630226_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วิชชาและจรณะของศาสนาพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1S6hziwdcLNv8oFCQ0XLv_JEcTayfRq0oYzTLjNa_vzo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1M-YEAvjjrSxj1wDqKqpdhYus-TjwO_Rp
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้สถานการณ์การติดเชื้อไข้หวัด Covid 19 ก็มาแรง ควรงดไปต่างประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ วัดเราไม่มีสัตว์ที่เป็นพาหะก่อโรค เราไม่เลี้ยงสัตว์ แม้แต่พ่อครูทำน้ำตกก็ช่วยให้ฝุ่นละอองในอากาศลดลงมาก
พ่อครูว่า…630226 SMSวันที่23ก.พ.2563(วิถีอาริยธรรม)
_3919กราบเรียน สมณะ พ่อโพธิรักษ์ ทุเรียนผสมข้าวโพด จะจุดติบังเกิด ส่งผลถีงกำไร ได้หรือเปล่าครับ (ยืมมือถือของพี่มาส่ง SMS ครับ เทิดศักดิ์ สุระแสง)
พ่อครูว่า…กำไรของคุณหมายถึงอะไร? (สู่แดนธรรมว่า…เขาอาจฟังที่พ่อครูพูดแล้วต่อไม่ติดเข้าใจไม่ได้ก็เลยเขียนมาแบบนี้) หมายถึงว่าที่อาตมาพูดจะเป็นมรรคผลอย่างไรได้หรือ ก็ตั้งใจฟังให้ดี
_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ : ก่อนที่จะมารู้จักพ่อครู สมณะ อจ.หมอเขียวและชาวอโศกนั้น เคยสงสัยในคำว่าพุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ว่าเป็นอย่างไร ตอนนี้ความสงสัยนั้นได้รับคำตอบเป็นที่ประจักษ์แก่ใจแล้วโดยเฉพาะจากพ่อครู
พ่อครูว่า…สายศรัทธาหลายคนสภาวะเกิดแล้วแต่รู้ตัวเองไม่ได้ก็มีหรือบางคนใช้ปัญญาในตัวเองแล้วตัวเองไม่รู้ก็มี หรือไปรู้ซ้อนก็ได้รู้ความเกิดความเป็นของตัวของตนนั้นรู้ไม่ได้ก็ได้ มันเป็นเรื่องนามธรรม ใช้ภาษาสื่อสภาวธรรมที่ไม่มีตัวตนรูปร่างไม่มีหัวไม่มีหาง เป็นนามธรรมอยู่ เราต้องรู้เอง
_Fgttสมศรี Ffhyลุงตู่ : รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม…อาจยังปฎิบัติไม่ได้ครับ…แต่ศรัทธาในธรรมครับ
พ่อครูว่า…ดี ตั้งใจ
_จิตรา อัศวิน : กราบ_/\_นมสก พ่อครู ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณที่สาธยายธรรมเรื่อง. สัตตาวาส 9 และวิญญาณทิฏิ 7 จะเปิดย้อนฟังธรรมชุดนี้หลายๆครั้งเพื่อทำความเข้าใจให้แจ่มชัดขึ้น..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ถ้าสามารถรู้เรื่องกายเรื่องจิต กายกับจิตเป็นนามธรรมก้อนใหญ่ สัญญาเป็นเจตสิกอีกที ไปทำงานย่อยกำหนดรู้แล้วทำงานสองอย่างสำคัญมากมีทั้งลักษณะ static dynamic ในตัว บวกกับลบในตัวเองเลย บวกสั่งสมลงนิ่ง ลบก็เคลื่อนไหว เหมือนกับลูกข่างหมุนเร็วนิ่ง เร็วจนแทบจะวัดความเร็วยาก แยกกันไม่ได้ แต่ทำงานร่วมกัน เมื่อเป็นชีวะจะเร่ิมแยกไป เป็นอุตุก็แยกกันเป็นดินน้ำไฟลม หมดอัตภาพ หมดอัตตา จิตนิยามเราก็สูญไม่เหลือ
คอมมูนอโศกคืออะไร
_พัชรี พันธุ์คุณจำเนียรPatchareepunkhunjumnien : คอมมูน ที่พ่อครูกล่าวถึง เป็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ยากนะ ง่าย แต่ละเอียดหลายชั้นมาก คอมมูน หมายความว่า กลุ่มรวม คนมารวมกันแล้วมีกายมีจิต มีตัวตนบุคคล มีองค์ประกอบดิน น้ำ ไฟ ลม พฤติกรรม เครื่องอาศัยต่างๆ วัตถุ และจิตวิญญาณ สังเคราะห์สังขารกันอยู่ เป็นอันนี้อันนี้เยอะแยะมากมายมหาศาลซึ่งความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นสุดยอด แยกให้เป็นสัดส่วนได้ ที่แยกไว้ อุตุ พืช จิต กรรม ธรรม ซึ่ง กรรมคือ Dynamic ธรรมะเป็น Static แล้วทำให้จิตนี้เป็นอุตุ เป็นพืชได้ องค์ประกอบกิจมีเท่าไหร่ พีชะ มีองค์ประกอบเท่าไหร่ อุตุ มีอย่างไรแค่ไหน อุตุไม่มีนามแล้ว พีชะ ก็ไม่เรียกมันว่านาม แต่มันมีรูป แล้วมันก็มีความรู้ เรียกว่าสัญญา แล้วก็สังขารปรุงแต่งกันอยู่ ยังไม่เรียกว่ามันมีความรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวด รู้สึกรัก รู้สึกชัง พอมาเป็นสัตว์ก็มีได้
เริ่มตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมีกรรมวิบาก พืชไม่มีกรรมวิบาก ไม่มีการแก้แค้น ไม่มีการทำร้ายทำลายกันไม่มี แล้วจะไปดูดดึงอะไรอีกไม่มี มีแต่ตัวเองดูดตัวเองถ้าดูดไว้ไม่ได้ก็สลายเป็นดินน้ำไฟลมนี่แหละพืช ส่วนจิตนี้วิจิตรพิสดารมากกว่าพืช ศึกษาให้ดีๆ รวมกันแล้ว องค์รวมเป็นคอมมูน
คอมมูนสูงสุดที่อาตมานำเสนอเป็นผลสำเร็จคือ สาธารณโภคี นี่เป็นสุดยอดของมนุษยชาติของสังคมมนุษยชาติ สาธารณโภคี หมายความว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา เป็นการรวมกันส่วนกลาง แล้วเราก็อาศัยกินใช้อยู่ในองค์รวมนี้ อย่างคอมมูนของครอบครัวหนึ่งก็เป็นองค์รวมของวัตถุเงินทองค่าของทรัพย์สินกับชีวิตอาศัยอันนั้น ของครอบครัว เมื่อมาเป็นสังคมนิยมสังคมคอมมิวนิสต์ เขาก็เป็นของเขา ตีกรอบของเขาในระดับประเทศหรือรัฐของเขา อยู่ในองค์รวม แล้วก็มีหลักเกณฑ์ต่างๆตามแบบตามภูมิธรรมของเขา
ส่วนสาธารณโภคีนั้นกว้างกว่า รวบรวมได้ซึ่งมีจิตตัวเองเป็นตัวกำหนดความเป็นอิสระเสรีภาพ ที่จะมารวมกับ คอมมูนไหน กลุ่มรวมกลุ่มไหน ตัวคุณมีสิทธิ์ของตัวเอง จะเลือกเอาไม่มีใครบังคับ หรือใครหลอกคุณก็ถูกหลอกคุณก็โง่ ถ้าคุณไม่ถูกหลอกเลยคุณก็เลือกด้วยความบริสุทธิ์ของคุณเอง ก็เลือกเอา
อย่างสาธารณโภคี มีอิสระเสรีภาพสูงสุด มีปัญญา มีธาตุรู้ที่เยี่ยมยอดที่สุด เลือกได้อย่างอิสระเสรีภาพ เสร็จแล้วก็มาเป็นสาธารณโภคี มีแต่ให้เป็นทาน มีกรรมกิริยาที่ทำงานขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ช่วยเหลือคนอื่นอยู่ตลอดเวลา อนุกัมปา สุดท้ายก็ไม่มีตัวตนอนัตตา
เพราะฉะนั้น 5 คำสุดท้ายนี้ อิสระ ทาน ปัญญา อนุกัมปา อนัตตา ห้าตัวนี้ อาตมารวมเป็นหมวดหมู่ของคุณธรรมสุดยอดของมนุษยชาติและของสังคม เท่าที่จะรวบรวมได้ สุขยิ่งกว่าสุข ไม่มีทุกข์แน่นอน แต่ยิ่งกว่าสุข ต้องเรียนรู้ไป มีปัจจัตตังเป็นของตัวเอง อ๋ออย่างนี้นี่เอง ซึ่งให้ใครมารู้แทนก็ไม่ได้
_sms วันที่ 24 ก.พ. 2563 (สำมะปี๋ ซี๋วิต : พ่อครู)
_เจ.คิว. : ขอรบกวนด้วยค่ะว่าตอนนี้จานดำ idea sat ชึ่งเมื่อก่อนเปิดดูได้ช่อง192 ตอนนี้อยู่ช่องไหนคะ หาไม่พบค่ะ
พ่อครูว่า….ทางเทคนิคจะมีตัววิ่งบอกให้อีกที
Infosat ช่อง 138 หรือ 185 , PSI 240 , Gmm 163 , Ideasat ThaiSat KS TV 176
ตอนนี้อาตมาก็ตั้งใจจะต่อเรื่อง จรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดีเสียก่อนถึงจะต่อไปยัง สัตตาวาส 9 วิญญาณฐิติ 7
จรณะ 15
-
ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. ปรารภความเพียร (อารัทธวิริโย)
-
คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ
-
ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา
-
ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน
-
ศรัทธา (เชื่อมั่น) 13. ทุติยฌาน
-
หิริ (ละอายต่อบาป) 14. ตติยฌาน
-
โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป) 15. จตุตถฌาน
-
แทงตลอดในพหูสูต (ล.13/34)
ปัญญา 8 ตอนนี้อาตมาก็เขียนขยายความอยู่ แต่ก็อธิบายไปเรื่อยๆแล้ว และก็เขียนหนังสือ ประชาธิปไตยไทยที่ใครๆไล่ไม่ทัน เขียนสลับกันไปคู่กัน ไม่สับสนกันด้วย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไทว่า…เรามาศึกษากับพ่อครูก็เริ่มที่จรณะ 15 นี่แหละ
พ่อครูว่า…จรณะ 11 ข้อแรกให้ปฏิบัติตรงศีลแล้วปฏิบัติไม่ผิด 3 แล้วจิตเกิดสัทธรรม 7 มีตัวพลังงานที่ทำให้กำจัดกิเลสจนจิตสะอาด เกิดฌาน 1 2 3 4 ทำให้สัทธรรม 7 เจริญขึ้น หากก้าวหน้าเรียก ฌาน 1 2 3 4 ฌานคือไฟ พลังงาน อุณหธาตุมีฤทธิ์แรงร้อนละลายไม่ใช้ทำให้จับตัว ฌานคือไฟ แต่พวกเทวนิยมฌานของเขาจะเย็นนิ่งแข็งเป็นก้อนหยุด แต่ฌานของพระพุทธเจ้ามีความร้อนละลายไฟราคะโทสะโมหะเลย ฝั่งนั่งหลับตาก็ไม่มีการรู้ราคะโทสะโมหะ มีแต่จับตัวกันเป็นก้อน ไม่แยกแยะออกได้ แต่ของพุทธนี้แยกแยะละเอียดลออ ทุกเม็ด ละอองธุลี มันต่างกัน
เมื่อเกิดฌาน 4 ก็ครบ จรณะ 15 แล้วทุกขั้นตอนมีปัญญา 8 หรือวิชชา 8
คำว่าปัญญา คือ ธาตุรู้ที่เป็นของศาสนาพุทธ และศาสนาอื่นก็เอาไปเรียกใช้ความฉลาดแบบอื่นด้วยคำว่าปัญญา ไปตู่เอา(เสียงไมค์หอน ตัดออกด้วย) คำว่าปัญญาต่างจากเฉโกที่เป็นความฉลาดโลกีย์
สรุปแล้ว ความฉลาดโลกีย์คือที่เรียกด้วยพยัญชนะว่าเฉกาหรือเฉโก
ความฉลาดอีกตระกูลหนึ่งเรียกว่า ปัญญา เป็นของมนุษย์ดาวคนละดวงต่างกันมีความหมายต่างกัน แต่คนเอาภาษาดาวโลกุตระไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้าโดยใช้กับดาวโลกียะ คำว่าปัญญาถึงเสียหมดเลย เอาไปทำลายหมดเลย ก็เลยไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความรู้ได้ว่าโลกุตระหรือปัญญามันคืออะไร เอาไปใช้ผิดเองตัวเองก็ไม่เข้าถึงสภาวะเพราะไปทำลายภาษาด้วยตัวเอง เอาคำว่าปัญญาไปเรียกอย่างนั้นหรือเอาคำว่าบุญไปเรียกของตัวเองว่าเป็นกุศลของตัวเอง ซึ่งบุญไม่ใช่กุศลมันคนละเรื่องกันเลย กุศลเป็นสิ่งมีแต่บุญเป็นสิ่งที่ทำลายเป็นสิ่งที่ไม่มีอย่างนี้เป็นต้น
อาตมาเอาสาธารณโภคีมาทำได้ เพราะเขาทำลายเรื่องทาสกันได้แล้วมีสิทธิ์เสรีภาพที่จะเข้าใจและเป็นไปได้
ไปวิชชาจรณะ
แล้วฌาน 1 2 3 คำว่ามีทั้งวิตกวิจาร มีปีติ สุข อุเบกขา ฌาน 1 มันมี พอมาฌาน 2 วิตกวิจารหาย เหลือปีติ สุข
ฌาน 3 ปีติหายไปเหลือสุข ฌาน 4 เหลือแต่อุเบกขา จะเรียก เอกัคคตา ก็ได้
วิชชา 8
-
วิปัสสนาญาณ คือความรู้ รู้อย่างมีผัสสะ รู้อย่างลืมตา มีการเห็น วิปัสสี วิปัสสนา เป็นคำที่ต้องให้เกิด เกิดญาณ รู้แล้วก็เอาไปปฏิบัติ เกิดฤทธิ์ทางใจ มยิทธิ
2. มโนมยิทธิญาณ เกิดฤทธิ์ทางใจของเราเอง ที่ไม่ใช่ อิทธิปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ อาเทสนาปฏิหาริย์ แต่เป็นปาฏิหาริย์ ตามพยัญชนะภาษาที่พระเจ้าเอามาแทนสภาวะให้รู้ความสุขหรือความทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้รายละเอียดของทั้ง 2 อย่าง ไม่ใช่ไปรู้เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ เหมือนหนังกำลังภายในของจีน เพ่งเล็งจิตคนอื่นสัตว์อื่นว่าคิดอย่างไร หรือค้นหาของหายได้หรือส่งจิตไปทำร้ายคนอื่นได้ ไม่ใช่ ไม่เอา เมื่อย แล้วก็ไปกระทบคนอื่น อวดเก่งกับคนอื่น พระพุทธเจ้าท่านตัดทิ้งไป
ดูกร เกวัฏฏะ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว จึงได้ประกาศให้รู้ ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง เป็นไฉน ? คือ
-
อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)
-
อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)
-
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา๘ เป็นปัญญาสัมปทา)
พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ .
(เกวัฏฏสูตร พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 339-341)
มโนมยิทธิ คือ มีฤทธิ์ทำลายกิเลสได้
-
อิทธิวิธญาณ คือ มีฤทธิ์ มโนมยิทธิที่หลากหลายแตกต่าง ฤทธิ์ทางธรรม ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ด้วย แต่อาศัยคำว่า อิทธิเท่านั้น แต่เป็นฤทธิ์แรงของพลังงานทางจิตที่สามารถ สำคัญคือรู้จักกิเลสทำลายกิเลสกำจัดกิเลสได้ นี่เป็นจุดหมายจุดสำคัญ ก็มีอิทธิวิธญาณ หลากหลายขึ้น ท่านั้นท่านี้ เหลี่ยมนั้นเหลี่ยมนี้ จนหมดของตัวเองแล้วแถมรู้ของคนอื่นได้ ก็ไปช่วยคนอื่นได้ พระโพธิสัตว์จะมีตัวนี้เพิ่มขึ้นของพระอรหันต์ทำตัวเองให้หมดจบของตัวเองเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ส่วนที่ไปช่วยคนอื่นด้วยเรียกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ก็จะเพิ่มเป็นประโยชน์ตน เป็นประโยชน์ท่าน ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน เรามีประโยชน์ตนเท่านี้ก็ช่วยคนอื่นได้เท่านี้เรามีประโยชน์ตนมากขึ้นก็ช่วยคนอื่นได้มากขึ้นแล้วอย่าไปช่วยจนหมดเนื้อหมดตัว มีทุน 100 ก็ช่วยคนอื่นซัก 60 (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
นิมนต์พักจิบน้ำ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…เห็นคนมาแย่งกันซื้อของ เพราะว่าเขาคนเยอะต้องกินใช้ แต่ของเราคนมากแต่อิสระกว่า
อิทธิวิธญาณไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ อันนี้แหละมันยากมากเลย
อิทธิปาฏิหาริย์ที่ทางโลกีย์เทวนิยมเขาทำกันซื่อๆ เขาแปลในพระไตรปิฎกเขาแปล เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ไม่มีคำว่าคนแต่เขาแปลว่าเป็นคนเดียว จริงแล้วจะแปลว่าคนเดียวก็ได้แต่ทางนามธรรมไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา คำว่าหนึ่งเดียวทางนามธรรม อย่างของอาตมาทำงานคนเดียวจริงๆก่อนใครเป็นไก่ตัวพี่ กู่ร้องหาพี่ แต่ก็ไม่มีมามีแต่น้องก็ทำไป
จากอาตมาหนึ่งเดียว ก็สามารถมีคนที่ได้ธรรมะโลกุตระกิเลส เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มาได้หลายคน ทำให้หลาย พหุทาปิ พหุทาแปลว่ามากมายหลากหลาย ให้มาเป็นหนึ่งเดียว พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ หลายๆหรือจะเอาเป็นคนๆนั้นก็คือคุณธรรมของเขา มากกว่าหลายคนก็มารวมตัวกันเป็นธรรมะโลกุตระหนึ่งเดียว เป็นธรรมะที่รู้จักเอโกธัมโม แบบเดียวกันรู้จักกิเลสลดกิเลสได้ให้เป็นศูนย์เหมือนกันหลายคนของใครของมันแต่ 0 เหมือนกัน
สู่แดนธรรมว่า…เขาว่า ชาวอโศกพูดอะไรเหมือนกันหมดเช่นบอกว่าจนมันดีเหมือนกันหมด
พ่อครูว่า..แรกอาตมาไปประเทศที่วัดมหาธาตุ ก็บอกว่าพวกอโศกมันพูดเหมือนกันหมดเลยมันนัดกันมาหรืออย่างไร จริงแล้วต่างคนต่างเอาความจริงมาพูด ที่จริงแล้วก็พูดคนละจำนวนคนและพยัญชนะแต่ความเข้าใจของท่านทั้งหลายที่เป็นภิกษุพวกนั้นได้ฟังแล้วก็บอกว่าทำไมพูดเหมือนกันหมดเลยพวกอโศก แต่ที่จริงแล้วคนละสำนวนคนละภาษา ที่เป็นสำนวนลูกทุ่งก็พูดลูกทุ่ง คนที่พูดลูกกรุงก็พูดลูกกรุง แต่มันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเป็น 3 อันจะตามเป็นทิฏฐิสามัญญตาหนึ่งเดียวกันอย่างนี้เป็นต้น
หนึ่งเดียวเป็นพันคนเป็นตัวบุคคลก็ได้ ศาสนาพุทธไม่ใช่ อันนั้นมันเป็นนามธรรมมันเป็นคนอธรรม เป็นพระโสดาบันตอนแรกก็มาเป็นคนเดียวแล้วมาแพร่เชื้อ ไม่ใช่โคโรน่านะ แต่เป็นเชื้อของพระโสดาบันได้เป็นพันมีเชื้อพระสกิทาคามีจากคนเดียวก็เป็นหลายพันเชื้อของพระอนาคามีจากคนเดียวก็เป็นหลายคนจากพระอรหันต์ 1 คนก็ไปหาหลายคนจะกล่าวว่าเป็นพันก็ยังไม่ได้ อนาคามียังมีได้จะเป็นพันน่าจะถึง แต่อรหันต์ยังกล่าวไม่ได้ว่าเป็นพัน แต่เป็นร้อยน่าจะยังกล่าวไม่ได้ แต่ก่อนว่าเอาอรหันต์ 9 รูปก็พอใจ แต่ตอนนี้เกินแล้ว
เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ไม่ใช่เรื่องของตัวตนบุคคลเราเขาแต่เป็นเรื่องของนามธรรม จากหนึ่งเป็นหลายได้ หลายมาเป็นหนึ่งได้
ยิ่งกว่านั้น ทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ ทำให้หายไปได้เป็นสูญ เรามีชีวิตอาศัยมันอยู่ 1 จะเรียกว่าสุขก็ได้ แต่ขอยืมภาษาคำว่าสุขมาใช้เท่านั้น เป็นยิ่งกว่าสุข แต่ไม่ใช่ความสุขอย่างยิ่ง เช่นที่บอกว่าอร่อยก็ต้องอร่อยกว่านี้อีกรสเผ็ดก็ต้องเผ็ดกว่านี้อีกแต่นี่ไม่ใช่มันหายไปเลยยิ่งกว่าสุขที่เผ็ดอย่างยิ่ง อร่อยอย่างยิ่ง เค็มอย่างยิ่ง หวานอย่างยิ่ง ร้อนอย่างยิ่ง ก็แล้วแต่ใครจะมีมิติไหนที่ไปชอบเอร็ดอร่อย ก็เป็นความมีตัวตนแจ้งก่อนทั้งนั้น แต่ของเรานั้นเป็นความไม่มีอย่างยิ่ง แต่อันนั้นมันเป็นความมีอย่างยิ่ง ของพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างยิ่ง สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่า ว่างนั้นแหละดี ๆ
ส่วนคำว่า ทุก ข คือ ทุ กับอักขะ อักขะแปลว่าก้อนแก่นแกน ทุก็คือไม่ดี ทุๆๆ ยิ่งขึ้นไม่ใช่สุ มันไม่ดี เป็นแก่นแกนที่จับตัวยึดตีไม่แตกคือก้อนทุกข์ แต่สุข หายไปจากก้อนแก่นแกนหายไปจากความมี สูญไปเลยว่าง
ทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ที่ไม่ใช่ในตัวตนเป็นคนขึ้นมาตั้งเยอะแยะ หรือสิ่งใดจะเป็นอย่างไรเนรมิตขึ้นมา เป็นฤาษี เสกให้สูญหรือให้มี ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของสภาวะธรรม โดยเฉพาะมีเป้าหมายคือกิเลสหายไป แต่ก่อนมีความสุขมีความสุขแต่ตอนนี้ให้ความสุขหายไปความทุกข์หายไปมันแยกไม่ออกเป็นเทวะเป็นคู่ เป็นเทวนิยมตลอดกาลนาน พอตีแตกออก เริ่มต้นเรารู้จักความทุกข์หรือความสุขมันก็ยังมีความทุกข์อยู่ หมดความทุกข์ความสุขก็หมดไปเลยหมดทั้งความสุขความทุกข์ อทุกขมสุขก็ว่าง คืออุเบกขา
อทุกขมสุข คือ คำอธิบายของความมี อุเบกขา คือ คำอธิบายของ สูญ กลางๆไม่มีอะไรเป็นคู่เทียบเปรียบแล้ว สูญ หรือหนึ่งก็ได้ ผู้ที่เป็นอรหันต์ทำ 1 ให้เป็น 0 ได้ ก็จบบริบูรณ์ แยกธาตุให้เป็น 0 ได้ เทวะสอง รูปนาม สิ่งที่มีกับสิ่งที่ไม่มีทำให้ไม่มีได้สำเร็จ เช่นเป็นอุตุธาตุ หรือสังคมที่แต่ก่อนนี้เราจะต้องไปคลุกคลีด้วย สังคมอบายมุข เดี๋ยวนี้สังคมอบายมุขมันก็ยังมีจัดจ้านแต่เราไม่เกี่ยว เราหลุดพ้นมาแล้วตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน เรียกว่าเป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ลอยตัว แม้ว่ามันจะมี บ่อนไพ่ประเทศไทยก็ยังมี ไปชายแดนเขมรมีเยอะ เราไปไหนเราก็อยู่เหนือมันไม่มีรสชาติ มาเก๊า ไป ลาสเวกัสมีเยอะแยะ
แผ่นดินนี้ทั่วโลกเป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดินในอบายมุข ที่อู่ฮั่นมีเชื้อโรค พูดกับมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก มันจะเอาเราตายท่าเดียว เราก็เป็นตัวเป้า เราตัวใหญ่มันเป็นตัวเล็กด้วยมันเข้ามาเราไม่เห็นไม่รู้ทันมันเสร็จมันเลย เพราะฉะนั้นเราต้องรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง อย่าไปอวดดีกับมัน
ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน .
ยิ่งกว่าสวรรคาลัย
ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกทั้งปวง . .
คือ พระโสดาปัตติผล
ต้องรู้จักอาการสวรรค์ อาการนรก อาการทุกข์ อาการสุข ต้องล้างมันทั้งสองอย่าง รู้สิ่งที่มีเราก็ทำให้มันหายไปเรามีการเปรียบเทียบ อาศัยสวรรค์ไม่ต้องอาศัยสวรรค์เลยเลิกสวรรค์ไม่มีนรกไม่ต้องอาศัยเลยเรียกว่ายิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกทั้งปวง อธิปไตยคือพลังอำนาจ เป็นพลังอำนาจที่ชนะทุกอย่างเหนือกว่าทุกอย่าง แต่โรคอบายมุขเราพ้นแล้วอบายมุขมันจะมีอยู่ที่ไหนเราก็เหนือเป็นอธิปไตยเหนือกว่ายิ่งกว่า หมดสุขหมดทุกข์ หมดสิ่งที่เราจะไปคลุกคลีเกี่ยวข้องแต่เข้าไปอยู่ในนั้นได้ แต่ฤทธิ์เดชของอบายมุขพวกนรกที่มันหยาบ ไม่ระคายตัวเรา ไม่สามารถทำอะไรตัวเราได้เลย สรุปแล้วเราสูญก็ได้มีก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้สูญก็ได้ มีเป็นล้านก็ได้ ถ้าเก่งก็ไปได้เรื่อยๆ เจริญขึ้นก็สามารถมีกับเขาได้มากเพราะมีศูนย์เป็นฐานแล้ว จะมีมากเท่าไหร่ก็จบที่ศูนย์ได้
ทะลุฝากำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่าง ยิ่งกว่าแสง ยิ่งกว่าเสียงทะลุไป แต่ก็มีอะไรกั้นได้ขนาดหนี่งไม่ให้ออกไปได้ แต่นี่ยิ่งกว่าแสงเสียง ทะลุทะลวงไปได้ยิ่งกว่าแสงเสียง เป็นพลังงานจิตที่มีฤทธิ์มีแรงมาก
สู่แดนธรรม…บอกเป็นรูปธรรม ไปในห้างสรรพสินค้า เราได้เห็นป้ายบอก sale 50% 70% เราก็เฉย
พ่อครูว่า..ให้ฟรีแล้วก็ยังเฉยเลย เดี๋ยวเอาไปกองเป็นขยะ ไม่ติดขัดเหมือนไปไหนที่ว่าง คนอื่นจะกระดี๊กระด๊าแต่เราเฉยๆให้ฟรีก็ไม่เอา นี่คือทะลุกำแพงภูเขาต้องเข้าใจพยัญชนะมีสภาวะ ผู้ที่รู้จะสื่อสารรายละเอียดของธรรมะ ใครจะติดว่ามีฤทธิ์เดชจะต้องเอาหัวไปใช้พวกเขาเองก็เก่งไปเลย ก็ได้เราไม่มีเถียงอะไรคุณทำได้ก็เป็นของคุณ ต้องไปเป็นพระเอกหนังจีนแล้วว่าไป แต่เราไม่เอา จะเอาอะไรทะลุ แบคโฮก็ทะลุได้แต่หัวเราเอาไปใช้ประโยชน์คุ้มสมองก็แล้วกัน
ผุดขึ้นหรือดำลงไปในแผ่นดินก็ดำไปได้เหมือนน้ำ เดินบนน้ำเหมือนเดินบนแผ่นดิน คู่กัน ดำผุดดำไปในแ่ผ่นดินแข็งๆ หรือดำไปในภูเขาได้ หรือจะน้ำมีถ่วงจำเพาะคนละระดับเราไปเดินก็จมแต่นี่เดินบนน้ำได้สบายยิ่งกว่าแมงมุม ยกตัวอย่างแมงมุมมาประกอบ
ที่จริงเรามี อิทธิวิธญาณ สามารถที่จะมีฤทธิ์พลังกองกิเลสเท่าภูเขาเราก็เดินผ่านไปได้เหมือนมีที่ว่างไม่ติดไม่สัมผัสอะไรเลย กองภูเขาเราก็ไม่มีปัญหาเหมือนเดินไปในที่ว่างหรือจะไปอยู่ด้วยดำลงไปขึ้นมาก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดิน น้ำหนักมากกว่าน้ำมันก็จม แต่เราเดินเหมือนกับเดินบนแผ่นดิน เปรียบเทียบกับวัตถุมันอย่างนั้นก็หมายความว่า ในดินแดนของโลกที่เป็นโลกอบายมุขก็ตามโลกของกามคุณก็ตาม เราเดินไปสิ่งเหล่านั้นสำหรับเราก็ไม่ติดเราลอยตัวอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นหมดเลย เดินบนน้ำเหมือนเดินอยู่บนดิน ถูกมันดูดลงไปก็ไม่ได้เราจะอยู่ร่วมกับมันก็ได้ไม่ขึ้นไม่ลงไม่หายไปจากกันเกี่ยวข้องกันอยู่แต่ไม่เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องแต่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่หยั่งลงในที่หลงเลย
เหาะไปในอากาศเหมือนนกกระดาษเบาสบาย ไปไหนมีบาตรบริหารท้อง จีวรบริหารกาย เหมือนนกน้อยมีปีก จะไปไหนก็บินไปได้ทั่วสารทิศ เหมือนนกบินไปในอากาศได้ ไม่ต้องเอาอะไรใคร มีปีกสองปีกเป็นของเราก็เอาปีกบินไปในอากาศที่ว่าง ไม่ติดขัดไม่เดือดร้อนเลย
หรือ ลูบคลำพระอาทิตย์พระจันทร์ ซึ่งมีฤทธานุภาพมากด้วยฝ่ามือได้ อาทิตย์มันร้อนขนาดไหนคุณเอามือไปลูบก็ละลาย สามารถลูบคลำพระอาทิตย์ได้ พระอาทิตย์มันเป็นวัตถุมันเป็นพลังงานทางวัตถุสสาร แม้ที่สุดวัตถุสสาร ลูบคลำ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกได้
อาตมาพูดอย่างหยาบว่าลูบหัวล้านพระพรหมเล่นได้ เรียกว่าใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกได้ พรหมโลกเป็นดินแดนสะอาดบริสุทธิ์เราไปอยู่ในนั้นได้อย่างไม่ติดขัดไม่มีอะไรใหญ่กว่าเรา พระพรหมบอกว่าเรานี่แหละใหญ่พระอินทร์บอกว่าเรานี่แหละใหญ่ ไม่มีใครใหญ่กว่าเราได้ ลูบคลำหัวล้านพระพรหมพระอาทิตย์ได้
สู่แดนธรรมว่า..พระอาทิตย์หมายถึงผู้มีอำนาจเช่นนายกรัฐมนตรีเราก็เคยไปไล่มาแล้ว
พ่อครูว่า..อาตมาพยายามทำความเข้าใจเรื่องประชาชนทำรัฐประหารรัฐบาลด้วยมือเปล่าด้วยความดีด้วยความจริงไม่ได้ใช้อาวุธ รัฐบาลทรราชก็แพ้ความจริง แม้ว่าจะมีศาลช่วยตัดสินให้ก็ตามจะมีทหารช่วยก็ตาม เป็นองค์ประกอบที่ช่วยอย่างเราไม่ได้ใช้อาวุธเลย คุณได้ละอายต่อความจริงความจริงมันได้ดันคนออกไปจากเราไม่ได้มาใกล้ได้ เรามีคุณงามความดีความถูกต้อง ของคุณนั้นเป็นความเลวความแรงความไม่ถูกต้องเข้ามาใกล้ไม่ได้ รัศมีของความดีงามความถูกต้องเป็นกำแพงไร้สภาพมีฤทธิ์มากมาย เมืองไทยนี้ประชาชนไปปฏิวัติอาวุธคือความจริงความรู้ความสงบสำเร็จมาแล้ว 4-5 รัฐบาลซึ่งคนยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของการปฏิวัติหรือประชาธิปไตยที่มันเป็นคุณธรรมเอาความสงบไปเป็นอาวุธ เอาความจริงเป็นอาวุธ เราทำมาแล้วชนะมาแล้วมีรูปธรรมเป็นหลักฐานยืนยันคุณก็ไม่เข้าใจ จะมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้จึงพาพวกเราไปทำพวกเราก็เข้าใจแล้วช่วยกันทำโดยไม่ผิดพลาดมันจะมี Error คนอื่นมาผสมผสาน โมเมว่าเป็นพวกเรา เราไม่ได้ไปทำร้ายไปฆ่าใครมีแต่คนอื่นมาทำร้ายมาฆ่าเรา พวกเราก็มีตายอยู่คนนึงแต่ก็ไม่ได้เพราะว่าถูกเขายิง แต่ถูกรถชนถูกรถตุ๊กๆชน เจ้าอ้อยน้องของตาล ก็มีพวกเราเสียชีวิตคนเดียว นอกนั้นก็คนร่วมกันพันธมิตรมีบ้าง น้องโบว์ สารวัตรจ๊าบ ก็เอาล่ะเป็นหลักฐานยืนยัน เราได้ไปทำการรบที่เป็นสนามรบของประชาธิปไตยซึ่งพวกเราเป็นพวกนักรบที่ใช้ธรรมาวุธ ใช่ความจริงความรู้กับสิ่งที่ถูกต้อง ความถูกต้องชนะความผิดจริงความจริงชนะความเท็จหมด ความดีงามชนะความเลวทรามอย่างนี้เป็นต้น ความบริสุทธิ์เท่านั้น จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด
สรุป อิทธิวิธญาณ คือ มโนมยิทธิที่มากขึ้น มากเหลี่ยมมากมุมขึ้น
-
ทิพโสตญาณ โสตะ แปลว่า ความรู้ หรือแปลว่า ได้ยิน เหมือนเสียงกลองตะโพนเปิงมางตีอยู่ไกลๆ คนนี้ก็แยกออกว่านี่เสียงตะโพน เปิงมางหรือบัณเฑาะว์ มันอยู่ไกลอย่างไรก็แยกแยะเสียงออกไปได้นี่เป็นรูปทางเสียงแม้จะเป็นรูปก็ตามที่เห็นทางตาแม้จะไกลอย่างไรเราก็แยกแยะได้ หรือสี อันนี้แดง เขียว น้ำเงิน ม่วงก็แยกได้ไกลเท่าไหร่เล็กเท่าไหร่ก็แยกได้เรียกโสตทิพย์
เหมือนกับความรู้ความรู้ที่แหลมลึกมากเท่าไหร่คุณมีโสตทิพย์มาก คุณก็ยังรู้ความแหลมลึกนั้นได้เท่าที่คุณมีบารมี บารมีคุณมีมากคุณก็มีความรู้ที่แหลมลึกเข้าไปรู้อันนั้นเท่าที่คุณมีอำนาจ มีฤทธิ์ มีความสามารถ มีเจโตปริยญาณ สามารถที่จะเข้าไปรู้ด้เท่าที่คุณมีจริง เรียกว่าโสตทิพย์ไม่ใช่ว่าโสตทิพย์ คือเป็นหูที่ไปรู้ว่าหมามันพูดกัน นกมันพูดกัน เราก็รู้ภาษาหมารู้ภาษานกรู้ภาษาคน หรือว่าไปได้ยินเสียงที่ไกลมากที่คนอื่นเขาไม่ได้ยิน เสียงนี้คนอื่นไม่ได้ยินแต่หมามันได้ยิน เราก็เก่งเท่าหมาสามารถรู้เสียงนั้นได้ดีเหมือนกัน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ไปเอาความหมายอย่างนั้น
สู่แดนธรรม…ในสมัยพุทธกาล การศึกษานั้นไม่มีทางอื่นนอกจากการฟังอย่างเดียว โสตทิพย์ท่านก็ให้ฟังอะไรสัมมาทิฏฐิมิจฉาทิฏฐิอะไรเป็นบัณฑิตอะไรเป็นคนพาล
พ่อครูว่า..ตกลง สรุปโสตทิพย์ก็ผ่าน
-
เจโตปริยญาณ ที่แยกเอาไว้ 16 อย่าง อันนี้แหละเป็นหัวใจของการหยั่งรู้จิตไม่ต้องไปหยั่งรู้หัวใจของคนอื่นแต่ไปหยั่งรู้หัวใจตัวเองนี่แหละ
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .