตุปาทานหรือสีลัพพตปรามาส แต่เป็นศีลสมาธิปัญญาวิมุตติวิมุตติญาณทัสสนะอย่างแท้จริง สามารถทำได้จริงไม่ใช่มีแค่ในตัวหนังสือของพระพุทธเจ้าแต่มีพฤติกรรมจริงตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า มีกิริยากันของคนจริงมีพฤติกรรมจริงเป็นตัวละคร ประพฤติปฏิบัติ
จนกระทั่งเป็นหมู่บ้านที่เขาน่างงน่าสงสัย อย่างราชธานีอโศก เกิดจากสถานที่ที่เขาบริจาคให้ หมู่บ้านราชธานีอโศกนี้น่าสงสารนะ ถ้าคนทางรัฐศาสตร์เขาจะรู้จัก น่าสงสารอะไร ต้องซื้อที่เองนะหมู่บ้านราชธานีอโศก หมู่บ้านอื่นเขาก็ไม่ต้องซื้อเพราะมีที่ของหมู่บ้านเองเขาเลย หมู่บ้านนี้มีคนบริจาคที่ให้เป็นส่วนกลางจำนวนหนึ่งกี่ไร่ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว แล้วเราก็มาซื้อเสื้อเพิ่มขึ้นจนเป็นพันกว่าไร่ซื้อจริงๆ เหมือนอนาถบิณฑิกเศรษฐี ต้องมาซื้อที่ให้ แล้วหมู่บ้านของเราเป็นอารามเป็นโรงเรียน จนกระทั่งเป็นรูปร่างทั้งที่เป็นที่ที่เขาทิ้งแล้วเป็นที่น้ำท่วม มีแต่ความเละเทะ เป็นบึงเป็นป่าบุ่งป่าทาม เราก็ค่อยมาบูรณะขึ้นมาทำขึ้น จนกระทั่งอยู่ไม่ไหวตอนแรกก็ต้องใช้เรือ จนกระทั่งมีเรือจนกระทั่งเป็นหมู่บ้านราชเมืองเรือ อาศัยเรือจนกระทั่งกลายเป็นเรือมาขึ้นบกบ้างเพราะมีที่พออยู่ได้แล้ว จนกระทั่งน้ำยอมแพ้จนเลิกท่วมเลย ตอนนี้
อาตมาว่ามันจะเจริญขึ้นนะในอนาคตก็จะเจริญขึ้น คนมาดูงานทั้งทางด้านจิตวิญญาณทั้งทางด้านวัฒนธรรมวัตถุ สังคมสาธารณโภคีสังคมนิยมมันเป็นอย่างไร ใช้พยัญชนะตั้งชื่อเรียกว่าสังคมบุญนิยม เป็นลัทธิ Boonism บุญคืออะไรบุญคือพลังงานที่ใช้ชำระกิเลสเดี๋ยวนี้เข้าใจคำว่าบุญผิดเพี้ยนไปแล้ว บุญก็กลายเป็นกุศลซึ่งมันเป็นคนละเรื่องเลย
คนที่ต้องการบุญอยู่คือคนที่มีอวิชชาอยู่หรือคนมีกิเลส คนหมดกิเลสแล้วก็ไม่ต้องการใช้บุญอีกเพราะว่าบุญเป็นเครื่องมือฆ่า ซึ่งไม่ใช่ง่ายเลยที่จะเข้าใจมันเลอะเลือนความหมายเรื่องของบุญไปหมดแล้ว อาตมาต้องเอาความหมายของศาสนาพระพุทธเจ้าเอาคำว่าบุญมายืนยันตามพยัญชนะตามหลักฐานก็ค่อยยังชั่วที่มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่งั้นถูกกระทืบตายแล้ว เพราะเขาจะหาว่าพูดผิดเพี้ยน ที่จริงแล้วเราไม่ได้พูดผิดเพี้ยนคนต่างหากผิดเพี้ยนเราเอาคำว่าบุญกลับคืนมาได้ถูกต้องกว่า ให้บุญมีประสิทธิผลสามารถมีผลสำเร็จจัดการกิเลสได้ แต่ก่อนนี้เอาไปปู้ยี่ปู้ยำเป็นกุศลหมดเป็นสมบัติอีกทั้งที่บุญเป็นวิบัติบุญเป็นตัวทำความเสื่อมให้แก่กิเลส คำจำกัดความของคำว่าบุญคือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ บุญคือเครื่องชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจด บุญไม่ได้มีการสะสมบุญไม่ได้เป็นสมบัติ บุญนั้นสะสมไม่ได้ ใครจะบังอาจไปสะสมบุญ ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นความเข้าใจไม่ได้ความที่รู้ผิดเหล่านี้จึงทำให้ศาสนาพุทธหมดรูปเลย อันนี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าซึ่งยิ่งใหญ่มากไม่มีคนสามารถจะรู้สภาวะธรรม สภาวะคำว่าบุญคืออะไร แม้แต่คำว่ากายคืออะไร กรรมคืออะไร ศาสนาเทวนิยมเขาไม่ได้เรียนรู้เรื่องของกรรมเลยนะ เขาควบคุมกรรมไม่เป็นเพราะเป็นเทวนิยม แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะมีกรรมวิบากหมุนเวียนอยู่ในความเป็นมนุษยชาติ ให้เกิดความทุกข์ทรมานตามวิบากกรรมเขาก็ไม่รู้หรอก เขาก็นึกว่าตายไปแล้วก็อยู่กับพระเจ้าเลย มันก็จบแค่นั้น ไม่มีความรู้ที่จะขยายต่อเป็นเพียงชาติเดียว ตายชาติเดียวแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า เขาไม่รู้เรื่องกรรมวิบากที่ต่อเนื่องเป็นนิยาย แต่ละคนมีนิยายแต่ละชาติไม่รู้กี่เรื่อง ถ้าจำได้คุณก็เอามานึกสิ เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านได้ไม่รู้กี่เรื่องเอามาขยายความเอาไปทำหนังทำละครเป็นชาดกพระพุทธเจ้า ท่านเล่าเอาไว้ของท่านอย่างนี้เป็นต้น ทุกคนพวกเราก็เหมือนกันมีนิทานพวกนี้ ชาดก คือ ชาตกะ ชาติแล้วชาติเล่าเป็นวิบากกรรมหมุนเวียนเป็นสัจจะ
อาตมาตั้งใจขยายความถึงเรื่องของวิชชาจะระณะสัมปันโน เข้าไปสู่สมาธิ เข้าไปสู่ฌาน
ฌาน ของพระพุทธเจ้านี้มันไม่ใช่อย่างที่คนทุกวันนี้เข้าใจแล้วปฏิบัติกันเลย มันห่างต่างกันลิบลับเลย ฌาน ของทุกวันนี้เขาปฏิบัติเป็นของฤาษีเป็นของลัทธินอกรีต เป็นฌานที่ไม่มีมรรคผลของพระพุทธเจ้า เพียงแต่ใช้ภาษาเดียวกันคำว่าฌาน แต่จริงๆแล้วเดิมนั้น ฌานเขาก็แปลว่า ไฟ แล้วก็พยายามสร้างจิตให้มันเกิดพลังงานไฟธาตุ มาละลายไฟราคะโทสะโมหะ เพราะฉะนั้นพลังงานฌานไม่ได้เกิดจากการไปนั่งหลับตาเด็ดขาดเลย
มันเด็ดตรงไหน เด็ดที่ว่า พระพุทธเจ้าบอกว่าฌานเกิดจากข้อที่ 1-11 ฌานเป็นจรณะข้อที่ 12-15 เกิดจากการปฏิบัติศีลให้ถูกต้องแล้วมีอปัณกธรรม 3
ปฏิบัติตามจะต้องมี 3 ข้อนี้ สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ถ้าไม่ครบ 6 ก็ไม่ตื่นนะไม่เกิดชาคริยานุโยคะ ไม่หลับตาปฏิบัติก็ไม่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 มันจะตื่นได้อย่างไร เพราะหลับตามันก็ไม่ได้มีโภชเนมัตตัญญุตา มันก็ไม่ได้พิจารณาของกินของใช้ จะไปเห็นเห็ดตีนแรดขาใหญ่ หมวกเล็ก จะไม่เห็นนี้ แล้วจะได้พิจารณาอะไรเป็นธาตุที่ดีที่ควรจะรับ มันก็ไม่มี และที่สำคัญก็คือแล้วไม่สัมผัสแล้วกิเลสไม่เกิด กิเลสความโลภความโกรธความหลงความหยุดความผลักต่างๆนี่แหละคือตัวปฏิบัติ ถ้าไม่มีอันนี้ปฏิบัติไม่ได้ สัทธรรม 7 ไม่เกิด ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติปัญญาไม่เกิด เพราะปฏิบัติ 3 อย่างนี้ผิดไปเพราะว่าปฏิบัติศาสนาก็ไปหลับตาปิดทวารทั้ง 6 เป็นคนหลับไม่ตื่นเป็นคนไสยะ ไม่ใช่ชาคริยะ แล้วไม่เกิดโภชเนมัตตัญญุตา ศาสนาพุทธจึงสูญจากฌานของพุทธ มีแต่ฌานหลับ หรือชานหมาก พูดให้ชัดๆไง
ไม่รู้หรอกว่าตัวเองติดหมากอยู่ คนกินหมากได้เก่งนี้อดทน แค่พลูนี้มันก็แสบ ยัน อาตมาเคยลอง แล้วไม่ไหวจริงๆ พูดตรงนี้แล้วนึกถึงญี่ปุ่น เมื่อครั้งสงครามโลก เขาซื้อพลูไปต้มซดกัน มันก็ยันเข้าให้ ทั้งขมทั้งขื่น มันเผ็ด นี่เป็นเรื่องจริงเมื่อครั้งสงครามโลก ก็มาเล่าสู่ฟัง ประกอบการบรรยายธรรมะ
ทุกวันนี้ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้นผิดไปไม่ต้องพูดถึงสมาธิเลย
ฌาน คือพลังงานที่มันจะไปกำจัดพลังงานไฟราคะโทสะโมหะ เมื่อกำจัดได้ก็เป็นบุญเป็นผลสำเร็จ ฌาน กับ บุญ เป็น ซินโนนีม(synonym) เป็นตัวใช้แทนกันได้ เป็นพลังงานของจิตวิญญาณที่ผู้สร้างเป็นทำเป็น ก็จะเกิดจริง แล้วพลังงานนั้นก็เอามาชำระกิเลสออก เพราะฌานก็ดีบุญก็ดี ต้องมีปัญญา ปัญญาไม่มีฌานไม่ได้ ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานก็อยู่ที่นั่นฌานอยู่ที่ไหนปัญญาก็อยู่ที่นั่น
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกะ จึงเป็นปัญญา
ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีมรรคองค์ 8 สมาธิทำวิจัยสัมโพชฌงค์ ปฏิบัติธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ก็คือโพชฌงค์ 7 ที่มีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวหลัก แล้วก็ปฏิบัติโพชฌงค์ 7 ซึ่งมีตัวธรรมวิจัยเป็นตัวสำคัญตัวหลักต้องมีวิจัย วิจัยในสติปัฏฐาน 4 มีสติสำรวมอินทรีย์ภายนอก แล้วจึงจะเกิดปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาจะเกิดโดยไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้ มรรคมีองค์ 8 จะต้องปฏิบัติ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เป็นกรรม 4 …มโนกรรม วาจากรรม กายกรรม
ปัญญาไม่ได้เกิดในการหลับตา ทำแต่ขณะในการคิดพูดทำทำงานอาชีพปัญญาจะเกิดได้ ไปหลับตาไม่มีปัญญาเกิดมีแต่สัญญา ความรู้ความเป็นสัญญากับความเป็นปัญญานั้นต่างกันอย่างไรเขาก็แยกไม่ออกพูดไม่ได้
การนั่งหลับตามีแต่สัญญาเท่านี้ก็ชัดแล้วว่า ไปนั่งหลับตาไม่มีทางเกิดปัญญา ศีลสมาธิปัญญา ปัญญาจะต้องเกิดจากศีลเป็นตัวตั้งแล้วจะเกิดปัญญาต่อเมื่อปฏิบัติ อธิจิต แล้วจะเกิด อธิวิมุติ ละกิเสออก จิตใจจึงสะอาดฉลาดรู้เป็นปัญญา ไม่ใช่จิตใจไปรู้เฉโก มิจฉาทิฏฐิพาไปรู้มันไม่รู้จักกิเลส หรือรู้อย่างพุทธะหรือรู้อย่างปัญญา มันคนละความรู้กัน
เมื่อผู้ใดปฏิบัติ ฌาน ผิด ไม่มีปัญญาไม่มีวิชา 8 เป็นองค์ประกอบ จรณะ 15 ไปตลอดเวลา เป็นยาดำ ขาดปัญญาหรือขาดธาตุรู้ ขาดวิชชาไม่ได้ ปัญญาญาณวิชชาต้องเกิดปัญญาในการปฏิบัติศีล อปัณกธรรม 3 ในฌาน 4 ต้องมีปัญญาเป็นธาตุรู้โลกุตระ ประกอบไปด้วยเสมอ ขาดธาตุรู้ที่เป็นปัญญาไม่ได้
ปัญญาไม่ใช่โลกียะ ฉลาดโลกียะคือฉลาดเฉโก เฉกะ ถ่ายเดียว เรียกว่าเฉกะ คือ ฉ กับ เอก คือถ่ายเดียว คือทวารเดียว ไม่ครบทวารทั้ง 6 ให้กิเลสครอบงำคุณก็รู้แต่ไปตามกิเลส ศาสนาพุทธให้สามารถดับกิเลสแล้วจึงจะรู้ความจริง เมื่อแยกกิเลสออกแล้วดับกิเลสได้ สิ่งที่รู้ก็จะเป็นการรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ได้มีอาการของกิเลสประกอบในการรู้นั้นไม่ว่าจะเป็นกิเลส ผลักหรือดูด จิตมีส่วนสอง ให้จิตมีส่วนเดียวคือรู้ความจริงตามความเป็นจริงไม่มีส่วนที่มันไม่ใช่ของแท้ ไม่ใช่ความจริง แล้วมันก็เป็นอารมณ์หรืออุปาทานกิเลสตัณหามันไม่เกิดมาผสมร่วมกัน
ที่ใช้ภาษาไทยขยายความต่างๆนานา เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งอาตมาก็ได้ย้ำไม่รู้กี่ทีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เก่งเรื่องอะไรแต่ท่านเก่งเรื่องมนุษย์และสังคม ท่านบรรลุหมด เพราะมนุษย์นี่แหละเป็นผู้ที่สร้างโลก จะเรียกว่ามนุษย์เป็นผู้ที่โลกสร้างก็ได้ ไม่ใช่พระเจ้าหรอกแต่โลกสร้าง แต่เมื่อมนุษย์มาเป็นมนุษย์มีธาตุรู้ มนุษย์ก็เลยควบคุมโลก มนุษย์ก็เลยสร้างโลก สามารถรู้โลกวิทูรอบๆจนสามารถดับโลกหมดเลยจนกระทั่งจบหมดไม่มีเลยโลก ไม่เกิดในโลกอีกเลย ดับโลกสำหรับตัวเองทำได้เลย อวิชชาก็จมอยู่ในโลกหมุนเวียนอยู่กับ ความสุขและทุกข์ความทุกข์แล้วสุข ส่วนศาสนาพุทธนั้นสำคัญที่สุดก็คือรู้ความสุขความทุกข์ แล้วก็ดับความสุขความทุกข์ได้จริงๆ เมื่อดับความสุขความทุกข์ได้ โลกโลกียะมีแต่สุขกับทุกข์
ศาสนาเทวนิยมไม่มีความรู้เรื่องความสุขความทุกข์ แต่โง่ไปกับความสุขหลงความสุขติดในความสุขยังเป็นสุขนิยม แล้วก็เรียนรู้เลิกออกจากสิ่งนั้นไม่ได้ แต่เอาความสุขไปไว้ที่พระเจ้า พระเจ้าอยู่ที่ไหนอยู่ในสุขาวดี อยู่ในสวรรค์และสวรรค์อยู่ที่ไหนอยู่ที่พระเจ้า พระเจ้าอยู่ไหนก็อยู่ที่สวรรค์ แล้วมันเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จบที่ความไม่รู้ แต่ว่าของพุทธนั้นรู้สวรรค์ รู้นรก รู้ความสุขความทุกข์
ศาสนาพุทธนั้นความสุขความทุกข์เป็นโลกุตระ ความดีความชั่วเป็นเพียงโลกียะ ศาสนาเทวนิยมรู้แต่ความดีความชั่ว ก็ทำตัวให้ดีอย่าทำความชั่วมันก็ดีประมาณหนึ่ง แต่มันไม่เที่ยงมันก็ไม่รู้มันก็วนเวียนอยู่กับความสุขความทุกข์ ความสุขความทุกข์นั้นเหนือกว่าความดีความชั่ว ผู้ที่ดับความสุขความทุกข์ได้แล้ว ไม่ติดในความชั่วความดีแล้วรู้ความชั่วความดีอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ทำดีอย่างหนักๆ ทำดีอย่างหนักๆๆๆ ก็ไม่ได้รังเกียจไม่ได้ลำบากอะไร ลำบากตามสัจธรรมตามเหตุปัจจัยที่มันเป็นจริง แต่เมื่อมันเป็นประโยชน์ เป็นคุณค่าเราควรทำให้แก่โลก เมื่อรู้จบรู้ว่านี่คือสิ่งที่ดี พยายามพาคนให้มาทำดี แล้วก็บอกให้คนเลิกชั่วมาทำแต่ดีก็ยังไม่พอ ก็ต้องรู้ให้ความสุขความทุกข์เป็นอย่างไร
คนติดในความดีเป็นสุขแน่นอน ก็เลยมีความเกิดเป็นชาติ จนรู้ว่า เรายังเกิดอยู่ เพราะเราไปติดในความดี ศาสนาเทวนิยมทำแต่ดี ค้างเติ่งแต่ดี ก็เลยมีแต่สุข ก็ยังดี แต่ศาสนาพุทธนี้เห็นว่าดีชั่วก็เป็นเทวะ ความสุขความทุกข์ก็เป็นเทวะ ให้ดับความเป็นเทวฺเลยหมดความชั่วความดี แต่แน่นอนดีชั่วเมื่อเป็นโลกียะก็ควรจะรู้ว่าไม่ควรทำชั่ว เพราะเป็นผู้ที่สามารถทำจิต ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ มีความเป็นประธานเหนือจิตตัวเองเหนือความสุขความทุกข์เหนือองค์ประกอบเหนือสังขารทั้งหลาย ทำแต่สิ่งที่ดีเพราะมีชีวิตมีอัตภาพอยู่
พระโพธิสัตว์นั้นรู้ว่ามีชีวิตอยู่อย่าง สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง ทำจิตใจให้สะอาดหมดจดแล้วถ้าอยู่ก็มีแต่ทำดีไม่ทำชั่วทำบาปอีกเลยจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ศาสนาพุทธในเมืองไทย ไม่ได้อธิบายถึงเรื่องพระอรหันต์จริงๆแล้วนี่จะตายจะเกิดหรือตายเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน เขาไม่พูดถึงเลย อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้ได้เจาะกระเปาะไข่ออกมา มาพูดถึงเรื่องนี้ ยังมีหลักฐานอยู่ในมูลสูตร 10 เป็นข้อสุดท้ายข้อที่ 10 ของมูลสูตร
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน