630219_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าอายตนะนิพพาน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1fZsHHypRQ8dUJKhZxCenE8gdsuVlRk4DJE9DPfa7ins/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1skCE5VV-nM3uXivQlWYYMIpekHrcaXPx
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้จะมีการบวชขึ้นมาอีก 1 รูป นานทีปีหน ชื่อว่าสมณะ แนวตรง ฉายาอุชุปฏิปันโน
อุปัชฌาย์จะให้ศีล 46 ข้อ วินัยอีก 227 ข้อ ซึ่งบวชของเราบวชจริงจัง กว่าจะมาบวชเป็นสมณะได้ ต้องเข้ามาอยู่ตั้งแต่เป็นคนวัด เป็นอาคันตุกะจร อาคันตุกะประจำมาเป็นอารามิก เป็นปะ เป็นเณรอีก 4 เดือน หากโหวตผ่านก็ให้เลื่อนได้แต่ถ้าโหวตไม่ผ่านก็ต้องเป็นต่อ
รุ่นอาตมา ปี 2520 กว่าๆผู้ชายเข้ามาก็มาบวชกันเต็มวัด ตอนนี้หาทำยาหยอดตายาก เพราะผู้ชายลดน้อยลง มาฟังเทศน์ก็น้อยลง ชราภาพไปบ้าง ผู้หญิงที่สมัครบวชก็เลยยังค้างเติ่งอยู่ เพราะจะต้องมีอัตราส่วน สิกขมาตุ 1 ต่อสมณะ 4 รูป ตอนนี้มีสมณะแค่ 88 รูปเท่านั้น พ่อครูก็ได้เทศนาให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน หากพวกเราปฏิบัติตามก็จะพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน
พ่อครูว่า…
_Keng Ratchanee รัชนี…. กราบเท้าพ่อท่าน ชื่อลูกคือ เก่ง รัชนีค่ะ อยู่เชียงใหม่ค่ะ (ส.ดินไทอ่านผิดเป็น เข่ง ราชธานี ครับ)
ลูกไม่อยากเกิดอีกแล้ว ควรรู้อะไรบ้างคะ พ่อท่านโปรดสอนด้วยค่ะ ลูกฟังเรื่องคุณยายเต็มสิริแล้วสงสารเธอและคู่กรณีจัง อยู่ใกล้พ่อท่านแต่ตัวตนสูงจัง ถ้าเข้าใจธรรมะก็จะไม่ต่อล้อต่อเถียงกัน ยอม เป็นผู้แพ้เหมือนเพลงพ่อท่าน ใจก็จะไม่ถือ ไม่ขึ้งโกรธกันอย่างนี้
พ่อครูว่า…ก็ฝึกไป ใจก็มีก็แสดงออกมา แล้วก็รับรู้แสดงผลไป ค่อยๆเป็นไปหากว่าได้เร็วดั่งใจก็คงดีสิ
_Arinchawit Phiophong อรินชวิช…สาธุครับ..ด้วยความเคารพอย่างสูง ผมเป็นพุทธ100% ผมมีความเชื่อบุญและบาป..การเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่ผมสงสัยคือ..ประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน ดวงวิญญาณที่มาเกิดนั้นมาจากไหนครับ ?
พ่อครูว่า…คุณอย่าไปคิดให้มันหัวแตกเลย วิญญาณมาจากไหน คุณจะรู้ไปทำไม คุณก็มีวิญญาณ คุณเรียนรู้วิญญาณของคุณให้ได้แล้วทำให้แจ้ง ดับวิญญาณให้ได้ก็แล้วกัน ให้รู้แจ้งรู้จริงในวิญญาณให้ได้ แล้วคุณจะไม่สงสัย ว่าวิญญาณจะมาจากไหน พระพุทธเจ้าเองก็ยังตรัสว่าท่านเองก็ไม่รู้ที่ต้น ตอบได้แต่ว่า วิญญาณนี้มันมาจากอวิชชา มันมีปัจจัยคือ สังขารทำให้เกิดวิญญาณ มันก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น อวิชชาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ คนไม่รู้ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้สังขารคือการปรุงแต่ง วิญญาณเป็นตัวที่รวมกันปรุงแต่ง ท่านแบ่งเป็นขันธ์ 5 วิญญาณขันธ์เป็นองค์รวม มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร
เวทนา สัญญา สังขาร เป็นนาม นาม คือเจตสิก 3 ของวิญญาณ ใครอ่าน “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” ก็จะเข้าใจ อาตมาแยกไว้ “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” เป็นหนังสือธรรมะเล่มแรกของชีวิตอาตมาที่เขียนออกมาเป็นเนื้อหาเป็นเล่มสมบูรณ์แบบเลย
ที่จริงในชีวิตก็สอนธรรมะบรรยายธรรมะมาตั้งแต่เป็นฆราวาส ก่อน พ.ศ. 2512 ออกบรรยายอยู่ เปิดคอลัมน์ในหนังสือดาราภาพในหนังสือไทยโทรทัศน์ ก็เปิด Column สอบถามบรรยายธรรมะ อยู่ในหนังสือนั้น แต่ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก เป็นหนังสือที่ตั้งใจเขียนขึ้นมาเอง จนเสร็จเรียบร้อย ลงพิมพ์ในหนังสือสตรีสาร แล้วค่อยๆแก้ไขเพิ่มเติมอีกบ้าง แก้ไขไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วจากนั้นก็ไม่ได้แก้ไขอีก พิมพ์มาหลายสิบครั้งแล้ว
สรุป คือผู้ใดเต็มใจตั้งใจสนใจจริงๆ ที่จะเรียนรู้ ชีวิตมันไม่มีอะไรหรอกชีวิตเกิดมาเป็นคนนี่ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก.. “คน” อาตมาเอาภาษาที่แปลได้ว่า คนเป็นกิริยาว่ากวน คน อาตมาก็ขยายตามภาษาไทย กวนแปลว่าคน แต่คนนี่สุดยอดนักกวน กวนจริงๆ กวนตั้งแต่หัวจรดเท้า
สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของคุณเก่งรัชนีในข้อแรก ที่เขาถามว่าไม่อยากเกิดอีกแล้ว จะทำอย่างไร ?
พ่อครูว่า…ไม่เกิดนี่นะ สรุปสั้นๆ คุณต้องแยกจิตเรียนรู้จิตให้ออก แล้วคุณต้องแยกจิตแล้วก็ทำจิตให้เกิดและทำจิตให้ดับ
จิต แยกเป็นเจตสิกต่างๆ แล้วแยกละเอียดถึงเวทนา เจตสิก ซึ่งเป็นตัวแรกของขันธ์ 5
ข้นธ์ 5 รูป แล้วเป็นเวทนา ตัวแรก แล้ว ซึ่งเป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ ตัวแรกคือเวทนา เราจะศึกษาพระพุทธเจ้าก็ให้แยกรูปแยกนามเป็นรูป 28 นาม 5
ใน นาม 5 ตัวแรกก็เป็นเวทนา
เพราะฉะนั้นตัวเวทนาจึงเป็นตัวสำคัญเป็นตัวฐานเป็นกรรมฐานหลัก และกรรมฐานของการปฏิบัติธรรมของพุทธนั้นคือเวทนา ผู้ที่บำเพ็ญมิจฉาทิฏฐิไปในทางเทวนิยมในทางสะกดจิต ไปในทางเดียรถีย์ ก็ไปมีสิ่งที่เป็นกรรมฐานเป็นกสิณ 40 เป็นอะไรที่จะเอาจิตไปเพ่งก่อนและจิตมันจะได้หยุด เรื่องของสมถะ การสะกดจิตทางวิทยาศาสตร์ก็เหมือนกันให้เพ่งรูปภายนอกเลย อาตมาเรียนสะกดจิต
ไม่มีอะไรก็ให้เอาที่มือให้เพ่งที่มือ เพ่งให้ดีๆ มือเราจะแนบกันนิ่ง อย่าให้มันแยกกันนะ เอาดีๆ ดึงไว้ อย่าให้มันแยกนะ คนที่สู้ไม่ได้ก็แยกออก ก็จะสู้ดึง เขาสนใจ สุดท้ายจิตถูกสะกด ถูกครอบงำ ถูกสะกดจิต ดิ่งเข้าไปอยู่ในภพ แล้วถูกสั่งให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ก็ได้หมดเลย คือหมายความว่าครอบงำจิตให้จิตอยู่ในอำนาจคนสะกดจิต ก็สั่งให้มีอุปาทาน
เมื่อลืมตาออกมา ให้ไม่เห็นอะไรอยู่บนโต๊ะ เขาก็จะไม่เห็น ลืมตาแล้วก็บอกว่ามีเสืออยู่ 1 ตัวระวังดีๆนะ เมื่อให้สัญญาณให้ลืมตา มาแตะตัวหรือมีรหัสให้ตื่น ก็เจอเสือก็จะวิ่ง ต้องรีบจับตัวไว้ แล้วปลุกให้ตื่นบอกว่าไม่มีหรอก เสือ
เช่น สะกดไว้แล้วก็บอกว่า จะเอาเหล็กเผาไฟนาบแขนนะ ระวังนะ แล้วก็เอาไม้บรรทัดธรรมดาแตะที่แขน ปรากฏว่ามีแดงเป็นทางไม้บรรทัดแตะ ไหม้เลย นี่คืออุปาทานขนาดนั้น จิตที่มันเชื่ออะไรเป็นได้อย่างนั้น ทางแพทย์ศาสตร์เขาก็สอนกันเป็นโรค Psychosis หรือ Neurosis เป็นโรคประสาท ตัวเองไม่เป็นหรอก ไม่ป่วยแล้วให้ป่วยเป็นโรคอะไรก็ได้เรียกว่า ไซโคซิส ดีไม่ดีไม่เป็นมะเร็งก็จะเป็นมะเร็งเอาได้ บอกว่าตัวเองเป็นๆ
บางคนนี่ทำตัวเองเป็น เพื่อที่จะเป็นข้อต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นเด็กต่อรองผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเมียเป็นผัวต่อรองกัน หรือคู่รักต่อรองกัน จนกระทั่งเป็น เป็นโรค โรคชนิดนี้เรียกว่า นิวโรซิส (neurosis)
ส.ฟ้าไทว่า…เวลาเด็กไม่อยากเรียนชั่วโมงนี้วิชานี้ก็จะปวดหัว
พ่อครูว่า…ง่ายอุปาทานง่ายไม่ยาก เยอะ
สรุปแล้ว คุณอยากไม่เกิด ต้องมาเรียนความจริงตัวที่พาเกิด
ธรรมดาธรรมชาติของชีวิตจิตวิญญาณมันคืออวิชชาตัวโง่ เมื่อมีแล้วมันก็ต้องเกิดวนเวียนไปตามวิบากถ้าเกิดคุณก็จะเกิดไปตามวิบาก แล้วหัดมาพบสัตบุรุษ ท่านก็สอนให้ไปตามลำดับขั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งแต่สัตว์เกี่ยวข้องกับสัตว์เกี่ยวข้องกับคนอื่น แล้วให้รู้ว่า สัตว์โดยเฉพาะคน มันพาไปเราไปติดไปยึดในอบายมุขต่างๆ เราก็ต้องมาเรียนรู้ฆ่าจิตตัวนี้
อ่านกาย อ่านอาการลิงคนิมิต อ่านอาการจิตออก เรารู้ว่ามันเกิดอาการโกรธ แต่ใจเรา ใจมันอยู่ในร่างกายเรา มันไม่มีที่อื่นมันไม่มีที่ปลายทาง ไม่มีที่สมอง ไม่ใช่ที่หัวใจห้องที่ 4 ตามอภิธรรมเขาสอน มันไม่ใช่ มันคือ อาการ เราจับอาการนั้นได้ที่ไหนที่นั่นคือหทยรูป แล้วก็มันมีอาหาร ก็พิจารณาอาหาร กวฬิงการาหาร มันไปติดยึดกามภพ แล้วเรียนรู้กิเลสตัวนี้คือกามตัณหา รู้ตามธรรมชาติ ของกินของใช้ที่สัมผัสผิวสัมผัสกับสัตว์กับคนเกิดกิเลสก็อ่าน จะชอบ จะเอร็ดอร่อย คนก็เช่นกัน มีรัก มีชอบ มีโกรธ มีชัง มีราคะ มีโทสะ มีแค่นี้แหละ
โมหะ คือ มุ่น วน เลอะเทอะ หากรู้แล้วก็พ้นโมหะ
พิจารณาในนั้นมีอาการตัณหามันมายา มันไม่มีตัวจริงหรอก คุณฟังแล้วบอกว่ามันไม่มีตัวจริงแล้ว แล้วมันก็ไม่ใช่ คุณต้องสัมผัสกับมันเมื่อไหร่และจิตคุณเกิดตัณหา อ่านอาการตัณหาให้ออก แล้วต้องพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นมายา มันหลอกเรา มันไม่มีตัวตนจริงหรอกมันเป็นอนัตตา มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ มันเป็นของไม่เที่ยง มันเกิดมาแล้วมันก็ดับ มันจะอยู่ตลอดนิรันดรหรือ มันจะอยู่ทุกเวลาทุกวินาทีเลย เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนหน้า เป็นอันโน้นอันนี้เป็นเลอะเทอะไป เพราะฉะนั้นตัวไหนที่มันเกิดราคะ ตัวไหนที่เกิดโทสะเดี๋ยวมันก็หายหน้า
คุณจะโกรธตลอด ไม่มีเลิกเลยคุณไม่ได้หรอก มันต้องพักยก ในขณะพักยกมันก็ฝังในอนุสัย แต่ถ้ามันเกิดไปเรื่อยๆคุณก็จะเห็นโทษภัยของความโกรธ ความโกรธไม่ได้ทำให้เกิดความสุขเลย มีพวกมาโซคิส พวกซาดิส มันชอบความรุนแรง เพราะฉะนั้นยาก คนที่ยังไปติดความรุนแรง ติดความแข็ง ยังยากอยู่ ต้องมาเรียนรู้จริงๆแล้วจะเลิกกันได้ มันจะเกิดปัญญาพิจารณา เรียกว่าปัญญา เรียกว่าความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นความจริงตามความเป็นจริงเรียกว่า ปัญญา แล้วปัญญานี่แหละจะเป็นตัวพลังงานที่สุดยอด
ภาษาว่า ปัญญา เป็นตัวรู้ตั้งแต่ทิฏฐิ ความเข้าใจจนกระทั่งเป็นพลังงานที่ตัดเลยเรียกว่ายอดปัญญา พอตัดเป็นตัวปุญญา เป็นฌาน เผากิเลส เผาหมดก็เป็นปุญญะ ดับเหตุมันไม่เกิดอีก สัมผัสอีกมันก็ไม่เกิดอีก โลกสมุทัยก็ไม่มี สัมผัสทีไรก็ไม่เกิดกิเลสเรียกว่า โลกนิโรธ
อธิบายไปซ้ำๆ จนบางคนบอกว่ารู้แล้วรู้แล้ว แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจะเข้าใจไม่เบื่อหรอกมันมีนัยยะที่สัมผัสกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็จะเข้าใจมากขึ้นได้แล้วปฏิบัติ ยิ่งตัวเองมีความรู้และเอาไปปฏิบัติได้ผล มันจะเห็นที่มันละเอียดขึ้นไปอีกไม่มีเบื่อง่ายๆ ในที่สุดคุณเป็นพระอรหันต์ คุณจะสบายแล้วก็จะไม่เบื่อหรอก ธรรมะพระพุทธเจ้าโลกุตระแล้วไม่มีวันเบื่อ แม้แต่เป็นพระอรหันต์ก็มี ธรรมรส มีวิมุติรส ไม่มีรสอื่นเท่าเทียมเลย เป็นความมหัศจรรย์ในความมหัศจรรย์ 8 ข้อ มหาสมุทรไม่มีรสอื่นเทียบเท่า มีรสเดียวคือรสเค็ม
นิมนต์พ่อครู จิบน้ำ
สมณะฟ้าไท..
พ่อครูว่า…สรุป คุณอรินชวิช ก็ค่อยๆเรียนไป แม้แต่คำว่าบุญ คำว่าบาป เรื่องของโลกุตระ ปัญญาเป็นเรื่องเฉพาะของศาสนาพุทธ อาตมากำลังเขียนหนังสืออยู่ 2 เล่ม เรื่องของการเมือง 1 เล่มกับเรื่องของปัญญา 8 อีก 1 เล่ม ก็คงจะได้พิมพ์ออกมาแจกกัน
เขียนเสร็จแล้วก็จะเอามาอธิบายกันไป
อาตมาว่าจะเอาคุหัฏฐกสุตตนิทเทสมาอ่านแล้วขยายความให้ฟัง…
ดวงวิญญาณจะเอาจากไหนมาเกิดขึ้นอย่าไปคิดเลย
เริ่มต้นเป็นสัตว์เรียกว่าเป็นจิตนิยาม จะไม่จบไม่ตายไม่หมดอัตภาพง่ายๆมันจะสั่งสมวิบากวนเวียน ก็จะเป็นเดรัจฉาน หมุนเวียนขึ้นมาแล้วจะมีคู่วิบากกัดกันรักกัน แล้วก็จะมีการติดยึด จะติดอะไร ภาษาศัพท์ไทเรียกชัดเจนว่า ติดสัด
ติด กับ พยาบาท เรียกว่าติดสัดนี่แหละ มันจะติดเรื่องสมสู่ แล้วก็ต่อเผ่าพันธุ์ แล้วยึดถือลูกยึดถือตระกูลของตัวเองอีกมากมาย คุณอย่าไปนับเลยว่าเอามาจากไหน มันอยู่ในสิ่งที่ว่าง จิตวิญญาณมันไม่กินเนื้อที่ คุณจะไปนับมันทำไมว่ามาจากไหน จะมาจากไหนไม่รู้มาจากไหนก็ช่างหัวมัน คนมาเรียนรู้จิตวิญญาณของคุณนี่แหละไม่สำคัญ พระพุทธเจ้าสอนอย่าไปทำนาคนอื่น ให้ทำนาตนเอง ทำนาตนเองแล้วก็จบ นาของคนอื่นก็ของคนอื่นอย่าไปวุ่นวายกับนาของคนอื่น เขาเรียกว่าเป็นพวกที่
เมื่อคุณจบแล้วรู้จักวิญญาณดีแล้ว จิตวิญญาณที่จะดับให้ดับหมดได้พระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังไม่รู้ที่เกิดที่ต้น แล้วคุณจะไปรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้าทำไมจะไปถามทำไม ไปถามสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าเราไม่รู้ที่ต้น แต่เรารู้ที่ดับที่จบ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเรียนสิ่งที่ดับไม่ใช่เรียนสิ่งที่เกิด เทวนิยมเรียนแต่สิ่งที่เกิดและสิ่งที่ดับไม่รู้ก็เลยเป็นนิรันดร นักข่าวก็คิดว่ามีแต่ชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้าจบเลย จริงๆแล้วตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตายไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนอีกหรือจะขึ้นสวรรค์ได้นั้นเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่แล้วลงนรก ที่เกิดเป็นสวรรค์นั้นเป็นมนุษย์เท่ากับขี้เล็บที่ทิ่มลงไปในแผ่นดินเท่านี้แหละ ที่ได้มาเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์มีเท่านี้ นอกนั้นในปฐพีนรกทั้งนั้นเลย แล้วนรกก็ไม่มีเต็ม นรกของใครของมัน อีกอย่างจิตวิญญาณไม่กินเนื้อที่ไม่ซ้อนกัน มันไม่มีที่อยู่ก็เลยไม่เต็ม
สัตว์ที่จุติ*(เคลื่อน)จากมนุษย์แล้วกลับมาเกิดในภูมิแห่งมนุษย์ มีส่วนน้อย ..ส่วนที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก เกิดในภูมิเดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย (เปรต) ย่อมมีมากกว่าโดยแท้ (*สัตว์ที่จุตินั้นหมายถึง โอปปาติกสัตว์)
(พตปฎ. เล่ม 20 ข้อ 206)
อย่าไปอยากรู้เกินกว่าที่ควร มันเป็นโลกจินตา คิดไปได้ไม่รู้จบแล้วไปคิดทำไม เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วจบได้ในตัวเองดีที่สุด เมื่อคุณมีความรู้มีปัญญาว่าชีวิตสูงสุดเช่นนี้จบเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละเป็นที่สุด เมื่อคุณอยากเกิดอีก คุณอยากจะรู้มากกว่านี้ในโลก อยากจะรู้ว่าอัตตาอย่างคนอื่นๆเป็นอย่างไรคุณก็เกิดได้อีก แต่มีฐานรองรับแล้ว เป็นฐานอรหันต์ คุณจะไม่ตกต่ำอีกเป็นธรรมดาเลย คุณก็เกิดสิ อาตมาเป็นอรหันต์แล้วเกิดอีกจนเป็นโพธิสัตว์ปาง 7 มีสูงได้กว่านี้อีก คุณเข้าใจสิ่งที่อาตมาพูดให้ทันก็แล้วกัน จะรู้ขนาดอาตมาได้ไหมล่ะ อาตมาไม่อยากอวดรู้แต่พูดไปอธิบายไปตามที่ควรจะอธิบาย
ขนาดนี้ยุคใกล้กลียุค คนที่จะไล่อาตมาได้ทันนั้นไม่มีแล้ว ก็พูดให้ฟังเป็นสัจจะ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าไม่มีใครไล่ตามท่านทันหรอก อาตมามาถึงระดับนี้ใครก็ไล่ไม่ทันหรอก เพราะฉะนั้นคนที่จะไล่มา ก็จะค่อยๆเข้าใจมา จะชัดเจน แล้วจะไม่อวดดิบอวดดี ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้วจะรู้ว่าอาตมาเป็นผู้พี่ อาตมาก็ไม่มีปัญหา ถ้าผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ผู้พี่แสดงตัวแล้วก็พิสูจน์ตัวเอง แน่นอนโพธิสัตว์ผู้ใดเป็นที่เกิดมาในยุคนี้ ยิ่งอายุเท่ากันกับอาตมาก็จะต้องมีผลงานมีมวล มีการแสดงตัวมากชัดเจนเทียบกันได้ มันก็ยืนยันได้ เราไม่มีงานอื่นหรอกสำหรับพระโพธิสัตว์มีแต่งานสร้างมวลมนุษยชาติที่เป็นชุมชนเป็นระบบอยู่ในสังคมประเทศชาติอย่างนี้ไม่มีอย่างอื่นหรอก เป็นเรื่องของมนุษย์กับสังคม ซึ่งอาตมาก็เคยพูดซ้ำซ้ำซากว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไร มีแต่ศึกษาเรื่องความเป็นคนกับเรื่องความเป็นสังคม เท่านั้น แล้วท่านก่อนปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว ท่านเกิดมาทำงานนี้อย่างอื่นท่านก็ศึกษาได้ อาตมาก็ศึกษา ศึกษาไปเป็นช่างเทคนิคตามที่โลกเขามีตามที่ควรจะเป็น แต่ละชาติไม่รู้กี่ล้านชาติ ก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ เก่งทางนั้นทางนี้ ชาตินี้อาตมาไม่เก่งทางเรื่องของเทคนิคเลย ขันน็อตก็ยังไม่เก่ง ชีวิตนี้อาตมาถ้าเป็นงานกับพวกนี้ อาตมาทำกับข้าวเก่ง ซักผ้าก็เก่ง อาตมาใช้อันนี้ในชีวิต ไปรับใช้เขา เหมือนแม่บ้าน เลี้ยงลูกให้เขา ชุนกระโปรงให้น้องก็มี
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน นิพพานกับอายตนะเป็นธาตุหรือไม่
_ฟ้าใส แซ่หว่อง….ขอนอบน้อม กราบนมัสการ พ่อครู ค่ะ ลูกมีคำถาม ค่ะ ว่า นิพพาน ถือว่าเป็นอายตนะ และถือเป็นธาตุ ได้ไหมคะ?
พ่อครูว่า…ก็คงจะเคยได้ยินอายตนะนิพพาน คำว่าอายตนะไม่มีตัวตนเหมือนธาตุ
คำว่าธาตุ เป็นตัวตนกว่า เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าธาตุก็ตามสมมุติ แต่จริงๆ อายตนะเป็น Dynamic ธาตุ เป็น Static แยกเป็นตัวเคลื่อนไหวกับตัวนี่ ในอวิชชาก็จะเกิดตัณหา
หากธาตุในผู้ที่บรรลุแล้วหรือยังไม่บรรลุมีอวิชชาหรือปัญญา พอเป็นอรหันต์แล้วธาตุที่เคลื่อนไหวก็จะเป็นปัญญา อายตนะไม่ตั้งอยู่ในที่ใดส่วนธาตุนั้นตั้งอยู่ อายตนะนั้นเกิดตอนสัมผัสมีผัสสะ หากไม่มีการผัสสะ อายตนะนั้นก็หายไป อายตนะคือสะพาน สะพานจะเกิดเมื่อมี 2 สิ่ง มีต้นทางกับปลายทางสัมผัสกันก็เกิดตรงกลาง เมื่อเลิกสัมผัสกัน อายตนะก็หายไปไม่มีที่ตั้ง อาตมาจำพระสูตรนี้ไม่ได้
คล้ายๆกับผัสสะ ไม่มีผัสสะแล้วอายตนะก็ไม่เกิด ที่จริงไม่มีผัสสะแล้ว ทำให้ผู้มิจฉาทิฏฐิเข้าใจว่าผู้ที่ดับคือไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรเป็นก็คือไม่มีผัสสะ ก็เลยหนีจากผัสสะก็เลยไม่ได้บรรลุอะไร
จึงต้องย้ำว่าต้องบรรลุขณะมีผัสสะ
นามรูปนี้มีสามเส้า จะรู้กัน อายตนะ ผัสสะ เวทนา สามเส้านี้ปฏิจจสมุปบาท
มีผัสสะอายตนะก็เกิดแล้วศึกษาเวทนา
หากอายตนะผัสสะนามรูป สองตัวนี้สัมผัสกันก็เกิดอายตนะ คือ นามรูป อายตนะ ผัสสะ
พออายตนะ ผัสสะ เวทนา พอผัสสะก็เกิดอายตนะเกิดเวทนา
วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา เพราะฉะนั้นตัวจบพระพุทธเจ้าท่านสอนให้อ่าน อาหาร 4
วิญญาณมีนามรูปปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป จบ
หากเข้าใจ สามเส้า วิญญาณต้องเรียนรู้จักนามรูป จึงมีวิญญาณให้เกิดเรียนรู้ หากไม่มี 2 อย่างนั้นไม่มีวิญญาณเกิดหรอก ทีนี้ก็แตกวิญญาณออกเป็นเวทนา สัญญา สังขาร คุณก็เรียนครบ
สังขารกับเวทนา 2 ตัวนี้ สังขารเป็นตัวประชุมใหญ่ที่มีอวิชชา ก็มาเรียนอวิชชาให้เป็นอภิสังขารให้รู้เหตุของที่เกิด เกิดอะไรก็เกิดเวทนาความสุขความทุกข์
เรียนรู้สังขาร ต้องรู้กายสังขาร จิตสังขาร จิตก็แยกจาก กาม หมดกามก็เหลือรูป อรูป ก็เรียนไล่เรียงไป ทั้งที่กามาวจรก็มีอยู่ จิตวิญญาณอยู่กับโลกกาม แต่คุณไม่มีกามแล้ว ไม่มีกามคุณ จริงๆแล้วมันเป็นกามโทษ แต่คุณโง่หลงว่าเป็นคุณ เป็นสุข คุณก็เลยกเชิดชูกาม กราบบูชากาม พูดไปเดี๋ยวจะหยาบ
_มาถึงคุณใบฟ้า… ศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 5.12 น.
กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้ากราบเรียนเสนอ “สํามะปี๋จากงานพุทธาครั้งที่ 44”
-
ภาพมุมสูงในคืนวันมาฆบูชา “เดือนเด่นฟ้า” “พ่อครู” และ “พุทธบริษัท 4” ให้ความรู้สึกเหมือน(ละม้าย) ในครั้งพุทธกาลเลยเจ้า
-
พ่อครูคือ “อภิมหาบรมเศรษฐี(บ้านนอก)” ที่รอให้ลูกๆมาช่วยจัดระบบ ระเบียบ หมวดหมู่ ของ “อภิมหาบรมสมบัติ” เพื่อนำเสนอแก่ “มวลมนุษยชาติ” อย่างราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม แม่นก่อเจ้า
-
“กายนี้คือวิญญาณ” นำสู่ความแจ่มชัดระหว่าง จิต – มโน – วิญญาณ อุปมาได้ดังนี้ วิญญาณ = บ้าน
จิต = ห้องต่างๆ ส่วนมโนคือสิ่งที่อยู่ในห้อง พอใช้ได้ก่อเจ้า
-
โครงการ หนึ่งในพัน สัมฤทธิ์ผลเมื่อใด! พ่อครูสัญญาจะมีอายุถึง 151 ปี ลูกๆชัดนะ!
ส่วนลูกคนนี้ MOU กับน้องสาวที่ผูกพันกันแล้วว่า ศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563 พี่ขอลา “กลับบ้าน”(แผ่นดินพุทธ)
-
“ ทักขิเณยบุคคล 7” ลึกซึ้งซับซ้อนสมกับเป็นแก่นแกนที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ รูปธรรมของบุคคลที่ระบุในแผนผังฯ คือคุณยายยู้ ท่านอาจารย์ 2 ผืนฟ้า และท่านสมณะซาบซึ้ง ให้ความชัดแจ้งดีมากเจ้า เพราะสมรูปสมนามจริงๆ สาธุๆๆ
-
รายการธรรมะก่อนฉัน สนุกได้สาระธรรมทุกรายการ และดูเหมือนจะจับคู่ระหว่าง “ศรัทธานุสารี – ธัมมานุสารี” หลายคู่เจ้า
-
รายการภาคค่ำ ก็เหมาะควรยิ่ง เพราะสะท้อนถึงมรรค – ผลของการปฏิบัติธรรมของพี่ – น้อง ที่หลากหลาย จากโลกียะสู่โลกุตตระ “ให้”เป็นลำดับๆ
กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยเศียรเกล้า กราบขอบพระคุณท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุและญาติธรรมที่ช่วยเสริมปัญญาเจ้า
พ่อครูว่า…มีเรื่องบุคคล 7 ที่มีคนแยกแยะให้ว่ามีการปฏิบัติที่วนเวียนไปมาอีก จนช้านานก็เป็นไปได้อีก
สายศรัทธาจะช้านานกว่าสายปัญญา แต่ไม่ได้เป็นการพูดข่มกันนะ
คนพวกที่ช้านานวนคือสายศรัทธาที่ดื้อๆหน่อย จะเสียเวลาไม่ใช่ปีเดียวนะ แต่เป็นร้อยชาติพันชาตินะ พูดแล้วก็นึกถึงเจ้าอ้อ ตั้งชื่อตัวเองว่าเป็นพุทธพันชาติ เป็นลูกคนเดียว มีสมบัติที่พ่อทิ้งไว้มากก็เลยทำให้มีเครื่องอลังการทำให้ช้านาน ลูกผัวก็ไม่มี
พ่อครูว่า…สายศรัทธาที่ช้าก็เพราะว่าหลงปัญญา เวลาหลงมันไม่รู้ตัว
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน …สายศรัทธาได้ปัญญามาจะดี แต่ถ้ามีมานะ ดื้อจะหลงทำให้ช้า ต้องเจอฐานอุปกิเลส16 แต่เราต้องรีบผ่านให้เร็วที่สุด
พ่อครูว่า…จากอโศกสัมปวังโก
ขอให้พ่อท่านให้ วินิจฉัยความเห็นต่างของเพื่อนสหพรหมจรรย์
-
มีเพื่อนสหพรหมจรรย์ถูกตำหนิว่าตั้งแต่ถามพ่อท่านด้วยคำถามที่ตัวผู้ถามดูแล้วว่า ทำเพื่ออยากอวดภูมิความรู้ของตัวเอง จนทำให้นักตั้งคำถามหลายคนต้องหยุดส่งคำถามเข้ารายการของพ่อท่าน กระผมคิดว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้ที่นักตั้งคำถามเหล่านั้นจะรู้เข้าใจได้อย่างถี่ถ้วน นักตั้งคำถามเหล่านั้นมีเจตนาตั้งคำถามเพื่อทำให้เกิดความกระจ่าง และเพื่อให้พ่อท่านได้ยืนยันความเข้าใจของพวกเขามากกว่า
-
เพื่อนสหพรหมจรรย์ ตั้งข้อแม้ไม่ให้ตั้งคำถามเพื่อให้พ่อท่านลงรายละเอียดลึกเกินไป ด้วยเหตุผลว่าเพราะท่านอายุเยอะมากแล้วทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยสุขภาพแย่ลง ในความคิดของกระผม พ่อท่านคือผู้รู้ขั้น สยังอภิญญา ผู้มีสภาพถ้วนรอบทั้งสภาวะและพยัญชนะ มีความสามารถตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างลงตัว จะทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร การให้พ่อท่านได้เทศนาในเรื่องที่ต้องลงลึกรายละเอียดน่าจะถูกกับพ่อท่านมากกว่า เพราะว่าโลกุตรธรรมนั้นเป็นเรื่องยากไม่ใช่เรื่องง่าย การที่พ่อท่านจะต้องเทศน์ง่ายๆในงานนั้นน่าจะเป็นเรื่องหนัก ทำให้ท่านต้องเตรียมตัวมาก