ธ.ค.182019ศาสนา621218_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปุตตมังสสูตร ว่าด้วยอาหาร 4 อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1bEFkoJYiMqyo2akqEm23BArKwdh6wY63F421Kmb5Upc/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1JT_lz93U9dTZ8GYQdTwsMQRsXW_l3orN สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้คนก็ตื่นเต้นกับเรื่องฆาตกร ที่เห็นผู้หญิงตายแล้วมีความสุข เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งคนเขาก็จับได้แล้ว พ่อครูว่า…ตอนนี้เรียบเรียงหนังสือเกี่ยวกับประชาธิปไตยไทยที่น่าศึกษา ไม่ได้ทำใหญ่โตอะไร แต่เรามีสิทธิ์จะเสนอความเห็นของเราไป แน่ใจว่าเรามีประชาธิปไตยที่เป็นตัวอย่างที่เป็นไปได้ยืนยันได้ เทียบเคียงกับทางโลกที่เขาอธิบาย แต่เขาเข้าใจยังไม่ตรงในความหมายของประชาธิปไตย เหนื่อยแต่ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว มีนักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ อ.เป็นต้น นาประโคน เขียนกลอนถึง พ่อกล้าหาญ บุญมานัด ความตาย มรดกต้อง ได้รับ ชีวิตสัตว์โลกดับ ทุกผู้ หลายล้านชาติ ห่อนรับ ให้ครบถ้วนฤา กฎแห่งกรรมควรรู้ หลีกเร้นฤามี พ่อกล้าหาญพ่อผู้ เกิดมา ได้รับการศึกษา เล็กน้อย เป็นเพียงลูกชาวนาจนยาก สูเฮย เป็นนักสู้ห่อนด้อยสดับแล้ว ตรองดู เลี้ยงครอบครัวลูกน้อย หลายคน เกิดบนความยากจน ทุกข์แท้ แบกหาบหามหาบ ทุกหน เหงื่อพ่อ โทรมกาย ทุกช์เกิดพ่อรู้แก้ ทุกข์คลาย ถึงวาระสุดท้าย มาถึง มัจจุราชมาถึง พ่อแล้ว เหลือเพียงชื่อรำพึง ถึงพ่อ ฝากลูกหลานไว้เพียงชื่อ อยู่หลัง วันนี้เผาศพพ่อ กล้าหาญ อนาคตก็ถึงกาล ทุกผู้ อยู่ในโลกมานาน มัวท่องเที่ยวไฉน เตือนสติให้เรารู้ จบแล้วอำลา เครือญาติสิ้นกองทัพ กองเท่าบรรพตผา กอบไว้ อนาคตไม่อวดอ้าง ฤทธี ความเก่งฉกาจที่มี แกร่งกล้า เป็นปราชญ์แต่อัปรีย์ ความคิดต่ำเฮย เมืองพุทธ …บันทึกไม่ทัน _ก็มีจดหมายร้องเรียนมา ก็มีเรื่องการมาเยี่ยมชมงานอโศกธานี อยากให้เป็นที่ศึกษาเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ จะได้น่ามาศึกษาเรียนรู้มากขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ต้อนรับน่าจะมีความรู้มากขึ้น เห็นมีเนื้อสัตว์เอามากินโจ๋งครึ่ม หรือบางคนก็อยากมาจุดธูปขอขมาเรื่องอุบัติเหตุ โต๊ะอาหารที่บวรมีไก่ย่างเป็นอาหารปกติ ในหลายคันรถบัส การทำงานปฏิคมต้องชัดเจน อันดับแรกเรื่องสุขภาพ มีความเป็นอยู่อย่างไร มีศีลที่ไม่เหมือนข้างนอก อบายมุขทั้งหมดมีอะไรบ้างที่ละล้างไม่เสพ พ่อครูว่า…ก็คงพอรู้จุดที่ท้วงติงมา ปฏิคมก็พยายามปรับขันชะเนาะแก้ไขคนละเล็กละน้อย เป็นประโยชน์ ไม่ต้องไปติดใจคนว่ามา ใครว่ามาเราก็มาดูว่าเราทำได้ไหม อันนี้จริงหรือไม่จริง ก็ปรับไป SMS วันที่16ธ.ค.2562(สำมะปี๋ซี๋วิต :พ่อครู) _ไพศาลศรี :เสียงมีซ่าๆ ไมค์น่าจะปรับได้ _เจน ฮู เชอร์ : มีเสียงรบกวนคืออะไรค่ะ? ฝนตกรึค่ะ? _กตํ สุขํ ธนํ : จริงค่ะมีเสียงจือๆๆตลอดเลยค่ะ _มนตรี จุติสงขลา:มีเสียงรบกวนเหมือนพัดลมเป่าครับ _จักรพงษ์ เดชหามาตร์ : ปลั๊กเครื่องเสียงหลวมรึเปล่าครับ มีเสียงซ่าๆแทรกรบกวนตลอด _ชรนา ตุลาบดี:ทีมสื่อรบกวนตรวจสอบการออกอากาศทางยูทูปด้วยค่ะ วันนี้มีเสียงคลื่นซ่าๆๆๆ แทรกค่อนข้างดัง รบกวนการรับฟังมากค่ะ (ต่อมาMCR ได้แก้ไขเสียงซ่าๆได้แล้ว โดยย้ายช่องไมค์ครับ) _นานา อัจฉรีย์:อยากให้เพิ่มเสียงดังๆ ในสื่อ Youtubeค่ะ ช่วงหลังรายการธรรมะ ฟังย้อนหลัง ไม่ว่า ภาคทบทวน หรือ ท่านพ่อครู เสียงเบาไปนะคะ ช่วยเพิ่มเสียงดัง จะได้ทำงานไป และฟังได้ค่ะ อนุโมทนาค่ะ _ปุญญา ธัมมา:ชีวิต คือ อะไรคะ พ่อครูว่า..ชีวิตคือการดิ้นด๊อกแด๊ก สัตว์เดรัจฉานตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็ดิ้นด๊อกแด๊กกันทั้งนั้น แต่ถ้าหมายถึงคน ชีวิตคืออะไร มันยาว ชีวิตก็คือสิ่งที่เกิดมาแล้วได้อัตภาพมา จนกระทั่งมาเป็นคน จนกระทั่งมาได้พบธรรมะ พบโลกุตรธรรมด้วยนี่แหละชีวิตมนุษย์เดินมาดีแล้ว มาถึงคราวที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาโลกุตรธรรม ซึ่งมันเป็นเรื่องยากไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นคำว่าชีวิต เข้าใจเลยว่าคุณอยากไปตัดชีวิตอะไรง่ายๆเลย ตราบใดที่คุณยังไม่บรรลุธรรมแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานไป คุณจะยังตกค้างไปในความเป็นชีวิตตลอดไปอีกเป็นล้านๆปี ขอยืนยัน อ่านอาการใจได้อย่างไร _คิดตรง นาวาบุญนิยม :ฝึกลมหายใจดูลมหายใจก็จะทำให้เรารู้ใจได้ง่ายขึ้นสำหรับมือใหม่ พ่อครูว่า..ก็พอได้เป็นสมถะ ที่จริงใจของพระพุทธเจ้าต้องสัมผัสกับภายนอกด้วยตาหูจมูกลิ้นกายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องยากเบื้องต้น เพราะฉะนั้นจะรู้ใจในใจของเรา จับใจตัวเองไม่ติดเลย ก็นั่งหลับตาจับอาการใจให้ได้แล้วก็มาลืมตาให้รู้อาการใจ อาการชอบใจอาการดีใจ อาการชัง อาการสุข ทุกข์ ไปดูดดึงกับอันนั้นอันนี้ ก็ค่อยเรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต ส่วนอุเทสคือที่อาตมาอธิบายไปนี้ ลิงค คือเพศคืออาการที่แตกต่างกัน แล้วเราก็จับเครื่องหมายคือนิมิตไว้ เครื่องหมายนี้ต้องหมายรู้เอาเอง ที่พูดนี้ทำมือประกอบให้เข้าใจ คุณก็ต้องไปอ่านอาการ อาการจิตเราเกิดอย่างนี้ อาการรัก อาการโกรธ อาการทุกข์ อาการสุข อาการชอบไม่ชอบ มันแรงมากแรงน้อย แล้วทำให้มันไม่แรง เบาในสิ่งไม่ดี ทำเองจะรู้เป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ของตน ของคนอื่นดูอย่างไรก็ไม่ชัดเจนไม่เห็นไม่ได้ ต้องรู้ของตนเป็นอาการในจิตใจของตนเองจิตใจอยู่ในร่างของตนเองใน คูหาสยังนี้ กายยาววาหนาคืบกว้างศอกนี้ ติดตามรับฟังดีๆได้มาพบศาสนามาพบพวกเราก็ดีแล้ว _กิ่งฟ้า ขันหล้า : 55555พ่อท่านเมตตาลุงอุ๊ดมากๆๆ / ซิกงิกแปลว่างอนๆหงิกๆไม่พอใจ. แล้วจะแสดงอาการ เอาแต่ใจ _รุจิรา วงศ์ปาลี :พ่อครูเคยเทศน์ว่าเถระสมาคมเป็นที่พึ่งของชาติบ้านเมืองไม่ได้ พ่อครูว่า..ได้โดยเอาประเทศเป็นเครื่องมือหากิน ช่วยประเภทที่ช่วยแล้วใช้เป็นเหยื่อเป็นเครื่องมืออาศัย ที่จริงก็น่าสงสาร เขาทำไปโดยไม่รู้ตัวก็เป็นวิบากบาปของตน อาตมาก็พูดด้วยจริงใจจะช่วย เพราะมันเป็นโลกียะ ไปบวชนี้ได้อภิสิทธิ์นะ ชาวไทยที่ไปบวช ก็อย่างธัมมชโยอาศัยความเป็นนักบวช อาศัยพูดเก่งฉลาดเฉโก หลอกล้วงตับกินไส้ ผู้คนหลอกกันพามาบาปซ้ำซ้อนเยอะแยะ เดี๋ยวนี้คนก็ยังหลง จะได้วิมานสารพัดที่จะทำอุปาทานมาหลอกคนซับซ้อน แล้วคนก็ขี้โลภอยากได้ แล้วตนก็ไม่รู้ว่าที่ตนอยากได้จะมีจริงไหม เป็นเรื่องถูกหลอกเข้าใจผิดกัน เขามีคนไปเยอะนะ จะบวชเป็นล้าน แต่ดีที่รัฐจัดการก็เลยลดลงไปเรื่อยๆในบทบาท ประเทศไทยใจดีจัดการไปตามลำดับ ไม่ทำอย่างหักด้ามพร้าด้วยเข่า ก็ค่อยๆเป็นไป อาตมาพูดถึงเถรสมาคมด้วยความเมตตาจริงใจ จะว่าไม่มีส่วนถูกเลยก็ไม่ใช่ แต่ไม่มีเปอเซ็นต์จะเป็นน้ำหนักเอามาใช้ได้ หากเถรสมาคม มีความรู้โลกุตรธรรมมากกว่านี้อาตมาจะไม่หนักหนาเลยจะไปได้เร็วกว่านี้ก็ลุยเลย คนทั้งประเทศเขาให้เกียรติ ให้ค่าเป็นที่หนึ่งของโลกเดี๋ยวนี้โลกเข้าใจพุทธศาสนามากขึ้น ขนาดเขาเห็นไม่ครบมุมก็ว่าดี แต่ถ้าเขาเห็นถึงโลกุตรธรรมได้ เมื่อนั้น รับแขกไม่ทันเลย เพราะพลโลกประเทศไทยมี 70 กว่าล้าน เทียบเคียงกับประชากรโลก 7 พันกว่าล้าน ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าน้ำหนักของสัจธรรม น้ำหนักขอสิ่งสูงสิ่งหนึ่ง โลกีย์เหมือนโฟม แม้มีมากแต่น้ำหนักสู้ปรอทที่มีจำนวนน้อยไม่ได้ _สมณะ คิดถูก : ทุกๆปัญหาบรรดามีกันทั่วโลกเกิดจากการแย่งชิงในลาภ ตำแหน่งเพื่อให้ได้มาชึ่งสรรเสริญและสุข ต่างมุ่งเอาชนะใครอื่นไม่อาจฝืนใจตน และไม่รู้ว่ากำลังทำทุกข์ให้แก่ตนและคนอื่นอยู่ ทราบว่าพ่อครูอยู่เหนือสิ่งต่างๆที่เป็นโลกธรรมทั้งปวง จึงอยากเรียนถามทางที่ลัดสั้นว่าพ่อครูทำใจได้อย่างไรไม่ให้อยากใหญ่เหมือนทอน หรือทำตัวให้เล็กเหมือนพืช ใครเหยียบย่ำก็ไร้ถือสา มีใจหนักแน่นดั่งพสุธา ผมว่าถ้าคนในโลกเอาชนะไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจของไอ้เจ้าสี่ตัว โลกคงสงบได้เยอะ และคนที่จะช่วยให้ออกจากปัญหานี้ก็เห็นมีพ่อครูผู้เป็นไก่ตัวพี่เท่านั้น พ่อครูว่า..คุณเองก็พยายามพากเพียรช่วยกันจะได้ช่วยมนุษย์อื่นได้ ก็ทำอย่างอาตมา ทำอย่างไรก็ต้องมีคุณธรรมที่ไม่มีอัตตามานะ เป็นภาษาที่บอกอุปกิเลส มีมานะอัตตาหลงตนอยากใหญ่อยากเบ่ง เหมือนธร เหมือนทรัมป์ เราศึกษาธรรมะจะเห็นลักษณะจริง ขนาดอาตมาไม่ใหญ่เท่าธร เท่าทรัมป์ เขามีพลเมืองมาปราศรัยมากกว่าอาตมามาก ขนาดอาตมานี่ แค่นี้ ยังเหนื่อยแทบจะตายเลย แล้วทำอย่างโน้นแลกเอาโลกีย์อาตมาทิ้งมาแล้ว แล้วจะให้ทำอีก ก็โง่ซ้ำซ้อนใครจะโง่ซ้ำซ้อนจะกกโลกีย์ไว้อีกก็เรื่องของเขา อาตมาลดละมาแสดงตัวยืนยันความจริงว่าธรรมะพระพุทธเจ้าทำให้คนหมดจริง เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างอาตมา แล้วพยายามรักษาชีวิตให้ยืนยาวเพื่อให้เห็นกายกรรมวจีกรรม อย่างไร เข้ามาในหมู่จะมีบุคคลทุกระดับ พระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ พระพุทธเจ้าสอนแล้ว อยู่กับหมู่มิตร สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ อธิบายยาก แต่ของจริงมันมี พยายามขวนขวายทำให้ได้มากจนคุณสามารถที่จะรับเอาได้หรือได้รับมากเท่าไหร่ คุณก็พยายามหาทางเอา ความติดคืออารามตา 5 อย่าง _ควีน : รบกวนพ่อครูอธิบายเรื่องคณิการามตาด้วยค่ะ พ่อครูเคยอธิบายสั้นๆว่าหมายถึงการหลงหมู่คณะใหญ่ๆ คำนี้จะหมายความรวมถึงเรื่องดังต่อไปนี้หรือเปล่าคะ: (1) การอยากมีพวกพ้องเยอะๆ จะได้มีอำนาจในการผลักดันนโยบายตามที่ตนต้องการ และ (2) การอยากมีเพื่อน มีคนรักเยอะๆ ซึ่งทำให้เราอาจจะไม่กล้าทำอะไรขัดใจคน แม้ว่าเรื่องนั้นจะถูกต้องเป็นสัมมาทิฐิก็ตาม พ่อครูว่า..คณิกะมาจากคำว่า คณะ ความเป็นคณะต้องมีความเข้าใจ คณะคนชั่ว คณะคนดี ที่ห้ามไม่ให้คลุกคลี อารามตา แปลว่าความยินดี ยินดีในคณะ ความยินดีที่เป็นโทษ มี 5 อย่าง กัมมารามตา ภัสสารามตา สังคณิการามตา นิทรารามตา ปปัญจารามตา กัมมารามตา คือยินดีในการทำงาน อธิบายซื่อๆคือไม่ให้ยินดีในการทำงาน ยินดีในการทำงานเป็นความเสื่อมของการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับคณิกา หากไปยินดีในหมู่คณะไม่ดีต้องไม่ยินดี ต้องปลีกเดี่ยว หากไปยินดีในหมู่ก็เสื่อม ก็เช่นกัน ไปยินดีในการงานก็เสื่อม การทำงานแล้วหลงติดยึดการงานคือยินดี อย่าไปหลงติดหลงยึดการงานจนเสียสุภาพเป็นต้น จนทำเวอร์ไป หรือเสียผลการงาน หรือมุ่นกับการงานนี้การงานอื่นที่ควรทำก็เสีย หากเราพอช่วยได้ ทั้งที่ไม่ควรไปมุ่นกับงานนั้นแล้วก็มีมิติอีกมาก ภัสสารามตา ไปยินดีในคำพูด เสื่อม ก็ตีความว่าต้องไปนั่งหุบปากจึงเจริญ ก็พาซื่อผิดๆอีก ต้องมีนัยละเอียดอีก นิทรารามตา ไปยินดีในการนอน ก็แปลซื่อๆว่าไม่ต้องนอนไปเนสัชชิ อย่างนี้เป็นต้นก็ไม่ถูก แต่ควรนอนอย่างพอเหมาะพอดี นอนไม่ให้สติตก กิเลสมาเล่นงานฝันร้ายแรง ฝันราคะโทสะแรงก็ไม่ดี สังคณิการามตา มีการร่วมหมู่ก็ต้องเลือกหมู่คณะไปร่วม อย่าไปยินดีกับหมู่คนชั่ว แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่คบหา เราต้องคบหาหมู่มิตรดี แต่ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันไปคบหาหมู่ไม่ดีก็ถูกดึงไปแน่ หากจะเข้าไปหมู่ไม่ดีต้องมีพลังพอ หากพลังไม่พอเสร็จ ต้องมาอยู่กับหมู่คนดี แต่ถ้าไม่ก็ถูกดึงไปแน่ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท..เราต้องมายินดีกับหมู่โลกุตระ ต้องจัดสรรให้ดี พ่อครูว่า…วันนี้จะเอาปุตตมังสสูตร ล.16 ข้อ 240 มาอธิบายตามลำดับ ล. 16 3. ปุตตมังสสูตร [240] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร 4 อย่างนั้นคือ 1. กวฬิงการาหาร หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง 2. ผัสสาหาร 3. มโนสัญเจตนาหาร 4. วิญญาณาหาร ภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ อาหาร 4 1.กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . . 2.ผัสสาหาร (อาหาร คือ ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) . 3.มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) มีกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา วิภวตัณหาเป็นตัณหาที่ไม่มีภพ เป็นภาษาสิริมหามายา คือไม่มีแล้วซึ่ง กามภพ รูปภพอรุปภพ แต่อันนี้ กามตัณหาหมด ภวตัณหาหมด แต่วิภวตัณหานี่ ที่หมดก็หมดที่มีก็มีอย่างยิ่งคือตัณหาที่ไม่มีภพแล้ว แต่มีตัณหา อย่างพระพุทธเจ้า อรหันต์ทุกองค์ก็ใช้วิภวตัณหา ดับกามภพ รูปภพ อรูปภพแล้ว แต่ตัณหา วิภวตัณหายังมี มันลึกซึ้งซับซ้อน ตัณหาคือความอยาก อยากสอนเขาอยู่ อย่างอาตาใช้ตัณหาตลอด คนก็หาว่าไปอยากอะไรอีก อาตมาไม่มีกามภพ รูปภพ อรูปภพ เช่นอาตมาไม่เคยอยากกินข้าวไม่เคยอยากหิวน้ำ มีแต่ร่างกายโหยก็เท่านั้น ยิ่งน้ำนี่ไม่เคยกระหายเลย มีแต่คนเอามาให้ดื่ม ก็พูดความจริงให้ฟัง จิตไม่ได้อยาก ถึงเวลากินก็กิน มันแน่นท้องก็กินเข้าไปยาก ไม่แน่นท้องก็กินเข้าไปได้ไม่ได้อร่อย รสอร่อยโลกียรสอาตมาไม่มีแล้ว แต่ความอร่อยหรือไม่อร่อยคุณต้องดูอาการของความอร่อยกับที่มันไม่อร่อย หรือว่าที่อร่อยมากกับอร่อยน้อยก็ต่างกัน คุณก็ต้องลดลงมาให้เบาบางจนไม่อร่อยเลย มันกลางๆ หรือว่ามันไม่อร่อยเพราะว่ามันผลัก ผลักกับดูดคู่กันสองข้าง แต่นี่ไม่ผลัก อร่อยน้อยลงจนกลาง จะมีเปรี้ยวหวานมันเค็มอะไรก็ดูได้ แต่ว่ามันไม่มีอร่อย หวานก็หวาน เปรี้ยวก็เปรี้ยวเค็มก็เค็มเผ็ดก็เผ็ด อาตมาสู้รสเผ็ดไม่ค่อยได้ มันจะไอ นอกนั้นก็พอได้ หวานก็นิดหน่อยหวานพอสมควรได้หวานมากไม่ไหวกินไม่เข้า มันไม่ไอ แต่กินไม่เข้า เปรี้ยวมากก็ไม่ไหว เย็นมากก็ไม่ได้ ร้อนมากก็ไม่ได้ น้ำออกมาจากช่องฟรีซมาอาตมาดื่มไม่ได้ วิภวตัณหาจึงเป็นตัณหาอุดมการณ์ ได้ชื่อวิภวตัณหา เป็นความอยากเป็นความปรารถนาเป็นความต้องการแต่เป็นความปรารถนาเพื่อผู้อื่น จิตเราไม่ได้มีภพชาติแล้ว กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่เกิดอีก กามตัณหา ภวตัณหาไม่เกิดอีก ก็มีแต่วิภวตัณหา เป็นตัณหาเครื่องอาศัย ในมโนสัญเจตนาหาร มีวิภวตัณหาซ้อนอยู่ มีนัยละเอียดลึกซึ้ง 4.วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) . (ปุตตมังสสูตร พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 241-244) . อาตมายังต้องการเกิดเพื่อแสวงหาที่เกิดเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่คนไม่รู้ อวิชชาก็อยากเกิดอีกไม่อยากตาย ถึงอยากตาย ตายไปแต่ทำปรินิพพานเป็่นปริโยสานไม่ได้ไม่มีทางดับอัตภาพได้หรอก ปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ได้ ยิ่งหลงผิดเป็นอรหันต์เก๊ อาฬารดาบส อุทกดาบสดับตัวเองไปอยู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า พระพุทธเจ้าทรงอุทานว่าชิบหายแล้วหนอจะช่วยอย่างไรได้ เขารู้ผิด ผู้ที่หลงตนว่าเป็นอรหันต์ หากมรรคผิด ผลก็ผิด อย่างไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ยิ่งปั้นนิรมาณกาย มีเพื่อนร่วมเสวยความโมเม เป็นสัมโภคกาย พูดกันรู้เรื่องนึกว่าเข้าใจเหมือนกัน ก็เป็น อาทิสมาณกาย ต่างคนต่างไม่เห็นของกันของใครของมัน แต่พูดตรงกันว่าใช่ สัมโภคกาย เรียกว่าอุปาทานหมู่ มันยึดอันนี้ พูดไปแล้วเป็นภาษาอย่างหนึ่งนามธรรมละเอียด สื่อกันว่าใช่ แต่แท้จริงมันต่างกันมาก อย่างฝาแฝดยังชี้ได้ ได้ว่าตรงไหนต่างกัน แต่นามธรรมนี้จะชี้กันอย่างไรว่าต่างกัน เช่นใสๆๆ ต่างคนต่างใส เป็นน้ำแข็งใสหรือหัวใส สายดับอ.มั่น สายใสธัมมชโย สายดับดีกว่าสายใส สายดับอยู่คนเดียวก็ค่อยยังชั่วแต่ก็ชั่วอยู่ดี สายสุภกิณหา กิณหา แปลว่าดับดำมืดแต่ไปหลงว่าสุภะ ว่าดี ว่างาม เป็นวิปลาสอย่างหนึ่ง เห็นอสุภะเป็นสุภะ [241] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬิงการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ภรรยาสามี 2 คน ถือเอาเสบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดาร เขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดารอยู่ เสบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขาทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า เสบียงเดินทางของเราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย เสบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดารนี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตร จะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากันพินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจนั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้ามทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่า ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทานเนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬิงการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬิงการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ พ่อครูว่า…อาหารที่กินนี่ รูปสวยน่ากิน กลิ่นน่ากิน รสน่ากิน สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง อันนี้เย็นดี อ่อนดีอะไรก็แล้วแต่ ติดเสียงน้อยหน่อย คนจีนต้องซดโฮกๆ ถ้าซดเงียบๆเขาหาว่าไม่อร่อย ประกอบด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กามคุณ 5 ซึ่งมันไม่ง่ายหรอก แต่ละคน ดีที่ไม่แย่งตรงกันหมด เขาแยกต่างกันเป็นล้านมุมในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส นี่เบื้องต้นกามภพที่ต้องเกี่ยวข้องกับตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าอันนี้ยังไม่ผ่าน เช่นไปนั่งหลับตาทิ้ง 5 อันนี้เลยแล้วหลงนึกว่าเป็นอรหันต์ ก็จบเลย คุณยังไม่ได้เรียนรู้เลยว่าเป็นอย่างไรที่คุณเคยติดมา ตั้งแต่ปางไหน คุณก็ว่าไม่แล้วพ้นแล้วเอาสิ้นอาสวะเลย แต่คุณยังไม่รู้จักอาสวะเลย ยิ่งอนุสัยยิ่งไม่รู้จักเลย อาสวะต้องกระทบตาหูจมูกลิ้นกาย อาสวะที่หมักหมมในจิตก็ไม่รู้ แม้อาสวะหยาบ กลาง ละเอียด คุณก็ยังไม่รู้เลย โอรัมภาคิยสังโยชน์ เบื้องต่ำก็ยังไม่รู้เลย จากภายนอกคุณยังไม่ได้เริ่มเลย ซึ่งมากมายเยอะแยะ คุณจึงต้องหลุดพ้นก่อนจึงมีตาละเอียด แต่คุณปิดบังกลบแน่นจมจะไปรู้ส่วนกลางส่วนละเอียดไม่ได้หรอก ต้องใช้พลังปรมาณูระเบิด ไอสไตน์ก็สอนให้คนทำอย่างนั้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าการเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ปหาราทสูตร ล.14 ข้อ 109 พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ ป. มี 8 ประการ พระเจ้าข้า 8 ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ และในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 3 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ อาหารเป็นเรื่องใหญ่ แม้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ก็ยังต้องกินอาหาร ปัจจัย 4 ข้าว ผ้า ยา บ้าน ผ้า ยา บ้านไม่จำเป็นต้องใช้ก็ยังมีชีวิตได้ แต่อาหารไม่กินก็ตาย อาหารจึงเป็นหนึ่งในโลก อาหารคนไทยปรุงแต่งเก่ง หลอกคนต่างชาติมาหลงอาหารไทย เมนูมากมาย [242] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า แม่โคนมที่ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ก็จะถูกพวกตัวสัตว์อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดและกัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ในที่ว่าง ก็จะถูกมวลสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดและจิกกิน เป็นอันว่าแม่โคนมตัวนั้นที่ไร้หนังหุ้มจะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไปข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นผัสสาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนาทั้งสาม(สุข ทุกข์ อุเบกขา)ได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ พ่อครูว่า…ผัสสะกับเวทนาต้องเรียนรู้คู่กัน เวทนาเป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า ในเวทนา 108 เวทนา 2 มี กายกับจิต กายกับจิตต้องเรียนรู้คู่กันแล้วเรียนรู้ลึกไปภายใน เรื่อยๆ จิตในจิต ธรรมในธรรมแต่ทิ้งภายนอกไม่ได้ เวทนา 3 คือ สุข ทุกข์ อุเบกขา เวทนา 5 คือสุข ทุกข์ โทมนัส โสมนัส อุเบกขา อุเบกขาต้องแยกเป็น 2 คือ เนกขัมสิตอุเบกขากับเคหสิตอุเบกขา ในรูป 28 มี ปสาทรูป กับโคจรรูป รวมกันเป็น 9 ตากับรูป หูกับเสียง…แต่กายกับโผฏฐัพพะ นั้นนับรวมกันเป็น 1 เพราะว่า กายคือจิตมโนวิญญาณ กายคือทั้งหมด รูป รส กลิ่นเสียงสัมผัส ก็คือกายทั้งนั้น ในร่างกายเรา เช่น เล็บ ส่วนที่ไม่มีประสาทรับรู้หรือผมส่วนที่ไม่มีประสาทรับรู้ก็เป็นพีชะ ส่วนที่มีประสาทสัมผัสรับรู้ได้เป็นส่วนของจิตนิยาม แต่ถ้าตัดออกไปจากร่างกายเลยไม่สามารถเติบโตได้ก็เป็นอุตุไป ปฏิบัติในการจัดการกิเลสด้วย ปหาน 5 ถึงนิสรณปหาน การที่จะแยกกายแยกจิต รู้เวทนาในเวทนา เวทนาในเวทนา เวทนา 6 คือ เวทนาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เวทนา 18 ที่สัมผัสทวาร 6 แล้วเกิด สุข ทุกข์ อุเบกขา รวมเป็น 18 อย่าง (6×3) เวทนา 36 คือ เวทนา 18 ที่แยกได้สองอย่างคือ เคหสิตเวทนา 18 ก็ต้องล้างกิเลสออกได้เป็นเนกขัมสิตเวทนา 18 คนปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะไม่เกิดเวทนา ไม่มีมีผัสสะก็ไม่มีฐานในการปฏิบัติ แค่นี้เค้าก็ตีไม่แตกการไปหลับหูหลับตาปฏิบัติไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติ แต่เขาเอากรรมฐาน 40 เป็นสิ่งที่ไปจดจ่อจดจ้องจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อติดยึด ถ้าไม่ติดไม่ยึด รินชาออกจากถ้วยอย่าชาล้นถ้วยเลย ฟังอาตมาบ้าง มีปรโตโฆษะบ้าง สัมมาทิฏฐิคู่แรกเลย ปรโตโฆษะกับโยนิโสมนสิการ คุณจะเกิดสัมมาทิฐิฟังสัตบุรุษให้บริบูรณ์จึงได้ตามอวิชชาสูตร สมณะฟ้าไท สรุป Category: ศาสนาBy Samanasandin18 ธันวาคม 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:621216_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 84NextNext post:621220_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปุตตมังสสูตร ว่าด้วยอาหาร 4 ตอน 2Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024