630213_พ่อครูตอบปัญหางานพุทธาภิเษก#44 บ้านราชฯ เรื่องบุคคล 7
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1Qgszh7N1tSQgryxp_kLf5iE4DMy0B6xq7VABUuI2kfM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่… https://drive.google.com/open?id=1kXp_oMBEmY3ViQl7YGSAhFryCDJJMmp_
พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันรองสุดท้ายของงาน แล้วเป็นวาระที่อาตมาจะตอบปัญหาประเด็นต่างๆ ตามที่พวกเราถาม ถ้ามาอยู่กันอบอุ่นเต็มๆอย่างนี้ อาตมาว่าบ้านราชนี้นะ จะครึกครื้น อบอุ่น รุ่งเรืองไปหมดเศรษฐกิจก็ดีสังคมก็ดีก็คงจะรุ่งดี แต่ก็พูดไป ตัวใครตัวใครก็เร่งรัดกันเอง แล้วแต่จะเต็มใจไม่เต็มใจคนไหนเต็มใจมาก็มา ไม่เต็มใจจะมาก็ไม่มา อิสระเสรีภาพ
จะให้อธิบายเส้นทางของบุคคล 7 เป็นเรื่องอจินไตย คนสองสายที่เป็นแกนจริตของคน คนทั้งโลกก็แบ่งเป็น 2 สายตลอดมาคือ สายศรัทธา(เจโต) กับสายปัญญา แม้แต่ศาสนาในโลกนี้ก็จะมี 2 ศาสนา แบ่งเป็นตระกูล ก็คือตระกูลศรัทธากับตระกูลปัญญา ก็มีอยู่อย่างนั้น
ตระกูลศรัทธาก็เป็นพวกเทวนิยม จะยังเข้าใจความเป็นเทวฺ ไม่ได้ มีความศรัทธาเต็มที่แล้วก็ไม่กล้าแตะเทวฺ ความรู้สึกยอดก็มอบให้ผู้ที่เป็นเจ้าของความรู้ เทวะ ยิ่งใหญ่แต่ไม่รู้จักตัวจักตนว่าอยู่ที่ไหน ผู้มาประกาศความรู้ ประกาศธรรมะประกาศสัจธรรมนั้นออกมา ก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าความรู้นั้นเป็นของใครก็เลยบอกว่าเป็นของพระเจ้า เป็นของที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาล สร้างโลกสร้างอะไรต่างๆนานามาด้วย โดยไม่เข้าใจว่า อันนั้นคือธรรมชาติของมหาเอกภพ มหาจักรวาลนี้ ที่เกิดขึ้นด้วยลักษณะของธรรมชาติดินน้ำไฟลมแล้วก็มาเป็นชีวะ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จากอุตุนิยามมาเป็นพีชนิยามมาเป็นจิตนิยาม
อุตุนิยามเป็นธาตุดินน้ำไฟลม เป็นสิ่งที่ยังไม่มีชีวิตเลย เป็นลักษณะของมันตามฟิสิกส์ เป็นความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้าในตัวเอง แต่ตัวเองไม่มีประธานที่เป็นชีวะควบคุมตัวเอง เมื่อเริ่มมาเป็นพีชะ ก็จะเริ่มมีพลังงานประธาน อยู่ในเส้าของ cyclic order อยู่ในวงวนที่มันหมุนจับตัวกันมีประทานในนิวเคลียสมีบวกมีลบทำปฏิกิริยากัน หมุนวน มีแกน static กับหมุน Dynamic กระทบกระแทกแตกตัวไปมา ดูดกันมาดูดกันไปเป็นพลังงานแสง เสียง แม่เหล็กไฟฟ้า จนกระทั่งมีชีวะ เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ภาษาก็ ISH
I คือ ประธาน S ก็คือ She เป็นเพศหญิง H ก็คือ He เป็นเพศชาย
เสร็จแล้วก็ดำเนินการอยู่ไป ก็มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งพัฒนามาเป็นจิตนิยาม ก็มาเป็นสัตว์ในโลก ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนกระทั่งเป็น ล้านๆๆเซลล์ พัฒนาจากล้านๆๆๆเซลล์เป็นตัวสัตว์ที่ฉลาดขึ้น สมองเจริญขึ้น อวัยวะต่างๆ วิจิตรพิสดาร จนมาเป็นคน พัฒนาขึ้นไปจากคนสามัญในโลกโลกีย์ เป็นเทวนิยม แล้วจึงเจริญขึ้นไปอีกเป็นโลกุตระ ชาวอเทวนิยม
จิตวิญญาณที่จับตัวเป็นอัตภาพ ตั้งแต่จิต มันจับตัวกันโดยที่มันมีตัวเจ้าเข้าเจ้าของ จากเซลล์ ภาษาอังกฤษ Cell ก็เปลี่ยนมาเป็น Self
อาตมายังไม่เก่งเรื่องภาษาอังกฤษจะไปรู้พยัญชนะของเขา แต่ละตัวๆๆๆอาตมาพอรู้อย่าง ISH เกิดขึ้นมา อาตมาก็พอรู้ จับกันเป็นสามเส้า อันนี้ไม่ได้เรียนจากใครแต่ก็พอรู้ คือ เป็นการู้ที่ไม่เหมือนระบบ มันมีแกนตั้งกับพลังงานแรงเคลื่อน ซึ่งก็เป็นพลังงาน 2 ลักษณะ Static กับ Dynamic ทำงานดูดกับผลัก แตกตัว จนกระทั่งพลังงานมี ฟิวชั่นกับฟิชชั่น
อาตมาก็มีความรู้พวกนี้อธิบายให้เห็นชีวะ มนุษยชาติสามารถตรัสรู้ รู้จักจนกระทั่งมีพลังงานประธานหรือเจ้าของจิตเราทุกคน เป็นคนเราก็มีประธานเจ้าของจิต เป็นตัวตนเป็นตัว I แล้วเราก็สามารถที่จะศึกษาเราเอง จิต ของเราทั้งหมดเลยแล้วสามารถควบคุมพลังงานให้เกิดการเคลื่อนไหวแล้วก็สะสมความรู้ เป็น Static เป็นแกนของความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ จนสูงขึ้นแล้วก็พลังงานที่จะออกไปทำงานสัมผัสสัมพันธ์ไปจัดการกับส่วนอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบ ที่เราสามารถที่จะดำเนินไปกับเขา ให้ได้ประโยชน์ดีสุดสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจการเมืองสังคม ดีที่สุด แล้วก็รู้จัก ความดีความชั่ว ที่เป็นสมมติสัจจะปรมัตถสัจจะกัน อย่างเพียงพอในความเป็นโลก แล้วก็เป็นพลังงานทางโลก เรียกว่าองค์ประกอบสังคมมนุษยชาติ ตั้งแต่โลกกลุ่มเล็กๆจนเป็นสังคมกลุ่มที่โตขึ้น จนกระทั่งเป็นประเทศ เป็นประเทศที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ คบหากัน จนกระทั่งกลายเป็นการแบ่งภาคแบ่งส่วน ภาคพื้นเอเชียภาคยุโรป รวมกันเป็นสหประชาชาติ อย่างนี้เป็นต้น ก็เกิดเป็นธรรมดาธรรมชาติของโลกจักรวาลนี้ ก็เป็นไป
ตัวปฏิกิริยาจริงๆของมหาจักรวาลก็คือมนุษย์นี่แหละ มนุษย์ในโลกต่างๆในจักรวาลต่างๆ จะมีโลกที่มีมนุษย์ มีอะไรต่ออะไรมันไม่ถึงกันได้ง่ายๆ ทุกวันนี้ก็พยายามจะสื่อสาร ศึกษาการเดินทางจะไปออกนอกโลกออกนอกจักรวาล ไปหาจักรวาลอื่นเขาก็ทำอยู่ แต่มันยังไม่ง่าย อาตมาก็คิดตามประสาอาตมาว่า พวกนี้เขาจะศึกษาไปหา..ทำไมไม่เชื่อพระพุทธเจ้า จะคิดไปหาจักรวาลต่างๆมากมายแต่ก็พอจะรู้ แล้วก็อยู่เป็นมนุษย์ในโลกนี้ก็ตาม เราทำให้ดีที่สุดเราก็ดีที่สุดกับมนุษยชาติ เท่าที่เราจะทำได้และเราก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป หากว่าเราไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานเราจะมีน้ำใจ รู้แล้วว่าเราจะจบก็ได้ แต่เราจะช่วยโลกเป็นพระโพธิสัตว์ต่อไปอีก แต่เราเบื่อแล้วพอแล้วจะปรินิพพานไปเมื่อไหร่ก็ได้ นานเท่าไหร่ก็นานเท่าพระอวโลกิเตศวร มีปณิธานที่ อาตมาว่ามันเป็นไปไม่ได้ จะช่วยคนให้นิพพานหมดเลย ทั้งโลกที่ท่านอยู่ด้วย แล้วท่านถึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย อาตมาว่ามันเป็นไปไม่ได้จะไปบังคับได้ยังไง เพราะว่าความแตกต่างกันระหว่างภูมิความรู้ เหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล ที่เขามีประธานของตัวเอง มี I เจ้าของอัตตาก็มีของเขา บังคับใครไม่ได้เป็นอิสระสูงสุด
พลังงานที่ I เป็นตัวเรา ก็ใช้ของเราให้สูงสุดจะไปบังคับคนอื่นไม่ได้ ใช้อำนาจโลกบังคับได้บังคับด้วยหอกปืนอำนาจบาตรใหญ่ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็บังคับด้วยอำนาจเขี้ยวงา กำลัง จนกระทั่งมาเป็นคนใช้อำนาจเงินอำนาจตำแหน่งหน้าที่ อำนาจอย่างโน้นอย่างนี้ก็ต่างๆ แม้แต่อำนาจทางจิตวิทยามันก็ใช้คนมันก็ทำ ก็ได้สูงสุดเป็นการบังคับเขา
อำนาจ ก็เสื่อมได้ อำนาจก็หมดวาระได้ก็เสื่อมได้
สู่แดนธรรมว่า…พ่อท่านได้พูดถึงพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรท่านสามารถช่วยคนอื่นให้ปรินิพพานได้โดยท่านไม่ยอมปรินิพพาน ก็คือท่านยังไม่ยอมเป็นพระพุทธเจ้า เพราะว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้วต้องสิ้นสุด แสดงว่าการช่วยคนให้ปรินิพพานได้ไม่จำเป็นต้องเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพระโพธิสัตว์สามารถทำให้คนเข้าสู่ปรินิพพานได้
พ่อครูว่า…ทำไมยังไม่เข้าใจหรือ แปลก จบเป็นพระอรหันต์คุณสมบัติเป็นพระอรหันต์อรหันต์ขี้เก๊เท่าไหร่ก็ได้ รู้จักจิตวิญญาณที่อยากให้เป็นอุตุธาตุ เป็นพีชธาตุ ด้วยกรรมหรือทรงไว้ธรรมนิยาม static กรรมคือ dynamic
จบอรหันต์สามารถทำจิตให้เป็นอุตุนิยามได้ และแยกหมดทุกข์หมดโศกแล้วแยกธาตุจิตของตัวเองให้เป็นดินน้ำไฟลมเป็นมหาภูตะรูปได้เลย มันไม่จับตัวกันอีก จะจับตัวกันอีกก็พลังงานฟิสิกส์ดินน้ำไฟลมแล้วแต่มันจะจับตัวทำปฏิกิริยากัน และความเป็นอัตตา ish ของตัวเองก็อยากไปแล้ว สามเส้า สภาพ อิตถีภาวะปุริสภาวะ ก็แยกตัวไม่จับตัวกันอีกแล้วมันจะเกิดกันอีกก็เป็นของใหม่ อัตตาใหม่ กรรมวิบากของผู้ใดผู้ใดก็สลายยกเลิก ปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วก็เลิก จะรวมตัวกันเป็นสัตว์เซลล์เดียวใหม่ก็ต้องเริ่มสะสมความเป็นวิบากของตัวตน จนกระทั่งสะสมความเป็นพระอริยะก็ของคุณเองทั้งสิ้น
แกนสองแกน แต่การจะเปลี่ยนให้ศรัทธาเป็นปัญญานั้นเป็นได้ แต่สายปัญญาเขาไม่เปลี่ยนตัวเองเป็นศรัทธาหรอก เพราะว่าศรัทธามันช้ากว่า ด้วยความรู้ด้วยความสำเร็จ ศรัทธาสำเร็จก็ช้า ได้รับความรู้ที่เต็มก็ยากกว่า จะว่าไปแล้วไม่ได้หมายความว่าเอาปัญญาไปข่มศรัทธาก็ไม่ใช่ แต่คุณสมบัติของแต่ละแกนจิตวิญญาณมันเป็นจริงอย่างนั้น
ศรัทธานี้จะต้องเดินตามลำดับถึง 7 ขั้นไม่มีการลัดขั้น ปัญญานี้ปฏิบัติธรรม พรวด สี่ขี้น
เริ่มต้นด้วยคู่แรก ธัมมานุสารี กับ สัทธานุสารี
ธัมมานุสารี ไม่ใช่คำว่าปัญญา ถ้าว่าถ้าปฏิบัติธรรมตัวเองช้าก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกับศรัทธานั่นแหละ ปัญญาก็ตามหากเหลาะแหละ มีสีลัพพตปรมาส ไม่เอาจริงเอาจัง ดีไม่ดีจะนานกว่าสายศรัทธาด้วยซ้ำไป กลายเป็น พวกวิตักกจริต เหลาะแหละ เอาจริงบ้างไม่จริงบ้าง ดีไม่ดีช้ากว่าสายศรัทธาเป็นเท่าเลย เป็นศรัทธาจริต พุทธิจริต วิตักกจริต
พุทธิจริต ก็คือสายปัญญา ศรัทธาจริต
วิตักกจริต แม้ตัวเองมีแกนปัญญา แต่เหลาะแหละ จะช้ากว่าสายศรัทธาถึง 2 เท่า กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลาถึง 80 อสงไขย เศษแสนมหากัป ใช้เวลาเท่าตัว
ถ้าสายศรัทธาก็ 40 ถ้าสายปัญญาก็แค่ 20 ส่วนสายวิตักกจริตก็ 80 อสงไขยฯ เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าเข้าใจอันนี้
แล้วพระพุทธเจ้าทุกองค์ผ่านความเป็นศรัทธา วิตักกะ และปัญญาหมดทุกอันท่านต้องใช้เวลาไม่รู้กี่ล้านชาติเพื่อเป็นจริงๆ อย่าว่าแต่คนเลย เป็นสัตว์เดรัจฉานเกิดมาแล้วตามธรรมชาติเป็นสัตว์เดรัจฉานมาก่อนทุกคน เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาก่อนตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมาจนถึงตอนนี้ ในเวลาการเป็นชีวะ ในมหาจักรวาลมันจึงนานมากแต่ละคนไม่รู้กี่ล้านชาติมาแล้ว ท่านบอกเป็นบัญญัติเลยว่า กว่าจะมาพบศาสนาพุทธกว่าจะได้ตรัสรู้มันคือขี้เล็บเทียบกับแผ่นดินมันไม่เกินจริงหรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ในแผ่นดินปฐพีนี้ ไม่มีที่ใดที่เราจิ้มลงไปในดินแล้วไม่มีที่ใดที่เราไม่เกิด จิ้มลงไปในดินที่ไหนเราเกิดมาทั้งนั้นไม่รู้กี่ ล้านๆๆๆชาติ ไม่ต้องคิดเลยโยนทิ้งเลย ไม่ต้องเอามาเป็นทุกข์ เรื่องเวลานี้ไม่เป็นทุกข์ เวลาจะนานเท่าไหร่ไม่ต้องคิดเลย เรื่องเวลาก็คือการเดินทาง เราก็ยังอยู่แล้วเราก็ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วก็เดินทางไป เราจะพัฒนาไป จนกระทั่งสามารถเลิก ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ก็เป็นสิทธิของคุณอิสระเสรีภาพ คุณไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานจะทำงานช่วยคนไปก็เชิญ นานเท่าไหร่ก็เป็นอิสรเสรีภาพเต็มที่
สู่แดนธรรมว่า…ตามผัง จะตัดกายสักขีออกไปได้มั้ย
ปัญญาจะแวะไปกายสักขีก่อนก็ได้ไม่ต้องแวะกายสักขีก็ได้ เหลาะแหละก็ได้ ไม่เหลาะแหละยิ่งเก่ง คุมจิตตนเองได้ มีวสวัตตี เป็นจิตที่มีอำนาจจริง จะทำให้เป็นอย่างไรก็ได้ แต่ไม่โง่พวกเท่าพวกเหลาะแหละ จิตเหลาะแหละก็แย่กว่าจิตจริง ที่เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด รู้จักคุณค่าของ กรรมและกาละ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรมว่า…บุคคลใดที่หากฟังว่า
พ่อครูว่า…จะเป็นธัมมานุสารีหรือสัทธานุสารีอยู่ที่มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์หรือไม่ ธัมมานุสารีทำได้ยิ่งกว่าสัทธานุสารี มีในแตกต่างตรงที่ ธัมมานุสารีจะมีปัญญาเร็วกว่าเพราะมีโพชฌงค์ 7 มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ได้ดีกว่าคล่องกว่า มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ เก่งกว่า จากนั้นก็มี ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิอุเบกขา เจริญตามหลักสามนี้
3 ตัวนี้ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นตัวสำคัญที่สุด สายปัญญาเก่งธัมมวิจัย สายศรัทธาไม่เก่งธัมมวิจัย
เพราะฉะนั้นปัญญา 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ แล้วมีสามเส้า คือธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ
จะเกิด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ก็ต้องมีกระบวนการอีก 3 เส้า คือธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ
เพราะฉะนั้นจะปฏิบัติ มรรค ด้วย สัมมาทิฏฐิ ต้องเป็นประธาน แล้วต้องมี ธัมมวิจัย เป็นคู่ Dynamic Static สองอัน ทำงานอยู่
สัมมาทิฏฐิ จะเป็น static ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์จะเป็นตัว Dynamic แล้วก็จะปฏิบัติ มัคคังคะ องค์แห่งมรรค ปฏิบัติสังกัปปะ วาจากัมมันต อาชีวะโดยมี สติกับความเพียรเป็นตัวช่วย มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานในองค์ 7 ของสัมมาทิฏฐิ แล้วก็มีองค์ 8 สัมมาวายามะกับสัมมาสติ เป็นตัวช่วยแล้วปฏิบัติตั้งแต่การทำงานอาชีพก็ลดมิจฉา กัมมันตะก็ลดมิจฉา วาจาก็ลดมิจฉาสังกัปปะก็ลดมิจฉาลดตัวการพยาบาทได้ สังกัปปะ เป็นวงจรสำคัญของจิต ถ้าคุณไม่มีความรู้แยกสังกัปปะ 7 ได้คุณก็ไม่รู้จักกระบวนการ 7 ตัวสำคัญเลย
ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็น แกน Dynamic
อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เส้นแกน Static ทำงานสังเคราะห์สังขารเป็นวจีสังขารยังไม่พูดออกมา ถ้าพูดออกมาก็เป็นวาจากรรม บางทีก็เรียกว่าวจีกรรม แต่ว่าจิตสังขารยังไม่ออกมามันยังอยู่ข้างใน ยังอยู่ในขบวนการ 7
ตักกะ คือเริ่มดำริ แล้วก็มาเป็นกระบวนการของ สังกัปปะ 7 ทำได้ยิ่งยอดก็วิ สิ่งที่ไม่เอาก็คัดออก วิ มีความหมาย 2 นัย ดีสุดยอด กับเก๊เลย ไม่เอากับเอาเลยอย่างถาวร จบด้วย ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วก็สั่งสมลงเป็นอัปปนา เป็นความควบแน่น
หากเติมพยัปปนา ควบแน่น เติมเจตโสอภินิโรปนา ไม่ได้ สายสมถะ เจโตศรัทธาไม่เก่ง ในการเติม static แล้วสองขั้วรวมกันเป็นวจีสังขาร สังกัปปะ 7 ออกมาเป็น กายวิญญัติ วจีวิญญัติ หรือออกมาเป็นวจีกรรม นี่คือลักษณะรายละเอียดของธรรมชาติต่างๆ
สัทธานุสารีที่ไม่มีปัญญาจะวนเวียนอยู่อย่างนั้นเป็นล้านๆชาติ ไม่ออกจาก วงวัฏฏะของคุณระหว่าง สัทธานุสารีกับสัทธาวิมุต
สัทธาวิมุตเขาสามารถหลุดพ้นหรือดับ แต่เป็นเรื่องของแบบสายเจโต หรือสายศรัทธา สะกดจิต
มันต่างกันตรงที่ 1 สะกดจิตกับ 2 มี ธัมมวิจัย
เขาไม่ได้มีการวิจัยธรรมะ ของธาตุ ตีแตกจากกาย เป็นรูปนามเพราะแยกไม่ออก แยกเทวะเป็น 2 แยกไม่ออกเลย จึงเป็นเทวธรรมดาสามัญของสายเทวนิยม แล้วก็จะมีเยอะมากคนไม่ฉลาดคนอวิชชาก็จะมีเยอะมากกว่าคนมีวิชชา ก็จมกับวิมุติของคุณแต่ไม่จบดับได้แต่ความไม่รับรู้ด้วยความสะกดจิต ไม่เกิดปัญญาแยกแยะ ตีแตก distinguish จริง
สัทธานุสารีเมื่อมามีปัญญามาสู่ธัมมานุสารี ก็ได้ความรู้ที่เป็นโลกุตระ พวกสัทธานุสารีก็จมอยู่อย่างนั้นนานมากจนกว่าจะได้ อัญญธาตุ
ความรู้ที่แปลกใหม่สามารถออกจากโลกียะหลุดพ้นจากโลกโลกียะได้มีอำนาจพิเศษ หลุดออกจากแรงดึงดูดของโลกที่อยากได้ หรือ เป็นตัวที่มีพลังงานพิเศษของตัวเองสามารถหลุดพ้นด้วยปัญญา คนที่คิดออกจากโลกโลกนี้เดินทางไปสู่ข้างนอกโลก สามารถหลุดออกจากแรงดึงดูด ออกไปจากนี้อีกมีแรงเหวี่ยงออกไป ไปหาดาวดวงอื่นได้ ความรู้วิทยาศาสตร์เขาก็ทำได้ แต่ก็มีแรงเหวี่ยงที่มีพระอาทิตย์มีดวงดาวมากกว่านี้จะออกจากแรงเหวี่ยงหมู่นั้นอีกก็ยาก พวกนักวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ คิดไปเถอะ พวกนี้อีกนาน
ก็ได้อัญญธาตุใหม่ เป็นพหูพจน์ก็คืออัญญา
อัญญะ แปลว่าธาตุอื่น
พอมาเป็นธาตุตัวที่ 2 มีปฏิกิริยา 2 3 4 ก็ไป อัญญาธาตุ เป็นความรู้โลกุตระ
อัญญามาเป็นกัญญา สัญญา ชัญญา
พอเป็นธัมมานุสารีแล้ว จึงจะสามารถเดินทางออกไปได้ไกล แต่สายศรัทธานี้มาได้ธัมมานุสารีแล้ว ก็เดินทางมาสู่ ทิฏฐิปัตตะ อีกขั้นหนึ่ง
สายศรัทธาคือเส้นแดง ก็จะกลายเป็นกายสักขี ภายนอกภายใน จะต้องครบทั้งภายนอกและภายใน สายศรัทธาไม่ค่อยเอาภายนอก ไปมั่วในจิต อย่าลืมภายนอกไม่ทำภายนอกภายในให้สมดุลกันมันก็เลย โต่งไปหนักแต่ภายใน มันก็ไม่ออก ภายในภายนอกสมดุลกัน
พอรู้ภายในภายนอกก็ทำให้สมดุลกัน เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ราบเรียบเหมือนฝั่งทะเล จะเรียงลำดับสมดุล กามกับอัตตา ภายนอกกับภายใน ปัญญาจะบรรลุ กามกับอัตตาได้สัดส่วนดี แต่สายศรัทธาจะทำแต่อัตตา จมกับอัตตาอีกนาน
จึงต้องเติมปัญญาเข้าไปในสายศรัทธา สายปัญญาต้องเติมศรัทธาให้ได้สมดุลไม่เอียงไม่โต่ง นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้ของตัวเอง บังคับกันไม่ได้ ทำแทนกันไม่ได้ ใครจะฉลาดแทนกันไม่ได้ แบ่งกันไม่ได้ ก็ต้องฝึกด้วยตัวเอง
จาก ธัมมานุสารี สายปัญญา จึงพบสมดุลได้สัดส่วนดี จึงลัดหมดเลย
ธัมมานุสารี มาทิฏฐิปัตตะ มาปัญญาวิมุติ
สายศรัทธา สัทธานุสารีมา ธัมมานุสารี มาทิฏฐิปัตตะ แล้วต้องแวะไปกายสักขี คุณต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย หากไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายคุณก็จะไปวนอยู่ตรงนี้ อย่างเก่งก็ได้อาสวะบางอย่างดับ อาสวะบางอย่างยังไม่ดับยังไม่เหลือ คุณก็จะได้ปลายแล้วก็ลืมต้น ได้ต้นก็ลืมปลาย จะวนไม่อย่างนั้นแม้จะได้หมดอาสวะบางอย่างก็วนเวียน ทิฏฐิปัตตะ กายสักขีวนอีก แต่ธัมมานุสารีมาที่ทิฏฐิปัตตะแล้วไปปัญญาวิมุติ
ปัญญาวิมุติคือผู้ที่เป็นตัดเกรดว่าอรหันต์ เรียกว่าเป็นอรหันต์ได้แล้วเพราะคนนี้สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ กายสักขียังไม่สามารถรู้จัก อัตตาตัวเองเต็ม ไม่รู้จักโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตาได้ครบชัด ทำกามภพ หมดเหลือรูปภพอรูปภพก็ดับได้อีก
ปัญญาวิมุติสามารถรู้โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตาได้ครบชัด แต่สายศรัทธาไม่ชัดเจนเพราะไม่มาเรียนรู้ภายนอกมันจะช้านาน เหมือนอย่างที่อาตมาเตือนพวกนั่งหลับตาสมาธิ ไม่เอาอ่าวรูปธรรม ไม่เอาอ่าวเรื่องลดกาม คือเป็นจริตของเขา มันไม่ชอบ ก็จม มันสบายดี นั่งจมไม่ยุ่งกับใครมันก็ยิ่งเสียเวลายิ่งช้า ผู้ใดชัดเจนอย่างอาตมาเรียนสายปัญญาอธิบายได้ชัดและครบจึงได้เตือนไป เมื่อยแสนเมื่อยเลย เขาเป็นโจรใหญ่ที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็น ก็ยังไม่ตาย ฆ่าไม่ตายคือ ไม่สามารถปรินิพพานได้ มันโง่ ที่จริงเขาจะเป็นอมตะบุคคลเป็นผู้ตายหรือยังไม่ตายได้ แต่นี่มันยังไม่เป็นเพราะมันยังไม่มีวิมุตสมบูรณ์แบบ ได้แต่สัทธาวิมุตเท่านั้น อาสวะบางอย่างหมดไปได้แต่ไม่หมดสิ้น มาเป็นอมตะบุคคลไม่ได้ตามมูลสูตร 10
สัทธาวิมุต วิมุติทางสายศรัทธาอย่างกายสักขีอย่างไรก็ต้องมาทางปัญญา ถ้าเป็นพระอรหันต์ได้ ก็มี สัพพปาปัสสอกรณัง กรรมกิริยาต่างๆไม่มีเจตนาทำบาปแล้ว แต่ถ้าคุณทำอย่างไม่บริสุทธิ์ใจจริงๆ มีกุศลเจตนาแม้น้อยก็เป็นวิบากคุณ แต่ถ้าเจตนาไม่ดีไม่มีเลย กรรมวิบากจึงอยู่ที่เจตนา เจตนาจึงเป็นอาการของจิตที่ทำให้เกิดบาปบุญได้
เวทนา สัญญา เจตนา ต้องมีการผัสสะจึงจะมีการทำใจในใจได้สมบูรณ์ หากไม่มีการผัสสะอย่างไรก็ไม่สมบูรณ์ในการทำใจในใจ ต้องมีผัสสะ
นาม 5 เป็นตัวกลางที่สำคัญ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ สายปัญญาจะคัดเฟ้นได้เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ จึงมีศีลเป็นตัวกำกับ
อาตมาแบ่งสามเส้าของศีลไว้สมบูรณ์แล้ว สั้น ลัดคัดสั้นที่สุดแล้ว
ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับวัตถุพีชะ ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับกามคุณ 5 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอก
คุณอย่าเกลียดกามคุณ 5 ต้องมามีสัมผัสแล้วต้องเรียนต้องเลิกลดละไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นมหาบัวไม่รู้กับผัสสะแล้วจมอยู่กับผัสสะ จมกับผัสสะ สิ่งเสพติดแต่ไม่รู้เรื่อง สายนั้นกินหมากกันเต็มเลยสายหลับตามหาบัว อ.มั่น สายหลับตาที่มีกินหมากก็คือธัมมชโย หลับตาแล้วเป็น ภพอาภัสรา ยิ่งพร่ามาก สายหลับตาก็ยังดีกว่าอีก
ตกลงมาวนอีก แม้แต่ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี มาทิฏฐิปัตตะ มากายสักขี วนกลับไปอีกได้ ไม่เป็น ปัญญาวิมุติ ได้ เพราะว่าไม่มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ไม่เรียกว่า ปัญญาวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะต้องแยกแยะธรรมะ เพราะว่าธรรมะเป็น static มันจึงจมอยู่ตรงนี้ต้องแยกแยะตีแตกมันตรงนี้ ต้องพยายามเป็นผู้ที่มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ให้ได้จากนั้นก็จะแยกแยะได้ละเอียดเป็นสัดส่วน
พอมาถึง ปัญญาวิมุติแล้ว จะปรินิพพานก็ได้ แม้แต่สายศรัทธามาได้ปัญญาวิมุติแล้ว คุณจะมี ชรตา เสื่อมช้ากว่าสายศรัทธาก็จริง แต่ไม่มีปัญหา ถ้าคุณไม่ต่อสันตติคุณก็ชรตา ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้ เป็น โมเมนตัมของศรัทธา แต่ถ้าคุณมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์มีปัญญาทำได้เพียงพอ คุณก็มาเป็นปัญญาวิมุติได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะจมอยู่ที่กายสักขี นั่นแหละ คำเตือนของพระพุทธเจ้าจึงบอกว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายต้องรู้กายต้องเรียนรู้กาย ต้องเรียนรู้วิโมกข์
โดยเฉพาะวิโมกข์ 3 ข้อแรก
-
ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
-
*ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
-
ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)