621124_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ปัญญาแท้ต้องสามารถแยกแยะธรรมะ 2
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1urZ-O9qFQRx65kZXMelCZt6iXLNOQuGevCz-VoE0XK0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1vnmiQDVPCy8heBNQSXKgaUDWm7s7sVON
สมณะเดินดินว่า… วันนี้วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2562 ที่บวรสันติอโศก ใกล้จะถึงงาน ว.บบบ. เพื่อฟ้าดิน บำเพ็ญคุณ 4 วัน บำเพ็ญธรรม 3 วัน เป็นเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่อื่นเขามีการสวดมนต์ข้ามปีของเรามีการปฏิบัติธรรมข้ามปี ปีนี้จะใช้หนังสือรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไรเล่ม 3 ในการออกข้อสอบ เป็นการเข้าสู่แดนทอง ฉลอง 50 ปีโพธิกิจ
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 22 พ.ย. 2562 รายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู : สันติอโศก
_กุศลา ธัมมา Gusara Tamma : ดีใจพ่อครูจะกลับ บ้านราช แล้ว เพราะเงียบเหงา เหลือเกิน
_เจน ฮู เชอร์ สนุกมากเจ้าค่ะฟังพ่อครูไม่เคยเบื่อเจ้าค่ะ
_ทาทา ปัญญาชมแสงTatar Panyachomsang : ผู้ที่สามารถฟังพ่อท่านได้ทนโดยไม่ขัดเคืองใจนั้น ย่อมบุคคลจำนวนน้อย ที่มีเพียงธุลีดินปลายเล็บเท่านั้น นั่นแสดงถึงผู้มีธาตุพุทธแท้ๆไหลเวียนอยูในจิตในใจ ซึ่งแตกต่างจากบุคคลจำพวกที่มีจิตมิจฉาทิฏฐิ เมื่อฟังพ่อท่านแล้ว ผู้นั้นก็จักมีแต่ความขัดเคืองจิตขัดเคืองใจ ทุรนทุราย เพราะทิฏฐิอันเป็นอกุศลออกมาแสดงทุกข์ ให้เห็น เพราะเห็นผิดความยึดมั่นถือมั่นของจิตของใจตน เราจักเห็นบุคคลสองจำพวกที่แตกต่างกันเช่นนี้
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านแสดงธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมคนจะฟังได้นั้นมีเพียงดินที่ติดปลายเล็บขึ้นมาเท่านั้น แล้วโพธิรักษ์จะมีน้อยกว่านั้นขนาดไหน ผู้ที่พอฟังรู้เรื่อง มันคนละรุ่นคนละยุคเลย
ติดตามและปฏิบัติให้ดีจะเห็นได้มากยิ่งขึ้นเพราะมันเป็นนามธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมด้วย
_จิตรา อัศวินChittra Aswin : กราบ_/\_นมสก พ่อครู สมณ สขม ที่เคารพยิ่ง มั่นใจเจ้าค่ะ ว่าพ่อท่านอุบัติมาในชาตินี้เพื่อแก้ไขธรรมที่บิดเบือนดุจกลองอานกะ เป็นลาภของลูกๆที่ได้ฟังธรรมแท้ตรงตาม พตปฎ นอกจากสอนแล้ว ท่านยังปฎิบัติให้เห็น
_ผัน พันตาPhan Punta : สาธุ ล่วงรูปสมาบัติเสียได้ อรูปสมาบัติจึงมีได้ / เราดับเสียได้จากความมี ความไม่มีจึงเกิดขึ้นได้ / ถ้าเราดับเสียซึ่งสมุทัย นิโรธจึงมีขึ้นได้
พ่อครูว่า…ถูกต้อง
_ป๊อกกี้ คำมหาpockie kammaha : พ่อครูคือ ศากยปุตติยะ ที่แท้จริงครับ
_เทวัญ ตติยารัตน์Tewan Tatiyarat อยากให้ทำคลิปสั้นๆไม่เกินครั้งละ10นาทีให้ท่านโพธิรักษ์เทศน์รายวันเหมือนคุณสนธิทำทุกวันนี้จะเป็นประโยชน์มากเลย
พ่อครูว่า…คนเราเดี๋ยวนี้สมาธิสั้น ใจเร็วเดี๋ยวก็เปลี่ยนไปๆ ก็ขอบคุณที่แนะนำมา
สติที่รู้ไตรลักษณ์
_599 พอเรามีสติรู้ทันว่าจิตฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านจะดับอัตโนมัตินะ ทำไมมันดับอัตโนมัติ เพราะเมื่อไหร่มีสติเมื่อนั้นจะไม่มีกิเลส นี่เป็นกฎของธรรมะนะ กี่พระพุทธเจ้ากฎของธรรมะอันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีเปลี่ยน …ขอเรียนถามว่า อย่างนี้จริงไหมครับ
พ่อครูว่า…อาจารย์ทางฝ่ายสมถะชอบพูดอย่างนี้ ไม่จริงหรอก คุณต้องฝึกทั้งนั้น ความฟุ้งซ่านสำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกฝนมาจะรู้มันก็ยังอยู่อย่างนั้น อิทธิฤทธิ์ของสติ พลังงานสติของคุณมีความสามารถมีอิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์ก็แปลว่าความเก่งความสามารถ จะเก่งได้ต้องฝึกมัน หากฝึกศึกษาสั่งสมปฏิบัติจนกว่าสติจะมีฤทธิ์อำนาจขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเอามาพูดเฉยๆมันจะมี ผู้ที่มีสติ
เมื่อจิตฟุ้งซ่านมันก็ดับได้ มันดับได้นั้น มีสองนัย
นัยที่ดับได้โดยสมถะ ฝึกสมถะนั่งหลับตาปฏิบัติเก่งแล้วก็มาฝึกลืมตา เอาพลังงานที่ฝึกขณะนั่งหลับตาเอามาใช้ มันก็จะมีกำลังดับได้ ด้วยกำลังสมถะ แต่ดับได้ สมถะนั้นไม่มีการวิจัยวิจารไม่มีการรู้กิเลสไม่รู้เหตุปัจจัยไม่รู้อิทัปปัจจยตาไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท เหมือนฆ้อนเหล็กดับได้
ส่วนสายวิปัสสนามีปัญญานั้นจะรู้เหตุปัจจัยตามปฏิจจสมุปบาท จนกระทั่งรู้ไตรลักษณ์เกิดญาณปัญญาปฏิภาณชัดเจนสูงสุดว่า ทุกอย่างมีแต่ความเกิดและความดับ เอามาปรุงแต่งกัน แล้วมันก็จบในปัจจุบัน อย่างอาตมาทุกวันนี้เห็นอะไรปรุงแต่งกัน คนนี้เป็นอย่างนี้อันนี้เป็นอย่างนี้
อย่างเช่น อันนี้ก็ผักกาด เอาเชื้อผักกาดมาทำแต่ถ้าเอาผักกาดเขียวมาผสมผักกาดขาวมันก็เป็นอีกชนิดนึง เราก็จะเข้าใจว่าทุกอย่างมาแต่เหตุอย่างไร ถ้าเอาเหตุมาผสมกับเหตุ มันก็จะมีเหตุที่เพิ่มขึ้น ถ้าดับเหตุ เหตุก็จะดับลงๆ เหลือน้อยลงจนกระทั่งเหลือ 1 จนกระทั่งเหลือ 0 ทำเก่งทำให้จบจนกระทั่งเหลือ 1 – 0 ได้เท่านี้แหละศาสนา ง่ายจะตาย
พวกกดข่มจะไม่ได้ดับล้างกิเลสหมด อยู่นิรันดร ไม่มีทางปรินิพพาน ต้องแยกธาตุจิต ก็เหลือเป็นอุตุนิยาม ทำให้อาการจิตของเรามีอาการความเป็นจริงว่าเป็นธาตุอุตุได้ คุณทำได้จริงตอนเป็นๆ คุณแยกได้ทำจริงได้ก็จบ แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ตอนมีชีวิตรู้เห็นเป็นแบบนี้ คุณจะตายแยกกาย กายสเภทา แล้วคุณก็แยกธาตุอุตุนี้ก่อนตายไม่ได้ ตอนตายคุณก็ทำไม่ได้ ขณะเป็นๆคุณก็ใช้ธาตุพีชะ ไม่ทุกข์ไม่สุขแล้วก็อาศัยความเป็นพีชะ ไม่สุขไม่ทุกข์แล้วทำงานอยู่ในโลกไป แล้วเราก็แยกธาตุให้เป็นอุตุได้ คนนี้ก็เป็นพระอรหันต์
ผู้ที่เข้าใจอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ทำให้เป็นพีชะได้อุตุได้ พระอรหันต์ก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้นทำได้ก็จบ ชีวิตก็สบาย พูดให้ฟังนี้ฟังดูง่ายๆ แยกแยะให้ฟัง ไปสำนักอื่นมีให้ฟังอย่างนี้หรือไม่ อาตมาพูดด้วยภาษาร่วมยุคสมัยให้พวกคุณฟังเป็นภาษาสมัยนี้
คนที่พูดว่าดับได้ง่ายๆแบบสมถะวิธีมันก็มี อาจารย์สมถะก็จะว่าอย่างนั้น อาตมาเป็นทางวิปัสสนา ดับได้โดยแยกแตกละเอียดจิตได้ในอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ได้อย่างแท้จริง
นิยาม 5 ไปถามพวกเขาไม่รู้หรอกอธิบายอย่างอาตมาไม่ได้ เขาก็เล่นแต่วิธีสมถะ
_ปรารถนา กราบเรียนถามพ่อท่านเมตตาอธิบาย
1) ความแตกต่างระหว่างความตื่นรู้แบบชาคริยานุโยคะ กับความตื่นรู้ตัวทั่วพร้อมแบบสติสัมโพชฌงค์
2) ในปัญญาสูตรข้อ7 ที่กล่าวถึงเมื่อเข้าประชุมสงฆ์ ไม่พูดเรื่องไร้ประโยชน์ ไม่ดูหมิ่นอาริยะผู้นิ่ง ไม่ถนัดพูด แสดงว่าในยุคพระพุทธเจ้า คนนิยมผู้พูดผู้ชอบแสดง และไม่นิยมคนนิ่งใช่มั้ยคะ เพราะถ้าเป็นสมัยนี้ ที่คนเชื่อว่านิ่งเป็นอรหันต์ ก็จะยกย่องผู้นิ่ง แต่ดูหมิ่นผู้พูดผู้แสดงแทน ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้อนี้ ในยุคนี้ ควรเติมว่า ไม่ดูหมิ่นอาริยะผู้ไม่นิ่ง คือทำเยอะพูดเยอะแสดงเยอะด้วยมั้ยคะ
พ่อครูว่า…พูดถึงความเชื่องช้า นึกถึงคุณชวน แต่ว่า คุณชวนมีฉายามีดโกน เป็นลักษณะสิริมหามายา 1 ใน 2 หรือ 2 ใน 1
3) บางครั้ง ที่มนุษย์เจอผัสสะปัจจุบัน แต่ยังไม่มีความรู้สึกทันที เช่น การเสียชีวิตของผู้เป็นที่รัก หรือการได้รับข่าวดีมากๆ พอรู้ข่าวแล้วกลับยังไม่รู้สึกเสียใจดีใจ ในภาษาอังกฤษจะมีศัพท์ว่า ยังไม่ sink in คือเรื่องราวมันยังไม่จมลงไปในใจ จนผ่านไป 2-3 วัน เพิ่งจะมาร้องไห้ หรือเพิ่งมาดีใจ เวทนาที่เกิดช้าในบางเวลาแบบนี้ เป็นเพราะสังขารปรุงช้ารึเปล่าคะ ทางจิตวิทยา จะอธิบายว่าเป็นกลไกป้องกันตนเองตามธรรมชาติ (self defensive mechanism) ไม่ให้เสียใจหรือดีใจมากเกินไป แต่ในทางธรรม จะอธิบายยังไงคะ ความรู้สึกที่เกิดช้านี้ ถือว่าเป็นสัญญา หรือเป็นเวทนาที่เกิดจากมโนมยอัตตาคะ เพราะผัสสะปัจจุบันไม่มีแล้ว เรื่องมันผ่านไปแล้วคะ
พ่อครูว่า..เหมือนกับหยิบคนละฝากสองฝั่งมาถาม มันจะเหมือนกันได้อย่างไร นึกถึงตัวอะไรที่คลานช้าเดินช้า ตัว sloth
4) ถ้าเปรียบเทียบคนสองแบบ แบบแรก ไม่สะสมกิเลสใหญ่ แต่สะสมเล็กๆ บ่อยๆ กับแบบที่สอง นานๆสะสมกิเลส แต่ทำที จัดอย่างหนักไปเลย แบบไหนแย่กว่ากันหรือแบบไหนล้างยากกว่ากันคะ
พ่อครูว่า…ตกลง 3 ข้อนี้ถามมาก็เอาความรู้ตามบัญญัติ ช้ากับเร็ว 2 อันมาถาม รวมแล้วที่ช้ากับเร็วมันก็มี 2 อาตมาสรุปไม่รู้กี่ทีแล้วว่าในโลกก็มี 2 อย่างนี้แหละ แล้ว 2 อย่างนี้มีความต่างกันมีบวกกับลบอยู่ในนิวเคลียสเท่านั้นแหละ ถ้าคุณแยกบวกลบได้ แล้วคุณก็รู้ว่าจริงๆแล้วคุณแยกไม่ออก คุณจะต้องอยู่ร่วมกันแล้วจัดการกับมัน ยิ่งคุณมีอำนาจ ตอนนี้ต้องการใช้บวกตอนนี้ต้องการใช้ลบ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณเอาบวกและลบนี้ออกไปจากตัวเองได้ คุณต้องมีทั้ง 2 อย่างแต่จะใช้อันไหนเป็นอันไหนในขณะที่คุณแยกอีก เป็นภาษาว่าเป็นรูปกับนาม รูป บวก นาม ลบ คุณจะใช้อันไหนเป็นอันไหน บางครั้งควรจะใช้บวกเป็นหน้าที่ ลบ บางครั้งคนจะใช้ลบเป็นหน้าที่บวก บวกเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ลบเป็นสิ่งที่เข้าไปรู้เป็นตัว Subject บวกเป็นตัว object บางครั้งก็กลับมา เท่านั้นเอง เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้วทำอย่างนี้ได้แล้วก็จบเลยในโลก
ความแตกต่างระหว่างความตื่นรู้แบบชาคริยานุโยคะ อันนี้เป็นการฝึกแบบพระพุทธเจ้า และกับความตื่นรู้ตัวทั่วพร้อมแบบสติสัมโพชฌงค์ ใช้พยัญชนะ คุณจะรู้ตัวแบบชาคริยะ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม คุณก็จะต้องรู้พร้อมทั้งภายนอกทั้งภายในทั้งตื่นๆ คุณจะหลับแล้วไม่ค่อยรู้คุณจะไปรู้ตัวทั่วๆไม่ได้ คนก็ได้แต่ไม่รู้อะไรเลยทั่วพร้อม ใช่ไหม ก็คุณหลับน่ะ
คุณต้องตื่นมารู้ตัวทั่วพร้อม การตื่นนี้ คำว่าสติ สติมันจะต้องมีพร้อมทั้งความตื่น เช่นสติลืมตาขึ้นมาดูโลก รับ จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก นี่เรียกว่าสติเต็มร้อย คุณไม่มีสติภายนอกคุณตัดไปอยู่แต่ภายในมีแต่ รูปอรูปในภพ คุณก็จะง่ายขึ้น แต่คนจะไปรับรู้สัมผัสภายนอกได้ไม่เก่งเพราะคุณไม่ได้ฝึก คุณได้แต่หลับเข้าไปภายใน
สติสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์แปลว่าองค์แห่งการตรัสรู้ องค์แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าต้องตื่นเต็มตัวเป็นสติรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างตื่นๆ ครบทั้งข้างนอกและข้างใน ต้องตื่นมารบ ครบทั้งข้างนอกและข้างใน
สติแบบชาคริยานุโยค กับสติสัมโพชฌงค์ ผลสำเร็จของสองอย่างนี้อันเดียวกัน แตกต่างกันแต่เพียงว่าพยัญชนะบอกว่าอันนี้ตื่นให้ฝึกเพียร อนุโยคะ แปลว่าเพียร
ส่วนความตื่นรู้ตัวทั่วพร้อม แบบ สติสัมโพชฌงค์ ในสติสัมโพชฌงค์นั้นเป็นตัวจบ
โพชฌงค์ 7
สติสัมโพชฌงค์เป็นตัวที่ 1 ของโพชฌงค์ 7 อุเบกขาเป็นตัวที่ 7 ของโพชฌงค์ 7
คุณฝึกได้เก่งสัมผัสปุ๊บ เป็นอุเบกขา ปั๊บเลย ทำได้เก่งเป็นอุเบกขาได้เก่ง อุเบกขาคือบริสุทธิ์มีองค์คุณทั้ง 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เหมือนอย่างอาตมาสัมผัสแล้วก็เป็นอุเบกขาทันที ส่วนใครจะมีอะไรต่ออะไรอาตมารู้ทันมี มุทุธาตุ คนนี้มีอย่างนี้ๆ แล้วเราก็ร่วม จะทำอย่างไรกับคนนั้นคนนี้ คนนี้จะทำอย่างนี้ทำอย่างนี้คืออะไร ด่าหนักๆ ก็คนนี้ทั้งด้านทั้งหนาทั้งตีไม่แตก โง่เง่า ก็ต้องแรงทำมากๆทำซ้ำ
คนนี้ไม่ถึงขนาดนั้น คนนี้เร็ว เท่านี้ก็รู้ตัวแล้ว มันยากสำหรับคนที่ต้องซ้ำและเหนื่อย ทุกวันนี้อาตมาเหนื่อยสำหรับคนที่โง่เง่าไม่รู้ได้สักที ตีหัวแตก 7 เสี่ยงก็ยังไม่รู้ตัว
ชาคริยานุโยคะให้ปลุกตื่น เมื่อตื่นรู้ตัวมีสติสัมโพชฌงค์ก็สำเร็จ เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมสำเร็จเสร็จ ชาคริยานุโยคะก็คือฝึกเพียรปฏิบัติให้ตื่นรู้
2) ในปัญญาสูตรข้อ 7 ที่กล่าวถึงเมื่อเข้าประชุมสงฆ์ ไม่พูดเรื่องไร้ประโยชน์ ไม่ดูหมิ่นอาริยะผู้นิ่ง ไม่ถนัดพูด แสดงว่าในยุคพระพุทธเจ้า คนนิยมผู้พูดผู้ชอบแสดง และไม่นิยมคนนิ่งใช่มั้ยคะ เพราะถ้าเป็นสมัยนี้ ที่คนเชื่อว่านิ่งเป็นอรหันต์ ก็จะยกย่องผู้นิ่ง แต่ดูหมิ่นผู้พูดผู้แสดงแทน ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้อนี้ ในยุคนี้ ควรเติมว่า ไม่ดูหมิ่นอาริยะผู้ไม่นิ่ง คือทำเยอะพูดเยอะแสดงเยอะด้วยมั้ยคะ
พ่อครูว่า…อาตมาก็พูดวนเวียนซ้ำซากว่า มันเหมือนกัน แต่จริตปฏิภาณ ผู้นี้เข้าใจไม่ได้ในเชิงนี้ก็ต้องพูดแบบนี้ คนนี้ต้องพูดให้ฟังแบบไม่นิ่ง เท่านี้แหละก็เลือกให้เหมาะสมกับผู้ที่มีจริตแบบไหนยึดถือแบบไหน ถ้าเขายึดถืออีกแบบหนึ่งเราก็ต้องตีให้แตกเป็นอีกแบบนึง ถ้าเขายึดถืออีกแบบหนึ่งก็ต้องตีให้แตกเป็นอีกแบบหนึ่ง เพื่อให้คลี่คลายให้เห็นความต่าง แล้วก็จะรู้ความต่าง แล้วก็เอาความต่างนี้มาอยู่รวมกันเป็นหนึ่งอย่างสงบ อย่างมีประโยชน์ไม่ทะเลาะกันไม่มีสิ่งเสียหาย มีแต่อยู่ร่วมกันอย่างมีประโยชน์คุณค่าสงบสบายอบอุ่นเหมือนอย่างชาวอโศกนี้ไง จับพวกเซียนๆเฮี้ยนๆมาอยู่รวมกันแล้วก็ต้องอยู่ร่วมกันอย่างยิ่งนะ ถ้าไม่นิ่งก็ต้องเคาะกบาล แต่พวกคุณไม่จำเป็นต้องถูกเคาะกบาลหรอก แต่เข้าใจว่าอยู่ที่นี่เป็นอย่างนี้อย่างนี้ คนที่ยังดื้อด้านดื้อดึงดันอยู่ พูดอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด ดื้อด้าน ไม่ค่อยเข้าใจ เข้าใจก็ยังละเมิดอยู่ก็จะอยู่ร่วมกันไม่ได้
เพราะฉะนั้นชาวอโศกก็คัดเลือกคุณสมบัติคนประมาณนี้มาอยู่รวมกัน ผู้ที่จะฝึกฝนตนเองเพื่อจะมาเริ่มฝึกฝนตนเองพออยู่ได้ก็จะมาร่วมฝึก ผู้ที่อยู่ได้ฝึกได้ดีขึ้นก็อยู่ได้ ได้ประโยชน์จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็จบยังไม่เป็นอรหันต์ก็ฝึกไป
อธิบายไปไม่ได้พูดเล่นพวกเรามีความเป็นอรหันต์มีคนเป็นพระอรหันต์ มีปัญญารู้ว่าเขาแตกต่างกันก็ประสานกันอยู่ ช่วยกันประสาน ประสานไม่ได้ก็ปล่อยให้ผู้ที่ประสานได้ ก็จะอยู่ในสังคมนี้จะเจอคนที่ประสานได้ หรือ รู้ตัวเอง ไม่ต้องให้คนอื่นมาประสานแต่ตัวเองเป็นคนสังวรระวังตัวเองรู้ตัวเองก็สงบระงับ แล้วก็อยู่กันอย่างพอดีมีปฏิกิริยากระทบกันอย่างพอดี ไม่เกิดความแรงหรือรุนแรงอะไร อยู่อย่างกระทบสัมผัสกันอย่างพอเหมาะร่วมกันปรุงแต่งอยู่กันได้สังเคราะห์สังขารกัน ก็เกิดผลผลิตเกิดแรงงานเกิดสิ่งประดิษฐ์อะไรมา อาศัยกินใช้ชีวิตอยู่
สังคมมนุษยชาติก็อยู่กันอย่างนี้ สัตว์โลกก็ตาม สัตว์โลกมันไม่ต้องการลาภยศอะไรมาก มันต้องการแค่กินอยู่เป็นคราวๆ กินอิ่มแล้วไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรกับใครมันจะขี้เกียจด้วยซ้ำไปสำหรับสัตว์ แม้แต่สิงโตแม้แต่เสือมันอิ่มแล้วบางทีนี่กวางเก้งมาเดินลอยหน้าลอยตามันก็เฉย ก็มันอิ่มแล้ว แต่ถ้ามันหิวขึ้นมาแล้วก็มันก็ต้องไปล่า
ส่วนคนนี้ ไม่มีหยุดไม่มีพอ อันนี้แหละเป็นเรื่องช้านานลำบาก เสร็จแล้วก็เป็นภัยเป็นพิษต่อสังคม เพราะต้องอาศัย แม้แต่ที่สุดทุกวันนี้ในโลกทั้งโลก แย่งกัน แย่งอะไร แย่งกระดาษชำระ หนี้ได้ตามกฎหมาย พูดให้มันฉ่ำใจสะใจ แล้วมันสะสมกระดาษชำระกัน อันนี้แปลงกระดาษชำระมากดเอาเลยไม่ต้องไปแตะต้องกระดาษ เป็นความฉลาดแกมโกง แล้วพยายามตีราคาจัดระดับบาทดอลล่าร์ต้องเท่ากับ 35 บาทไทย เงินปอนด์เท่าไหร่แล้ว เงินหยวนเท่าไหร่แล้ว เงินหยวนตอนนี้ 4.29 บาทแล้ว งั้นก็สมมุติค่ากันไปแล้วก็ใช้ตั๋วแรกค่านี้เป็นตัวเลขแล้วก็ใช้ เคลื่อนไหวแทน นอกนั้นก็เป็นของ
ธนบัตร มันเหมือนกับอะไรที่เป็นสิ่งสารพัดนึก ต้องมีให้ได้มากแล้วซื้อได้หมด ซื้อได้แม้แต่วิญญาณคน คนชั่วมันขายตัวขายวิญญาณได้ถึงขนาดนี้ นี่คือสังคม พวกเรานี้ไม่ได้ไปแย่งลาภยศสรรเสริญกับเขา พวกเขาก็แย่งกันไปเราก็ไปแย่งกับคุณ ก็จะได้ลดคู่ทะเลาะวิวาท เราก็มีชีวิตเหมือนเสือสิงห์ลิงค่าง แค่กินแค่อยู่ก็สบายแล้วสร้างสรรไป เหลือสิ่งที่สร้างสรร สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น อาวุธ เราไม่ไปเสียเวลาไปทำ ไปดีดไปเต้นอะไร เตะลูกบอล เต้นโชว์เชฟ มันเสียแคลอรี่ เราเอาแคลอรี่มาปลูกผักดีกว่า ปลูกชบาเมเปิ้ลดีกว่า เอาไว้เลี้ยงชีวิต
กำลังงานพลังงานแคลอรีต่างๆจะไปแย่งลาภยศ แม้แต่อำนาจฉันจะเป็นใหญ่ฉันจะครอบครองโลกเหมือนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ เขาประกาศ นายโดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าฉันจะเอาทุกอย่างมาเป็นของฉันจะเป็นเจ้าโลกเลย ตอนนี้ก็จะไปแข่งขันกับจีน อาตมาว่าจีนที่เป็นเสือนอนสบายๆ พวกนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เป็นคนเอาไม้มาแหย่เสือ สักวันเถอะเสือมันตื่นขึ้นมาแล้ว อย่านึกว่าคนอื่นไม่มีอาวุธพอจะสู้นายโดนัลด์ ทรัมป์ นะ แต่เขาไม่พูดเท่านั้นแหละ อย่านึกว่าเขาไม่มีปัญญาจะสร้างอาวุธที่ร้ายแรงได้นะ ค่าแรงงานเขาก็ถูก
คนไทยตอนนี้ใช้ของจีนมาก หาก 1 หยวน 40 บาทก็ตายอย่างเขียดเลย แต่ตอนนี้ 1 หยวนเท่ากับ 4.29 บาท
มันมีความต่าง กับความรู้แล้วว่ามันต่างกันอย่างไร กับ 2 อย่างรู้ว่ามันต่างกันอย่างไร ผู้ที่ยังอยากรู้ว่าอะไรมันต่างจากอะไรคนนี้อาการหนักจะทรมานเยอะ เพราะทุกอย่างมันต่างกัน คุณจะต้องตามไปดูความต่างเอา แต่รู้ความต่างกันพอสมควร แล้วสบาย อย่าไปอยากรู้มากไม่อย่างนั้นมันไม่จบ
3) บางครั้ง ที่มนุษย์เจอผัสสะปัจจุบัน แต่ยังไม่มีความรู้สึกทันที เช่น การเสียชีวิตของผู้เป็นที่รัก หรือการได้รับข่าวดีมากๆ พอรู้ข่าวแล้วกลับยังไม่รู้สึกเสียใจดีใจ ในภาษาอังกฤษจะมีศัพท์ว่า ยังไม่ sink in คือเรื่องราวมันยังไม่จมลงไปในใจ จนผ่านไป 2-3 วัน เพิ่งจะมาร้องไห้ หรือเพิ่งมาดีใจ เวทนาที่เกิดช้าในบางเวลาแบบนี้ เป็นเพราะสังขารปรุงช้ารึเปล่าคะ ทางจิตวิทยา จะอธิบายว่าเป็นกลไกป้องกันตนเองตามธรรมชาติ (self defensive mechanism) ไม่ให้เสียใจหรือดีใจมากเกินไป แต่ในทางธรรม จะอธิบายยังไงคะ ความรู้สึกที่เกิดช้านี้ ถือว่าเป็นสัญญา หรือเป็นเวทนาที่เกิดจากมโนมยอัตตาคะ เพราะผัสสะปัจจุบันไม่มีแล้ว เรื่องมันผ่านไปแล้วคะ
พ่อครูว่า..คนมันไม่ช้าอย่างตัวสล็อตหรอก ลักษณะคนที่ innert แบบนี้มันน้อยอย่าเอามาถามเลยมันเป็นลักษณะที่มีน้อยคนพวกนี้ ก็เขาเป็นจริตของเขาแบบนั้นมันเป็นสิ่งยกเว้น สามัญอย่างเราเราเข้าใจก็อย่าเร็วเกินไป กระทั่งไม่ทันจนกระทั่งคนอื่นเขาร่วมไม่ได้ มันก็ไม่ได้ เอาที่ร่วมกับใคร คุณอยู่กับสังคมไหนก็ให้ร่วมกันได้พอเหมาะพอดีอันนี้จะอบอุ่น เรียบร้อยเป็นไปได้อย่างสงบ ไม่มากไม่เกิน ไปด้วยกันพร้อมกัน ผัสสะเป็นปัจจุบัน
เรื่องผ่านไปแล้วก็เอามาถามอีก ผ่านไป 3 วัน 5 วันแล้วมาถาม แล้วเมื่อไหร่มันจะได้มาทำกินทำอยู่เสียที ไปงมอยู่กับอดีตมันเป็นเรื่องผ่านไปแล้ว แม้มันจะดีก็ดี มันจะไม่ดีก็ไม่ดีไปแก้ไขมันไม่ได้แล้วคุณเอาปัจจุบันนี้สิมีชีวิตเป็นปัจจุบัน แล้วแก้ไขปัจจุบันนี้ให้พอเหมาะพอควร เร็วไปแก้ไม่ทันช้าไปก็ยิ่งไปงมอยู่ทำไมมันผ่านไปตั้ง 5 วัน 7 วัน ถ้าขนาดนั้นแล้วเอามาอีก แล้วเมื่อไหร่มันจะรู้แล้วเสียที เอาที่มันพอเหมาะพอดี
4) ถ้าเปรียบเทียบคนสองแบบ แบบแรก ไม่สะสมกิเลสใหญ่ แต่สะสมเล็กๆ บ่อยๆ กับแบบที่สอง นานๆสะสมกิเลส แต่ทำที จัดอย่างหนักไปเลย แบบไหนแย่กว่ากันหรือแบบไหนล้างยากกว่ากันคะ
พ่อครูว่า..เอาที่เหมาะกับจริตเรา แล้วมันก็ไม่ช้าไม่เร็วหรอกเท่าที่มันจะเป็น
_ลูกหนอนใต้ต้นโพธิ์…
กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพค่ะ…ได้ดูคลิปที่พ่อครูรำลึกถึงการทำสื่อในอดีต ที่ท่านบอกว่า พ่อครูเพียรสอนให้คนตาบอดเห็นได้ เหมือนเพลงชีวิตที่พ่อครูเคยเขียนไว้ ลูกมาค้นหาน่าจะเป็นเพลงชีวิตหมายเลย ๓ หรือเปล่าคะ
อ่านแล้วซาบซึ้ง น่าสงสารคนที่ตาบอด หูหนวกทางใจ ปิดทวารทั้งหมด พ่อครูสอนเรื่องเวทนาแท้ เวทนาเทียม เรื่องสุข ทุกข์ ตั้งแต่พ.ศ.๒๕๑๔ ก็ยังมีคนปิดทวารไม่รับรู้ หรือไม่รู้ อีกมากมาย สิ่งนี้ทำให้พ่อครูเพียรรักษาร่างกายขันธ์จนคนเหล่านี้ เปิดตา เปิดหู เปิดวิญญาณ ให้ได้มากที่สุดเพื่อสืบสานศาสนาให้อยู่ ๕,๐๐๐ ปี สร้างคน ให้ไปช่วยคน อย่างที่พ่อครูตั้งปณิธานไว้ใช่มั๊ยคะ
ลูกนำเนื้อหา เพลงชีวิตหมายเลข ๓ ถวายพ่อครูจะอ่านหรือไม่อ่านออกอากาศก็ได้ค่ะ เพราะหาอ่านได้ที่หนังสือเงาฟ้าที่ท่าน้ำค่ะ
….กราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงค่ะ….
เพลงชีวิตหมายเลข ๓
แม้เจ้าจะตาบอดมาแต่กำเนิด แต่เจ้าก็ยัง “เห็น”แสงสว่างของโลกได้
เจ้ายัง “เห็น”แมกไม้และเกลียวคลื่น
เจ้ายังสามารถ”เห็น”ความโศกเศร้า “เห็น”คนระเริงสุขได้
แม้เจ้าจะหูหนวกมาแต่กำเนิดอย่างสนิมปานใด
เจ้ายัง “ได้ยิน”เสียงของนกร้องละเมอ..
เสียงของความอลวนของโลก
เจ้ายัง “ได้ยิน”เสียงคนด่าทอ และเสียงสรรเสริญเยินยอได้
แม้คนผู้หนึ่งจะพยายาม ปิดตา ปิดหูของตน
ให้มันบอดสนิท และหนวกสนิท เช่นนั้นก็ตาม
คนผู้นั้นก็จะต้อง “รู้”ต้อง”ทราบ”โลก “ทราบ”ชีวิต
ที่มันเป็นไปอยู่ ในโลกนี้ได้
ไม่น้อยไปกว่าคนดีๆธรรมดาๆเลย
เพราะโลกนี้ มี “วิญญาณ” !!
การสัมผัสต่างๆที่ทำให้คน “รู้”ได้ นั่นแหละ คือ “วิญญาณ”
ผู้มี “วิญญาณ” ชาญฉลาดแท้ จะสามารถเห็นแจ้ง ว่า..
อย่างนั้นแหละคือ “โลกที่ยังวนเวียน ไม่รู้จบ”
อย่างนั้นแหละคือ “อารมณ์โลกที่ดึงดูดใจมนุษย์”
อย่างนั้นแหละคือ “ความเจ็บปวด”
อย่างนั้นแหละคือ “ความเอร็ดอร่อย”
และนั่นเอง คือ “ความทุกข์” กับ “ความสุข”
“ฆ่า” มันเสียสิ !!!
อย่าให้ “เจ้าสิ่งต่างๆ”เหล่านั้น มามีในเรา
โลกมันต้อง “มี”สิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมดา สำหรับผู้ไม่รู้ ว่า มันเป็น”มายา”
แต่ “เรา”ต้องเรียนรู้ ต้องลด ต้องฆ่าสิ่งเหล่านั้น
อย่าให้ “มี” ในตน
มันเกิดอยู่ มีอยู่ อย่างเก่ง ฉลาด และพัฒนาเจิดจ้า เต็มโลก
หรือแม้ในตัวเรานั่นแหละ
ที่มันยังหลง”มี”อยู่”อย่างแฝงซ่อนแท้จริง
แต่ มันไม่ใช่ “ของจริง” หรือ “ของเรา”หรอก
อย่าหลงผิดว่า มันคือ “เรา” เลย
และ อย่าหลงผิดว่า มันเป็น “ชีวิตชีวา” ของเราเลย
เมื่อผู้ใด “ฆ่า” มันได้จนตายดับสนิท ไม่เหลือเชื้อเป็นตัวเป็นตนอีกแน่
แล้วเมื่อนั้น เราจะยืนอยู่สูงสุด “เหนือโลก” อย่างแท้จริง
(๒๐ เมษายน ๒๕๑๔)
พ่อครูว่า..อาตมาก็ทวนไปเมื่อ 48 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังสอนอยู่อย่างนี้แหละแต่อธิบายได้อย่างพิสดารหลากหลายเป็นภาษาง่ายๆ อันนี้เป็นภาษาที่เป็น วาทิตะ คือร้อยกรอง ไม่ใช่ร้อยแก้วที่พูดไปเรื่อยๆ แต่หาคำที่เน้นมา ภาษาในพระไตรปิฎกเรียกว่าเป็นลักษณะการพูดแบบ คาถา
ที่อาตมาตั้งใจจะอธิบายวันนี้คือเรื่องของปัญญา 7 ซ้ำอีก อาตมาพูดวนเวียนซ้ำไปอีกซึ่งคนที่ไม่ศรัทธากันจริงจะไม่ยอมฟังหรอก จะรู้สึกเบื่อ
ปัญญาสูตร
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
พ่อครูว่า…เรายกไว้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดในยุคนี้ ก็ต้องหาคนที่เราถือว่าเป็นที่ยอมรับว่าเป็นคนในฐานะครู แต่ละคนตัวเองก็ต้องมีเครื่องมือตัดสินคุณชอบใครเป็นครู ใครชอบลางเนื้อชอบลางยา ใครชอบคนไหนก็ยกให้เป็นครู ไม่ได้แย่งกันหรอก อาตมาก็มีผู้ที่จะฟังอาตมา เห็นว่าอาตมาควรจะเป็นครูคุณก็มา แล้วคุณก็ไม่ไปฟังสิ่งที่คุณไม่เอาไม่เป็นครู คนที่เขาไปอย่างโน้นไปเอาอย่างโน้นเป็นครูก็ไม่มาเอาทางนี้ มันก็ไม่แปลก จุดสำคัญมันอยู่ที่ว่าแล้วคนไหนจะเป็นครูตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้อย่างสัมมาทิฏฐิ อันนั้นคือสัจจะ อันนี้ก็ตัวใครตัวมัน จริงๆแล้วก็ไปเชื่อคนอื่น คนอื่นแนะนำบ้าง คุณก็ต้องฟังเขาบ้าง แต่ถ้าคุณเชื่อตัวเองก็ไม่เป็นไรคุณก็เลือกเอา คุณอยากเชื่ออันนั้นก็ไปทำอันนั้นจะได้อันนั้นก่อน จนกระทั่งคุณสุดท้ายรู้อันนั้นจบ ถ้าอันนั้นมันเป็นความจริง คุณก็จบอยู่นะ แต่ถ้าอันนั้นมันยังไม่ใช่ความจริงมันก็ไม่จบจริง คุณก็จะรู้ว่ามันยังไม่ใช่คุณก็ต้องตามหาอันใหม่อยู่ดี แล้วคุณก็ต้องไปเสียเวลาก็เท่านั้น
เพราะฉะนั้นการเลือกให้ถูกมันย่นเวลาได้ อาตมาบอกได้ว่าอาตมาถูก ส่วนคุณเป็นผู้มาตามฟัง สรุปย้ำว่าต้องมาตามฟังผู้ที่อยู่ในฐานะของครูหรือสัตบุรุษ ธรรมะพระพุทธเจ้ารู้เองไม่ได้ คุณต้องรู้ตามพระพุทธเจ้า หรือรู้ตามสัตบุรุษ
อาตมาเปิดเผยมาตั้งแต่ต้นว่าเป็นโพธิสัตว์รู้เอง เปิดเผยมา คนอื่นเขาไม่มีใครกล้าแต่อาตมากล้าประกาศยืนยัน เดี๋ยวนี้มันมีเครื่องมือพิสูจน์คนมาปฏิบัติตามได้มีสังคมและวัฒนธรรม ไปเปรียบเทียบไว้ว่าสังคมชาวอโศกทำตามพระพุทธเจ้าจนกระทั่งมีสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ศีล 5 เสมอศีล 5 ศีล 8 เสมอศีล 8 ทิฏฐิของพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ก็เสมอกันไป
2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…ฟังแล้วเหมือนเป็นคำสั่ง หากคุณแน่ใจว่าผู้นี้อยู่ในฐานะของครูแล้วควรจะต้องเข้าไปตั้งฐานะของความละอาย ตั้งความเกรงกลัว แล้วให้ความรักเคารพอย่างแรงกล้า ฟังดูเหมือนว่าพระพุทธเจ้าสั่งให้ทำแบบนี้ แต่ไม่ใช่หรอก ศาสนาพระพุทธเจ้าให้อิสระเสรีภาพ
ในวิชชาจรณสัมปัณโณ เริ่มจาก สังวรศีล และอปัณณกธรรม 3 มามี สัทธรรม 7
ศรัทธา มีความเชื่อความเข้าใจ คุณเป็นเองรู้เข้าใจว่าอันนี้พูดแล้วรู้เรื่อง เข้าใจนะ เชื่อ ถ้าคุณมีคุณลักษณะอย่างนี้จริง ฟังแล้วรู้คนนี้พูดรู้เรื่อง จริตภูมิธรรมที่เข้ามานี้ ที่มารับรู้ได้มีจริตอย่างนี้ ส่วนคนที่ไม่มีภูมิธรรมไม่มีสนิทอย่างนี้ คุณก็ไปฟังที่อื่น ก็แยกกันไปไม่แย่งกันดี ไม่อย่างนั้นก็มาทางนี้หมด อาตมาทำไม่ไหวหรอก
คุณฟังแล้วเข้าใจมีความเชื่อคุณก็จะมาฟัง คุณจะเป็นเอง คุณจะรักคุณจะเคารพอย่างแรงกล้า รักครูผู้นี้เคารพครูผู้นี้อย่างแรงกล้า อย่างจริตแต่ละคน มันไม่มีใครทำเกินกว่าความเป็นจริงของตนหรอก มันจะเป็นจริงตามนั้น อันนี้อันที่ 1 นี่คือเนื้อความของปัญญา
ปัญญา เกิดได้จากผู้ที่มีต้นปัญญาคือพระศาสดา ตัวเองไม่ได้นั่งหลับตาแล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมา อย่ามาพูดให้ขัดแย้งคำสอนพระพุทธเจ้า คุณต้องฟังศาสดา คุณต้องฟังสัตบุรุษ คุณจะไปเกิดเองไม่ได้ อวดดี เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่าปัญญา นี่เป็นข้อที่ 1
หากไปนั่งหลับตาสงบแล้วปัญญาจะโผล่ขึ้นมา ไปนั่งคิดนึกในใจอะไรต่ออะไรต่างๆ อย่างนี้ไม่เรียกว่าปัญญา นี่คือการอธิบายผิดคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พูดนี้ก็นึกถึง อาจารย์บูรพา ผดุงไทย ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ที่เขียนอยู่ในคอลัมน์ฉบับเล็ก อาตมาก็บอก อาจารย์บูรพาพยายามอธิบายอย่าให้ขัดแย้งกับพระพุทธเจ้าสิ ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปตั้งสำนักเองเป็นศาสดาเอง อาตมานี้พยายามยืนยันตามหลักของพระพุทธเจ้านะ คุณอ้างอิงได้อย่างอาตมาไหม นี่พูดเพื่อที่จะให้ไม่ต้องเสียเวลาเสียแรงงานไปทำอย่างนั้น อาตมาเห็นใจและเข้าใจอยู่ก็ไม่อยากให้เสียเวลาแรงงานอย่างนั้นก็ทำให้มันถูกเสีย เมื่อทำไม่ถูกก็จะมาขัดแย้งกับของพระพุทธเจ้า มันเป็นบาปด้วย นี่ไม่ได้ตู่นะ แต่เป็นบาปโดยสัจจะ ท่านก็เป็นอาจารย์ อายุน้อยหรือมากกว่าอาตมาไม่รู้
2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็
พ่อครูว่า…เมื่อเกิดศรัทธาเข้าใจเชื่อแล้ว ก็จะเกิด หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา
คุณจะเกิดความละอายเพราะเกิดปัญญาปฏิภาณว่าแต่ก่อนนี้เราก็งมงายโง่ไง
ตอนนี้เรารู้จริงหรอ แต่ก่อนไปหลงงมงายเชื่อผู้ที่ไม่รู้ แต่ก่อนนี้งมงายอยู่กับอาจารย์ทางโน้น ตอนนี้มาอยู่กับอาตมา มันจะละอาย หิริ โอตตัปปะคือความละอายแรง สูงมากขึ้นอีก นี่เป็นสภาวะที่แท้จริง
หากผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสผู้นั่งหลับตาแล้วไปทางเทวนิยม แล้วมารู้ลักษณะนี้ก็จะไม่เสียเวลา เปิดโลกว่าอย่างนั้นมันผิด เมื่อเขาเริ่มมี อัญญธาตุว่าต้องมาอย่างนี้เขาจะรู้สึกว่า ถ้าเผื่อเขาไม่เลือก ถ้าได้ในปัจจุบันนี้ชาตินี้เขาจะละอาย ชาติหน้าก็จะจำไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าเขาจะมาแล้วเกิดความละอาย ก็อย่าอายเลยถ้าเชื่อว่าอาตมาถูก เข้ามาเถอะอาตมาไม่ว่าหรอก แล้วทุกคนเขาก็จะไม่ทำให้คนละอายหรอก ตัวเองนั่นแหละลดความละอายแล้วก็เข้ามา จริงๆสัจจะมี หิริโอตัปปะ หิริคือละอายอย่างอ่อน โอตตัปปะคือละอายอย่างแรง
แล้วมีพหุ เป็นผู้ถือเป็นสารถีสามารถนำพาหนะขนคนไปได้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
เพราะฉะนั้นจะเข้าไปถาม คุณเองจะรู้ได้พระศาสดาเท่านั้นก็ได้ปัญญาเริ่มต้น ปัญญาต่อมาได้รับได้เคารพได้เกรงกลัว เข้าไปหาเลย ไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราว จะไปจู้จี้จุกจิกถามจนไม่รู้จักหยุดไม่ไปไหนอันนี้แย่ เป็นครั้งคราว
3.เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…เมื่อได้รับฟังคำอธิบายจะได้ความสงบ 2 อย่างนี้ คำว่าให้ถึงพร้อมคือคุณต้องไปทำนะ จะได้ความสงบ 2 อย่างต้องทำให้พร้อม สงบกายเป็นอย่างไรสงบจิตเป็นอย่างไร จะยังไม่ขยายความ
ปัญญาจะเกิดได้ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วปัญญาจะเกิดผลุง ขอบคุณอาจารย์บูรพาที่ทำให้อาตมาเอามาเป็นอุปกรณ์ในการอธิบายบรรยายธรรมะ โดยท่านไม่รู้ตัว ไม่เสียค่าลิขสิทธิ์ภูมิปัญญาตัวตน
ความสงบกายสงบจิต พูดอธิบายอย่างนึงเขาจะบอกว่าความสงบกายคือ หยุด กายกรรมก็อย่าก้าวขา จะนอนก็นอนจริงๆจะนั่งก็นั่งนิ่งๆหายใจก็เพียงแผ่วเบา คือเอาวัตถุให้นิ่ง แล้วจิตหยุดคือหยุดคิด หยุดนึก หยุดปรุงแต่ง ไม่ให้อาการของจิตไม่มีอาการ
นี่คือพวกพาซื่ออธิบายกัน ฟังแล้วก็น่าสงสารเหมือนกับการนำสัตว์มาฝึกให้เชื่อง สัตว์มันก็จะไม่รู้จักกิเลส แล้วก็จะลดกิเลสทำให้มันตายมันดับไม่ได้ แต่ถ้าทำให้กิเลสทำให้มันตายมันดับกายก็สงบ
แต่กายสงบจิตสงบนั้นไม่ใช่จับให้มันอยู่นิ่งๆไม่คิดไม่นึก แต่ว่าสามารถมีจิตใจที่คิดนึกได้มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยวิจารแยกแยะเทวะ อเทวะได้
กายในกายก็ 2 เวทนาในเวทนาก็ 2 จิตในจิตก็ 2 ธรรมในธรรมก็ 2
ต้องทำ 2 ให้เหลือ 1 ทำสิ่งที่ไม่แท้ให้เหลือแต่สิ่งที่แท้จริงทุกอย่าง นี่คือธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่พาซื่อว่าสงบคือให้หยุดนิ่งๆไม่ขยับอะไร ภายนอกก็นิ่งภายในก็คือจิตนิ่ง
ของพระพุทธเจ้านั้นกิเลสนิ่งกิเลสยิ่งตายกิเลสยิ่งไม่มี จะยิ่งเร็ว กายยิ่งคล่อง นี่แหละพระอรหันต์ ยิ่งแคล่วคล่องว่องไว วาจาคล่องแคล่วปราดเปรียวจิตใจก็ว่าง
กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา จิตเจตสิก เวทนาสัญญาสังขารยิ่งจะคล่องแคล่ว
ของพระพุทธเจ้ายิ่งนิ่งยิ่งแคล่วคล่อง มันมี 2 ใน 1 กิเลสตายความคล่องของจิตใจยิ่งนิ่งยิ่งเร็ว นี่คือสภาพสิริมหามายาเป็น 2 ใน 1 เหมือนนักมายากลที่เป็นสิริมหามายา
ความรู้ทุกอย่างสรุปที่ความเป็น 2 หรือความเป็นเทวะและอธิบายจะได้หมดจบ ทุกอย่างโลกนี้มีเทวะ 2 สภาวะ 2 มันเป็นบวกหรือลบ แล้วคุณก็ควบคุมมันได้ควบคุมบวกและลบหรือให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบ แล้วจะให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 2 นี่แหละ นี่คือสภาพทุกอย่างทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ
ทุกวันนี้คนทั้งโลกควบคุมปรมาณูควบคุมนิวเคลียร์ เอาบวกลบมารวมกันทำระเบิดปรมาณู จุดระเบิดเมื่อไหร่ก็ทำงานเต็มที่มีแรงประสิทธิภาพสูงสุด เหมือนกับวิญญาณมีแรงมีวัสวัตตีมีอำนาจพลังงานสูงสุด เพราะคนจัดการบวกลบของจิตรูปนามของจิตได้ สามารถจะให้มีแรงสูงสุดเท่าที่คุณมีบารมีได้
อาตมาเป็นเจ้าของปรมาณูทางจิตแล้วก็ทิ้งระเบิดไปไม่รู้กี่ลูกแล้ว มันไม่ตาย พวกนี้หนังเหนียวไม่ตาย
พระไตรปิฎก เล่มที่ 16
[244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า
ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน
ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น
ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า
ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ
พ่อครูว่า…สมน้ำหน้าจริงๆ ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม ตอนเช้าเที่ยงเย็นก็แล้วไปเจอหน้าพระราชาท่านถามว่านักโทษนั้นเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่ามันยังมีชีวิตอยู่เลยพระเจ้าข้า มันเหนียวจริงๆ สู้ๆ โพธิรักษ์สู้ ฆ่าทั้งกลางวันฆ่าทั้งกลางคืนก็แล้วกันไม่รู้จะทำอะไร แล้วมันจะตายไหมนี่กิเลสหนาตัณหาหยาบพวกนี้ กิเลสหนาตัณหาเหนียว ฟังแล้วแทบท้อเลยนะทุกวันนี้
อาตมาว่าคำเปรียบเทียบ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า วิญญาณที่มันได้รับอาหารเป็นกิเลสอย่างเหนียวแน่น จะมีผู้ที่มาโปรด ไม่หลงกับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไปหลงกับกิเลสอยู่กับกิเลสอย่างสนิทสนมชื่นชมอยู่กับกิเลส จะหันมาฟัง หันมารู้ผู้ที่จะฆ่าและทำลายกิเลสบ้างสิ เขาไม่หันมาเลย แต่ไม่เป็นเช่นนั้นทีเดียวหรอก มีผู้ที่ตั้งใจแสวงหามีอยู่ ได้อยู่ อย่างน้อยอาตมาก็ได้หมู่ผู้ที่ฟังแล้วได้ประโยชน์ ติดตามรับฟังเพิ่มเติมจะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นไปอีก ได้รับฟังยิ่งขึ้นก็ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น มีธรรมรส มีความปรารถนาอยากฟังเพิ่มเติมขึ้นละเอียดขึ้น แล้วก็เอาไปทำเพิ่มเติมขึ้นอีกมันมีอยู่ อาตมาไม่ไร้ลูกค้า แม้ว่ามีลูกค้าขนาดนี้เพียงเท่านี้อาตมาก็พอใจ สบาย
พระพุทธเจ้าสมณโคดมอุบัติขึ้นมาแล้ว เมื่อตรวจดูโลก ก็พบว่ามีแต่คนกิเลสหนาตัณหาหยาบและเหนียวจะสอนรู้เรื่องกันได้หรือ ก็จะไม่สอนดีกว่า ทันทีที่ดำริอย่างนี้ ยังไม่ทันไร สหัมบดีพรหมก็บอกว่า ชิบหายแล้วพระเจ้าข้า สหัมบดีพรหมคือรวมพรหมทั้งหลาย มาอาราธนาให้ท่านสอนคนอีก ท่านก็มาตรวจดูพบว่าคนที่พอมีธุลีในดวงตาน้อย มันยังไม่ถึงขั้นมีภูเขาในดวงตายังพอสอนได้นะ ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ก็พอได้
ก็เลยเทศน์ กัณฑ์ที่ 1 ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีอัญญา อัญญาโกณฑัญญะมี อัญญธาตุ รู้โลกุตระ ที่ต่างจากโลกียะเป็นธาตุใหม่
เมื่อเทศน์กัณฑ์แรก ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อัญญาโกณฑัญญะก็ได้รู้แล้ว พระพุทธเจ้าอุทานว่าอัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ โกณฑัญญะได้ธาตุใหม่นี้แล้วปลูกฝังได้
ต่อมาเทศน์กัณฑ์ที่ 2 อนัตตลักขณสูตร พราหมณ์อีก 4 ท่านก็ได้รู้ จากนั้นก็ไปเทศนาโปรดพวกอื่นๆเช่นพวกชฎิล 3 พี่น้อง พระพุทธเจ้าทำได้
ส่วนโพธิรักษ์นี้ทำได้ยาก เพราะมีพุทธประกาศแล้ว ส่วนพระพุทธเจ้านั้นประกาศของใหม่เลยและเป็นของจริงกว่า คนมาแสวงหาก็เลยเอาได้เลย ส่วนอาตมานี้ผู้ที่ประกาศเป็นอาจารย์ชาวพุทธเยอะ เราเองมาไม่มีอลังการไม่ได้จบสำนักไหน ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ ไม่ได้มีศิษย์พี่ศิษย์น้องหัวเดียวกระเทียมลีบ โดดๆมา เจ้าประคุณ มาประกาศ เปิดร้านขายปาท่องโก๋ข้างถนนข้างทาง ร้านใหญ่เขาก็สอนปาท่องโก๋สูตรพิสดารสูตรผิด กินแล้วท้องขึ้นท้องเฟ้อ ไม่ได้ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ล้างกิเลส มีกิเลสทับถมมากขึ้น อาตมาเห็นแล้วก็สงสารก็เลยมาประกาศร้านเล็กนี้แข่ง
ประกาศร้านเล็กแล้วจะอยู่กับเขามันก็ไม่ได้ ก็เลยต้องแยกตามที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นนานาสังวาส ก็ขอแยกก็แล้วกันนะ อาตมาขออยู่หมู่เล็กๆ ตอนนั้นมีภิกษุสมณะแค่ 21 รูปกับเณรอีก 2 รูป ก็ขอแยกมาประกาศเป็นทางการเลย ทำเป็นลายลักษณ์อักษรเขาก็รับไปนะ เจ้าคณะอำเภอเจ้าคณะจังหวัดส่งไปถึงเถรสมาคม ก็เป็นที่ยอมรับตั้งแต่พ. ศ. 2518 อาตมาก็ทำงานต่อมาได้จนกระทั่งพ.ศ 2532 ตั้งหลายปีนะ หลังจากประกาศไป ปี18-32
พ. ศ. 2532 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ก็มาตีฆ้องร้องป่าว ปลุกพวกพระต่างๆมาเอาโพธิรักษ์ลงหน่อย มันประกาศค้านแย้งลาภยศสรรเสริญของเขา
เขาก็เอาทั้งพระธรรมยุตและมหานิกายมารวมกันเพื่อจะทำปกาสนียกรรมของพระโพธิรักษ์ ทั้งที่เราประกาศนานาสังวาสถูกต้องตามธรรมวินัยแล้ว ท่านทั้งหลายแหล่ทั้งพระมหานิกายและธรรมยุตทำผิดวินัยมารวมกันทำปกาสนียกรรมกันทำสังฆกรรม ซึ่งทำไม่ได้มันคนละนิกาย อย่างที่เหตุการณ์ผ่านมา ตัวอาตมาถูกยำซะน่วม แต่น่วมอย่างไร อาตมาก็เป็นโมคคัลลานะแมวเก้าชีวิตฆ่าไม่ตาย ตายแล้วฟื้น ชุบตัวเองใหม่ ไม่ยอมตาย จนสุดท้ายก็ฆ่าไม่สำเร็จเพราะว่ามันไม่ตายมันเป็นอมตะ เป็นอมตะบุคคลฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย
สุดท้ายยิ่งอาตมาประกาศไป จนคนมาเป็นหมู่มวลเป็นสัจจะ มาเถียงอาตมาก็เอาพระไตรปิฎกยืนยัน เขาเลยไม่กล้ายัน เสร็จแล้วอาตมาก็เลยเป็นผู้สบาย อาตมาไม่ถือว่าเป็นผู้ชนะนะ อาตมาเป็นผู้แพ้ พวกเขาชนะเป็นผู้นำเป็นผู้ครอบครองเป็นผู้รักษา แต่อาตมาทำงานสะดวกขึ้นสบายขึ้น ประกาศธรรมะพระพุทธเจ้าตามแนวคิดของอาตมาก็จบด้วยนานาสังวาสต่างคนต่างบรรยาย แล้วอย่ามาอธิกรณ์กัน นานาสังวาสห้ามอธิกรณ์กัน ที่ผ่านมาท่านได้ฟ้องร้องอาตมาต่อฆราวาสให้ศาลมาตัดสิน มันเป็นการเสียศักดิ์ศรีพระหมด พระจัดการเองไม่ได้ต้องปล่อยให้ศาลฆราวาสมาตัดสิน อาตมาไม่เป็นคนขัดแย้งสังคมให้ขึ้นศาลก็ขึ้น คุณตัดสินก็ตัดสินไปตามกฎหมายของคุณ แต่อาตมายืนยันว่าอาตมาไม่ได้ผิดพระธรรมวินัย แล้วก็ยืนยันว่า คุณนั่นแหละผิดพระธรรมวินัย สุดท้ายเขาก็พูดไม่ออกว่าเขาผิดธรรมวินัย
นี่คือความชนะของสัจธรรม ไม่ใช่อาตมา สัจธรรมมันยืนยันสัจธรรม อาตมาไม่ได้ยึดถือตัวว่าเป็นผู้ชนะ สัจธรรมมันเป็นสัจจะ มันชนะ ก็เลยทำได้ เขาสู้ไม่ได้ ดีนะที่เขาถือในพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน อาตมาก็ใช้พระไตรปิฎกนี่แหละเป็นธรรมนูญหลักของศาสนา ก็ยังดีที่เขายังยอมรับในธรรมนูญนี้ตามพระไตรปิฎกนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นอาตมาทำงานไม่ได้ ตอนนี้เขาก็ยังซื่อสัตย์ ยังยอมรับพระไตรปิฎกยอมรับความจริงนี้อาตมาก็ยืนยันตามนี้
อาตมาก็ขอยืนยันประกาศตามนี้ทำตามนี้
กลับมาที่ ปัญญาสูตร
-
เธอเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรมีปรกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 4 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯเพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…ปัญญาจะเกิดในข้อที่ 4 คุณจะต้องมาปฏิบัติศีลไม่ใช่ไปหลับตาแล้วจะเกิดปัญญา ปัญญาไม่ได้เกิดด้วยการไปนั่งหลับตา แต่ปัญญาจะเกิดจากการ 1. คบสัตบุรุษ 2. เข้าใกล้เงี่ยโสตสดับ 3.ได้ฟังแล้วมีความสงบทั้งกายและจิต 4. เริ่มต้นปฏิบัติตามด้วยศีล
ปัญญาจะเกิดจะต้องปฏิบัติศีลและไม่ใช่ไปแค่รับศีล 5 มยังภันเต วิสุงวิสุง และก็ฟังพระแหล่ หรือไม่ก็ฟังพระสวดมนต์ สวดมนต์เสร็จแล้วพระก็ฉัน บางวัดพระก็มีเทศน์ไป แต่ไม่ได้เข้าใจอะไรเท่าไหร่ ฟังไปหลับไป แล้วก็กลับบ้าน เป็นเพียงจารีตประเพณีถือศีลอย่าง สีลัพพตุปาทาน ถือศีลตามจารีตประเพณีเฉยๆไม่ได้เอาไปปฏิบัติให้เกิดตาม อปัณกธรรม 3
สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตาสัมผัสเครื่องอุปโภคบริโภค สัมผัสกับสัตว์อะไรมันจะเกิดกิเลสอย่างไรก็เรียนรู้เข้าใจ เป็นผู้ตื่นรู้ให้ทันกิเลสแล้วฆ่ากิเลส ด้วยความศรัทธาความรู้ความเข้าใจความเชื่อ ปฏิบัติไปก็จะเกิดความละอายเกรงกลัวต่อบาป หิริโอตัปปะจนได้เป็นพหูสูต ทำให้กิเลสลดลงไปได้มากจนสามารถเป็นพหูสูต เป็นผู้ได้ธรรมะลดกิเลสลงไป จนสามารถรู้จักธรรมะมีสัจธรรมในตนเอง ก็จะเป็นผู้ที่นำพาคนอื่นต่อไปได้เรียกว่าเป็นพหุ หรือเป็นสารถีที่จะนำพาผู้อื่นต่อไปได้
สัทธรรม 4 ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต มีความปฏิสัมพันธ์ใน 4 อย่างนี้แหละ ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องอาศัยผู้รู้อธิบายคนฟังก็ทำความเข้าใจและเอาไปปฏิบัติจนเกิดความละอายความเกรงกลัวต่อบาป ทำให้เกิดความจริงที่มากขึ้นเป็นพหูสูต คุณก็มีวิริยะ สติ ปัญญา เป็นปัญญา ปัญญาอยู่ตรงนี้
สัทธรรม 7 มีปัญญา เป็นตัวที่ 11 ของจรณะ 15
ปัญญาจึงเป็นตัวที่เกิดผลมาจากการปฏิบัติจรณะ 15 ปัญญาจึงไม่ได้เกิดจากการนั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่เลย
เห็นโทษภัย กายกลิ ตัวโทษภัย จับตัวนี้ประหาร กำจัดได้ ก็เกิดความสงบเกิดความบรรลุ เกิดความเจริญจึงจะเป็นปัญญารู้ อาการ ลิงค นิมิต สิ่งที่จัดการได้ด้วยปัญญา โดยที่ปัญญานั้นก็คือ ฌาน
ฌาน อยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหน ฌาน อยู่ที่นั่น นัตถิ ฌานัง อะปัญญัสสะ นัตถิ ปัญญา อะฌายิโน
นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต
ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก
ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน
(พตปฎ. เล่ม ๒๕ ข้อ ๓๕)
ฌานเหมือนไฟโหมไหม้ทำลายราคะโทสะโมหะ
แต่การไปแปลฌานว่าคือเพ่งนิ่ง นี้ผิด ยังดีที่มีพจนานุกรมบางเล่มแปลฌาน ว่าเป็นไฟกองใหญ่ บางเล่มแปลฌานว่าเป็นเพียงการเพ่งนิ่ง มันได้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว
ฌาน เป็นพลังงานร้อนพลังงานทำลายพลังงานเผา ถึงจะเผาพลังงานเหมือนกันคือพลังงานราคะ พลังงานโทสะ พลังงานโมหะให้หมดได้จริง
ฌาน 4 เริ่มต้น
ฌาน ต้องมีวิตกวิจาร ฌานต้องมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ต้องมีการรู้จัก ตักกะ วิตักกะ มันดำริมาแล้วเกิดกิเลสกาม พยาบาท ร่วมด้วยหรือเปล่าแยกให้ออก ต้องวิจารให้ออก มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยจับอาการแยกกิเลสให้ได้ แล้วคุณก็ต้องเรียนรู้วิธีทำลายกิเลส
วิธีทำลายที่ลึกซึ้งสูงส่งด้วยไตรลักษณ์นี้ ต้องเห็นความจริงว่ามันไม่ใช่ของเที่ยง มันไม่ใช่ของแท้มันไม่ใช่ของมีจริง แต่กิเลสมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ คือเหตุแห่งทุกข์ก็แล้วแต่
การเห็นความทุกข์เป็นความสุขนั้นเป็นวิปลาส 4 เห็นความไม่มีตัวตนว่าเป็นตัวตน เป็นต้นในวิปลาส เห็นความไม่งามว่าเป็นความงาม
ผู้ที่เกิดปัญญาเห็นความไม่เที่ยงเห็นความทุกข์และถึงความไม่มีตัวตนเป็นอนัตตาเป็นสิ่งสูงสุด ปฏิบัติธรรมะการพระพุทธเจ้าหรือจะได้ปัญญา
-
เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมากทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 5 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ