620920_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อรหันต์จริงพาตรวจสอบอรหันต์เก๊
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/172ham83BhEy-0FonWMpSmDWI7Zk8c-dmiwEvpOdtXYs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1RiflMO-uBb1wL72P5EGvFhNsCMqs7PYa
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้น้ำลดลงทีละน้อย ทำให้เราทำความสะอาดสถานที่ได้ทันเวลา
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 18 ก.ย. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช)
_1182เขาบอกลุงตู่จะมาอุบลฯอีกฤา? ท่านจะแวะมาช่วยกองหนุนลุงคนดีที่บ้านราชไหม? ชาวกองทัพธรรมไม่เคยทิ้งชาติปชช.ยามบ้านเมืองวิกฤติ! แต่พอชาวกองทัพธรรมเจอวิกฤติภัยดูเหมือนถูกทิ้งให้ช่วยตัวเองลำพังหนิ! สู้ๆ หนะ
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องที่พอรู้กันเป็นนัยๆว่ามีชาวอโศก มีชาวกองทัพธรรมเกิดขึ้นในสังคมไทยนี้ แล้วสังคมที่รับรู้กันสังคมปัญญาชน ผู้ที่ไม่ได้เอาแต่หลับหูหลับตาทำมาหากิน มีปฏิภาณ รู้จักบทบาทลีลาของสังคมอยู่ ก็จะเห็นพฤติกรรมสังคมว่า ชาวอโศกหรือกองทัพธรรมเกิดขึ้นมา เสร็จแล้วก็มามีบทบาทอยู่ในสังคม มีบทบาทเกี่ยวข้องทำงานให้แก่สังคม ซึ่งจริงๆแล้วอาตมาว่าสามัญสำนึกของบุคคล ธรรมดาที่ไม่มีอคติ หรือมีอคติน้อย จะเห็นว่าชาวอโศกหรือกองทัพธรรมนี้ คืออะไร จะรู้ด้วยสามัญสำนึก
ซึ่งตอนแรกเกิด อาตมานำพาขึ้นมาทำงานกับสังคม พุทธศาสนากระแสหลักตาเหล่มาเลย จะมาจัดการ จะเอาให้ล้างให้หมดไม่ให้เหลือ ให้สิ้นซากเลยชาวอโศกหรือกองทัพธรรม แต่ ชาวอโศกหนังเหนียว อยู่ยงคงกระพัน เป็นผู้ที่มีอมตะ ฆ่าไม่ตาย เพราะฉะนั้นจึงอยู่ได้มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ เขาจะทำอย่างไรก็ทำด้วยสมมุติจะให้เราแพ้ก็แพ้ แต่พฤติกรรมการทำงานนั้นหนักกว่าเดิม ไม่ให้ทำแต่ก็ทำได้ยิ่งกว่าเดิมทำอย่างเต็มที่ยิ่งกว่าเดิม พูดให้ชัดๆก็คือ ยิ่งค้านแย้งหนักกว่าเดิม พิสูจน์คำที่ว่าสัจจัง เว อมตา วาจา สัจจะเป็นวาจาที่ไม่ตาย เป็นเรื่องจริงเป็นไปได้
ถ้านายกฯมาก็โลกแตกแน่ ทั้งๆที่มาถึงกุดระงุมแต่ไม่ข้ามรั้วมา ทำไม?ชาวอโศกน่ารังเกียจหรือ? พูดเป็นเชิงให้ฟังซับซ้อน อาตมาไม่เชื่อว่านายกฯตู่จะไม่รู้จักอโศก แล้วไม่เชื่อว่าจะไม่รู้ว่าอโศกเป็นมิตรดีหรือศัตรู แต่ทำไมไม่มา
นี่คือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนสิริมหามายา ลุงตู่เป็นสิริมหามายายอดเยี่ยม เป็นนักมายากลที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง ไม่ใช่นักมายากลโลกโลกีย์ เป็นผู้ที่ให้กำเนิดสิทธัตถะ สาระที่เยี่ยมยอดสูงส่งอันนี้เลย
ที่พูดไปนี้เป็นภาษาธรรมะไม่ใช่ภาษาตื้นง่าย สังคมไทยยุคนี้เป็นอย่างนี้ อาตมาเกิดมามีวิบากอย่างนี้ไม่ต้องกังวล แล้วต้องเป็นแบบนี้ถึงเจริญ ถ้าไม่เป็นแบบนี้ไม่เจริญ
ชาวอโศกนี้จะบอกให้ ยิ่งต้านไว้ยิ่งเจริญ หากมาส่งเสริมจะเสื่อม!
จะเป็นนักสู้ไม่ใช่นักตีกินนักชุบมือเปิบ ถ้าไม่มีธาตุรู้ตัวนี้จะกลายเป็นนักตีกินนักชุบมือเปิบ ชาวอโศกมีภูมิปัญญารู้อันนี้ นี่คือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนของสัจธรรม
ไม่เป็นไรชาวอโศกจะเจอวิกฤตภัยอะไรก็ตามไม่เป็นไร เพราะว่าชาวอโศกแข็งแรง เขารู้กันดีว่าไม่ต้องมาให้ชาวอโศกหรอกแม้แต่ว่าเขาอยากให้แต่เขารู้ดีว่าไม่ต้องหรอก บางปีก็ให้น้ำมันมาเสริม เพราะเรามีเรือต้องอาศัย นอกนั้นเอาไปช่วยคนอื่นเถอะ
ไม่ใช่เรื่องดราม่าแต่เป็นสัจจะ พูดไปแล้วก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำสิ่งประเสริฐของพระพุทธเจ้าเป็นที่ปรากฏได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะทำพฤติกรรมสังคมวัฒนธรรมอย่างนี้ เป็นวัฒนธรรมที่อยู่กันอย่างที่เราเป็น สาธารณโภคี วัฒนธรรมมีระบบบริหารปกครองกันอย่างครอบครัว อยู่กินร่วมกันทรัพย์สินร่วมกัน สาธารณโภคีเป็นเรื่องสุดยอดของมนุษยชาติในโลก ที่ไหนๆก็ไม่มีรูปธรรมเหมือนกับอย่างคนไทยที่สร้างได้เป็นชุมชนสาธารณะโภคีอยู่กระจายทั่วประเทศ ไม่มีที่ไหนทำได้ในโลก นี่สุดยอดประชาธิปไตย เหนือชั้นกว่าคอมมิวนิสต์ เหนือชั้นกว่าทุนนิยมประชาธิปไตยที่เขามี
คนฟังแล้วอาจเหมือนคุยใหญ่โต แล้วเป็นจริงตามที่พูดไว้หรือเปล่า ก็เป็นจริง จะหลงตัวเองหรือไม่
อาตมามีความจริงเป็นยอด มีความจริงเป็นแก่น มีความจริงเป็นเนื้อ แสดงออกทุกอย่างมีแต่สิ่งจริง กาย วาจา ใจ จริงทุกลมหายใจเข้าออก แต่คนเขาไม่เข้าใจ เขาฟังไม่ออก เพราะอะไร? เพราะเขาไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีคนดี ดีอย่างประเสริฐดีอย่างอาริยะ อย่างที่อาตมาเป็น อย่างอาริยะ
อาตมาประกาศตนว่าตนเองเป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ แต่เขาไม่เชื่อว่ามี เขาไม่เชื่อว่าเป็นจริงเพราะเขาไม่มีความรู้ในความจริงนั้น เขาเข้าใจความจริงนั้นผิดเพี้ยนไปแล้วไปเข้าใจอรหันต์เก๊ว่าเป็นอรหันต์ เขาจึงไม่เข้าใจอรหันต์จริง เขาเชื่ออย่างนั้นสนิท เพราะฉะนั้นอรหันต์จริงมาเปิดเผย พูดความจริงอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อหรอก อาตมาไม่ได้เดือดร้อนเลย เพราะอาตมามีหน้าที่ทำงานอย่างเดียว แล้วก็รู้แสนรู้
พระพุทธเจ้าสมณโคดม เกิดมาเปิดเผยตัวเองว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดปริวิตกจะประกาศสัจธรรมนี้ ร้อนถึงสหัมบดีพรหมว่าฉิบหายใหญ่แล้วหนอ เป็นปุคลาธิษฐาน สรุปเนื้อหาคือพระเมตตา ก็เกิดมา ในภาวะแวบเดียวที่ปริวิตกว่าสอนไปแล้วมันจะไหวหรือ ก็เลยเกิดปฏิภาณว่าผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ ก็คงไม่เสียของ ก็สอน หากท่านไม่สอนป่านนี้พวกเราจมในสามเหลี่ยม bermuda ไปนานแล้ว แต่นี่เพราะว่าพระทัยของพระสมณโคดมแท้ๆ จึงประกาศพระพุทธศาสนา พวกเราจึงได้รอด พูดภาษาเทวนิยมคือได้ขึ้นเรือโนอาห์ นี่คือพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า
ประเด็นแยกกายแยกจิต หากไม่รู้ก็ซวยเลย เมื่อมาบวชแล้วอุปัชฌาย์จะให้กรรมฐานคือกรรมฐาน 5 ให้รู้จักแยกกายแยกจิตเป็น ว่าอันนี้เป็นอุตุนิยามอันนี้เป็นพีชยามอันนี้เป็นจิตนิยาม จิตนิยามจัดการได้ให้เป็นกรรมนิยาม ทรงไว้ซึ่งธรรมะ
เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเสื่อมไปมาก แม้แต่อุปัชฌาย์ก็ไม่รู้ว่านิยาม 5 คืออะไร ให้กรรมฐาน 5 ไม่เป็น ให้ก็ไม่ได้ อธิบายให้แต่ตามแบบแผน ทำไปตามประสา เหมือนคนตาบอดคลำอักษรเบรล เหมือนคนตาบอดเดินจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ ตัวเองจะโง่คนเดียวก็ว่าไปแต่นี่จูงเพื่อนตาบอดไปอีก ตาบอด100 คนสูญเปล่าเลย
นิมนต์จิบน้ำ
สมณะฟ้าไทว่า…พ่อครูบอกให้เรารู้อรหันต์จริงอรหันต์ปลอมเป็นอย่างไร คนไปหลงของปลอมเยอะมาก พอมาเจอตัวจริงก็ไม่รู้แล้ว เขาว่าอโศกนี้พระเถื่อน
พ่อครูว่า…จริงๆก็ซ้อนตรงนี้พระป่าคือพระเถื่อนนั่นจริงที่สุด พระป่าไม่ใช่พระแท้ของพระพุทธเจ้า อาตมาจะเอาสูตรนี้ คุหัฏฐกสุตตนิทเทส มาอ่านอีก นรชนเป็นผู้ข้อง กิเลสมาก ปิดบังไว้แล้ว คุณเองอยู่ในเมืองคนข้องยังติดยังเกาะในเมืองแล้วหลงถ้ำอีก พกเอากิเลสไปด้วย ปิดบังไว้แล้วอีก ยังไม่พอ นรชน เมื่อตั้งอยู่พาเอาความหลงไปกี่ชั้นก็หยั่งลงในที่หลงอีก นรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวก
คนกิเลสมากคือคนตาบอดแล้วปิดบังผู้อื่นไว้อีก แล้วไปตั้งอยู่ในนั้นคือโอกกันติ หยั่งลงในที่หลง เป็นผู้ไกลจากวิเวก
คำว่า ไกลจากวิเวก มีความว่า นรชนนั้นใด เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำอย่างนี้ อันกิเลสมากปิดบังไว้อย่างนี้ หยั่งลงในที่หลงอย่างนี้ นรชนนั้นย่อมอยู่ไกลแม้จากกายวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากจิตตวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากอุปธิวิเวก คืออยู่ในที่ห่างไกลแสนไกล มิใช่ใกล้มิใช่ใกล้ชิด มิใช่เคียง มิใช่ใกล้เคียง. คำว่า อย่างนั้น คือ ผู้หยั่งลงในที่หลง ชนิดนั้นเช่นนั้น ดำรงอยู่ดังนั้น แบบนั้น เหมือนเช่นนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวก.
ทุกวันนี้พูดไปไม่หวังกับคนที่หลงจมในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าแล้ว หวังอยู่กับพวกคุณที่มาได้แล้วนี้
อาตมามาสืบเชื้อศาสนาพุทธต่อไปในยุคนี้ ท่านสืบสานศาสนาพุทธไปจะให้ถึงห้าพันปี ตอนนี้เกิน 2500 ปี มาแล้ว ขนาดยุคพระพุทธเจ้ายังปริวิตกว่าจะประกาศดีหรือไม่ประกาศดี พอมาถึงในยุคนี้มาเจอคนในยุคนี้ ถามว่าพระพุทธเจ้าจะประกาศศาสนาไหม เพราะว่าเสียของแน่ๆ ไม่พอ
ผู้ใดในยุคนี้โลกนี้ ผู้ใดก็แล้วแต่เขาจะไม่เห็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ทั้งที่ยุคนี้เอามาประกาศตามจนคนมาทำได้ตาม เขาก็ยังว่าไม่มีหรอก ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่มีหรอก โลกขณะนี้เขาตาบอดจากสัตบุรุษ สัตบุรุษประกาศให้เห็นโลกโลกียะ โลกโลกุตระเป็นอย่างไร มีหมู่มวลเป็นคนมีศีลสมาธิ เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อย่างนั้นเดียรถีย์ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หลับตาทำ แต่สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นลืมตา สมาธิแปลว่าตั้งมั่น คือจิตตั้งมั่นปราศจากกิเลส ได้ประพฤติปฏิบัติเอากิเลสออกจนตกผลึกสั่งสมลงเป็นจิตที่ตั้งมั่น จิตสมาธิเป็นจิตที่ผ่านจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นผู้ที่สิ้นอาสวะแล้ว จิตนั้นเป็นจิตสะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นจิตมีสมาหิตโต ตั้งมั่นแล้วตามเจโตปริยญาณ 16
อาตมาพูดไปแล้วจริงๆแล้วต้องเป็นอย่างนี้ เถระสมาคมไม่เป็นคนผิดอาตมาต้องเป็นคนผิด แต่ถ้าอาตมาเป็นคนถูกจริงเถรสมาคมต้องเป็นคนผิดจริง แล้วเถรสมาคมเขาก็ไม่แก้ อย่างไรก็ไม่แก้ ผู้ที่จะศึกษาอย่างอาตมาพาทำ เขาจะต้องออกมาจากเถรสมาคม หากไม่ออกมาก็จะอยู่ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าต่อไป อธิบายความจริงให้ฟังชัดเจนไม่ได้พูดเอาดีเข้าตัวพูดชั่วให้คนอื่น แต่พูดสัจธรรม
ทำไมอาตมาต้องพูดอย่างนี้ เพราะมันหลงกันจริง หลงจัด แคะยาก จึงต้องใช้พลังงานงัดออก พูดให้กระจ่างชัดอย่างแรงอย่างมาก มันเป็นความจำเป็นที่อาตมาจำเป็นจะต้องทำอย่างนี้ คนเขาจะเพ่งโทษอาตมาว่าก่อความแตกแยกมาทำให้เกิดการทะเลาะกัน
ใครพูดว่าทะเลาะกันคือจิตใจเขาไม่ดี อาตมาพูดแล้วพูดอีกแต่เขาไม่เชื่อว่าอาตมาไม่ได้ข่ม ไม่ได้ดูถูก แต่พูดสัจจะความจริงให้เขารู้ตัว หากเปิดใจฟังด้วยดีจะเกิดปัญญา สุสูสังลภเตปัญญัง หากไม่ฟังสัจธรรมที่อาตมาพูดบ้างเขาจะได้อะไร เขาไม่ฟังด้วยดี เขาฟังด้วยอคติ ฟังอย่างไม่มีความยินดีไม่มีฉันทะเป็นมูล เขาฟังไปเขาก็เข้าใจไม่ได้ ฟังไม่ได้ก็มนสิการไม่ได้กระทำใจในใจไม่ได้ ศาสนาพุทธต้องมีมนสิการ
มูลสูตร 10 มีฉันทะเป็นมูล เป็นจิตที่ฟังยังไม่ยินดีเต็มใจ ฟังอย่างเสียไม่ได้ ฟังอย่างอดทนฟังเอา คุณไม่มีทางที่จะไปเข้าใจ ไม่มีมิตรดีในสุริยเปยยาล 7
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
คำว่าต้องมีศีลนั้นลึกซึ้ง เขามีแต่สีลัพพตุปาทาน สีลัพพตปรามาส ผู้สอนก็ไม่ได้มีศีล
ศีลข้อที่ 1 คุณมีความเข้าใจมากแค่ไหน อ่านให้ครบ คุณจะทำได้ครบไหม แล้วต้องเป็นจริงอย่างนั้นด้วยนะ พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ(ทัณฑะหมายถึงอาวุธที่เป็นวัตถุ) วางสาตรา(ศาสตราหมายถึงความรู้ด้วย) มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
แม้จะไม่ฆ่าเอง วางอำนาจให้คนอื่นฆ่า ใช้ความรู้นี้ฆ่าเขา อาตมาไม่ได้ฆ่าคน แต่อาตมาฆ่ากิเลส อาตมาฆ่ากิเลสด้วยความรู้ อาตมาฆ่าแต่สิ่งไม่ประเสริฐ
คำว่าหิริโอตตัปปะ ในสัทธรรม 7 ศาสนาพุทธสอนให้มีจิตละอายต่อความไม่ดี เป็นเทวธรรม จิตชั้นสูง สัมผัสแล้วเราจะทำไหม?จะทำด้วยกายก็อาย จะทำด้วยวาจาก็ไม่ทำ อาย จะทำด้วยใจก็อาย ยิ่งโอตตัปปะจะกลัวเลย มีดีกรีสูงขึ้นไปอีก
เรื่องสัตว์ทั้งหลาย นอกจากการละการฆ่าละอายแล้วมีความเอ็นดู
อาตมาเคยพูด อาตมาไม่เคยมีจิตที่ไปหวังร้ายกับใคร จิตหวังร้ายแม้แต่กับธัมมชโย มหาบัว ทักษิณ ที่อาตมาตำหนิอย่างแรงอาตมาไม่เคยมีจิตหวังร้ายเลย อาตมาต้องการให้เขาได้ดี ต้องการให้เขาแก้ไขสิ่งที่ชั่ว อยากจะให้เขาเกิด อัญญธาตุ ฟังแล้วอาตมาตอกแรง จนไปจุดชนวน สันดาป อาตมาทำได้แรงถึงที่ critical point จุดชวาล จุดเปลี่ยนสถานะ จากของแข็งเป็นของเหลวเป็นก๊าซ จากความร้อนไปเป็นเปลวเป็นต้น จากความเย็นเป็นความเดือด เป็นจุดเปลี่ยนแปลง
เสร็จแล้วมีความเอ็นดู มีน้ำใจ เป็นคนรักใคร่ยินดี มีความกรุณา
ความเอ็นดูนี้ละเอียดกว่าเมตตาอีก ลึกลงไป
เมตตาก็เชิงหนึ่ง เป็นผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่ ความเอ็นดูนี้ผู้ใหญ่ต่อเด็ก
มีความกรุณาคือการกระทำ ลงมือช่วยเลย หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
นี่คือความของศีลข้อ 1 คุณได้ปฏิบัติตามที่เข้าใจหรือยังแม้แต่ในพวกเรา คุณฟังนี้เข้าใจแล้วก็ไปตรวจดูว่าคุณเข้าใจแล้วได้ทำบรรลุตามความเข้าใจ มีความละอายมีความเอ็นดูกรุณามีจิตหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่หรือไม่
นี่คือศีลข้อที่ 1 นะ พวกเราเข้าใจอย่างนี้ก็ยังยอมรับว่าเราไม่ได้เต็มด้วยศีลหรอก เราไม่ได้บริบูรณ์ด้วยศีลหรอก
ยังไม่ใช่ศีลสัมปทาไม่ได้บรรลุ
-
อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
-
ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
-
ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)
-
ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
-
สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
-
สมาธิ (จิตมั่นคง)
-
ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)
-
นิพพิทา (เบื่อหน่าย)
-
วิราคะ (คลายกิเลส)
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สมณะแสนดิน
พ่อครูว่า…ศาสนาพุทธมีความเป็นอัศจรรย์ คือความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ เป็นข้อที่ 1 เลยในปหาราทสูตร ผู้ที่ไม่สามารถทำให้เป็นลำดับได้ เช่นอาตมาจะอธิบายคำว่าศีล ให้ละเอียดเป็นลำดับอย่างไร เป็นอธิศีลที่เหลื่อมไปตามลำดับ นี่คือความลาดลุ่มเป็นลำดับที่ยอดเยี่ยมมาก
ในความมีศีล ที่เจริญทั้งโลกียะและโลกุตระ
ผู้ไม่มีโลกุตระ ปฏิบัติศีลอย่างไรก็เจริญแต่โลกียะ โลกียะแค่ดีชั่ว แต่โลกุตระลดสุขลดทุกข์เป็นอาริยสัจ โลกีย์ได้แค่ดีชั่ว ศาสนาเทวนิยมจะปฏิบัติอย่างไรก็แค่ปฏิบัติตนให้เป็นคนดีไม่พยายามให้ชั่ว สังคมก็ต้องมีสิ่งนี้ สังคมไม่มีคนดีไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีปราชญ์มีศาสนาที่สอนให้คนเป็นคนดีเป็นธรรมดา แต่พระพุทธเจ้าศาสนาพุทธนั้น มีทั้งละความชั่วประพฤติความดีมีแน่นอน สูงกว่านั้นอีกก็คือรู้จักความสุขความทุกข์ ซึ่งเป็นปรมัตถ์เป็นโลกุตระ
คนดี สุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ คนชั่วสุขก็ได้ทุกข์ก็ได้
ความสุขความทุกข์จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่กว่าความดีความชั่ว ต้องเรียนรู้ที่เวทนา
เวทนาก็จะมีสภาวะตามปกติ คือ 2 เทวธัมมา ทุกอย่างที่เป็นคนมีจิตวิญญาณมีสองทั้งนั้น คำว่าเทวะ คือสองจึงยิ่งใหญ่ที่สุด คนแยกธรรมะ 2 ไม่ออกก็จมกับเทวนิยม
พวกนั่งหลับตา ไม่มีเวทนาเพราะไม่มีผัสสะ ไปนั่งหลับตาแล้วปิดประตูศาสนาพุทธไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติจะทำจิตเป็นเวทนาสองเป็นเวทนา 1 ไม่ได้
ฐานปฏิบัติของศาสนาพุทธคือเวทนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่าไม่มีผัสสะ 6 ไม่มีเวทนาเกิดไม่มีที่ตั้งไม่มีกรรมฐานให้ปฏิบัติ ศาสนาพุทธเสื่อมคือไปเอากสิณคือกสิณ 40 ของเดียรถีย์ เป็นสมถะ Meditation แล้วได้จิตสงบแบบนั้นแล้วนึกว่าบรรลุ บรรลุฌานสมาธิ ใช่ เป็นฌาน สมาธิเดียรถีย์ แสวงบุญนอกเขตพุทธ ไม่ได้บุญเลย เป็นโลกียะเพี้ยนมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจว่าบุญคือกุศล
บุญ เป็นพลังงานที่สร้างได้ยากมาก อุณหธาตุ มีพลังงานไปสลายไฟราคะโทสะโมหะได้ ผู้ที่จะสร้างพลังงานบุญ ต้องทำฌานก่อน ฌานเผาเสร็จบุญก็สมบูรณ์ ฌานของพุทธไปนั่งหลับตาทำเอาไม่มี ฌานของพุทธต้องมีจรณะ 15 วิชชา 8
วิชชา 8 คือปัญญาประกอบรู้ตั้งแต่ศีล และอปัณกธรรม 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ หากไม่มีการลืมตาเปิดทวารทั้ง 6 ไม่มีการสำรวมอินทรีย์ ไม่มีการรับบริโภคอะไรเลย มีแต่นั่งสะกดจิตนิ่ง สภาวะของ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะก็ไม่มี ไม่มีการตื่น เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินั่งหลับตา ตีทิ้งได้เลยว่าไม่มีในศาสนาพุทธ เป็นปัณปฏิปทา เป็นการปฏิบัติที่ผิด ไปนั่งหลับตาไม่มี 3 อย่างนี้ เห็นความผิดของศาสนาพุทธใหม่ออกนอกรีตนอกทาง การนั่งหลับตานี้ ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 854 พระพุทธเจ้าระบุไว้ชัดเจน ฟังง่ายๆ
คือ การเจริญอินทรีย์ภาวนาของพระอริยะ อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า มันย่อมต่างกันกับลัทธิอื่น ดังที่พระพุทธเจ้าท่านมีในพระสูตรนี้
ดูกร อุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ
อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ
พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอด ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
ภาวนาแปลว่าการเกิดผล แต่เขาไปเข้าใจผิดเป็นการท่องบ่นไปอีก
ทุกวันนี้โฆษณาทางทีวี มีแต่เดรัจฉานวิชชาไสยศาสตร์ บูชาพระพิฆเนศ พวกนี้เป็นพวกทำลายศาสนาก็ปล่อยให้โฆษณาออกทางทีวีกันเยอะแยะ ตามที่กฎหมายเขาก็มีให้จัดการแต่ไม่จัดการ
ฌานสมาธิพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดในการนั่งหลับตา ต้องเกิดจากการลืมตาปฏิบัติ ต้องเกิดในขณะการทำงานอาชีพขณะทำกรรมการงานทุกอย่าง กัมมันตะในขณะพูดในขณะคิด ไปหลับตาปฏิบัตินี้ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างที่ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ทำไมไม่มาปฏิบัติตาม อาตมาไม่อยากดูถูกพวกที่ศึกษาศาสนาพุทธพวกนี้เลย ไม่อยากดูถูกว่าทำไมถึงโง่ ไม่เกิดความฉลาดสัก .00001 ทำไม
_มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นที่น่าสังเกตในพุทธศาสนาเมืองไทย หากท่านมีสัตบุรุษมีพระอรหันต์แท้จริง แต่ก็หาได้มีลูกศิษย์จากสำนักไหน เคยได้ยินว่า อาจารย์ที่เป็นอรหันต์ของเขานั้น รับรองตนเองว่าเป็นสมณพราหมณ์ผู้นั้น(ตามข้อ 10 แห่งสัมมาทิฏฐิ) หรือว่าพระปฏิบัติในเมืองไทยไม่มีอรหันต์ผู้นั้นเลย นอกจากพระอรหันต์นอกทำเนียบ นอกจากพระอรหันต์นอกทำเนียบอย่างผู้นำชาวอโศก
สรุปแล้วขยายความจากอันนี้อีกทีหนึ่ง…พระอรหันต์ที่ว่านี้ มันยากที่คนจะรู้ว่า ใครเป็นอรหันต์ ยากจริงๆ ยิ่งศาสนาผ่านมาสองพันห้าร้อยกว่าปี มีผู้ที่ประกาศเป็นอรหันต์เพี้ยนอรหันต์เก๊ มีคนยอมรับนับถือในวงการศาสนาพุทธก็คือพระอรหันต์ รับรองว่าที่ขึ้นทำเนียบนี้เป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้น นี่คือโพธิรักษ์พูดนะไม่ได้พูดก้าวร้าว แต่พูดอย่างถูกต้องอย่างดังด้วยจิตสะอาดบริสุทธิ์ ไม่เห็นต้องข่ม เพราะเป็นผู้ที่ไม่ได้สูงอะไรเขาก็ต่ำของเขาอยู่แล้ว
ที่เข้าใจแล้วก็ไปทำอย่างนั้นมันเท่ากับทำลายศาสนาพุทธ ที่อาตมาจำเป็นต้องพูดให้ชัด ข่มให้แรง ให้มิด พูดให้รู้สิ่งที่ถูกให้มันกระจ่างใสขึ้นมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นมันก็จะผิดเพี้ยนไป งมงายคลางแคลงไม่กระจ่าง มันจำเป็นต้องฉีกให้ขาด แยกให้ห่างให้ชัด แล้วมาบอกว่าดำคืออย่างนี้ ขาวคืออย่างนี้ คนก็ไม่เข้าใจ ทำไมต้องด่าถล่มเขา ให้พูดแต่สิ่งที่ดีไปเถอะ
หากอาตมาพูดแต่สิ่งดี แต่ทิ้งพวกเขาเลย อาตมาเห็นตัวเองใจดำอย่างนั้นไม่ได้ อาตมาก็เห็นอยู่ตําตาหลัดๆว่าเขาจมดำอยู่ เราจะว่าปล่อยเขาให้จมไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าแล้ว อาตมานี่ดึงคนจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ต้องช่วยเขานี่คือเจตนาของอาตมา
พูดไปแล้วมันก็ยกตัวเองชมตัวเองอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็เลี่ยงไม่ออก เพราะว่าเป็นความจริง ทั้งหมดที่อาตมาพูดจะเป็นการยก การตำหนิ การดูถูกดูผิดอะไรก็ตาม อาตมาพูดความจริงทุกคำกล่าว ขอยืนยันว่าอาตมาพูดความจริงทุกคำกล่าว ก็จะฟังเป็นอย่างไรก็ขอยืนยันว่าอาตมาพูดความจริง ทุกคำกล่าว
หรือว่าอรหันต์ที่ผ่านมาไม่มีบารมีเป็น ตามข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ ที่จะเป็นผู้สืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่
สยังอภิญญา คือ ผู้ที่มาเกิดในชาตินี้ ไม่มีพระพุทธเจ้า ที่เป็นสยัมภู ส่วนสยังอภิญญาคือผู้รองจากพระพุทธเจ้า เกิดมาในชาตินี้มีความรู้ของตัวเองมาจากชาติก่อน ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์มาสอนอีกในชาตินี้ มาทำความแจ่มแจ้งให้แก่ผู้อื่นได้ ให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม
ได้บ้างไหม…ความรู้ที่ได้นั้นเหมือนทางเถรสมาคมหรือไม่ ก็ไม่มี ถ้าไม่เหมือนก็คือกระแสหลักผิด หรือว่าโพธิรักษ์ผิด
อาตมาว่า
_สู่แดนธรรมว่า..อรหันต์ที่มีใหม่ จะมีบารมีเหมือน สัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 หรือไม่ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่
พ่อครูว่า…สมณะแบบนี้มีในโลกยุคนี้หรือไม่ ถ้าคุณเห็นมีก็มีแล้วเป็นจริงไหม ก็คือ อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
เอาโลกหน้าคือโลกโลกุตระ อาตมาขยายความให้แจ่มแจ้งให้พวกเราเอาไปปฏิบัติตาม ด้วยความชัดเจนก็คือ คนนี้ท่านต้องเป็นพระอรหันต์จริงๆ ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์จริงก็ไม่ใช่ สยังอภิญญา ก็อยู่ที่ว่าใครจะเห็นความจริงนี้ได้จริงก็เท่านั้นเอง แต่ละคนตัวใครตัวมันใครไม่เห็นเขาก็ไม่เห็น ใครเขาเห็นเขาก็เห็น
เมื่อบอกว่าอันนี้เป็นความจริงเป็นพระอรหันต์ที่ถูกต้องจริง ถ้าหากจริงคนที่เห็นได้ก็ได้คนที่ไม่เห็นได้ก็ไม่ได้ก็จบ ก็แยกมันเป็นธรรมดาธรรมชาติ นี่เป็นสัจจะ
อรหันต์ที่ยังไม่มีบารมีอย่างที่ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 พูดอย่างนี้ก็ได้ เป็นพระอรหันต์ แต่ยังไม่มีบารมีถึงขั้นจะมาประกาศให้คนเขาเข้าใจ สัจฉิกัตวา แจ้งในสัจจะความจริงนี้ได้ไม่มีบารมี พูดไปไม่มีคนรับรู้ หรือว่ารับไม่ได้ แต่ว่าอาตมามีผลสำเร็จประกาศแล้วมีคนรู้ได้รับได้เอาไปปฏิบัติได้ จนเกิดสังคมพุทธ เอาวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 โคตมีสูตรมาจับ พวกเราก็ปฏิบัติตรง
ยกตัวอย่างข้อที่ซ้ำกันหมดใน โคตมีสูตร วรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 ที่ตรงกันคือมีอัปปิจฉะ มักน้อย หรืออาตมาแปลเป็นไทยว่า กล้าจน มาชอบความจน มักแปลว่าชอบ ปรารถนา อันเดียวกัน ปรารถนามาเป็นคนจน ไม่ต้องเลี่ยงบาลีหรอก ปรารถนาจน ไม่ใช่ไปปรารถนารวย นี่เป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ
เพราะฉะนั้นพระเจ้าแผ่นดินไทยจึงตรัสได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ว่าต้องมาปฏิบัติแบบคนจน พูดต่อสาธารณะเลย นักบริหารรัฐมนตรีต่างประเทศคือเกาหลี
ประธานาธิบดีที่เป็นเพื่อนของรัฐมนตรีเกาหลีให้มาถามว่าให้บริหารแบบไหน ท่านก็บอกว่าให้บริหารแบบคนจน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา บอกให้ไปบอกประธานาธิบดีของคุณให้บริหารประเทศแบบคนจน คือมันล้ำยุค ก้าวเกินหน้า Advance ก้าวเกินหน้าจนคนตามไม่ทัน เกินหน้าไปไกล
ด้านเศรษฐศาสตร์ทุกวันนี้เขาก็ฟังไม่ขึ้น แต่พวกเรานี้พวก Advance พวกเราก้าวหน้าไปไกลกว่าผู้บริหารประเทศไทยแล้ว ที่เขาจะทำให้คนรวยไม่มีคนจนในประเทศเลย นี่เป็นคนตาบอดพูด จะทำอย่างไรให้ทั้งประเทศไม่มีคนจน แม้โลกแตกก็ทำไม่ได้ พูดไปเป็นเรื่อง Impossible เป็นไปไม่ได้ คน จะทำให้คนมาจนเท่าๆกัน ตอนนี้หมายความว่ามีน้อย การมีน้อยลงมาเท่าๆกันจะทำได้สำเร็จไหม ทำได้ ถ้าหากจะทำให้รวยเท่ากันหมดนั้นทำไม่ได้หรอก โลกแตกเป็นร้อยลูกก็ทำไม่ได้ คนที่พูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นคนโง่ เห็นไหมว่าในหลวงเราเป็นใคร เป็นสุดยอดพระโพธิสัตว์ ความรู้ที่เป็นความรู้ทวนกระแสโลก ให้มาขาดทุน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรานะ ท่านก็อธิบายไป แต่พระโพธิรักษ์ต้องเอามาขยายความให้ชัดเจนขึ้น เพราะท่านเองจะพูดอย่างนั้นมาก มันจะไปค้านแย้งกับ ดร.สมคิด
หรือแม้แต่คนอื่น พลเอกประยุทธ์เคยพูดหรือไม่ ว่าจะให้มาเป็นคนจน แต่เห็นแต่พูดว่าให้มาเป็นคนมั่งคั่ง
ชาวอโศกเป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ไปเอาเปรียบคนอื่นเขา ไม่ได้ไปแย่งชิงคนอื่นเขา นี่เป็นความสำเร็จของมนุษยชาติ เราเกิดมามีชีวิตเป็นชีวิตที่ไม่แย่งชิงใคร ไม่ได้ไปเอาเปรียบใคร โอ้โห เป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่หรือไม่ ยิ่งใหญ่นะคนที่เกิดมาไม่เอาเปรียบใคร เป็นคนเสียเปรียบไม่ใช่คนเสียรู้ รู้หมดว่าเราจะต้องเสียจะต้องเสียสละเสียอย่างมีปัญญา รู้ว่าควรเสีย แล้วตัวเองไม่เดือดร้อน เพราะตัวเองก็มีชีวิตแข็งแรงสมบูรณ์พออยู่พอกิน เหลือ ว่าจริงๆแล้ว มีคุณสมบัติครบ 4
-
ไม่เป็นหนี้ 2. เลี้ยงตัวเองรอด ทำกินทำใช้ได้สมบูรณ์พูนสุข 3. ทำให้เหลือทำให้มาก สร้างสรร 4. แจกจ่ายคนอื่นได้