ธ.ค.132019ศาสนา621213_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฌานวิสัยของอรหันต์และโพธิสัตว์ อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1AyzuX52lOaCMMrJHipp1yGF7otX2Tf8MmAWjQqTHHaY/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1OT91YzXBK4DHf8c4jOVagWh0Mj7NMK4K สมณะฟ้าไทว่า..วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562 ที่บวร ราชธานีอโศก ช่วงนี้ก็มีงานศพของพลเอกชปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พวกเราก็ไปกันหลายคน เผาวันที่ 14 ธ.ค. 62 ส่วนที่ราชธานีอโศกก็มีงานศพโยมหาญ พ่อของสมณะแก่นเกล้า ช่วงนี้ใกล้งานปีใหม่เพื่อฟ้าดิน ประมาณสักครึ่งเดือน พวกเราก็จะมาช่วยกันจัดงานเพื่อฟ้าดินและงาน ว.บบบ. บำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรม มีการสอบ พ่อครูว่า…sms วันที่ 11 ธ.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ : พ่อครู บ้านราช) จักรพล พุทธพัฒนา : พ่อครูเป็นอภัพพบุคคลคือบุคคลผู้ไม่อาภัพเพราะ อยู่ยอดสุดแล้ว นอกนั้นเป็นบุคคลผู้อาภัพหมดเพราะยังต้องรับฟังคำสอนจากพ่อครูอยู่ทั้งสิ้น./พ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ7แล้ว…ลูกๆยังอยู่ระดับต้นๆอยู่เลยซึ่งห่างไกลกันอย่างลิบลับแทบจะมองไม่เห็นฝุ่นเลยครับ./ผมรู้ลึกๆว่าพ่อครูต้องใช้ปฏินิสสัคคะมากเลยที่จะลงมาสั่งสอนลูกๆเพื่อ 1อาศัยลูกเป็นบันไดเพื่อบำเพ็ญบารมีให้สูงขึ้นๆ 2เพื่อเป็นประโยชน์กับลูกๆเองที่จะไต่เต้าตามไปครับ. _คุณป้า ห้าแปด : ชอบฟังเทศตอนตีสี่ตีห้ามากจ้า _รักธรรม สรหงษ์ : ไม่ชอบหน้าจอสีขาวเลย ดูทางทีวีแสบตามากกกก _กิ่งฟ้า ขันหล้า : เป็นตาหัวเว้ย5555ลูกฟังแล้วหัวเราะคนเดียว. พ่อท่านก็ตลกจ้า พ่อครูคะ.. เหตุใดโลกใบนี้ ธรรมะปลอมเยอะจัง น่าสงสารชาวโลกจัง… พ่อครูว่า…อาตมาแนะให้เปียหม่องเขาใส่ยี่ห้อแทบเล็ตของไดโนเสาร์เพื่อล้อเลียน หัวเว่ย ของเรา เป็นตาหัวเว่ย เป็นภาษาอีสาน คือน่าหัวเราะน่าขัน _view6 view6 : นางงาม เป็นการเมือง การค้าขายของ อเมกา _จากป้าฝั่งบุญฝากถามมา ว่า “น้อมกราบนมัสการพ่อครูฯ ค่ะ .. ช่วงนี้พ่อครูเทศน์เรื่องอาหารและเทศน์เชิงโลกวิทูได้บรรยากาศสนุกสนาน ทำให้ลูกเกิดมีสภาวะเรื่องเปรตจัดแถว อยากทราบว่าเปรตจัดแถวมีนัยยะที่เกี่ยวข้องกับอาหารสูตรอย่างไรคะ / ขอพ่อครูอธิบายความเป็นศิลปะโลกุตระของนิทานเรื่องเปรตจัดแถว เพื่อเป็นการเพิ่มภูมิปัญญาให้กับลูกๆ ด้วยค่ะ พ่อครูว่า…อธิบายกันมาเป็นปุคลาธิษฐาน เรื่องเปรตจัดแถว เปรตมองเห็นคนนอนในศาลาเป็นแถว มันไม่ได้เป็นสัดส่วนเลย ก็เลยจัดให้เท่ากัน จัดเท้าให้เท่ากันก่อน แล้วก็เดินไปทางหัว เห็นว่าหัวไม่เท่ากันก็จัดให้หัวอยู่ในระดับเท่ากันอีก แล้วก็เดินมาที่เท้า ก็เห็นว่าเท้าไม่เท่ากันอีก ก็เลยจัดที่เท้าให้เท่ากันอีก แล้วก็เดินไปจัดที่หัวอีก… เข้ากับที่จะอธิบาย ปุตตมังสสูตรให้ฟัง ฌานวิสัยของพุทธเป็นเช่นไร _สู่แดนธรรม มีดร.ถามมาว่า ถามท่านผู้รู้.. ฌานวิสัยจัดเป็นอจินไตย๔ แต่ “นิพพาน” ทำไมไม่จัดเป็นอจินไตย ๔ เพราะอะไร? ผมตอบสั้นๆว่า นิพพานไม่ใช่ของลึกลับอะไร เป็นสิ่งที่รู้แจ้งในขณะลืมตาได้ รู้เข้าถึง-บรรลุเข้าอริยสัจ 4ได้ด้วยอธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา จึงไม่ใช่อจินไตย – ผมตอบแบบนี้ ถูกไหมครับ ? พ่อครูว่า…ผู้พ้นวิสัย สย แปลว่าตัวตน วิสยะ แปลว่าไม่ใช่ตัวตนหรือเป็นตัวตนอย่างยิ่ง วิ แปลได้สองด้าน คือ สุดยอดกับต่ำตีน นิพพานเป็นภาวะที่เดาไม่ได้ เป็นพุทธวิสัย เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ตัวนิพพาน พ้นจากความไม่รู้ยิ่งกว่ารู้ ยิ่งกว่า วิ พุทธวิสัยนั้น วิยิ่งกว่าวิ จะว่าสุดยอดก็ได้แต่คือหมดไม่เหลือ ผู้จะมีฌานวิสัย จึงคิดเอาไม่ได้ ผู้มีฌานจะไม่ใช่แค่คิดเอาเดาเอาด้วยเหตุผล แต่จะเป็นผู้พ้นจากความเป็นฌาน ไม่ต้องไปคำนึงไม่ต้องไปกังวลอะไร จริงๆแล้วจะแปล วิสัย ว่า มันเป็นไป เป็นไปได้แล้วเลิกแล้วจบแล้ว มันจบแล้วเรื่องฌาน คำว่า ฌาน ขออธิบายแทรกเลย คำว่าฌาน เป็นเรื่องที่คนคิดเอาไม่ได้ เป็นเรื่องเหนือกว่าการคาดคิด จึงเป็นเรื่อง อจินไตย ผู้ที่มีฌานที่เป็นแบบพุทธ เพราะฌานนี้เป็นภาษาโลกๆ แต่สภาวะของมัน มันเป็นสภาวะโลกุตระ แต่ฌานเป็นภาษาโลกๆ ชาวโลกโลกียวิสัยก็เข้าใจ ฌาน อย่างนั้นทั่วไปเลย ส่วนผู้เข้าใจ ฌาน ได้แล้วมี ฌานจริง อย่างอาตมามีฌาน อาตมาจึงได้พยายามอธิบายความเป็นฌาน แก่พวกเราฟัง อาตมาเป็นคนมีฌานอยู่ตลอดเวลาเป็นฌานแบบพุทธ แต่ฌานแบบโลกีย์ต้องไปนั่งหลับตาแล้วเข้าฌานออกฌาน ของพุทธไม่มีเข้าไม่มีออก มันเป็น วิสัย มันสุดวิสัยทั้งปลายทั้งต้นแล้ว มันเป็นในตัวเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา เป็นฌานที่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 อยู่ตลอดเวลา ฌานคืออะไร? ฌานคือไฟ พลังงานทางจิต ผู้ที่สร้างพลังงานทางจิต ทำให้มีประสิทธิภาพเพื่อเผาไฟราคะโทสะโมหะ ยังดีที่มีพยัญชนะยืนยันว่าไฟราคะโทสะโมหะ ฌานก็แปลว่าไฟ ในพจนานุกรมบาลีก็แปลว่าไฟ แต่เขาไม่ใช้แล้ว ไปแปลว่าความเพ่ง ไอ้เพ่งนี้มันเพี้ยน คำว่าเพ่งนี้เพี้ยน ฌานไม่ได้เพ่ง แต่ฌานคือคุณต้องชัดเจนถ่องแท้โยนิโสมนสิการ ต้องรู้ความเป็นฌาน ว่าเป็นสภาวะสร้างพลังงานให้แก่จิต เข้าไปสลายไฟราคะ โทสะโมหะได้ อาตมาเป็นคนมีฌานอยู่ตลอดเวลาคือ มีลักษณะจิตเป็นพลังงานที่ได้สร้างมาแล้วทำได้แล้ว เป็นไฟที่เผากิเลส โลภะโทสะโมหะ เผาได้ เพราะฉะนั้นในชีวิตของอาตมา จิตจะเป็นฌานอยู่ตลอดเวลา ราคะโทสะโมหะมากระทบปั๊บ ไหม้เลย จะเอาพลังงานราคะโทสะโหมะใส่อาตมา กระทบอาตมาก็ร่วงผลอย อย่างกับปลิงที่ มาถูกร่างกายเราที่ได้ทาน้ำมันหม่องไว้ มันกระทบก็อ่อนผล็อยเลย หลุดไปเลยมันไม่กล้าแตะ มันเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสิ่งที่เป็นธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ลักษณะฌานที่เข้าใจกันอยู่ เป็นสิ่งที่คุณไปทำจิตในจิตเป็นมนสิการชนิดหนึ่ง แล้วคุณก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้จิตเป็นสมถะ หยุดๆ แต่ฌานเป็นพลังงานอุณหธาตุ ไฟ ไฟ เรารู้ว่าร้อน แต่ไฟฌานไม่ใช่ร้อนแบบโลกๆ ไฟฌานไม่ได้ทำอะไรอื่นนอกจากเผาราคะโทสะโมหะ ไฟฌานไม่ทำหน้าที่อื่นเลอะเทอะ นอกจากมาเผากิเลสอย่างเดียว พอไฟฌานเผากิเลสเรียบร้อยเรียกพลังงานสุดท้ายว่า บุญ กำจัดกิเลสเสร็จเป็นผลของบุญ หากทำไม่ได้สำเร็จหมด ก็ได้แค่ส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยาเช่นได้แค่โสดาบันไม่ได้อรหันต์ อรหัตตะ คือสุด อรหะ กับ อันตะ พอเผาได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าส่วนแห่งบุญก็เป็นโสดาบัน ได้สูงกว่านั้นเป็นสกิทาฯ เป็นอนาคาฯก็สุด อันตะ อาตมาพูดพยัญชนะเหล่านี้เป็นภาษาสภาวะ แล้วฌานนั้นได้แล้วได้เลย ไม่ต้องเข้าไม่ต้องออก แบบฌานฤาษี แต่เดี๋ยวนี้เขาอยู่กับฌานฤาษีเต็มไปหมด อาตมาหยิบเอาฌานที่เป็ของพระพุทธเจ้า เป็นอจินไตย หากไม่สัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติได้จะไม่มีทางได้ฌานของพุทธเลย ฌานของพระพุทธเจ้าไม่หลับตา ฌานของพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติลืมตาแล้วมีสัมผัสทั้ง 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจทำงานร่วมกัน แล้วก็มีการปฏิบัติเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ เบื้องต้นก็ศีล 5 เป็นขั้นต้น ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืชกับของ ข้อที่ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณ 5 คือฐานข้างนอก แล้วก็ใจ นี่คือเบื้องต้น ศีล 5 ผู้ที่ปฏิบัตินั่งหลับตา ไม่พยายามปฏิบัติให้มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย มาเรียนรู้ กระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะเกิดไฟ ราคะโทสะโมหะ ไฟราคะคือศีลข้อ 3 ไฟโลภะ คือศีลข้อ 2 ไฟโทสะคือศีลข้อ 1 ก็ต้องเรียนรู้อาการกิเลสเหล่านั้นจริงๆ แล้วก็ลดมาเป็นเบื้องต้น การปฏิบัติหลับตาไม่ได้เรียนรู้ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธแม้แต่บรรลุฌานที่ 4 แล้วก็ไม่นั่งหลับตา เป็นพระโสดาบันก็ไม่ได้หลับตาปฏิบัติ พระสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็ไม่ได้นั่งหลับตาปฏิบัติ ต้องลืมตาอย่างมีปัญญา ปัญญาจะเกิดได้ต้องมี ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมีมัคคังคะ มีสัมมาทิฏฐิ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ต้องมีมัคคังคะ ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ขณะทำงานอาชีพ ในขณะทำกรรมการกระทำการงานกัมมันตะ ในขณะพูด ในขณะมีวาจา ในขณะนึกคิดอยู่ แต่การทำฌานนั่งหลับตาทำสมาธิ แล้วบอกอย่าไปคิด แล้วจะเกิดปัญญา มันคนละขั้วกับของพระพุทธเจ้าเลยที่จะต้องมีกรรมการงานมีอาชีพมีมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ คุณจึงจะเกิดภูมิปัญญา แต่เขายึดถือผิดๆไปนั่งหลับตา อาตมาขออภัยอ.บูรพา ผดุงไทย ที่เขียนอยู่ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์เป็นการเผยแพร่สิ่งที่ผิด เราก็พูดในฐานะเป็นชาวพุทธด้วยกัน เมื่อเขาไปเผยแพร่ผิดเรามีความเห็นต่างก็ต้องท้วงอย่างปรารถนาดีไม่ต้องการไปข่มหรือไปทำลาย อยากให้พิจารณาศึกษาดีๆ หากว่าไปเผยแพร่สิ่งที่ผิดของศาสนาพุทธมันเท่ากับทำลายศาสนาพุทธ ต้องได้ฟังจากสัตบุรุษ ผู้อยู่ในฐานะครู แต่ที่เขาฟังและทำตามกันมามันผิดมาตลอด คุณมนสิการมาเหมือนกัน แต่พากันทำใจในใจอย่างอโยนิโสไม่ถ่องแท้ไม่แยบคายไม่ถูกต้องไม่ลงไปถึงที่เกิด มนสิการไม่เป็นปภวะ ในมูลสูตร 10 ข้อที่ 2 คุณไม่มีแดนเกิดที่ต้องไปจัดการกิเลส คือที่หทยรูป แม้แต่ในจิตก็ไม่ถูกต้องและก็มิจฉาทิฏฐิอีกก็เลยไปใหญ่เลย เอาแพะมาชนแกะ ชนกับช้างกับม้ากับแมงหวี่เละไปหมด ขออภัยพูดเหมือนดูถูก แต่พากันไปใหญ่แล้ว อาตมาอ่านแต่ของอ.บูรพา แต่หากอาตมาได้อ่านของคนอื่นๆ ก็ไม่ได้อ่านเท่าไหร่ เวลาที่มีในชาตินี้ก็เลยไม่ค่อยได้ศึกษาของคนอื่น อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมา เจาะกรอบของอวิชชาออกมาได้ก่อนเพื่อน นอกนั้นไม่ได้เจาะออกมาเลย อวิชชายังหุ้มอยู่ พูดสัจจะ ไม่ได้ดูถูกข่มเบ่งยกตัวยกตน คำว่าฌานนี้ไม่เข้าไม่ออก เรียนรู้จิตในจิต จิตในจิตจะเป็นฌานได้ คุณต้องมีการกระทบสัมผัสต่างๆของจมูกลิ้นกายกระทบแล้วมันจะเกิดเวทนา มีอารมณ์มีความรู้สึกแล้วให้เรียนรู้ตรงนี้ ศาสนาพุทธไม่ต้องไปนอกที่นอกทางตรงไหน เป็นกรรมฐาน พื้นฐานที่จะต้องจัดการ จะบรรลุก็ตรงนี้ ตรงที่เวทนา ให้สมบูรณ์แบบ คือเวทนานี้มันเป็นสุขเป็นทุกข์ ศาสนาพุทธง่ายและสั้น หากว่ารู้ที่มันแล้ว เรียนรู้อารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ เรียกว่าอริยสัจ คนไปหลงความสุขว่าเป็นความทุกข์ นี่คือความวิปริต เห็นของไม่น่าได้ไม่น่าเป็นมาเป็นของน่าได้น่าเป็น เห็นของไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นของไม่มีตัวตนว่าเป็นตัวตน นี่คือวิปริต 4 ศาสนาพุทธทุกวันนี้ครบวิปริต 4 จะต้องทำพลังงานจิตอย่างไรจึงจะเป็นพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดพลังงาน ลด ราคะ สลายราคะ ทำลายราคะ โทสะ โมหะ มันทำลายได้จริงๆ คุณจะต้องรู้จิต แล้วต้องรู้พลังงานในจิตแล้วคุณก็ต้องสร้างพลังงานนี้เรียกว่าอภิสังขาร คนธรรมดาปุถุชนก็อภิเหมือนกัน แต่เอากิเลสมาปรุงแต่ง สำหรับปุถุชนคนทั่วไป เป็นธรรมดาธรรมชาติ มีความโง่เอากิเลสมาปรุงแต่งใส่จิตใจให้หนาขึ้นจึงเรียกว่า ปุถุ แปลว่า หนา โต ใหญ่ มาก อ้วน คือลักษณะที่มันพองขึ้นมากขึ้นใหญ่ขึ้นโตขึ้น ไม่มีหยุด คนไม่รู้ปุถุชนอวิชชา ธรรมดานึกให้ดีๆชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต คุณก็ต้องการความสุขใช่ไหม ความสุขคือการบำเรอกิเลส แต่คุณก็ต้องได้ความทุกข์นั่นแหละ เพราะกิเลสมันหนาขึ้น คุณก็ได้เสพกิเลสชอบใจพอใจเมื่อไรปุ๊บ เป็นกิเลสหนาขึ้น คุณก็สะสมความทุกข์มากขึ้นทันทีมีอวิชชาอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าคุณไม่รู้จักศาสนาพุทธ ตลอดเวลาคุณแสวงหาแต่ความสุข แต่คุณก็ได้ความทุกข์ทุกวินาทีลมหายใจเข้าออก คิดทันไหม คนที่ไม่ได้ศึกษาไม่ได้ฟังสัตบุรุษ อาตมาพูดให้คุณฟัง จะรู้ว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษ ตลอดเวลาที่คุณเสพความสุขก็บำเรออัตตาใส่จิตตลอดเวลาเป็นปุถุชน น่ากลัวไหม ไม่ได้ฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษก็งมงายอีกไม่รู้กี่เท่า แล้วก็เป็นหลงอยู่ในลัทธิเทวะนิยม สุดท้ายก็เป็นลูกศิษย์พระเจ้า อยู่ในความสุขสวรรค์วิมาน อยู่ในแดนสุขาวดีแดนสุขนิยม มีพระเจ้าเป็นเจ้าของใหญ่ ตายแล้วต้องไปอยู่กับตรงนั้น นี่คือความไม่รู้ ศาสนาเทวนิยมไม่มีทางล้าง อัตตา ไม่มีทางพ้นทุกข์พ้นสุข ก็เป็นสุขนิยมคือ สุขเที่ยงแท้ตลอดกาลนิรันดร พระเจ้านิรันดรความสุขนิรันดร ความสุขเที่ยง เมื่อไปเข้าใจมิจฉาทิฐิว่าความสุขนิรันดรแล้วก็หมดทาง ถ้าใครเข้าใจผิดว่าความสุขมันดีแล้วต้องบำรุงความสุขอยู่ตลอดกาล จบเห่เลย คุณจะต้องรู้ว่าเรากำลังมีความสุข เราก็ต้องหยุด อย่าแสวงความสุข หยุดไปเรื่อยๆ พวกนี้จะรู้ก็ยาก ยิ่งจะทำยิ่งยาก ไม่เอาความสุข ที่จะไม่เอาสุขแล้วทุกข์ก็จะลดได้ด้วย ต้องรู้ว่าทุกอย่างมันเกิดจากเหตุปัจจัยการกระทบสัมผัสมันไม่มีความสุขความทุกข์อะไร แต่คุณไปอุปาทาน แล้วก็ไปมีเทวะ คือ 2 อย่างนี้ชอบไม่ชอบอย่างนี้ ความสุขความทุกข์คุณก็มีแค่ 2 เท่านั้นแหละ คุณมีหนึ่งให้ได้ วันนี้ไม่มีผลไม้ที่บนโต๊ะให้อธิบายเลย คุณมีตากระทบรูป ไม่ว่าคนชาติไหน กระทบแล้วต้องเห็นว่ารูปนี้คือรูปนี้ รูปนี้คือดอกไม้ เป็น common noun ส่วน proper noun เรียกว่า ดอนญ่า ไม่ใช่ดอนปู่ มันเป็นดอกไม้จากต่างประเทศชื่อต่างประเทศ ก็มีรูปร่างสีสันมีกลิ่นอย่างนี้ คุณก็เห็นเหมือนกัน ไทยจีนแขกฝรั่ง ชาติไหนก็เห็นเหมือนกัน นั่นคือเวทนาตัวจริง ความรู้ตัวจริง ความรู้สึกตัวจริง ความเข้าใจตัวจริง แต่คนที่เห็นอันนี้แล้ว มีความรู้สึก ตัวเก๊ตัวปลอมว่า สวย หอมดี น่าได้น่ามีน่าเป็น อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น มันเหม็น มันไม่สวย อันนั้นล่ะเก๊ อันนั้นคือความคิดวิปริต เป็นเวทนา 2 คุณเรียนรู้ความจริงตามความเป็นจริง เห็นความจริงตามความเป็นจริงได้จบ ตัวเดียวอันเดียว ไม่เกิดภาวะ 2 คนนั้นก็จบเป็นพระอรหันต์ ง่ายนิดเดียวศาสนาพุทธ เห็นรูปก็ตาม ได้ยินเสียงก็ตามได้กลิ่นก็ตาม ได้สัมผัสโผฏฐัพพะ แล้วคุณก็มีเก๊ผสมมา ก็เป็นความสุขแบบเทวนิยมไม่รู้จบแต่คนที่รู้ความจริงแล้วจบไม่มีอารมณ์ไม่มีความรู้สึกสองนี้เลย พระอรหันต์ ง่ายนิดเดียว ศาสนาพุทธ คุณเข้าใจให้ถูกต้องแล้วทำให้ได้ตลอดเวลาคุณก็เป็นพระอรหันต์ เริ่มต้นทำได้ครั้งหนึ่งนิดนึง คุณก็เริ่มต้นเข้ากระแสเรียกว่า โสตาปันนะ โสตา แปลว่าเข้ากระแส โสตาปันนะ คือเข้ากระแสศาสนาพุทธศาสนาพุทธเรียนรู้ในการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายไม่ใช่ไปนั่งหลับตา มีพระสูตรหนึ่งบอกว่าอาจารย์เธอสอนอย่างไร เขาก็บอกว่าอาจารย์สอนให้ปิดหูปิดตาปิดจมูกไม่รับรู้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าอย่างนั้นก็เหมือนกับการทำตาให้บอดสิ แต่สงบของศาสนาพุทธคือสงบจากกิเลส แล้วจิตมันก็สงบ จิตจริงยิ่งคล่องแคล่ว มีกายปาคุญญตา จิตยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ทำงานได้เก่ง มีกายกัมมัญญตา ธรรมะด้วยปัญญา ด้วยฉลาด ยิ่งทำงานได้เก่ง ฌานของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ยิ่งหยุดนิ่งแข็ง ไม่คิด พูดทีไรก็นึกถึงอาจารย์บูรพาที่สอนคนละขั้วกับอาตมาแล้วมันทำลายศาสนาพุทธเพราะมันผิด อาตมายืนยันว่าอาตมาพูดถูกอาจารย์บูรพาพูดผิด นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ. สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน สมณะแสนดิน _สัมมา ภะคะวันต พระโพธิสัตว์คือใคร ต่างจากพระอรหันต์อย่างไร ?? พ่อครูว่า…โพธิ คือความรู้ที่จำกัดแต่ว่าไม่ได้นอกเหนือไปจากความรู้เรื่องโลกุตระ คำว่าโพธิ หมายถึง ความรู้ทางโลกุตระ คือบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ส่วนอรหันต์ มาจากอรหะ + อัตตะ อรหะ คือไม่ลึกลับ อันตะคือที่สุด อะไรไม่ลึกลับ คือความไม่รู้เรื่องกิเลสที่ทำให้เราอยู่ติดโลก ติดอัตตา ความรู้เรื่องโลก ไม่ลึกลับ อัตตาก็ไม่ลึกลับ แล้วแบ่งความรู้โพธิ จากโลกอบาย เช่นเราติดฝิ่น เป็นอบายเป็นโลก ที่ต้องวนเวียนความสุขความทุกข์ จะมีความโทษภัยเสียหายไม่รู้ฉันชอบฉันติด ฉันติดหมากติดพลูก็กินหมากกินพลู ก็ติดไม่รู้ว่ามันเป็นอบาย คนพวกนี้ไม่รู้โลกไม่รู้อัตตา อัตตา เป็นตัวตนภายใน ก็เลยไม่รู้ที่สุดของความเป็นโลกความเป็นอัตตา ไม่อรหะ คือไม่หมดความลับ แจ้งสว่างแล้วหลุดพ้นด้วย ไม่มีโลก ไม่มีอัตตา กับอันนี้แล้วก็เป็นผู้จบไปเป็นรอบๆ แห่งโพธิ _พระโพธิสัตว์ หมายถึง ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจะตรัสรู้เป็นพระพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือจะตรัสรู้เป็นพุทธสาวกอย่างใดอย่างหนึ่ง พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในช่วงที่ท่านบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น ท่านจะสะสมบารมีตามควรแก่อัตตภาพ คือ ในสมัยนอกพุทธกาล ท่านย่อมสะสมบารมี เช่น ทาน ศีล เนกขัมมะ เจริญสมถภาวนา แต่ในสมัยที่พบพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ท่านย่อมฟังธรรม ศึกษาพระธรรมวินัย เจริญทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งสมถะและวิปัสสนา ส่วนคำว่าพระอรหันต์ หมายถึง ผู้ที่ตรัสรู้ธรรม ละกิเลสได้ทั้งหมด ได้แก่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก สรุป พระอรหันต์ คือ ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล ส่วนพระโพธิสัตว์ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่เป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในอนาคต… พ่อครูว่า…เขาเข้าใจเป็นมิจฉาทิฏฐิ ว่า อรหันต์ตายแล้วต้องตายสูญกลับมาเกิดอีกไม่ได้ แล้วเป็นโสดาบันเกิดตายอีกไม่เกิน 7 ชาติต้องเป็นอรหันต์ แต่โพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญนานมาก หากเป็นโสดาบันก่อนก็เป็นโพธิสัตว์ไม่ได้ ก็เลยยกให้โพธิสัตว์เป็นปุถุชน บำเพ็ญไปอีกนานแล้วจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเอง…ซึ่งไม่เป็นขั้นเป็นตอนที่จะสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้เลย อาตมาเป็นผู้นำเรื่องพระโพธิสัตว์ที่มีขั้นตอนการปฏิบัติสูงไปเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างมีลำดับ คือ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์(ยังไม่เที่ยงที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า) 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โพธิสัตว์คือผู้ดับกิเลสไปเป็นลำดับ _ก่อนที่จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตของพระโพธิสัตว์ก็คือชีวิตของผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส ถ้าพูดถึงคนที่ยังไม่ได้ดับกิเลสเลย ก็ลองคิดดูว่ากิเลสจะมีมากสักเพียงไหน ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งริษยา ทั้งความสำคัญตน ความถือตน ความลบหลู่ ฯลฯ ทุกอย่างต้องมีมากทีเดียว แต่ว่าทำไมพระองค์จึงเป็นพระโพธิสัตว์ ในขณะที่ผู้อื่นไม่เป็น? ก็เพราะเหตุว่าพระองค์มีการพิจารณาสิ่งที่มีในขณะนั้นด้วยความแยบคายว่ามาจากไหน..คืออะไร..และเกิดขึ้นได้อย่างไร.. เราเกิดมานี้ มีตัวของเรา ตั้งแต่ศรีษะตลอดเท้า เหมือนกับเป็นสมบัติของเรา ได้มาโดยไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย หมายความว่า เมื่อเกิดมาก็มีแล้ว และก็ยึดถือเอาไว้ด้วยว่าเป็นของเรา แต่ว่าพระโพธิสัตว์คิดพิจารณาว่า สภาพธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วก็เปลี่ยนแปลงอย่างไรไม่เที่ยง คือ ทุกคนเกิดมาที่จะไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ไม่ให้สุขบ้าง ไม่ให้ทุกข์บ้าง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ต้องมีเหตุที่จะทำให้สภาพธรรมเหล่านี้เกิดขึ้น นี่คือ ฝผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะพิจารณาค้นคว้าสัจธรรม ซึ่งกว่าจะได้ตรัสรู้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วที่สุด ก็ต้องอาศัยการบำเพ็ญพระบารมีครบถ้วน ถึง4อสงไขย 1แสนกัปสำหรับผู้ที่มีปัญญายิ่ง แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีศรัทธานำหน้า ปัญญาน้อยกว่า ก็ต้องใช้เวลาถึง 8 อสงไขย 1 แสนกัป แต่ถ้าเป็นผู้ที่ศรัทธาก็ไม่มาก ปัญญาก็ไม่มาก ต้องอาศัยวิริยะ ก็ต้องบำเพ็ญบารมีถึง 16อสงไขย 1แสนกัป แต่สำหรับเราชาวพุทธ โชคดีที่ว่าได้มีโอกาสเกิดในสมัยที่พระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสื่อม ยังไม่ลบเลือน ยังไม่สูญไป เพราะเหตุว่าพระไตรปิฎกและอรรถกถายังครบสมบูรณ์”.. พ่อครูว่า…ทุกวันนี้สองพันห้าร้อยกว่าปี ยึดถือการนั่งหลับตาแบบเดียรถีย์หมด อาตมาไม่ได้ดูถูก แต่เห็นที่คุณทำมันผิด แต่อาตมาเห็นถูกที่คุณทำผิดมา ก็เอาพระไตรปิฎกมายืนยันอธิบาย ที่คุณว่า ไม่เสื่อม ที่จริงเสื่อมตัวคนเสื่อมจากศาสนา แต่ว่าพระไตรปิฎกไม่เสื่อม พระอรรถกาทำให้คนเข้าใจผิดเพี้ยนไปมากเลย อาตมาเอามาอธิบายได้โดยไม่ต้องอาศัยอรรถกถาจารย์ อาศัยบ้างที่รับรู้ตรงกันก็เอามาใช้ไม่ตรงก็ตีทิ้ง อาตมาเอาตัวเองเป็นใหญ่ ใครจะหาว่าอาตมาหลงตนเองก็ไม่เป็นไร อาตมาว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ หาคนถูกกว่า ไม่มี พูดแล้วเหมือนอวดดียกตัวยกตน อาตมาต้องพูดต้องบรรยายเช่นนี้ อาตมาขยายเข้าหาเนื้อ จะใช้ภาษาที่แรงเหมือนหยาบก็ใช้บ้าง ขออภัยที่ต้องใช้เพื่อสื่อให้เข้าหาสาระแก่นแท้ ล. 16 3. ปุตตมังสสูตร [240] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร 4 อย่างนั้นคือ 1. กวฬิงการาหาร หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง 2. ผัสสาหาร 3. มโนสัญเจตนาหาร 4. วิญญาณาหาร ภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ พ่อครูว่า…ผู้ที่หยุดแสวงหาทางโลกแล้วก็มาทางนี้ คนทางโลกแสวงหา อยากได้อยากมีอยากเป็นอะไรต่างๆนานาสารพัด อยากมาเป็นอรหันต์ดีกว่า ถ้าจะอยาก แล้วจะเป็นได้อย่างไร อาตมาว่าถ้าคนไหนชัดเจนเรื่องนี้ ถ้าเราจะไปเก่งรวยฉลาดเป็นดอกเตอร์อย่างโลกเขาเป็น อาตมาว่ามันเยอะ ไม่จบหรอก คุณเกิดมาแต่ละชาติก็ได้เป็นแล้วก็เบื่อ แล้วก็อยากเป็นอย่างอื่นก็หมุนเวียน ได้เป็นแล้วก็ลืมไปว่าได้เป็น วนเวียนซ้ำไม่รู้กี่ซ้ำ บำเรอกิเลสแล้วก็จำไม่ได้อีก แต่ละโลกแต่ละยุคก็ต่างกันไป ไม่จบ มาอยากเป็นอรหันต์จะไปสู่ความหมดอยาก สูญ ไม่ต้องอยากจะเป็นอะไรอีกเลย อรหันต์คือ ผู้รู้จักจุดสูญ อย่างอาตมารู้จุดสูญแล้ว แล้วก็สอนให้คนอื่นรู้จักจุดสูญตามเป็นขั้นตอน เมื่อเป็นอรหันต์นแล้วจะรู้สูญจบ แล้วก็จะมีภพภูมิสูงขึ้นไปเป็นพระพุทธเจ้า คุณก็จบตัวเองได้เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว อรหันต์คือ ผู้รู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน จัดการจิตของเรา ให้เป็น ธาตุ เป็นอุตุธาตุได้ ให้เป็นพีชธาตุได้ ทำจิตให้เป็นพีชะ อุตุธาตุ ทำได้จริงๆ เป็นพีชะได้ก็ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว หากทำให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ก็ไม่เวียนกลับมาเกิดอีกเลย นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธ ยิ่งใหญ่อย่างนี้ จึงมีอรหัตตผล มีปรินิพพาน ศาสนาเทวนิยมตีไม่แตกหรอกจิตที่เป็น2 ที่เป็นรูปเป็นนาม เป็นกายเป็นจิต เขาว่าแยกกายแยกจิตก็นั่งหลับตา แล้วถอดกายทิพย์ เห็นร่างของตัวเองนั่งอยู่นี่แหละคือว่าวิชาถอดกาย ถอดจิต สมณะฟ้าไท…เคยแต่ไปทำสะกดจิต พ่อครูว่า…เป็นอุปาทานชนิดหนึ่ง ว่าจิตตนลอยล่องเห็นตัวเองนอนอยู่นั่งอยู่ กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร อธิบายนามรูปเลย วิญญาณาหาร [244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ จบสูตรที่ 3 พ่อครูว่า…ผู้ใดเห็นว่าหอกแทงร้อยเล่มแทง รู้สึกเจ็บได้ กำหนดรู้วิญญาณาหารได้ คนใดเข้าใจคำว่านามรูปเท่านั้นแหละจะเรียนรู้วิญญาณได้ เท่านี้ล่ะศาสนาพุทธ เห็นไหมว่านามรูปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย _กราบนิมนต์พ่อครูให้ปัญญากับกรรมการชุมชนเรื่องดูดทราย ตั้งแต่เช้ามีประชุมตั้งแต่ตีห้า จะได้ไม่ต้องไปถึง 9 องค์กร พ่อครูว่า… ทรายมันอยู่ที่นี่ ตัดสินกันที่นี่ได้เลย ถ้าจะตักทรายมาขอสัมปทานให้ถูกเรื่อง ถ้าไม่มีปัญญาตัดสินเรื่องนี้ ก็ออกจากกรรมการเถิด เรื่องไม่ควรต้องถึง 9 องค์กร มันเกินไปแล้วต้องไปหา 9 องค์กรต้องไปประชุมที่โน่น กรรมการไม่มีความมั่นใจตัวเอง กลัวจะผิด กลัวเข้าคุก อาตมาว่าถ้าอ่อนแอก็ออกจากกรรมการให้ผู้แข็งแรงไปทำงานแทน พูดให้ชัดเจนไม่อย่างนั้นไม่รู้ขอบเขตการทำงาน ดีไม่ดีจะต้องไปถึงรมต.ที่ดูแล สมณะฟ้าไท สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin13 ธันวาคม 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:621211พระศรีลังกา มาราชธานีอโศกNextNext post:621215_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทย เกิดมาเพื่อให้ศึกษาRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024