620916_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 69
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1EOcXWon7m2-r7tlWQgMuZEJIZoZjiRd0AsgYXBu5irQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1xABirgD619Iu1Wi1sN2XU4oZumeQFJlf
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562 ที่บวรสันติอโศก
SMS วันที่ 13 กันยายน 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_1182 สณ.สม.ฯ ผู้ประสบภัยที่เต๊นท์ริมทาง จะไม่สะดวกเรื่องห้องน้ำห้องท่า! เขามีรถสุขากับสุขาลอยน้ำ บริการผู้ประสพภัยฤาเปล่า? สุขอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่พักพิงชั่วคราวสำคัญต่อสุขภาพชีวิตผู้กู้ภัยผู้ประสบภัยทุกคน ป้องกันโรคภัยหลังน้ำลดได้! สณ.สม.ว่าไหม?สาธุ
_ปานแก้ว ใจดี (Pankeaw Jiadee) · กราบนมัสการค่ะพ่อครู ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรงค่ะ ผ่านพ้นภัยพิบัติน้ำท่วมบ้านราชด้วยค่ะ สาธุๆ
_จิน จินตนา · รับฟังพ่อครูตลอดค่ะ ดีมากค่ะ
_ฝันที่จริง ก้าวล้ำหน้า · ฟังพ่อท่านนี่แหละของจริง ไม่มีตอแหลสร้างภาพ อยากได้ผลประโยชน์ แต่บางคนที่มาเกี่ยวหวังใบบุญพ่อท่าน อยากดัง อยากเด่น อ้างพ่อท่าน พ่อท่านนี่แหละ ไม่อยากเด่นอยากดัง ของแท้ที่สุดในอโศก
พ่อครูว่า… อาตมาพูดความจริง อาตมาไม่มีความอยากเด่นอยากดังอะไร อาตมามีแต่ความจริงที่จะแสดง เน้นความจริงเน้นแล้วเน้นอีก เน้นให้หนักให้ดัง อย่างไม่กลัวใครจะว่า พูดก็ให้ดังๆ พูดไม่ไว้ท่าที จนกระทั่งมีคนว่า อาตมาไม่เรียบร้อยไม่สุภาพเลย พระอรหันต์อะไร ไม่เรียบร้อยเลย กระโดกกระเดก
อาตมาเจตนาไม่ไว้ท่าที เพราะอาตมาเห็นคนไว้ท่าทีมาก สงวนท่าที ทำหลอก ทำโก้สุภาพเก๋เรียบร้อย มันก็ดีนะ แต่อาตมาคิดว่า อาตมาจะเอาสภาพเชิงซ้อน ใครเขาติดยึดเฉพาะแค่ท่าดี แต่ความจริงใจไม่มี หรือมีความจริงน้อย มีแต่ท่า แอ็คอาร์ท ปรุงแต่ง อาตมาว่า อาตมาเอาอันนี้มากลบอันนี้ ไม่ไว้ท่า ใครฟังได้ก็ฟัง ใครฟังไม่ได้ก็ไม่ต้องฟัง หรือจะแอบฟังก็แล้วแต่
_ใจแก้ว… มาจากบ้านราชฯ แต่ก่อนอยู่นี่ ตอนนี้ไปอยู่บ้านราชฯ แต่มาที่นี่เพราะน้ำท่วม พอน้ำลดสักหน่อย ก็จะกลับไปทำความสะอาด เมื่อวานก็ไปเยี่ยมญาติ เขาไหว้พระจันทร์ เขามีพระพุทธรูปเป็น 10 องค์ เขาจะให้ไหว้พระ เราก็ทำใจ เหมือนแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก ทำเพื่อเขา เขาก็ยินดี จะถามพ่อท่านว่า แบบเทวนิยมไหว้เจ้าแบบนี้ กับแบบที่เขาเจอทุกข์ แล้วก็หนีไปนั่งหลับตา อย่างไหนจะดึงออกจากภพ ได้ยากหรือง่ายกว่ากัน
พ่อครูว่า… ผู้ที่ไปไหว้เจ้าอะไรต่างๆ กับคนที่หลับตา สองคนนี้ ใครจะดึงออกจากภพได้ง่ายกว่ากัน? คนที่ไปหลับตาปฏิบัติ มันยิ่งไม่ได้เรื่อง คนที่เขาไหว้อะไรต่างๆ ก็ยังพอที่จะพูดกันรู้เรื่อง แต่อีกคนมันหลับตา ไม่ให้รับรู้ภายนอกเลย แล้วจะไปพูดอะไรกับเขารู้เรื่อง แล้วคนคนนี้ ก็จะจมอยู่ในนั้น คนที่นั่งหลับตาปฏิบัติ เป็นพวกมิจฉาชีพแท้ๆ ของศาสนาพุทธ
ที่เขานั่งหลับตาปฏิบัติกันทั่วไป คือเดียรถีย์ต่างๆ ศาสนาพุทธไม่มีหลับตาปฏิบัติ มีแต่ลืมตาทั้งนั้น เดี๋ยวนี้หลงผิดไปนั่งหลับตา กลายเป็นเดียรถีย์หมดเลย
มันหลงติดหลงยึดกันจริงๆ อาตมาก็ต้องอธิบายให้เห็นความเป็นจริง ทั้งหลักฐานอ้างอิง สัจจะที่จะพยายามขยายความ ให้เข้าใจสัจจะต่างๆ มันไม่ใช่พุทธอย่างไร แล้วมันไม่ได้ประโยชน์อย่างไร ผู้ที่ลืมตา ไปไหว้อะไรต่างๆ อยากได้สัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน แต่การไปนั่งหลับตา แล้วก็หลับไม่ให้มันรับรู้อะไรข้างนอกเลย เข้าไปๆๆเลย มันก็จะจมอยู่ ผู้ที่นั่งหลับตานี่ ผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรม คือผู้ที่จะต้องศึกษากับความจริงทุกอย่าง แล้วเมื่อไปนั่งหลับตาเสียแล้ว คุณก็เข้าไปอยู่กับตัวเอง ความรู้ก็มีอยู่ในตัวเอง จะเรียนรู้อะไรก็เรียนรู้ได้แต่ของตัวเอง เพราะไม่มีอะไรจากผู้อื่น ไม่มีปรโตโฆษะเลย ก็นั่งหลับตาเข้าไปก็นั่งหลับเข้าไปในภวังค์ เข้าภพ แล้วมันจะไปรับอะไรเขาได้
คนที่ปฏิบัติยังไม่บรรลุ คนที่ปฏิบัติหลับตาอีกก็จมอยู่ในรูนี้อย่างเก่า แล้วไปหลงฟุ้งซ่านใหม่เอง ไปคิดอดีต 18 อย่าง หรือ ก็คิดฟุ้งซ่านไปในอนาคตมากมาย ก็ได้แค่ 44 ทิฏฐิ วนอยู่แค่นี้ ก็ไม่ได้งอกเงยไม่ได้อะไร เพราะขาดปรโตโฆษะ ก็จะจมนั่งหลับตาอยู่นั่นแหละ
จะอ้างว่าฟังมาก่อนแล้ว ค่อยไปปฏิบัตินั่งหลับตา ฟังผู้สอนจนเข้าใจแล้ว แต่ปฏิบัติไปนั่งหลับตา มันก็เลยผิดตั้งแต่ ครูผู้สอนให้ไปหลับตา เพราะฉะนั้น สัตบุรุษที่แท้ ก็จะสอนว่าอย่าไปนั่งหลับตา การปฏิบัติหลับตา ไม่มีรูปนามไม่มีภายนอก ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เป็นคนปฏิบัติ ไม่ครบความเป็นกาย
แล้วเดี๋ยวนี้มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจว่ากายเป็นแต่เพียงภายนอก ก็ผิดไปไกลอีก อาตมาพูดแล้วเมื่อย เป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปจาก สัจจะของพระพุทธเจ้า ขออภัยที่พูดอย่างกับ ตัวเองเก่งหนักหนา แต่พูดความจริงตามธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ได้ไปปิดบังเหนียมอายว่าไม่เก่ง แต่เก่งพอสมควรอยู่ ในเรื่องสัจธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ได้พูดอย่างหน้าด้านอวดดีหลงตน แต่พูดสัจจะ
คำว่า กาย คำนี้คำเดียว ในศาสนาพุทธที่เข้าใจผิด ว่ากายนี้คือ ดินน้ำไฟลมไม่มีธาตุรู้ไปร่วมด้วยเลย อันนี้อันเดียวสูญเลย ศาสนาพุทธล้มเหลวแล้ว สำคัญมาก เพราะฉะนั้น ภิกษุทุกรูป ที่มาบวช พอเริ่มบวช อุปัชฌาย์จะให้แยกกายแยกจิต เป็นมูลกรรมฐานอันแรก ให้เข้าใจความหมาย ของกายของจิตถูกต้อง
หากเข้าใจไม่ถูกต้องไปไม่ออก ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย ขอบอกเลย ใครก็ตาม ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าใจกาย จิต โดยเฉพาะคำว่ากาย จะต้องอธิบายซ้ำซากอีก ไม่ใช่น้อย
ความเป็นกาย เมื่อไหร่ไม่ใช่กายเมื่อไหร่ใช่กาย ท่านให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
มันอยู่ข้างนอกในสรีระเรา เอาอันนี้มาเรียนรู้พิจารณาจริงๆ
ในส่วนที่สัมผัสแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวดไม่รู้สึกไม่มีเวทนา เส้นผมก็ตามที่งอกออกมา ไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนาแล้ว ที่ไม่มีแล้วนั่นแหละไม่ใช่กายของเรา ถึงจะติดอยู่กับตัวเราก็ตาม ผมมันยังมีชีว มันก็เป็นพีชนิยามเท่านั้น ไม่เจ็บไม่ปวดไม่มีเวทนา และไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีพยาบาทจองเวร ไม่มีความรัก ไม่มีความชัง นี่คือพลังงาน 5 อุตุนิยาม พีชะนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
ไม่มีใครสามารถแยกแยะรายละเอียด 5 อย่างนี้ได้ นอกจากพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ เรียนตามพระพุทธเจ้ามา อาตมาไม่ได้รู้เอง แต่เรียนตามพระพุทธเจ้าสืบทอดมา เพราะฉะนั้น ในศาสนาพุทธก็คือ แยกพลังงานจิต คนนี่เป็นจิตนิยาม เป็นสัตว์มีพลังงานเป็นจิตนิยาม ซึ่งมันอวิชชาไม่รู้ มันก็เลยปนกันไปเลย ไม่รู้แยกไม่ได้ มั่วไปหมด พระพุทธเจ้าท่านสอน ให้รู้จักทำจิตทำใจในใจ ให้ใจมันมีพลังงานที่รับความรู้สึก เมื่อกระทบสัมผัสแล้ว แม้เราจะเป็นผู้ที่มีจิตนิยาม รับรู้สึกความเจ็บปวดได้ และผู้ยังไม่รู้ ก็จะรู้สึกเป็นความสุขความทุกข์ รู้จักรัก ชัง จะมีกิเลสความรักความชัง ความสุขความทุกข์
ศาสนาพุทธมาเรียนรู้ ความรักความชังความสุขความทุกข์ แล้วให้เข้าใจความจริงว่า จิตใจที่ยังยึดถือในความสุขความทุกข์ อยู่นั่นแหละ มันจะพาให้เรา มีพลังงานศักย์ เกี่ยวข้องกับใครอย่างเป็นพิษภัย
แต่ถ้าสามารถทำให้จิตของเรา ไม่มีความสุขความทุกข์ ไม่มีความรักความชังได้ คนใดสัตว์ใด ก็เห็นเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น เราก็จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันด้วยประโยชน์ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ หรือหวังประโยชน์เพื่อมวลมนุษย์ ใจของเรา ไม่มีความรักไม่มีความชัง ไม่มีความสุขไม่มีทุกข์ ได้แล้วจริงๆ
นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่เอาความสำคัญจุดนี้มาให้ปฏิบัติ แล้วล้างอวิชชา ที่ยังยึดถือความสุขความทุกข์ ยึดรักยึดชัง ออกไปจากจิตได้หมด
ผู้ที่เรียนรู้ได้จริงก็เป็นพระอรหันต์ ไม่เกิดความสุขความทุกข์ ไม่เกิดความรักความชัง ตลอดไปนิรันดรเลย เป็นผู้บรรลุพระอรหันต์แล้ว
นี่คือจุดสำคัญของศาสนาพุทธ
การศึกษา ถ้าไปนั่งหลับตาเข้าไปแล้ว มันไม่มีความรู้สึก เรียกว่าไม่มีเวทนา เมื่อไม่มีเวทนา ก็ไม่มีความสุขความทุกข์ให้ปฏิบัติ ก็ไม่มีทางปฏิบัติธรรมะของศาสนาพุทธ การปฏิบัติธรรมจึงขอยืนยันอีก มันไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธกับการหลับตา พวกที่ไปนั่งหลับตา จึงโมฆะไปจากศาสนาพุทธ
พูดไปแล้ว ก็นึกขำหลวงตาบัว ที่บรรยายเอาไว้ ฟังดูแล้วก็น่าสงสาร ลูกศิษย์ลูกหา ฟังแล้วก็ทำให้เชื่อว่าพิสดารยิ่งใหญ่ เหมือนพวกเด็กไม่เดียงสา เล่นกันไปต่างๆ ก็เลยน่าสงสารแล้วไปสอนให้คนอื่น เป็นคนไม่เดียงสาอีก เลอะเทอะ นี่คือความเพี้ยนของศาสนา กลับไปเป็นอย่างนี้มาก เพราะไม่เข้าใจคำว่า กาย
ไม่ต้องพูดถึงคำว่าสมาธิ คำว่าฌานเลย ยังไกลคำว่ากาย ยังเข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิเลย
ในพระไตรปิฎก ตถาคตเรียกกาย ว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึง ผู้ที่ไกลจากวิเวก คือยังข้องอยู่ แต่ปฏิบัติให้ตายอย่างไร ก็ไม่มีวิเวก
_ใจแก้ว… อย่างดิฉันเคยอยู่กับเจ้าแม่กวนอิมกับเทวนิยม ทำให้สามารถมาปฏิบัติ กับพ่อท่านได้ดีกว่าหรือไม่
พ่อครูว่า…แน่นอน อาตมาอาภัพ รูปไม่หล่อพ่อไม่รวย ศักดิ์ศรีไม่มี ไม่ได้มีตำแหน่งธรรมะเอก ตรี โท อะไร ไม่ได้มีเปรียญ มีแต่ความรู้ธรรมะเก่าจากชาติก่อนๆ พูดแล้วเขาก็ไม่เชื่ออีก ซึ่งไม่เหมือนกับที่คุณเขาหลงผิดกันไป บอกด้วย เขาก็เลยบอกว่า ไม่ใช่อาจารย์เขา เขาก็ไม่เคยได้ยินว่า คนไม่มีอาจารย์ อาตมาก็ยืนยันว่า ชาตินี้ไม่มีอาจารย์ แต่ชาติก่อนๆนั้นมี พบกับพระพุทธเจ้ามาในชาติก่อน แต่ในชาตินี้ไม่เจออาจารย์ ทำงานศาสนามา ตั้งแต่อายุ 36 ปี ทำอย่างจริงจังด้วย ไม่ได้ทำเล่นหัว ทำงานศาสนาเต็มรูปเต็มสภาพ จนตาย ไม่เอาแล้วทางโลก จะทำงานศาสนาไปจนตาย
_สู่แดนธรรมว่า…พ่อท่านเคยบอกว่า ความรู้เก่าของพ่อท่านเป็น กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท พ่อท่านช่วยแจกแจงอีกทีครับ
พ่อครูว่า…กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท หมายความว่า อาตมารู้จักความเป็นกรรม ศาสนาพุทธ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของกรรม ไม่ได้แปลอธิบายเรื่องของ God
ศาสนาเทวนิยมแท้ๆ ที่เข้าใจนับถือพระเจ้ากันจริงๆ ที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องกรรมเลย เป็นศาสนาเทวนิยมแท้ๆ ไม่เรียนเรื่องกรรม แต่ศาสนาพุทธเรียนรู้กรรมจริงๆ
เมื่อเรามีพฤติเกิดเมื่อใด ก็เป็นกรรมของเรา ทำแล้วลบทิ้งไม่ได้ แบ่งใครก็ไม่ได้ คำว่ากรรมเป็นของๆตน
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)