621204_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติธรรมกับอาหารในพระสูตรต่างๆ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1L3ZeZABqlm_TtaEJxpep_uZLml1o7Ok6a6aUJw0WEgI/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1_a7bKsLOXHEzRNyi35jEovKQ9D_KNCSU
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก รายการวันนี้จัดที่ชั้น 3 เฮือนศูนย์สูญ วันพรุ่งนี้วันที่ 5 ธันวาคม 2562 พ่อครูอายุครบ 85 ปี 6 เดือน
พ่อครูว่า…อย่านึกว่าการพัฒนาให้เป็นอาริยะบุคคลมีทั้งวรยุทธต่างๆล้านปีนี้อย่านึกว่ามากนะ
สมณะฟ้าไทว่า..อย่าไปคิดว่านานขนาดไหนเลย ขยันทำไปก็แล้วกันอย่างน้อยก็ osmosis จากพ่อครูไป เขาบอกให้นั่งใกล้ เงี่ยโสตสดับ ให้มีปรโตโฆษะ โยนิโสมนสิการ สูตรนี้ทำให้คนเจริญมีสัมมาทิฏฐิ คนจะเจริญขึ้นได้เรื่อยๆถ้ามี 2 อย่างนี้
พ่อครูว่า..เจริญด้วยปัญญา 8 ประการข้อที่ 1 ข้อที่ 2
สมณะฟ้าไทว่า…ปัญญาของพุทธนี้ทำแต่ลดกิเลสแล้วทำกุศล
พ่อครูว่า..ต้องมีการสัมผัสสัมพันธ์กับหมู่กลุ่มกับข้างนอกด้วย ไม่ใช่ไปเกิดจากการนั่งหลับตาทำสมาธิให้สงบสนิท ปัญญาจะโผล่ขึ้นมาเอง อันนี้น่าสงสารมันห่างไกลจากสัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่รู้กี่พระสูตร ไม่ว่าจะปัญญา 6 หรือปัญญาวุฑฒิก็ตาม
-
สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
-
สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
-
โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
-
ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
ก็ได้แต่เตือนไป ท่านก็ไม่เงี่ยหูฟังสักนิดกันเลย
สมณะฟ้าไท…เขาเข้าใจปัญญาผิดว่าเป็นการหาความรู้แบบโลกีย์
พ่อครูว่า…นั่งหลับตาจะเกิดแต่สัญญา ไม่มีปัญญาเกิด ปัญญาจะเกิดต้องมีเหตุปัจจัยภายนอกร่วมด้วยตลอดเวลา นั่งหลับตาจะมีแต่ทิฏฐิ 62 ไม่มีปัจจุบันธรรม
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เราก็ได้มาฟังสัตบุรุษอย่างของจริงเป็นปัจจุบัน ต้องตั้งใจทำเพียงเพื่อลดกิเลสสร้างกุศลให้มากยิ่งขึ้น
พ่อครูว่า…ตอบคุณ วิไลรัตน์ ที่อยู่สวีเดน เรื่องของอุปาทายรูป 24
_วิไลรัตน์ กราบนมัสการค่ะพ่อท่านดิฉันได้ฟังการบรรยายธรรมเรื่องอุปาทายรูป24เมื่อวันที่ 29 นี้คิดว่ายังไม่เข้าใจดีค่ะจึงขอเรียนถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับปสาทรูปและโคจรรูปในส่วนของโผฏฐัพพะซึ่งเป็นคู่ของกายที่พ่อท่านบอกว่ารูปนอกกับใจมันทำงานร่วมกันจึงเรียกมันเต็มๆไม่ได้ จึงรวมกายกับโผฏฐัพพะไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งพ่อท่านหมายความว่ารูปนอกในที่นี้ก็คือโผฏฐัพพะหรือคะและใจในที่นี้หมายถึงกายหรือคะ
ดิฉันทราบค่ะว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ากายก็คือจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้างแต่ก่อนดิฉันเข้าใจว่ากายในที่นี้คือร่างกายและโผฏฐัพพะในที่นี่ก็คือภาวะเย็นร้อนอ่อนแข็งของรูปภายนอกที่ดิฉันคิดอย่างนี้ก็เพราะว่าปสาทรูปทั้ง 4คือตาหูจมูกลิ้นล้วนเป็นอวัยวะภายนอกของร่างกายทั้งนั้นดังนั้นกายในที่นี้ก็น่าจะหมายถึงร่างกายส่วนอื่นอื่นที่ไม่ใช่ตาหูจมูกลิ้นที่กล่าวมาแล้วขอความกรุณาให้พ่อท่านอธิบายให้กระจ่างอีกครั้งค่ะว่าก่อนหน้านี้ดิฉันเข้าใจผิดมาใช่ไหมคะเพราะดิฉันเข้าใจอย่างนั้นถึงได้งงว่าทำไมโคจรรูปจึงมีแค่ 4ทำไมถึงไม่นับโผฏฐัพพะเป็นหนึ่ง
พ่อครูว่า…ในปสาทรูป โคจรรูป มีรวมกัน 9
ส่วน รูปเสียงกลิ่นรส จะต้องมีสัมผัสภายนอก จึงจะเกิดการรับรู้ เรียกว่าเกิดสัมผัส โผฏฐัพพะแล้วจะเกิดความรู้ทางจิตเรียกว่าเวทนา ที่ใจ เพราะฉะนั้นกายกับใจเป็นการรับรู้ 4 ทวาร ส่วนโผฏฐัพพะ คือรวมหมด กายกับใจรวมเป็นหนึ่ง กายกับใจไม่รวมกันคือร่างคนตาย ก็ไม่รับรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กายจะต้องมีใจอยู่เสมอ พูดอย่างนี้จะชัดเจน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตถาคตเรียกกายว่าจิตมโนวิญญาณ เป็นเรื่องซับซ้อนลึกซึ้ง
ทุกวันนี้ชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจว่ากายนี้คือร่างภายนอกเท่านั้นไม่เกี่ยวกับใจเลย อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิที่เป็นโมฆะสำหรับศาสนาพุทธ จบ จบตรงที่ว่าโมฆะ จบตรงที่ว่าคุณไม่มีมรรคผลไม่มีประโยชน์ทางศาสนาที่จะศึกษาความเป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งละเอียดมาก
ในคุหัฏฐกสุตตนิทเทส เรื่องวิเวก เขาเข้าใจว่าความวิเวกจะต้องปลีกออกไปอยู่ในป่าเอาร่างกายออกไปอยู่ในป่าก็อยู่ในป่าเขาเดินคนเดียวอยู่คนเดียว ก็เลยเป็นการข้องอยู่ในถ้ำที่ไกลจากวิเวกลิบเลย เพราะเอาร่างกายปลีกออกจากการกระทบสัมผัส เข้าใจว่านี่คือวิเวก มันก็เลยยิ่งตีลังกากลับเลย คุณยิ่งไกลจากวิเวก ไกลสุดกู่เลยอย่างนี้เป็นต้น นี่ล่ะมันน่าสงสารไม่ใช่ง่ายที่จะเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าที่หมุนลึกซึ้งซับซ้อน
กายกับใจ นับเป็น 1 ส่วน รูปเสียงกลิ่นรส เป็น 4
กายกับใจ เกิดสัมผัสกันอันนี้แยกกันไม่ได้เป็น 1
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน หากสัมมาทิฏฐิจะไม่มีวันเป็นโรคซึมเศร้า
_พุทธพิมพ์ไพร : ข่าวดังจากหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ลงเรื่องราวเกี่ยวกับ การฆ่าตัวตายของทั้งดารา อาจารย์ คนมีชื่อเสียงมีความรู้ จากอาการป่วยด้วยโรคซึมเศร้า
คำถามคือ ซึมเศร้ามันเป็นขั้นโคม่าของถีนมิทธะหรือเปล่าคะ เพราะอาการมันซึมๆๆไม่อยากทำอะไร แล้วนักนักปฎิบัติธรรมมีสิทธิ์เป็นไหมคะ และจะมีวิธีแก้อย่างไรคะ กราบเรียนถามค่ะ
พ่อครูว่า…โคม่าเป็นภาษาทางแพทย์ ส่วนถีนมิทธะเป็นภาษาของธรรมะ
นักปฏิบัติธรรมมีสิทธิ์เป็นไหม ถ้าหากมีสัมมาทิฏฐิจะไม่มีสิทธิ์เป็น ถ้านักปฏิบัติธรรมที่เป็นมิจฉาทิฐิก็มีสิทธิ์เป็น มีวิธีแก้อย่างไรต้องพบสัตบุรุษฟังสัทธรรมทำให้เกิดปัญญา 8 หรือแม้แต่ในจักร 4 ปัญญาวุฑฒิ 4 ก็ให้พบสัตบุรุษ ฟังสัตบุรุษ ในปัญญา 8 บอกไว้เลยต้องพบพระพุทธเจ้าต้องได้ฟังจากผู้อยู่ในฐานะครูที่เป็นสัตบุรุษ ภาวะศาสนาพุทธคุณไม่มีสิทธิ์รู้เอง ต้องได้สืบทอดการฟังถ่ายทอดมาจากพระพุทธเจ้าโดยพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า หรือได้ฟังจากปากของผู้อยู่ในฐานะครูที่เป็นสัตบุรุษที่มีของแท้ ที่เป็น สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา
ศาสนาพุทธได้เสื่อมไปแล้วจากหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน อาตมาพูดย้ำว่าอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ อาตมาต้องไม่พูดด้วยกิเลสคำพูดต้องเป็นคำจริง ถ้าเชื่ออย่างนี้ก็จะจบ แต่ถ้าไม่เชื่อตั้งแต่ต้นว่าเป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ คุณฟังให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง แล้วคุณจะเข้าใจผิดออกไปเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่มี ปรโตโฆษะ คือต้องฟังของอันอื่นบ้าง แค่คุณคัดอาตมาออกแล้ว ฟังก็ฟังอย่างจับผิดตั้งเป้าไว้ว่าเป็นพวกที่มิจฉาทิฏฐิ ผู้ที่ตั้งเป้าไว้อย่างนั้นฟังธรรมของอาตมาจะยิ่งลำบาก จะยิ่งสั่งสมความไม่ชอบใจอึดอัดขัดเคืองก็จะหาทางขัดแย้ง ตะแบงออกไปเรื่อยๆ อาตมาพาไปทางที่ถูก คุณยิ่งตะแบงออกไปเรื่อยๆของที่คุณคิดว่าคุณถูก คุณยิ่งมีโลกจินตาหาเหตุผลให้แก่ตัวเองยิ่งไปไกลมันยิ่งลงนรกลึกไปเลย
สู่แดนธรรมว่า..แต่ของพ่อครูยังนิ่งอยู่ตรงที่เดิม
พ่อครูว่า..อาตมาก็มั่นคงอยู่อย่างนี้แต่ผู้ที่เข้าใจผิดจะไปไกลเลย ต้องฟังอย่างปรโตโฆษะโยนิโสมนสิการให้ได้ แล้วอาตมาอธิบายการทำใจในใจอย่างถ่องแท้แยบคายให้ลงไปถึงที่เกิด ที่เกิดที่เป็นตัวแก้ไขคือภพชาติ แก้ไขตรงนั้นคุณถึงจะแก้ไขได้ทุกอย่าง เพราะตรงนั้นคือที่เกิดของกิเลสนั่นเอง เจอตัวกิเลสตรงนั้นแล้วคุณก็ต้องเรียนวิธีการดับกิเลส
วิธีกดข่มก็ไม่ถาวร ต้องเรียนรู้ว่ามันเกิดมามันก็ไม่เที่ยงมันเป็นตัวพาให้เราทุกข์ตลอดเวลาต้องเห็นความจริงเลยว่าแล้วมันจะอยู่เป็นตัวเป็นตนไหม มันอนัตตาไม่มีตัวตน
ไตรลักษณ์เป็นความรู้ที่สุดยอด ถ้ามีสภาวะจริงของไตรลักษณ์คุณก็เป็นพระอรหันต์
ไตรลักษณ์ไม่ใช่สภาวะธรรมดาเป็นสภาวะจิตสุดยอด จะเข้าใจว่าทุกอย่างมันเกิดดับและมันก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ตัวตนมันไม่มีหรอก พระอรหันต์ทำตัวตนให้สลายแยกสลายเป็นอุตุธาตุจะได้เลย
อาตมาสรุปโดยปฏิภาณ อาตมามีสภาวะจริงก็ขยายออกมาเป็นภาษาไทย อาจไม่ตรงกับพระไตรปิฎก
_เมื่อตอนต้น วิถีอาริยธรรม พ่อครูว่า จะเลื่อนชั้นโพธิสัตว์จะต้องใช้เวลานานมาก แล้วจะเป็นไปได้ไหมว่าจะเลื่อนได้ภายใน 10 ปี แต่ถ้าพ่อท่านจะเลื่อนเป็นระดับ8 ต้องใช้เวลากี่แสนปี
พ่อครูว่า..อย่าไปเสียเวลารู้เลย คุณถูกศรยิงอาบยาพิษ คุณเจออาตมาว่าจะให้รีบพาลูกศรออกคุณก็บอกว่าต้องตอบก่อนว่าใครยิง เอาลูกศรจากที่ไหนมายิง เอาสารพิษที่ไหนมาอาบ ต้องให้รู้ก่อนเมื่อไหร่รู้แล้วถึงจะให้ผ่า อย่าไปเสียเวลาเลยสู่แดนธรรม มันเป็นพลความ ไมใช่เนื่อหาสาระ ตอบไม่ไหว อจินไตย นานมากนับไม่ได้ ตอบยาก เป็นอจินไตย เป็นทั้งฌานวิสัย และกรรมวิบาก
การเลื่อนขั้นเร็วภายใน 2-3 ปีก็เป็นไปได้ถ้ามีภูมิธรรมเก่ามาแล้วเหมือนพระพาหิยทารุจริยะ ใช้เวลาเพียง 4 ประโยคธรรมะก็บรรลุพระอรหันต์น้ำมันจะเต็มขันแล้ว หยดน้ำเดียวก็เต็ม อยู่ที่บารมีอยู่ที่ความจริงจะเร็วช้าอย่างไรก็อยู่ตรงนี้
แต่กว่าจะมาถึงพระพาหิยทารุจริยะ ใช้เวลามาไม่รู้กี่ล้านปีแล้วเป็นปุถุชนมาก่อน
_ถามอีกว่าซึมเศร้าเป็นอาการโคม่าของถีนมิทธะหรือไม่
พ่อครูว่า…เข้าใจอย่างนั้นก็ได้ ซึมเศร้าเป็นหนักเข้าก็จะฆ่าตัวตายมันก็เป็นการโคม่า
_สู่แดนธรรมว่า ซึมเศร้าเป็นภาวะจิต โคม่าเป็นภาวะทางกาย
พ่อครูว่า…ความซึมเศร้าในชาวอโศกจะหาได้ยากมาก เพราะอโศกคือไม่โศกไม่เศร้า ใครที่เข้ามาซึมเศร้าในนี้ คือมันไม่มี เพราะมันจะเป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจกันทั่วไปงานเยอะไม่มีเวลาเศร้า มีแต่เวลาเหนื่อยหอบแดด แต่ก็ดีจังเลย ทำงานเหนื่อยแต่ได้สั่งสมกุศลธรรม
_ยิ่งโรคร้ายกรายรุกให้ทุกถ้วน ก็ยิ่งด่วนเร่งกายให้ตายง่าย ที่คิดหวังตั้งคงดำรงกาย จึงไม่ง่ายดั่งจิตที่คิดเลย …. กล้ายอม ชาวหินฟ้า ประพันธ์
พ่อครูว่า…ช่วงนี้ก็อยู่ในอาการที่จะเข้าโคม่าแล้วเป็นมะเร็ง ตอนนี้กล้ายอมที่อยู่ปฐมอโศก เป็นชาวอโศกตั้งแต่หนุ่ม ตอนนี้อายุ 60 กว่าแล้ว
ตอนนี้อาการหนักก็เขียนกลอนมา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ก็เขียนกลอนมาได้
เรื่องการเกิดแก่เจ็บตายสำหรับชาวอโศกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกคุณทุกคนอาตมาพูดไม่คิดว่าเคยตายมาแล้วทั้งนั้นเชื่อไหม เพราะเราลำบากรู้การเวียนตายเวียนเกิด rebirth กว่าจะได้มาฟังธรรมะโลกุตระอย่างนี้ได้ พุทธเจ้าท่านตรัสว่า จะพบพระพุทธศาสนาก็ยาก จะได้ฟังจากสัตบุรุษเข้าใจจากสัตบุรุษเข้าใกล้เงี่ยโสตสดับ เป็นภูมิธรรมนะหากไม่มีภูมิธรรมจะไม่มาฟังธรรมจากอาตมาจะไม่มาเข้าใกล้ คุณมีภูมิปัญญาของคุณเองถึงจะมีสัมมาทิฏฐิพระองค์นี้ใช่ เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วจะตั้งใจฟัง ส่วนคนที่ฟังธรรมะอาตมาแล้วบอกว่าไม่ใช่คนนี้ก็น่าสงสาร เป็นคนที่ยังอีกนานอีกไกล
_SMS วันที่ 1 ธ.ค. 2562 (วิถีอาริยธรรม พ่อครู : ราชธานีอโศก)
_เจน ฮู เชอร์ : ทำไมเราไปกราบพ่อครู เราต้องร้องให้ตลอดเลยเจ้าค่ะ ?ไปกราบครู เข้าหาอาจารย์ครู
พ่อครูว่า…มันเป็นจิตที่เกิดเมื่อกระทบสัมผัสแล้วเรามีสิ่งที่ดีใจที่สุดยอดซาบซึ้งประทับใจก็จะมีน้ำตาไหล อุพเพงคาปีติ มากไปก็ไม่ดี พยายามรู้ว่ามันดีแล้วก็อย่าให้มันมากมันแรงเกินต้องบรรเทามัน ถ้าหากมันแรงเกินก็จะกลายเป็นคนขี้ร้องไห้ ขี้แย อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้
นั่งหลับตาปฏิบัติไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา
_ทาทา ปัญญาชมแสง : นอบน้อมหมอบกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ ตามที่ลูกได้ฟังพ่อท่านเทศ สื่อภาษาสมมุติคำว่าทางสายกลาง ตามความเข้าใจของลูก มัชฌิมาปฏิปทาคือมรรคกับผล เป็นเช่นทางเดินมรรคส่วนผลคือกลาง จุดที่สำคัญของทางสายกลางคือต้องเดินให้ถูกมรรควิธี อย่างถูกต้องถูกตรง ถึงสามารถเข้าถึงผล เป้าหมายคือจุดสูญกลางได้ น้อมกราบสาธุคุณความเมตตาพ่อท่านด้วยความนอบน้อมสุดจิตสุดใจของลูกครับ หากไม่ถูกต้องถูกตามตามที่ลูกพ่อเข้าใจได้ พ่อท่านโปรดเมตตาชี้ขุมทรัพย์ลูกด้วยครับ
พ่อครูว่า…กลางคือจิตไม่มีเอียงไม่มีกิเลส ไม่มีเอียงไปทางกาม ไม่มีเอียงไปทางอัตตา ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นพระสูตรแรกที่พระพุทธเจ้าตรัส
ผู้ที่อ่านจิตเป็นแล้วทำจิตเป็นให้ไม่มีกาม และไม่มีอัตตา ช่วยกันลดลง จนเหลือน้อยเป็น รูปราคะ มานะ อุทธัจจะ หมดอาสวะ จิตก็เป็นกลางมัชฌิมา
แต่แปลมัชฌิมาปฏิปทาว่าทางสายกลาง ก็เลยเดินทางแบบไม่รู้ว่าจะหนีจากกามจากอัตตาอย่างไร ก็เดินไปตามทางสายกลาง แต่ไม่ได้เข้าใจสัมมาทิฎฐิว่าจะไปเดินไปสู่จุดไหน เหมือนกับพ่อแม่ลูกที่เดินไปตามทาง จนเสบียงอาหารหมด ก็บอกกันว่าจะไปเดินไปหานิพพาน เดินไปจนหมดอาหารก็ฆ่าลูกกิน เพื่อจะได้มรรคผล เพื่อจะบรรลุจุดมุ่งหมายที่เรียกว่าพระนิพพาน โดยไม่ได้รู้จักเรื่องของ กาม อัตตาสองข้างทางเลย นี่คือผู้ที่มิจฉาทิฐิเดินตามทางสายกลาง ฆ่าลูกกินแล้วก็ยังคร่ำครวญถึงลูกว่าลูกไปไหน คำเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้าทำให้เห็นว่าเขาไม่มีทางเดินไปถึงนิพพานเลย
ต้องแยกชัดเจนว่า กลางคือผล ลดกาม ลดอัตตาไปเรื่อยๆให้น้อยลงๆ จนหมดกามหมดอัตตาก็สูญ ไม่มีกามไม่มีอัตตา นี่คือผล
พูดภาษาทำให้เข้าใจความหมายเป็นภาษาไทยโดยต้องแปลงมา จากภาษาบาลี เขาทำให้สับสนและงง เดินทางสายกลาง พูดถึงอันนี้แล้วก็นึกถึงตัวเองอาตมาปฏิบัติธรรม พยายามลดละอะไรต่างๆ ปฏิบัติตามภูมิปัญญาของตัวเองตั้งแต่อยู่ที่ทำงานโทรทัศน์อยู่
พูดถึงหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัยบอกว่า รัก เอ๋ย ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติทางสายกลางนะ… อาตมาก็ว่าอาตมาเข้าใจนะทางสายกลาง แต่ก็ไม่ได้พูดขัดแย้งเพราะเขานับถือท่านว่าเป็นปราชญ์ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย เป็นธิดาของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ นามสกุลดิศกุล
อาตมาก็ว่าไม่ใช่ง่ายที่จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งชัดเจน
มัชฌิมาปฏิปทาแปลว่าให้เดินทางสายกลางอย่าไปแปลอย่างนี้เลย ถ้าหากอธิบายอย่างนี้จะหลงเดินทางกลางๆไม่เรียนรู้ว่า วิธีปฏิบัติไปสู่ความเป็นกลางเป็นอย่างไรไม่รู้ กาม ไม่รู้อัตตา หากปฏิบัติไม่รู้จักกาม รู้จักอัตตา
เช่นไปนั่งหลับตาแล้วจะรู้จัก กามไหม ทิ้งกามคุณ 5 ไปนั่งหลับตาสะกดจิตเป็นโมฆะตั้งแต่เบื้องต้น คุณจะแปลเองว่าทางสายกลาง คุณก็ไม่มีทางที่รู้จักกามแล้วใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น ยิ่งอธิบายแล้ว ผู้ที่ตั้งใจฟังดีๆที่นั่งหลับตาปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ จะสะดุ้งตีลังกากลับ เอาหัวเดินต่างตีนกันกี่ชาติแล้ว
แล้วไปหลงผิดว่าพระอรหันต์เป็นพวกนั่งหลับตาปฏิบัติอีก ของพระพุทธเจ้าจะบรรลุธรรมต้องลืมตามี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง จากการนั่งหลับตาไม่มี แต่ไปหลงว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านนั่งแล้วจะหลับตาหรือลืมตาก็ไม่มีใครรู้ได้ ท่านไม่ต้องนั่งหลับตาก็ระลึกได้ แต่ผู้ที่ยังไม่เก่งก็ต้องไปนั่งหลับตานึก ท่านก็ระลึกของท่านได้ทันที ไม่ต้องหลับตาหรอก ท่านเพียงแต่ระลึกถึงอดีต ไม่ได้ปฏิบัติธรรม
เตวิชโช ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมแต่เป็นการตรวจสอบ การนั่งหลับตาปฏิบัติมีประโยชน์ 4 อย่าง
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
นั่งหลับตาไม่ใช่ทางปฏิบัติธรรม มีแต่ใช้เป็นเตวิชโชตรวจสอบลงบัญชี ที่ผ่านมา เมื่อวานนี้อาทิตย์ที่แล้วเราปฏิบัติทำอย่างไรมีอะไรเกิดอะไรดับกิเลสเกิดหรือเปล่า แล้วเราได้ดับกิเลสหรือเปล่าเราดับกิเลสได้ อันนี้ผ่านมา ตรวจสอบแล้วมันหมดจริงๆ อาสวะเราไม่มี และเราก็ไม่มีมาหลายทีแล้ว สัมผัสแม้ไม่รู้ตัวหลายทีแล้วมันแรงด้วยก็ไม่มีกิเลสเกิด คุณก็ตรวจสอบตัวเองได้
ของพระพุทธเจ้าต้องตรวจสอบแล้วมีการรักษาผล อย่างนี้เป็นต้น
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
ที่อาตมาเบิกบานตลอด มันเป็นสัจจะของอาตมาที่เป็นอโศก แม้วิรชะก็ไม่เหลือแล้ว เกษม เป็นมงคลอันสุดท้ายในมงคล 38 อโศกเป็น 36 วิรชะ 37 ส่วน เกษมเป็น 38
ของเราจะมีลักษณะ 36 หลายอย่าง อาตมาออกบวชอายุ 36 อาตมาใช้หลักนักษัตร 12 12 12 อย่างนี้เป็นต้น
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สัจจะของพระอรหันต์มีหนึ่งเดียว
_2166 : แล้วระดับหลวงปู่ติช นัชฮันห์-ท่านอ.โกเอ็นก้าจะพอนับเป็นพระอรหันต์ได้ไหมครับท่านพ่อครับ??
พ่อครูว่า…ก็ต้องพูดความจริงว่าไม่หรอก หลวงปู่ติชนัทฮันห์ก็ไม่ใช่พระอรหันต์ โกเอ็นก้าก็ไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านติชนัทฮันห์ท่านก็ทำความสงบเป็นสมาธิลืมตา ส่วนโกเอ็นก้าก็หลับตาเป็นสมถะทั้งหลับตา คนหนึ่งก็ทางลืมตา ซึ่งมันก็เป็นสมถะ ไม่มีปัสสัทธิ ไม่มีสภาพของปัสสัทธิอย่างชัดเจนด้วยการประหารกิเลส มีแต่ทำให้สงบอย่าไปปรุงแต่งต่อ อย่าคิดอย่าทำอะไร ไม่มีรายละเอียดของสูตรต่างๆ องค์ธรรมต่างๆที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ สูตร 2 3 4 5 6 ต่างๆ
แล้วมันจะชัดเจนหมดทุกพระสูตรเลยว่าพระสูตรนี้ทำอะไรอย่างนี้ แล้วก็ได้ทำจริงๆ ก็ได้ผลจากพระสูตรต่างๆเหล่านั้นจริงๆ
ศาสนาพุทธถ้าไม่มีศีลไม่มีทางยืนยันว่าจะบรรลุธรรมต้องมีศีลเป็นตัวตั้งเลย
ศีลข้อที่ 1 ไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ คุณเกี่ยวข้องกับสัตว์โดยเฉพาะกับคน คุณไม่มีจิต
1.ไม่ฆ่าเขา ไม่มีอาวุธมีใจเอ็นดูปรารถนาดีและหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ถ้าจิตคุณไม่เป็นอย่างนี้จริงๆคงไม่ได้ คุณไม่ได้บรรลุศีลข้อที่ 1 อย่างสมบูรณ์
ถ้าคุณมีจิตสมบูรณ์อย่างนี้ก็เป็นพระอรหันต์ในศีลข้อที่ 1 แล้วคุณไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ อยู่กับมนุษย์โลกอย่างปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่อย่างนี้จริงๆ อาตมาเข้าใจสภาวะหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อาตมาจึงว่า ตำหนิดุด่า ผู้ที่ผิด เอาธรรมะพระพุทธเจ้าทำให้เสียหายก็พยายามกำราบตำหนิ ว่าอย่าไปทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้นเป็นการทำลายศาสนาพระพุทธเจ้ามันบาปหนักหนา ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอีกจนไปหลอกลวงเขาว่าตัวเองบรรลุธรรมตัวเองเป็นพระอรหันต์ ก็ยิ่งซ้ำซ้อนใหญ่เลย แล้วก็มีลูกคู่เชียร์ใหญ่ว่าเป็นพระอรหันต์ พ่อแม่ครูอาจารย์เอาเลยเอาเลยมันก็เลยยิ่งหนักไปใหญ่
สัจจะมีหนึ่งเดียวอยู่ผู้เดียว อรหันต์เป็นหนึ่ง
ข้ามโอฆสงสาร เราไม่พักเราไม่เพียร อนายูหัง อัปปัตติฐัง
ธรรม 2 3 4 5 6 หมวดธรรมต่างๆ ซึ่งเราจะเอามาเป็นหลักในการอธิบายธรรมะ ท่านเหล่านั้นจะไม่อาศัยคำสอน พระอนุสาสนี อย่างที่อาตมานำมาแจกแจง หมวด 5 หมวด 10 แม้แต่หมวดเวทนา 108 อย่างนี้เป็นต้น อธิบายให้ฟังแล้วพวกเราก็เข้าใจได้
ไม่ได้พูดข่มดูถูกแต่พวกท่านก็พากเพียรเพื่อเข้าหาสัจธรรม จะว่าง่ายๆ หลวงปู่ติชนัทฮันห์ ก็เป็นสายธัมมานุสารี โกเอ็นก้าเป็นสาย สัทธานุสารี
ก็เป็นผู้พยายามที่จะศึกษาหาสัจจะ ขออภัย ถ้าจะวิจารณ์ไปบ้าง คือ ยังไม่มีอัญญธาตุ ยังไม่มีอัญญา ยังไม่มีปัญญาที่เป็นโลกุตระ ได้สมถะกันทั้งคู่ แล้วก็เลยใช้สมถะอย่างชาวสมัยโบราณมีสำนักได้สมถะ มีวิธีการเยอะแยะ
ไม่ได้ยกตนข่มท่านตัวเองถูกคนอื่นผิด แต่อาตมาต้องใช้ความผิดความถูก อย่างมีเจตนาที่ดีไม่ได้มีเจตนาร้ายที่จะไปข่ม แต่มันเป็นสัจธรรมที่อยู่ในวงการศาสนาพุทธด้วยกัน แต่ถ้าเป็นศาสนาอื่นอาตมาจะไม่ทำ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ว่าศาสนาอื่นเลย แต่อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในวงการศาสนาพุทธมีคนที่พูดไว้ผิดอาตมาก็ต้องชี้ เพราะอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ เกิดมาในยุคนี้เป็น สยังอภิญญา เป็นผู้รู้จักความจริงก็จะต้องมายืนยันมาบอกว่าอันนั้นผิดอันนี้ถูกอย่างจริงใจ อย่างไม่ได้มีอกุศลจิตเลย มีแต่กุศลจิตเมตตาจิตจริงๆ ไม่ได้พูดเอาโก้นะ แต่เป็นสัจจะที่ลึกซึ้งซับซ้อน
อาตมามาทางศาสนาไม่เคยพูดความไม่จริง แต่พูดความจริงตามความจริงใจตามภูมิ ไม่มีอกุศลเจตนาเลย นอกจากเจตนาที่เป็นกุศลและไม่มีเจตนาที่เป็นอกุศล มีแต่กุศลจิตล้วนๆทุกเวลา
มีคนท้วง ที่อาตมาขยายความของบ้านเล็กเมืองน้อยยังไม่สมบูรณ์ อาตมาพูดทิ้งท้ายว่ามันลึกซึ้งซับซ้อน ผู้ที่ทำอันนี้มาเป็นผู้ที่เข้าใจทำหลายอย่างอันนี้มารวมกันเป็นหนึ่งได้ คนจะเข้าใจอย่างนี้ไม่ง่าย คุณเข้าใจอย่างนี้แล้วมาสื่อสารกับอาตมาก็พอแล้วอย่าให้ไปสื่อสารกับคนอื่นเขาจะสรุปรวมอย่างที่คุณทำไม่ได้ง่ายๆ
พ่อครูว่า…อาตมาพอรู้ว่าคนไหนเป็นอย่างไร อาตมาไม่อยากพูดว่าคนนี้ทำไมไปตกหล่นไปศาสนาคริสต์ ที่จริงแล้วเขาไม่ใช่ชาวคริสต์หรอกเขาเป็นชาวพุทธที่มีวิบาก
_สู่แดนธรรมว่า…บางคนมองคนสาธยายธรรมได้ลึกซึ้งว่ามีแต่ภาษา ไม่ได้สภาวะเลย จะดูได้อย่างไร
พ่อครูว่า…เขาเก่งตามเขา เราก็ดูตัวเราก็แล้วกัน คนเราชอบทำนาคนอื่นไม่ชอบทำนาตัวเอง
_สู่แดนธรรมว่า ผมถามเผื่อคนอื่น
พ่อครูว่า…ไม่ต้องเลี่ยงเลย ให้ดูตัวเองก็แล้วกัน อย่าไปทำนาคนอื่นทำเป็นเลี่ยงถามคนอื่น…
อาหารสูตร
มาเข้าสู่เรื่องที่อาตมาเตรียม
จะพูดถึงเรื่อง อาหาร
อาหารสูตร ล.16 ข้อ 28
ผู้จะแสวงหาเรียนรู้ที่เกิด ตัวนี้ทำให้เรามีชาติ เกิดไม่รู้จบ ถ้าเรารู้ตัวเหตุที่ทำให้เกิด การดับเหตุ ชาติปิทุกขาดับได้จริง สมบูรณ์แบบ คุณก็ได้เป็นพระอรหันต์
-
อาหารสูตร
[28] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถปิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 เหล่านี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว รือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด อาหาร 4 เป็นไฉน คือ (1) กวฬีการาหารหยาบ หรือละเอียด (2) ผัสสาหาร (3) มโนสัญเจตนาหาร(4) วิญญาณาหาร อาหาร 4 เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิด มาแล้วหรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ
[29] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อาหาร 4 เหล่านี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไร เป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด
อาหาร 4 เหล่านี้ มีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด
ก็ตัณหานี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ มีเวทนาเป็นที่ตั้งขึ้น มีเวทนาเป็นกำเนิดมีเวทนาเป็นแดนเกิด
ก็เวทนานี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นที่ตั้งขึ้น มีผัสสะเป็นกำเนิด มีผัสสะเป็นแดนเกิด
ก็ผัสสะนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดผัสสะมีสฬายตนะเป็นเหตุ มีสฬายตนะ เป็นที่ตั้งขึ้น มีสฬายตนะเป็นกำเนิด มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด
ก็สฬายตนะนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดสฬายตนะมีนามรูปเป็นเหตุ มีนามรูปเป็นที่ตั้งขึ้น มีนามรูปเป็นกำเนิด มีนามรูป เป็นแดนเกิด
ก็นามรูปนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดนามรูปมีวิญญาณเป็นเหตุ มีวิญญาณเป็นที่ตั้งขึ้น มีวิญญาณเป็นกำเนิด มีวิญญาณเป็นแดนเกิด
ก็วิญญาณนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดวิญญาณมีสังขารเป็นเหตุ มี สังขารเป็นที่ตั้งขึ้น มีสังขารเป็นกำเนิด มีสังขารเป็นแดนเกิด
ก็สังขาร หล่านี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด สังขารทั้งหลายมีอวิชชาเป็นเหตุ มีอวิชชาเป็นที่ตั้งขึ้น มีอวิชชาเป็นกำเนิด มี อวิชชาเป็นแดนเกิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ … ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกอง ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[30] ก็เพราะอวิชชานั้นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขาร จึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ … ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
พ่อครูว่า…กระบวนการเกิดทุก คือ โศก ปริเทว ทุก โทมนัส อุปายาสะ
อโศกไม่มีโศก ไม่มีปริเทวะ คือพิรี้พิไรรำพันต่องแต่งไม่รู้จักแล้วเสียที โศกก็อยู่นั่นแหละ เมื่อไหร่จะหยุดสักที
หากมีวิชชาก็ดับ โศก ปริเทว ทุก โทมนัส อุปายาสะ เป็นพระอรหันต์แต่คุณก็ยังไม่ตาย ภพชาติก็จะมีอยู่ ไม่สงสัย ถ้าเกิดหรือตายอีกก็เป็นอมตะ
มูลสูตร มี
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
คุณปฏิบัติจนเกิดวิมุติก็หยั่งลงเป็นอมตบุคคล คือคนที่ตายก็ได้เกิดก็ได้อย่างอาตมาจะตายก็ได้ จะเกิดก็ได้ ตายคือปรินิพพานเป็นปริโยสานเลยตายแล้วไม่มีเกิดอีกเลย ทำจิตให้เป็นอุตุนิยามไปหมด
อาตมาเอานิยาม 5 มาประกอบ พวกคุณจะเข้าใจเลยว่า คนปรินิพพานเป็นอย่างนี้เอง แยกธาตุจิตเป็นอุตุธาตุได้หมด แยกได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ ก็เรียนไปโสดาบันก็รู้จักโลกอบาย จิตคุณหยั่งลงในโลกอบายอยู่เรื่อย ก็มาล้างโลกอบาย เราแยกธาตุนั้นได้มันเป็นดินน้ำไฟลมไปได้มันไม่มีจิตที่จะไปยินดียินร้ายอะไรกับมันเลยคิดมันบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญ ปภัสสรา ทั้งโลกมันก็มีอบายมุขจัดจ้านอยู่เช่นเดิมเราก็อยู่กับโลกไม่ได้หนีไปไหน
อย่างโลกอบายมุขจัดจ้านทุกวันนี้คือโลกของนักการเมือง ทำตัวเองเหมือนเป็นผู้ดีผู้รู้ผู้มีเกียรติแต่เป็นตัวเลวร้ายทำให้สังคมประเทศชาติย่ำแย่เลย เมืองไทยเป็นขนาดนี้ เราก็ว่าร้ายแล้ว ต่างประเทศยิ่งร้ายกว่านี้ เมืองไทยเรารู้ คนไทยมีศาสนาพุทธรู้สัจธรรม อาตมาเห็นแล้วก็น่าสังเวชใจ อย่างธนาธร เขาจะบ้าไปถึงไหน เขาไม่มีศาสนามีแต่ตัวเอง อัตตาเต็มบ้องเลย
เขาว่าจะลงสู่ประชาชน ไม่เอาสภา เขาจะบ้าอย่างนั้น ก็จะไม่ได้อะไรเขาจะแสดงความโง่และบ้าอยู่อย่างนั้น ปราชญ์จะเห็นเขา คนมืดด้วยอัตตาจะไม่รู้ตัวเอง คนที่มีทิฐิเดียวกันเช่นปิยบุตรหรือคุณช่อ ในพรรคของเขา จะไปด้วยกัน ในโลกสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า หลุมดำ เขาไม่รู้ความดำของเขา ก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่กับอะไร คนอื่นเขาก็เห็น แต่เขาจะมืดไม่รู้เห็นอะไร ขออภัยที่ยกตัวอย่างธนาธร
ยิ่งทักษิณยิ่งตาบอดตาใส เขานึกว่าเขาตาใส แต่เขามืดบอดในหลุมดำเบอร์มิวด้า แล้วก็มีคนหลงเดินทางไปหาเขา นึกว่าทักษิณนี้จะยิ่งใหญ่ เป็นไปได้ต้องอย่างทักษิณ งมงายจนอาตมาก็เห็นแล้ว
แม้สุดารัตน์ลง ส.ส.ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งเลย มันคืออะไรตกต่ำจนถึงขนาด ประชาชนเขาไม่เอาคุณเขาก็ยังไม่รู้เรื่อง
อาหาร 1 คือปฏิจจสมุปบาท
อาหาร 2 คืออวิชชาสูตร
สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อวิชชาสูตร
แต่ก่อนพระพุทธเจ้าภาษาคำว่าอวิชชาก็มีแต่สภาวะรู้จักอวิชชาไม่มี
เล่ม 24 ข้อ 61 อวิชชาสูตร
[61] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อวิชชามีข้อนี้เป็นปัจจัยจึงปรากฏ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวอวิชชาว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของอวิชชาควรจะกล่าวว่านิวรณ์ 5 แม้นิวรณ์ 5 เราก็กล่าวว่ามีอาหารมิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
ก็อะไรเป็นอาหารของนิวรณ์ 5 ควรกล่าวว่า ทุจริต 3 แม้ทุจริต 3 เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
ก็อะไรเป็นอาหารของทุจริต 3 ควรกล่าวว่า การไม่สำรวมอินทรีย์ แม้การไม่สำรวมอินทรีย์เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
ก็อะไรเป็นอาหารแห่งการไม่สำรวมอินทรีย์ ควรกล่าวว่าความไม่มีสติสัมปชัญญะ แม้ความไม่มีสติสัมปชัญญะเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่าการกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย แม้การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายเรา
ก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายควรกล่าวว่าความไม่มีศรัทธา แม้ความไม่มีศรัทธาเราก็กล่าวว่ามีอาหารมิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา ควรกล่าวว่า การไม่ฟังสัทธรรม แม้การไม่ฟังสัทธรรมเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
ก็อะไรเป็นอาหารของการไม่ฟังสัทธรรมควรกล่าวว่า การไม่คบสัปบุรุษ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ย่อมยังการไม่ฟัง สัทธรรมให้บริบูรณ์
-
การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์
-
ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์
-
การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์
-
ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์
-
การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต 3 ให้บริบูรณ์
-
ทุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมยังนิวรณ์ 5 ให้บริบูรณ์
-
นิวรณ์ 5 ที่บริบูรณ์ย่อมยังอวิชชาให้บริบูรณ์
-
อวิชชานี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฯ
พ่อครูว่า…เพราะฉะนั้นทุจริต 3 คือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
คุณมีกรรม 3 กายวาจาใจ ตลอด หากอวิชชาคุณก็ทำทุจริตกรรม 3 ตลอด ทำกิเลสใส่จิตตลอดเวลาเลยจึงเรียกว่าทุจริต
สู่แดนธรรมว่า …พ่อครูเคยบอกว่า การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติดัดจากทุจริตมาให้สุจริต แต่เขาทำเป็นคำประชดว่าดัดจริต
พ่อครูว่า…การทำใจในใจไม่แยบคาย คืออโยนิโสมนสิการ หากโยนิโสมนสิการไม่เป็นคุณปฏิบัติธรรมไม่ได้เลย โยนิโสมนสิการเป็นองค์ที่ 7 ของสุริยเปยยาลสูตร
โยนิโสมนสิการเป็นคู่ของปรโตโฆษะ ที่ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
ในปัญญาวุฒฑิ 4 ก็มี
-
สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
-
สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
-
โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
-
ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)