621111_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 79
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/18eKJ-ui07RqRyuT3WZlCwd_r1QdKe94WE-_H7yKODD0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1KEXfv1sBvHX0LAk8Th2WImpwXErNq4tV
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้วันพระใหญ่ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 น้ำนองตลิ่ง เขาลอยกระทงกันเราก็ ลอยธรรมะ
(โยมบอกว่า ถ้าใครจะลอยกระทงให้ลอยภายในเที่ยงคืนวันนี้ ถ้าเลยจากนั้นไปจะเป็นลอยอังคาร) เมืองไทยเราก็มีเล่นคำให้ตลก ฝรั่งเขาก็มีตลก บ๊อบโฮป เล่นมุขเล่นภาษาเก่ง ตลกสามเกลอหัวแข็ง เล่นเจ็บเหมือนพวกหม่ำจ๊กมก
_SMSวันที่ 9-10พ.ย.2562
_กุญแจ เงินทอง : ปัสสัทธิ กับ สมาธิ มีข้อแตกต่างกันหรือไม่คะ ขอความกระจ่างของคำว่า วิตก /วิจารณ์ ….กิเลสขึ้น กดข่ม จะใช้ สติ แบบกัลยาณชน /พระอาริยะ ออกมาแบบใด คะ
กุญแจ เงินทอง : ต้องทำใจในใจให้เป็น นัตถิทินนังคือการทำทานที่ไม่มีกุศลนั่งฟังเทศน์ อุณหภูมิ ลดลง ไปเรื่อย ๆ 25/24/23 C
พ่อครูว่า…อาตมาตอบไม่ได้ที่บอกว่านั่งฟังเทศน์แล้วอุณหภูมิลดลงไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจะให้มันขึ้นมาช่วยไม่ได้เลย มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันไม่เที่ยงหรอก มันก็ขึ้นขึ้นลงๆเท่าเดิมบ้างพอสมควร
ปัสสัทธิกับสมาธิมีข้อแตกต่างกันหรือไม่ ..แตกต่าง สมาธิ นี่คือ บางทีเขาก็แปลกันรวมอย่างตีกินว่าจิตสงบ ก็ไม่ผิด ของพุทธนี้สงบอย่างวิเศษ นั่นแหละใช้คำว่าปัสสัทธิ
อาตมาพยายามอธิบายใช้พยัญชนะ มันมีคำว่าสงบนี้เยอะ สมะ ก็คือสงบ เช่น สมถะ วิเวก สันตะ ก็แปลว่าความสงบ สันติ
สมาธิกับปัสสัทธิ แตกต่างตรงที่ ปัสสัทธิระบุไปถึงจิตโดยตรงว่ามันสงบเพราะว่าลดกิเลส เพราะทำให้ตัวกิเลส ลดลง หมดลง
ปัสสัทธิ อยู่ในปหาน 5 ตทังคปหาน วิกขัมภนปหาน สมุจเฉทปหาน ปฏิปัสสัทธิ นิสสรณปหาน
ตทังคปหาน ก็ปหานกิเลสได้เป็นคราวอย่างสัมมาทิฏฐิ วิกขัมภนปหานก็คือกดข่ม ของพุทธไม่ได้รังเกียจ แต่ใช้เป็นตัวประกอบไม่ใช่เป็นตัวเอง ใช้เป็นตัวเสริมธรรมดาสามัญ ซึ่งมันไม่ถาวร มันเป็นตัวประกอบเท่านั้น
แล้วจิตที่รู้วิธีอย่างสัมมาทิฏฐิ ที่ทำให้กิเลสคือตัวทำให้ไม่มันสงบใหญ่ทำให้มันตายไปจากจิต กิเลสตายเป็นคราวอย่างตทังคปหาน เสร็จแล้วได้ไปทีละส่วน 2 ส่วน 3 ส่วน 4 ส่วนเสร็จแล้วได้เด็ดขาด ก็ทำทวนเลย เรียกว่าปฏิปัสสัทธิ เป็นความสงบที่เกิดจากเอากิเลสออกฆ่ากิเลสได้จริง เมื่อไหร่ใจก็ทำซ้ำ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง แปลว่ารักษาผล ผลที่มันได้แบบนี้แหละรักษาผล ทำซ้ำ ให้ได้ตกผลึกเป็น อเนญชาภิสังขาร
อาตมาอธิบายสามสังขารไม่เหมือนกับท่านปยุตฯ
อภิสังขาร คือปรุงแต่งอย่างยิ่งอย่างมีภูมิปัญญา ใน ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
(พ่อครู พูดถึงพิธีกรหญิงที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย)
นิสรณปหาน คือสลัดคืน เหมือนกับเอายาหม่องทาหน้าแข้งไปลุยน้ำ ปลิงมาเกาะเรามันก็จะดูดเลือด พอมาเจอยาหม่องที่เขาเรา ปลิงมันแสลงแพ้ ปลิงก็หลุดไปเลย มันไม่กล้าเกาะเลย กิเลสมาเจอเราก็ม่อยไปเลยไม่กล้าเช้าใกล้มีราศีรังสีของธรรมฤทธิ์ คุณวิเศษของจิตแบบพระพุทธเจ้าที่จะมีพลังงานแห่งบุญ มีพลังงานของจิตที่เป็นอำนาจชนิดหนึ่ง กิเลสเข้าหน้าเราไม่ติด นี่คือความสงบสุดท้ายที่ดี เป็นนิสรณปหาน
ปัสสัทธิ ปัสสะ แปลว่าเห็น อิทธิ เป็นความเก่งเป็นความสามารถ ในขณะที่มันสงบอย่างเห็นๆสัมผัสอยู่ ไม่ใช่สงบแบบหลับลงไป
เป็นคุณสมบัติขั้นพิเศษของจิตที่สงบอย่างปราศจากกิเลส
ส่วนสมาธิเป็นคำรวมชี้บ่งของคุณลักษณะจิตทั้งหมด คือจิตที่ตั้งมั่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องตื้นๆ อย่างที่โมเมใช้คำว่าบุญคำว่ากายไปต่างๆ แต่สมาธิคุณภาพคุณสมบัติพิเศษของจิตที่ฝึกดีแล้ว ตั้งมั่นอย่างสมบูรณ์แบบ จิตดีแล้วสมบูรณ์เป็นสมาหิโต คือสมาธิเสร็จแล้วพอแล้วจบแล้ว ตกผลึก หลังจากสิ้นอาสวะในจรณะ 15 วิชา 8 จิตใจหมดอาสวะแล้ว นั่นคือจิตสะอาดเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธาก็สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ปริโยทาตาอยู่เหนือกิเลส แม้สัมผัส มุทุก็รู้เร็วทำจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ มีวสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ กัมมัญญา จึงสามารถอยู่เหนือการควบคุมการทำงานกับสังคมได้อย่างดีมากอย่างเหมาะสม อย่างเหมาะสมควรอย่างมีคุณภาพดีที่สุด และประกอบไปด้วยเจตนาดีทำได้ดีมีคุณภาพดีเป็นประโยชน์คุณค่าไม่มีโทษภัยเลย กัมมัญญา
ปภัสสรา จะอยู่กับโลกทำงานอย่างไรก็ผ่องใส นี่คือคุณสมบัติทั้ง 5 ของจิตสูงสุดเป็นจิตที่สะอาดเป็นจิตที่เป็นสมาธิ สะอาดแบบนี้แหละมีคุณสมบัติแบบนี้ ตกผลึกสั่งสมตั้งมั่นแข็งแรง
นี่คือสมาธิของพุทธ ฟังให้ดี เขาอวดอุตตริมนุสสธรรมกันเลอะเทอะ คำว่าสมาธิก็ดี คำว่าบุญก็ดีแม้แต่กรรมการต้องมีรูปนามหมายถึงธรรมะ 2 ก็ผิดไปหมด
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่มี มีแต่ของเก๊ ไปบรรลุต่างๆนานาซึ่งเป็นการเข้าใจผิด ก็ทำให้เกิดคนชนิดนั้นสังคมกลุ่มนั้นที่มีทฤษฎีมีคอนเซปแบบนั้น ปฏิบัติแล้วก็ได้ผลแบบนั้น กับหมู่อื่นที่ต่างกันแม้แต่อโศกก็มีผลต่างไป ก็เอาคนจริงพฤติกรรมจริงสังคมจริง พฤติกรรมที่สัมผัสดูกันได้ ถ้าไม่เต็มก็ต้องดูกันนานๆ จิตวิญญาณอย่างไรจึงเป็นจิตที่ดี ของใครก็คิดว่าตัวเองมีจิตวิญญาณที่ดีทั้งนั้นเมื่อสำเร็จเป็นสมาธิแล้ว แบบนั้นไม่ดีเท่าแบบนี้ก็เป็นอิสระเสรีภาพในการเลือกต่างคนต่างมีอิสระเสรีภาพในการเลือกของตัวเอง ชาวอโศกแบบนี้ว่าตรงกับของพระพุทธเจ้า แต่ของคนอื่นก็บอกว่าพระพุทธเจ้าของเขาก็มีเหมือนกันเป็นพระพุทธเจ้าคนละองค์ ก็เอาสัจจะแท้ๆของจิตวิญญาณเจ้าตัวเองไปเลือก ชาวอโศกที่มาอยู่ที่นี่ก็เลือกแล้วคุณไม่อยู่กับชาวอโศกคนไปเลือกคนอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไรไม่ได้ทะเลาะกันไม่ได้ตีกัน ข้อสำคัญถ้าคนทำไม่ดีก็ประท้วงกันได้ ด่าว่ากันได้ คุณว่าอย่างนี้ไม่ดี อโศกผิดอย่างไรก็วิจารได้ แต่อย่าตีกันล่ะ
จริงๆแล้ว แม้แต่เป็นพระอาริยะก็มีปากหอกเรียกว่ามุขสตี มุขคือปาก สตี แปลว่าอาวุธ
สตี ภาษาบาลี ส่วนสันสกฤต เขียนว่า สตรี ยังมีทิ่มแทงกันอยู่ เป็นอิตถีภาวะ
สตรีคือ ภาวะไม่เรียบร้อยสมบูรณ์แบบยังมีพิษอยู่ไม่หมด ไม่เหมือนสุภาพบุรุษหมดพิษ สตรีมีพิษอยู่ แต่พวกเสมอภาคก็จะเถียงว่า แปลว่าสตรีเขาทำไม พวกศาสนาเทวนิยมก็จะคิดแบบนี้พูดแบบนี้ แต่มันเป็นเรื่องสัจจะมันยังไม่ได้ สตรีก็ย่อมมีจุดด้อยกว่าบุรุษ พระเจ้าก็สร้างมาไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว เขาก็แย้ง อาตมาก็ท้วงไป คุณรู้จักประวัติการสร้างคนของพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าสร้างคนคนแรกคืออดัม ส่วน อีฟ เป็นคนที่สร้างขึ้นมาทีหลัง ไม่ได้สร้างพร้อมกัน 2 คน พระเจ้าสร้างอดัม เสร็จแล้วอดัม ก็บอกว่าไม่มีคู่ ก็เลยเอาซี่โครงของอดัมเอง มาสร้างเป็นอีฟ เอาซี่โครงซี่ที่ 7 มาสร้างด้วย คุณรู้ประวัติของศาสนาคุณหรือเปล่า คนที่แย้งอาตมามาทำวิทยานิพนธ์จบปริญญาเอกที่ชุมชนปฐมอโศก ซึ่งเขาก็แย้งไม่ได้ หรือว่าถ้ายังไม่รู้เขาก็ต้องไปค้นจนได้ ว่าทำไม โพธิรักษ์รู้ประวัติอย่างนี้ แต่พระเจ้าของเขาเขายังไม่รู้เลยก็ต้องไปค้นคว้า ถ้ามันไม่จริงก็ต้องมาแย้งอาตมา แต่นี้เห็นนิ่งไปแสดงว่ารู้ อาตมาจะไปแต่งนิทานอย่างนี้ได้หรือ ยืนยันขนาด เอากระดูกซี่โครงซี่ที่ 7 มาสร้าง อาตมาไม่เก่งจะแต่งนิทานอย่างนี้หรอก
สมาธิของพุทธเป็นจิตที่ตั้งมั่นในความปราศจากกิเลสอย่างที่ใช้บ่อย คือ
นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นัตถิอุปมา
นี่คือจิตที่สงบตั้งมั่นแข็งแรงตกผลึก เป็นแกนให้กับศาสนาเป็นเสาเข็มที่แทงไปถึงแกนของโลกเลย
คำว่าวิตกวิจาร
วิตกคือตัวจิตที่ดำริขึ้นมา ตักกะ เริ่มดำริ จิตดำริได้คิดได้ คิดนี่เป็นพฤติกรรมของนามธรรม จาร คือพฤติกรรมของรูปธรรม
วิตก พฤติกรรมของความคิด จาระ คือพฤติกรรมของ static ทางรูป
วิตักกะคือการวิเคราะห์วิจัยในความคิด อะไรที่จะไม่มีใน ตักกะก็ไม่ให้มี อะไรจะให้ไม่มีใน จาระก็ไม่มี
ตักกะคือ ความคิด แกนของสังกัปปะ 7 เลย ของความขบคิดความรู้วิจัยวิจาร แล้วล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปหมด ซึ่งเป็นพฤติกรรมทั้งหมดเลย ที่เรียนรู้แล้วก็จัดการกิเลสออกหมดจนกิเลสหายไป เป็นหน้าที่ของการทำใจในใจ ของผู้ที่สามารถมนสิการ ทำให้กิเลสออกไปให้หมด ก็ต้องมีธาตุรู้มีปัญญาญาณอย่างยิ่ง รู้รายละเอียดของจิต เจตสิก รูป นิพพาน ต่างๆ รู้ในกระบวนการเวทนา 108 ทำการแยก ทำให้กิเลสออกไปหมดจนเป็นอุเบกขา สั่งสมเป็น อเนญชา จิตมีสมาธิตั้งมั่น
จารคือรูป ให้รู้ ส่วนตักกะเป็นตัวนามตัวรู้ เป็นตัวย่อยของผลของจิตที่ได้ปฏิบัติวิตกวิจารไปตามลำดับของฌาน 1 2 3 4
ฌาน 1 จะมีวิตกวิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ไม่ถึงอุเบกขา
ฌาน 2 ก็วิตกวิจารลดลง ทำวิตกวิจารในสังกัปปะให้ได้ผล จัดการทำให้เรียบร้อยให้เจริญก็เรียบร้อยเบางานลง เรียกกันว่า วิตกวิจารสงบ วิตกวิจารหมดไปทำได้แล้วก็ไม่ต้องวิตกวิจาร เหลืออุเบกขาเป็นแกนสุดท้าย
สติ แบบกัลยาณชน /พระอาริยะ
สติต้องเป็นตัวช่วย มีสติรู้ แล้วมีอัตโนมัติของการกดข่ม วิกขัมภนปหาน กดข่มกิเลสไว้ แม้ไม่ได้เรียนธรรมะเลย สามัญสำนึก ใครก็ไม่ปล่อยกิเลสออกมาเพ่นพ่านหมด อย่างอิสรเสรีชน มันโกรธก็ออกมาหมด โลภก็ออกมาหมด ราคะก็ออกมาหมด บ้าเท่านั้นเองเขาก็จับไปโรงพยาบาลเลย มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติเช่นกันส่วนใหญ่ด้วย คนที่ทนไม่ไหวก็ละเมิด ผิดกฎหมายเขาก็จับคุณ ไม่ผิดกฎหมายผิดวัฒนธรรมคนอื่นเขาก็เหล่คุณเท่านั้นเอง เป็นธรรมดาธรรมชาติ
สติกัลยาณชนก็กดข่ม คนดี ถ้าปุถุชนไม่กดข่ม ดีไม่ดีกิเลสอยากแสดงออกด้วย สังคมมันจะชิบหายก็อย่างนี้แหละ โลกีย์กัลยาณชนกดข่มก็ใช้ได้แต่ไม่ได้รู้จักกิเลสสลายกิเลสไม่ได้สร้างพลังงานให้เกิดบุญเป็นพลังงาน อุณหธาตุ เป็นไฟที่ไปสลายไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะได้ เป็นพลังงานชนิดเดียวกันแต่เนื้อชั้นกว่า ไฟฌานไฟบุญ ของพระพุทธเจ้ารู้จักพลังงานจิต สร้างพลังงานจิต รู้จักพลังงานจิตที่เป็นราคะโทสะโมหะที่เป็นตัวร้าย เป็นไฟเผาร้อน ไอ้นี่ก็เหนือชั้นกว่าไฟ เหนือชั้นปราบราคะโทสะโมหะได้ จึงเรียกว่าไฟของศาสนาพุทธ
ราคะโทสะโมหะเป็นพลังงานชนิดหนึ่งไม่ใช่สสาร เมื่อเราดับไปฆ่ามันไปก็ตายมันก็ไม่รู้มันหมดฤทธิ์ไปจากเรา
ส่วนพระอาริยะก็อย่างที่อาตมาอธิบายไปแล้ว อาริยะเป็นของศาสนาพุทธก็รู้จักกิเลสจริง มีวิธีทำไฟ ทำฌาน ทำสมาธิ บุญคือทำกิเลสหมด ไฟฌานฆ่ากิเลส ฌาน 1 2 3 4 ล้างกิเลสได้หมด จบเรียกว่าบุญ ถ้ายังมีกิเลสไม่เรียกว่าบุญ หรือว่าอธิบายแบบมีส่วนบุญไม่สิ้นอาสวะทีเดียว
นัตถิทินนังคือ ทำทานแล้วจิตคุณไม่มีผล หรือมีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์ในการล้างกิเลส นี่คือประเด็น คุณทำทานได้ผลกุศลแต่ไม่ได้ล้างกิเลสคือไม่ได้อานิสงส์ ทำทานแล้วจิตคุณไม่หยุดไม่จบ ทานไปแล้วหวังจะได้อะไรตอบแทนมาให้แก่ตน นี่คือทำทานไม่หมด ทำทานยังต้องการสิ่งตอบแทน คุณไม่ต้องอยากได้ ไม่ต้องอยากเลยทำทาน 5 ได้กุศล 5 ทำทาน 10 ได้กุศล10 เรียกค่าของมัน ทำทาน 100 ได้กุศล 100 ไม่หกตกหล่นไม่ระเหิดไม่ระเหย นั่นเป็นกุศล กุศลเป็นสิ่งที่จะเป็นสมบัติสะสมให้คุณใช้ตลอด จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน
พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่สันโดษในกุศล เป็นพระพุทธเจ้าและยังสร้างกุศลไปเรื่อยๆยังไม่พอ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
_อ๋อย เอื้อมพร…ครั้งนี้ได้มาอยู่ที่บ้านราชฯ 18 วันแต่อยากจะอยู่สัก 18 ปี ติดธุระทางบ้าน ต้องกลับคืนนี้แล้วไปเดนมาร์ก อยากกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยกรุณาดูแลเอาใจใส่ ให้ดิฉันได้ฟังธรรม ช่วงแรกไม่ค่อยสบายยามาเพียบ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เป็นวิบากที่ทำให้มาอยู่ไม่ได้นาน ก็คงจะมาได้ยาวขึ้นจนกว่าฟ้าจะเปิด
_ส.ด่วนดี…ที่ผ่านมาพ่อครูเคยเล่าว่า พระอรหันต์จะไม่มีฝันมีแต่นิมิต หลังจากพ่อครูบรรลุธรรมเมื่อ 27 มกราคม 2513 พ่อครูเล่าว่า หลังบรรลุได้ไปนอนแล้วเกิดนิมิตอยากให้พ่อครูเล่าสภาวะนิมิต
พ่อครูว่า…จะรู้ไปทำไมมันไม่เหมือนกันหรอกแต่ละคนของพระอานนท์ก็อย่างหนึ่งพระสารีบุตรก็อย่างหนึ่ง นิมิตคือเครื่องหมาย ส่อแสดงให้รู้ถึงจิตวิญญาณ มันเปิดโลกเลย แล้วมันจะมีหลายชั้นเลย โสดาบันก็จะมี บางคนโสดาบันมันแรงสว่างจ้า บางคนก็ไม่เท่าไหร่ แต่ไปไม่แรงค่อยเลื่อนไปทีละระดับ ไปสุดท้าย เป็นพระอรหันต์จะสว่างรู้จนใช้ศัพท์พูดได้ว่า มันรู้จนเปิดโลกโดยที่ว่า โลกนี้จะมีอะไรที่ให้เรารู้อีก มันจะไม่มีอะไรให้เรารู้อีกแล้วหรือ มันรู้อย่างนั้นเลย มันรู้จนไม่มีอะไรให้เรารู้แล้วนะ มันรู้อะไรไปหมดจนจบไม่มีอะไรที่เราไม่รู้ จะเรียกด้วยพยัญชนะว่า อวิชชาก็ได้ รู้โล่งโปร่งกว้างไกล อะไรที่เป็นปัญหาไม่มีในจิตเป็นความรู้สึกในขณะนั้น
มีสมณะกรรมกรเคยเล่าว่า มันไม่มีอะไรที่จะไม่รู้อีกมันรู้ไปหมดแล้ว อาตมาก็ยิ้มบอกว่าดีปฏิบัติไปรักษาผลไป แต่ต่อมาก็บอกว่ามันยังมีอีกยังมีละเอียดอีก ตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้มาบอกว่าหมดหรือยัง
_สู่แดนธรรมว่า…ที่พ่อท่านเขียนบอก ท่านด่วนดีคงหมายให้พ่อท่านเล่านิมิตที่เป็นรูป ที่บอกว่า จะไปช่วยคนรักบ้านไฟไหม้ แต่ก็จะไปช่วยบ้านอื่นๆที่ไฟไหม้อีกหลายหลัง
พ่อครูว่า…บรรยายเป็นปุคลาธิษฐานว่าไฟไหม้บ้าน ทั้งหมู่บ้าน เราจะเข้าไปช่วย บ้านคนอื่นก็ไหม้ ของคนรักก็ไหม้เราต้องไปช่วยหมด หากเรามีจิตจะไปช่วยแต่คนรักมันก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่ คนไหนที่ควรช่วยก่อน ก็คงช่วยก่อน ก็เลยไม่ได้ไปช่วยบ้านคนรักเท่านั้นแต่ชาวบ้านคนอื่นก่อนที่เหมาะควรกว่า ก็เอาอันนั้นก่อน อย่างนี้เป็นต้นนี่คือนิมิตในตอนนั้น
ตอบคุณกุญแจเงินทองต่อ…
การทำใจในใจ ต้องทำให้เป็น เช่นนัตถิทินนัง ทำทานที่เป็นกุศล การทำทานได้กุศล คุณไม่ต้องไปอยากได้เลยกุศล ไม่ว่าจะทำทานอย่างมีกิเลส คุณทำทานไป 5 บาทจะได้เอา 100 คุณก็ได้กุศลถ้าแน่นอนเป็นของคุณ กิเลสของคุณทำทาน 5 จะเอา 100 คุณก็กิเลส 95 แต่แน่นอนกุศล 5 ได้แน่นอน เหมือนฝากแบงค์ เป็นเหมือนแบงค์อิสลาม ไม่มีดอกเบี้ยหรือแบงค์ชาวอโศก กองกลาง เราก็มีที่ฝากเงินเป็นกองบุญสวัสดิการ
แต่ทำทานก็หลอกกันว่าทำ 5 จะได้ 100 ได้ 1000 เหมือนธัมมชโยหลอกคน มันก็มีความแตกต่างอยากได้เหมือนคนเล่นแชร์แม่มณี บอกว่าได้ดอกเบี้ยบานเบิก แต่ก่อนเป็นแชร์แม่ชม้อยก็หลอกกันเหมือนกันมันมีวิธีการหลอก
คนที่ตะกละขี้โลภมันก็หลง เพราะฉะนั้นจึงมาศึกษาให้ดีๆ พระพุทธเจ้าสอนในฐานะสูตร สอนว่าให้คือให้อย่าไปมีภพชาติ อย่าไปสร้างความหวัง สาเปกโข
สาเปกโข คือมันไม่ 0 ไม่กลาง สา กับ อุเบกขา ก็คือมันไม่ว่างไม่กลาง ไปมีหวังลมๆแล้งๆ จุดหวังวิมานอยากได้ภพชาติ มันมีความเป็นภพชาติอีก อย่าไปตั้ง
คนที่ไม่สัมมาทิฏฐิก็ไปตั้ง
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี
1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ เอาไปใช้ได้ตอนหลังตายไปแล้ว หลอกกันอย่างฤาษีลิงดำธัมมชโย มีวิธีหลอกเขามากมายก่ายกอง คนที่ตะกละตะกลามอยากได้ก็เอามาประเคนให้เขา มากมายเงินทอง ตนเองหลอกเขาก็ได้บาป คนที่ตะกละก็ช่วยจริงๆหวังจริงๆว่ามันจะได้ ซึ่งมันไม่ได้หรอกมันไม่เป็นสัจจะ คุณจะไปตะกละตะกลามแล้วแต่มีวิมาน
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี
อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี
อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้
อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ
อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) จิตปลื้มยินดีกับของเก๊ จิตมันยินดีมากปลื้มๆ ธัมมชโยเอาคำว่าปลื้มมาใช้ มันดีใจที่ตัวเองจะได้ของลมๆแล้งๆหลอกกัน อย่างนี้เป็นต้น
โสมนัส อัตตา สองลักษณะนี้ทับถมซับซ้อนก้อนใหญ่โตมหาศาลพลังงานสูง หลงในวิมานเก๊ที่เป็นการปลื้ม
วิมานเก๊คือนิรมาณกาย ปรุงแต่งเป็นกายเป็นรูปร่าง ซึ่งไม่มีจริง กายของนิรมาณคือไม่มีจริงเป็นการหลงสร้างภพชาติ เสร็จแล้วคุณก็เข้าใจร่วมกัน เป็นอุปทานหมู่ หลงว่าอันนี้มีจริง ทั้งที่มันไม่มีจริงหรอกไม่มีใครเห็น อาทิสมาณกาย
นี่คือกาย 3 ของสิ่งเพ้อพกไม่มีจริงเลย นิรมาณกาย สัมโภคกาย เพราะจริงแล้วมันเป็นอาทิสมานกาย มันไม่มีจริงหรอกมันเป็นเพียงภพชาติ ไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วยกันได้ เหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอดและไปดูหนังใบ้อีกด้วย ไม่ได้เห็นอะไรเลย แถมไม่มีเสียงให้ฟังอีก คนตาบอดไม่เห็นอะไรแล้ว แล้วไปดูหนังใบ้ด้วย คนตาบอดจูงคนตาบอดจะดูหนังใบ้เต็มโรงเลย แล้วคนตาบอดได้ดูหนังอะไร ภาพก็ไม่เห็นเสียงก็ไม่มี เสร็จแล้วตบมือสนุกๆ เพ้อเจ้อกันอุปาทาน ว่าคุณเห็นไหมๆสร้างอุปาทานภพชาติ เสร็จแล้วเราก็เลยต้องบอกว่าเห็นด้วยกับเขาไม่อย่างนั้นจะไม่เหมือนคนอื่น หลอกกันจนเป็นอุปาทานหมู่ จนกระทั่งมันไม่มีก็กลายเป็นมีมันไม่เห็นก็กลายเป็นเห็น เป็นมโนมยอัตตา เนรมิตขึ้นมาเองเหมือนคนเห็นผีหลอก ตัวตนของผีหลอกจริงไม่มีหรอก
อาตมาสอนคนให้พิสูจน์ว่าผีไม่มีในโลกไม่มีตัว ไม่มีรูปร่างให้คนเห็นหรอก อาตมามีคาถาวิธีแก้ คุณจะหายเลย จากนั้นคุณจะไม่เห็นผีอีกเลย คาถาของอาตมาคือ แค่ตาย ถ้าเห็นแล้วท่องไว้ว่าแค่ตายสะกดใจให้ดีๆเดินเข้าไปตรงที่เห็นว่าเป็นผี คุณเข้าไปเลย ยิ่งถ่ายทอดสดได้เอาให้ชัดเจนเลย ถ้าตาคุณหลอกมันก็จะหายไปไม่เห็นอะไรเลย แต่ถ้ามันมีเค้าอะไรเป็นผ้าเป็นเสาเป็นอะไรคุณก็จะได้รู้ของสิ่งใด ดีไม่ดีมันดิ้นได้มันมีสัตว์เคลื่อนไหวอยู่ เช่นหนู แล้วคุณอุปาทานว่าผี เดินเข้าไปดูเลย จะได้เห็นว่าเป็นการปั้นขึ้นมาเอง
พวกนั่งหลับตาสะกดจิต พอนั่งสงบไปแล้วก็บอกว่าเห็นร่างกายนอนตายเน่าไป เสร็จแล้วเขาก็จะเห็นอย่างนั้น เป็นนิรมาณกาย ปั้นเองในจิตเห็นตัวเองเน่าคาตาเลย เขาก็ว่าของแท้เลย การแยกกายแยกจิต จิตมีฤทธิ์มากเลย เห็นกาย ไตรลักษณ์เลยนะ พวกนี้คืออุปาทาน หรือเพ่งเห็นคนเดินเหมือนกระดูกเดินเลย ตายิ่งกว่า x-ray เลย เขาเห็นอย่างนั้นจริงๆเลยนี่คือพวกที่หลอกหลอนตัวเอง อุปทานมันเป็นได้สิ่งที่ไม่มีทำให้มี ในวิชาการแพทย์เขาเรียกว่าเป็น psychosis หรือว่าเป็น neurosisทางประสาท คนไม่ป่วยไข้ก็มีไข้ แต่หมอหาสมุฏฐานไม่ได้
พูดไปแล้วอาตมาก็นึกถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนี้เขาตายไปแล้วเขามาชอบอาตมา มาใกล้ชิด เคยอยู่ด้วยกันมา เป็นนักร้องมีชื่อในสมัยโน้น อาตมาก็อยู่ด้วย จนกระทั่งสุดท้ายก็มาอยู่กับอาตมา มาช่วยเป็นแม่บ้านทำงานแล้วก็มารักอาตมา อาตมาก็ว่าไม่ได้หรอกพี่ อาตมาเรียกพี่ ต่างๆนานา แกก็ป่วย ป่วยจะให้อาตมาไปประคบประหงม อาตมาก็พาไปหาหมอส่งโรงพยาบาล ส่งหมอเสนอ อินทรสุขศรี หมอก็ตรวจแล้วก็กระซิบบอกอาตมา นิวโรสิส หาเหตุไม่ได้เลย หมอก็มาบอกอาตมา อาตมาก็เลยพากลับ จากนั้นก็ไม่ป่วยอีกเลย จากนั้นก็หนีจากบ้านอาตมาไปอยู่กับพี่สาว ก็ไปได้ข่าวย้อนหลังว่าสิ้นไปแล้ว อายุมากกว่าอาตมา
การให้ทานโดยไม่มีมรรคผล มันเข้าใจยากนะ ติดกันมากว่าทานแล้วต้องได้ ทานมีผลกุศล แต่ทานไม่มีผลฆ่ากิเลส ทานนี่ไม่มีผลฆ่ากิเลส คุณทานแล้วจิตคุณยังสร้างภพชาติ จากทานมีผลตอบแทนสั่งสมเป็น ปฏิสัมพัทธ์ยังเกี่ยวข้องเป็นสันนิธิตกผลึกไว้ใช้ชาติหน้า เป็นการทานอย่างสร้างภพสร้างชาติทั้งนั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ให้ทำแบบนั้น ท่านให้ทานแบบสูญไปเลย มันก็ได้กุศล แต่ถ้าทานอย่างมีภพชาติไม่ได้ล้างกิเลส
ทำทานล้างกิเลสได้ เป็นอัตถิทินนัง ถึงได้อานิสงส์ทานได้ล้างกิเลส แต่ครูบาอาจารย์สอนกันทำทานมีแต่เพิ่มกิเลสสร้างกิเลส สอนอย่างนี้ไม่มีนิพพาน
การทำทานไม่ต้องไปสร้างอะไรใส่จิตอีก แต่ผลของกุศลมันมีอยู่แล้ว คนทำชั่วกุศลก็ยังมีเลย คนทำชั่วเป็นการทำทานที่หวังผล ไปปล้นมาทำทาน ก็เป็นความซับซ้อน แต่ก็ได้ผลในการทาน ผลของกุศลคุณได้มี เงินทุจริตแล้วเอามาทำทาน คุณก็ได้กุศล แต่มันไม่ได้ล้างกิเลส เพราะวัตถุทานก็ไม่บริสุทธิ์ใจก็ไม่บริสุทธิ์ มันมีกิเลส เพราะฉะนั้นคุณไม่ได้บุญเลย แต่ว่าคุณได้กุศล แม้ว่าทำแบบทุจริต ก็ยังมีกุศลเลย
ความซับซ้อนในสิ่งที่มีและไม่มี นัตถิกับอัตถิ โลกสมุทัยกับโลกนิโรธ
แม้แต่การทำทานในสัมมาทิฏฐิข้อแรกก็ยังไม่ง่ายเลย
ศีล ยิฏฐัง เป็นศีลพรเป็นการปฏิบัติ ปฏิบัติศีล กิเลสเหลือหรือไม่ได้ล้างกิเลสหรือไม่ หากเราไม่สามารถยุติก็ไปทำอย่างผิดวิธี ไปทรมานร่างกายทุกรกิริยาต่างๆสารพัด ทุ ที่จริงไม่ใช่แค่ทรมานอย่างเดียวแต่มันไม่ถูกต้องด้วย เป็นทุกรกิริยา ไม่ใช่สุกรกิริยา ก็ไม่ได้ผลทางล้างกิเลส แต่ผลกุศลคุณได้ คุณอดทน คุณไปทำทุกรกิริยาก็เก่งนะ ทำทุกรกิริยาอดทนได้ สู้กับเสือสิงห์อะไรต่างๆนานาสารพัด คุณเหมือนได้ฝึกกายกรรม ความเก่งทางโลกคุณก็ทำเป็น แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับการลดกิเลสเลย ไม่ได้ล้างลดกิเลสเลย แยกกันชัดเจนไหม หากแยกไม่ชัดก็หลงกายกรรมเปียงยาง แล้วก็นึกว่าได้ผลล้างกิเลสก็ได้แต่เก่งกายกรรมเปียงยางเหาะเหินเดินน้ำดำดินได้ ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก อะไรก็แล้วแต่ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของนิพพานเลย มันเป็นเรื่องของกิเลสหนาซับซ้อนขึ้นเท่านั้น
นัตถิทินนัง แปลว่าทานแล้วไม่มีอานิสงส์ไม่มีผลทางโลกุตระ อาริยะของศาสนาพุทธเลย เขาก็สอนกันเต็มในวงการศาสนาพุทธอาจารย์ส่วนใหญ่ก็สอนกันอย่างนี้ คนที่มาอย่างพวกเรามีจำนวนน้อย อาตมาประสบผลสำเร็จแล้วได้แค่นี้ก็เหลือ สบายใจ มากกว่านี้ใครจะมาเพิ่มก็ยิ่งดี ใจของอาตมาไม่ได้ขี้โลภอะไร ได้มากกว่านี้เป็นสองเท่าสามเท่า 5 เท่านั้นเท่า ก็ดีทั้งนั้น แต่มันจะได้ไหมล่ะ ก็ไม่ได้ประหลาดอะไร คนมาก็ได้เป็นพระอริยะ มันก็ดีเป็นคุณธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรงที่ถูก อาตมาเอาของพุทธเจ้ามาทำให้ถูกให้ตรงได้ผลก็ประสบความสำเร็จ ทำงานช่วยมนุษยชาติได้เจริญขึ้นดีขึ้นทั้งคุณภาพทั้งปริมาณมากขึ้น ก็ดี ไม่ได้ประหลาดอะไร
สรุปการทำใจในใจเป็น มนสิการคือทำใจในใจมีมรรคผลโลกุตระ ไม่มีมรรคผลของโลกุตระเป็นแต่เพียงคนโลกียะ หากทำโลกุตระไม่ได้ก็ทำใจในใจไม่เป็น เหมือนกับปุถุชนทุกคนไม่ต้องมีความรู้แบบเราคุณก็ได้กุศลในการทำทาน ถ้าเป็นลักษณะการทำกุศลคนชาติไหนศาสนาไหนก็ทำได้ ได้กุศล เหมือนกันหมด แต่บุญแบบล้างกิเลสนี่สิ ศาสนาพุทธรู้อย่างละเอียดรู้จักตัวเหตุปัจจัย ที่มันจะเป็นตัวกิเลส แล้วมีวิธีที่เด็ดขาดทำให้กิเลสมันตายได้จริงๆ มันเป็นพลังงานทางนามธรรม เพราะทำได้ตั้งแต่พระโสดาบันก็เริ่มเป็น พระสกิทาคามีก็ทำได้มากขึ้นเก่งขึ้น อนาคามีก็เก่งมาก พระอรหันต์ก็เก่งที่สุดทำได้ครบหมดกิเลสในตัวเองจบเลย จะต่อเป็นพระโพธิสัตว์เป็นอนุโพธิสัตว์ก็ได้ แต่ในตัวพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ก็มีพระโพธิสัตว์อยู่แล้ว คุณก็พัฒนาขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผู้อื่นต่อไป เมื่อจบเป็นพระอรหันต์แล้วคุณยังจะช่วยผู้อื่นต่ออีก ก็ทำได้ ถ้าคุณหมดความสุขความทุกข์แล้ว เหลือแต่ความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ทุกข์อริยสัจนั้นไม่เกิดอีกแล้ว เหลือแต่ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็เลี่ยงไม่ได้
ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้านิพัทธทุกข์ ก็ต้องปวดขี้ปวดเยี่ยว พยาธิทุกข์ มีความเจ็บป่วยเช่นจากเชื้อโรคเป็นต้น อย่างพระพุทธเจ้าก็ยังพูดให้พระอานนท์ฟังว่าเรายังมีปวดหัวเลย หรืออาตมาก็ยังมีวิบาก ไม่รู้จะทำอย่างไรให้มันหมดวิบากก็ต้องทำไป
_กุศรา ธัมมา GusaraTamma :ปัญญา คือพลังงานที่ยิ่งใหญ่ บวก กับ ฌาน จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทยถ้ามีคนอายุยืนเพิ่มมากขึ้น
_แพรวพรรณ ลัฏฏิกากานต์PraewphanLattikakarn : พบกับชาวอโศกครั้งนี้ หลังจากน้ำท่วม สัมผัสจิตวิญญาณของชาวอโศกได้ว่า อ่อมน้อม ถ่อมตน เป็นคนรับใช้ เป็นต้นแบบให้กับผู้ต้องการความพ้นทุกข์ได้จริง กราบขอบคุณชาวอโศก รวมทั้งเด็กสัมมาสิกขาทุกพุทธสถานด้วยความเคารพศรัทธาค่ะ
ขออนุญาตค่ะ ช่วงอ่านSMS ให้ท่านสมณะหรือผู้อื่น อ่านแทนพ่อครู ให้พ่อครูตอบคำถาม เพื่อให้พ่อครูใช้เสียงน้อยลงได้ไหมคะ?
ละออง วันนูla-ongWunnue :กราบนมัสการค่ะพ่อครู มะเวอ ภาษากลางเรียกมะงั่วค่ะ ไม่ใช่ส้มซ่าค่ะ
7816 รอหน่อยนะ บ้านราชฯ อีกไม่เกิน 14 ปี ผมได้ไปอยู่แน่นอนครับ.
7458ลูกคนจนมาบวช ย่อมโหยหาความมั่งคั่ง เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบความหรูหราผาสุกเลย/ตรีกาย
RkvRgk : วันนี้พ่อครูเทศดีมากเลยค่ะ
บัณฑิต ประทุม : กราบนมัสการพ่อท่านชอบฟังท่านมากอยากให้มีเทศทุกวันหรือมีสมณเอาธรรมพ่อท่านมาย่อยครับ
8484วันนี้จัดสวนหน้าพ่อครูได้คลาสสิคมากเหมือนมืออาชีพไม่พยายามมีสีแดงอยู่หน้าพ่อครูเหมือนก่อน จัดเช่นนี้ดูสบายตา
พ่อครู ไม่อยากไอ แต่เป็นวิบาก / คุณรสนา โฆษิตระกูล พ่อครูว่า เป็นผู้เข้าใจ วรรณะ 9 ใจธรรมJaitham : พ่อครูเทศน์ชัดเจนที่สุด
_หลานหลวงปู่..สาระนิพนธ์คืออะไรครับทำไมถึงต้องทำก่อนจบม 6 ด้วยโรงเรียนข้างนอกไม่เห็นมีเลย
พ่อครูว่า.. ใช่ โรงเรียนข้างนอกไม่มีหรอกแต่ของเราจะมีสาระนิพนธ์ คือคุณใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตั้ง 6 ปีเมื่อจบม 6 คุณเขียนประสบการณ์ความรู้สึก ผลดีผลเสียวิจารณ์บ้าง ได้อะไรก็เขียนมา หัดเขียนเล่าเรื่อง story 6 ปีที่แล้วอยู่ในนี้มีประสบการณ์อะไรบ้างบันทึกมา ฝึกทำมันก็จะมีประโยชน์มีความสามารถ ให้เขียนสาระนิพนธ์ เราก็จะได้รู้จักเด็กแต่ละคนด้วย เด็กเขาก็จะตรวจสอบ เวลาเขาเขียนก็จะระลึกถึงว่าเราได้ผ่านอะไรมามีเหตุการณ์อย่างไรรู้สึกอย่างไรได้ด้วย เขาก็จะแยกได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรที่ไม่อยากเล่าไม่อยากเขียนก็ได้ อะไรที่อยากเล่า บางคนก็เล่าถึงความไม่ดีของตัวเองเอาไว้ บางคนไม่อยากเล่าความไม่ดีก็เล่าแต่ความดีมาก็ได้ เราก็จะได้เรื่องราวจริงประสบการณ์จริงของแต่ละคน ก็ได้ศึกษามันเป็นการเรียนรู้มนุษยชาติ
พระโพธิสัตว์จะเรียนรู้หลากหลายพวกนี้อาตมาจึงให้ทำสาระนิพนธ์ก่อนจบ จะเห็นได้เวลารับกลด เขาก็จะให้อาตมาไว้อ่าน อาตมาก็ให้กลดเขาไป
_ทำไมบ้านราช ต้องปลูกต้นทองอุไร ต้นเหลืองไม่หยุด แต่ชื่อเหลืองนี้ผมไม่กล้าพูด คำว่าเหลืองนี่ภาษาวัยรุ่นใช้เป็นลักษณะศีลข้อ 3 ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย
พ่อครูว่าถ้าม่วงล่ะคืออะไรแต่เหลืองกับเหลืองคือแบบผู้ชายกับผู้ชาย เขาสมมติกัน บางทีมันแพร่หลายก็รู้กันกว้างขึ้น พวกเราก็สร้างภาษาและมีพฤติกรรม ยิ่งพฤติกรรมซ่อนเร้นอำพราง ตั้งขึ้นมาส่วนมากก็อำพรางรู้กันไม่กี่คนดูกันในกลุ่ม กระจายแพร่หลายก็รู้กันทั่วไปว่าพวกนี้มันมีพฤติกรรมแบบนี้มันใช้ภาษาแบบนี้ คนเราก็สมมุติขึ้นมา ใช้ภาษากับพฤติกรรม อาตมาไม่เก่งที่จะไปรู้พวกนี้แต่ก็ไม่เสียใจที่จะต้องไปรู้พวกที่พิลึกเหล่านี้ แต่ที่รู้กันสากลสิ่งที่ดีกับไม่ดี อาตมาร่วมรู้ได้ รู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
_จากลูกคนใหม่สู่สายธรรม…เพิ่งมาอยู่บ้านราชฯ 7 พ.ค. 62 แต่เป็นลูกที่ห่างตั้งแต่ พ.ศ. 2542 เพราะต้องทำหน้าที่ทางบ้านให้สมบูรณ์ก่อน เคยคิดตอนที่พยาบาลแม่อยู่ที่บ้านว่าสักวันหากแม่หายป่วยจะพาแม่มาอยู่ให้ได้ แต่แม่ก็จากไปเสียก่อน พอแม่ตายลูกก็ตั้งเป้าหมายมาอยู่บ้านราชฯ ตอนที่อยู่บ้านหลังแม่ตายร้องไห้ทุกวันเลย แต่เมื่อมาอยู่ที่บ้านราชฯ(วัด)ลูกไม่เคยร้องไห้เลยแบบนี้แปลว่าจิตใจลูกดีขึ้นใช่ไหม ?
พ่อครูว่าใช่ อยู่ที่บ้านคุณนึกถึงแม่ อยู่ที่นี่คุณก็ไม่นึกถึงแม่ อาตมาเคยบอกว่า “เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย” สามัญธรรมดาแม่อายุยาวกว่าก็ตายก่อน ตายเกิดเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ในช่วงที่พ่อแม่ยังไม่ตายเราก็ช่วยอุปการะพ่อแม่ให้เจริญดี ช่วยในตอนเป็นๆนี่แหละ ตายไปแล้วช่วยไม่ได้หรอกกรรมวิบากของใครของใครก็จัดสรรเอง ตายไปแล้วช่วยไม่ได้เลย ถ้าหากตายไปแล้วพระพุทธเจ้าก็ช่วยได้ ก็สบายสิ อย่างธัมมชโยจะไปช่วยคนตายขึ้นสวรรค์ ก็มีแต่ขี้โม้
ก็เลยมีคนจับเท็จธัมมชโย คนเขียนจดหมายว่าพ่อตายแล้ว ตนก็ส่งเงินมาทำทาน ธัมมชโยก็บอกว่าไปขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้จากการที่มาทำทานที่นี่ อยู่สวรรค์เฟสต่างๆ พูดออกอากาศเลย เสร็จแล้วคนนี้ที่เขียนจดหมายก็บอกว่าพ่อยังอยู่ยังไม่ตาย ที่พูดออกมานี้มีแต่ขี้โม้ขี้โกหก
_ชีวิตก็เหมือนซื้อลอตเตอรี่ ถึงจะเลือกซะดิบดี แต่ก็ใช่ว่าจะเลือกถูกเสมอ
ถามว่า จะเลือกการใช้ชีวิตได้อย่างไรคะ ?
พ่อครูว่า…คุณจะเล่นหวยแล้วมาตอบว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ก็ต้องบอกว่าให้เลิกเล่นหวยก่อน มาเรียนรู้ถึงกรรมวิบากจริง ให้ กรรมเป็นที่พึ่งวิบากเป็นที่พึ่ง อัตตาหิอัตโนนาโถ ตนเป็นทายาทของกรรม กรรมพาเราเป็นไป กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของเราเอง ไม่ใช่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ถ้าเราทำกรรมเป็นเผ่าโจร คุณก็ไปรับกรรมเป็นเผ่าโจรของคุณเอง จะไปเอาให้คนอื่นไม่ได้ ให้เพื่อนให้พ่อให้แม่ไม่ได้ ตระกูลของคุณก็คุณทำเองทั้งนั้นเป็นกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ คุณก็อาศัย กัมมปฏิสรโณ
สรโณ แปลว่า ทำการรบ ต้องพึ่งการรบ หากรบจบก็ อรณะ คือไม่ต้องรบ แต่ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ต้องมีวิบากที่เป็นการทำสงคราม สรณะ ต้องรบกับกิเสตลอดกาลตราบที่มันไม่หมด หมดเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องรบ นั่นคือคุณหมดกิเลส คุณก็พึ่งพาอรณะ แต่คนที่ยังไม่หมดกิเลสก็ยังมี สรณะ ยังมีสงครามกับกิเลสเป็นที่พึ่งของตนอยู่ อรหันต์ขึ้นไปถึงจะเรียกว่า อรณะ ไม่มีที่พึ่งคือการรบอีก
_หายโง่…บ่อยครั้งเมื่อกลับจากฟังธรรม เราโน่จะถามว่า what did you learn ดิฉันตอบไปว่าเรียนเรื่องความจนที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญและจะช่วยเศรษฐกิจโลกด้วย เราโน่ดูข่าวว่า คนมีเงินที่ฟินแลนด์แห่กันไปซื้อของใช้แล้ว เป็นแฟชั่นของประเทศเลย ณ ขณะนี้คนมีเงินเข้าไปซื้อของในร้านรีไซเคิล แต่ชาวอโศกนำแฟชั่นนี้มานานแล้ว
ฟินแลนด์ที่เคยได้รับการบันทึกว่ามีความสุขที่สุดในโลก เขาก็กำลัง หาความลงตัวทางการแพทย์และทางสุขภาพเศรษฐกิจ แต่เช้าอโศกทำมานานแล้วโดยเป็นวิถีชีวิตไม่ใช่แค่ครั้งคราว
พ่อครูว่า…อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมามั่นใจว่าสังคมโลกกำลังหาจุดที่ประเสริฐสุด เรื่องสุขภาพก็ดี ทางเศรษฐกิจก็ดี นี่แหละพวกเราชาวอโศกมีเศรษฐกิจดีที่สุดขั้นสาธารณโภคี สุขภาพดีที่สุด
สุขภาพของชาวอโศก 1 ไม่ได้แรดๆๆไปหาโรคจากภายนอกมา เชื้อโรคต่างๆก็ไม่ค่อยเข้ามาแต่พวกที่ไปแสวงหาต่างๆก็จะรับเชื้อมา เชื้อทางอบายมุข หรือว่าเชื้อโรคจริงๆเช่นไวรัส เขาก็รับมาเอง แต่ของเราอยู่ในนี้ มันมีสิ่งแวดล้อมที่ป้องกันดี เพราะฉะนั้นจึงอยู่กันอย่างปลอดภัยเพราะว่ามีปัญญา ปัญญาพละ กำลัง 4 พ้นภัย 5
-
อาชีวิตภัย (ภัยจากการดำรงชีวิต หาอาหารเลี้ยงกาย)
-
อสิโลกภัย (ภัย คือ การติเตียนจากคนโลกๆ)
-
ปริสสารัชภัย (ภัยคือ การสะทกสะท้านต่อสังคม)
-
มรณภัย (ภัยคือ ความตาย)
-
ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ เช่น อบายภูมิ นรก เดรัจฉาน ฯ)
(พลสูตร พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 209)
พ้นภัย 5 เพราะมีกำลัง 4
-
ปัญญาพลัง (กำลังคือ ปัญญา) . . .
-
วิริยพลัง (กำลังคือ ความเพียร ขยัน) . .
-
อนวัชชพลัง (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ)
-
สังคหพลัง (กำลังคือ การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น)
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้วดีจริงๆ สวากขาตธรรม แม้ในยุคไหนกาละไหน ถ้ายังปฏิบัติธรรมะตรงพระพุทธเจ้าสอนอยู่ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ อรหันต์คือสุดยอด ไม่ลึกลับ ทำได้จริง ตลอดกาลนาน
_ใสกลางเพ็ญ …วิชชา 8 แปลว่าอะไรคะ ?
พ่อครูว่า..คราวที่แล้วหลวงปู่ก็บอกว่ามีอะไรบ้าง
-
วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) มีปัญญามีความฉลาดรู้เห็นจริงๆเลย เห็นด้วยตาได้ยินด้วยหูได้กลิ่นทางจมูกลิ้นสัมผัสรสการสัมผัสเสียดสี
-
มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) สามารถทำให้สิ่งที่ไม่ดีที่รู้ที่เห็นหายไปได้ ทำให้สิ่งที่ไม่มีดีเลยทำให้ดีขึ้นมาได้เหมือนเนรมิต สำเร็จด้วยจิต ทำให้จิตที่ไม่ดีให้เจริญขึ้นมาได้
-
อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี)
มีวิธีทำอย่ามโนมยิทธิ นี่แหละทำได้หลากหลายมากขึ้น
-
ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้) แม้เรื่องละเอียดบางเบารู้ยากไกลก็รู้ได้ชัดแยกออก ทำถูกสภาวะไม่ผิดพลาด มีทิพย์ในการรู้อย่างแยบคายสุขุมละเอียด ต้องการให้ได้อย่างนี้ ต้องการทำลายอันนี้ได้เก่งขึ้น
-
เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) จะมีความรู้ตามหลัก 16 อย่าง
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) ทำให้เจริญทางปริมาณ(มหะ) และคุณภาพ(อัคคะ)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) คุณสมบัติ
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) แกนสมาธิคือบวก แกนวิมุติคือลบ
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
-
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)
-
จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .
-
อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)