630302_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 91
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1mJCfe7E6VrTvZ4RDofAa3VyClPWTNFOajIhDt71QyiE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1RPRrzjPURUd1lef55LR5wTgUYB1ZiyY1
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ก่อนอื่นก็ขอแจ้งให้ทราบไปทั่วในชาวอโศกให้รู้ว่า วันนี้เดือนมีนาคม ไปถึงเดือนเมษายนจะมีงานอีกไม่ใช่น้อย มีงานปลุกเสก งานตลาดอาริยะ งดหมด มันก็ต้องขึ้นอยู่กับบ้านกับเมืองอยู่กับโลกเขา เจ้าโคโรน่า Covid 19 Coronas Virus Disease ปี 2019
สู่แดนธรรมว่า..ก่อนรายการมีคนกระซิบหากพ่อท่านประกาศงดงาน ก็คงบอกว่ามีญาติธรรมจองตั๋วไว้แล้ว เขาก็ว่าเดินทางมาฟังธรรมพ่อท่านก็แล้วกัน แต่ก็อย่าเอาเชื้อ Covid มาให้(?)พ่อท่านด้วยก็แล้วกัน
พ่อครูว่า..วันนี้คนไทยมีป่วยกี่คนแล้ว… 43 คน
สู่แดนธรรมว่า…มีคนบอกกันว่าหอมแดงอินเดียป้องกันโรคได้ จะให้คุณไม้ร่มไปทดสอบ
พ่อครูว่า..จริงๆแล้วทางสาธารณสุขจังหวัดเขาขอมา ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการหรือหน่วยงานเอกชนที่จะจัดงานรวมคนมากๆ มันจะเสี่ยงต่อ Covid 19 เราก็เลยต้องงด ทั้งงานปลุกเสก ทั้งงานตลาดอาริยะ ไม่ต้องอกหักอกพังอะไรหรอก หยุดก็หยุดกัน พักก็พักกัน
ทีนี้ก็ขอแจ้ง _เนื่องจากทางสาธารณสุขจังหวัดอุบลฯ ได้ขอให้หน่วยงานราชการ เอกชน งดจัดกิจกรรมที่มีคนเดินทางมารวมกันมากๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ Covid 19 ดังนั้น จึงควรงดงานปลุกเสกฯ และตลาดอาริยะสงกรานต์ปีใหม่ไทย 2563 ไปก่อน
_sms วันที่ 1 มี.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_..ท่านที่แจ้งข้อมูลถึงช่องทางการรับชมของบุญนิยมทีวีมาทางโซเชียลเนตเวิร์คตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ. นั้น ได้ส่งข้อมูลไปให้ท่านแสนดินเป็นข้อมูลไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากตอบแบบสอบถามทุกข้อก็จะได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ขึ้น พี่น้องท่านใดไม่สะดวกแจ้งผลการรับชมบุญนิยมทีวีผ่านทางแบบฟอร์มออนไลน์ และสะดวกที่จะโทรมาที่เบอร์โทรศัพท์ก็ยินดี
๑. คุณประเทืองธรรม (ตี้) เบอร์โทร 086 4999721
๒. คุณประทับใจ(บี) เบอร์โทร 088 5986877
๓. คุณดินนา โคตรบุญอาริยะ 085 9492980 สาธุค่ะ
_กิ่งฟ้า ขันหล้า : กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ ต่อไปภายภาคหน้าพ่อท่านไม่อยู่..ลูกก็จะปฏิบัติเหมือนเดิมค่ะ
…และตอนนี้ลูกก็ให้ลูกสาวไปเรียนที่โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศกได้..2.ปี
แล้วค่ะ…ปีการศึกษา..2563..ก็ขึ้น..ม.3..แล้ว..ให้เขาไปซึมซับวัฒนธรรมชาวอโศก..ลูกคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสุดแล้วค่ะ
พ่อครูว่า..เอาเลย สาธุ ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น
_ตุ้ม พรทิพย์ : กราบนมัสการค่ะ ยังเดินทางไปบ้านราชฯได้อยู่ไหมคะ
_Keng Ratchanee เก่ง รัชนี : หากตนก่อตนแกร่งแต่งกรรมให้ดีเพียรทวีมีศีลขันจักขวัญยืน /แพ้ก็แพ้ชะตากรรมแต่ใจคงความมั่นคง
ร้องเพลง ผู้แพ้ กับเพลงขวัญ ของพ่อท่านได้ค่ะ ความหมายสองเพลงนี้ลุ่มลึก มีความหมายยิ่ง
_แดง ลานกราบ : น้อมกราบนมัสการพ่อครูท่านสมณท่านสิกขมาตุ ขอขอบคุณ
ที่มีเฟสบุคมาให้ฟังเทศน์ของพ่อครูค่ะ
_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก : พ่อครูเจ้าขาน้อมกราบนมัสการ หนูขอทำได้เท่าที่หนูทำได้ และที่ทำไม่ได้ก็ยังเยอะ หนูเหนื่อยจังเจ้าคะ แต่หนูไม่ยอมเลิก ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าจะกดดันตัวเองบ้าบอทำตามอย่างที่ท่านสมณะสอนทำมั๊ย ตอนนี้ในใจลึกๆ รู้ว่าตัวเองคงทำแบบท่านไม่ได้จริง ๆ แต่พ่อครูเจ้าขา ตราบใดที่หนูยังมีลมหายใจ หนูไม่เลิกแน่นอนเจ้าคะ 555 หนูเก่งมั๊ยเจ้าคะ รู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญา แต่ก็ยังขี้ดื้อ หน้ามึน 555 โปรดติดตามตอนต่อไปนะเจ้าคะ น้อมศรัทธาเจ้าคะ ฝากระลึกถึงไก่ตัวพี่ของลูกด้วยเจ้าคะ สู้ ๆ
พ่อครูว่า..ทำให้ใจของเราดีขึ้นเจริญขึ้นทำให้กายกรรมวจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรมคือใจของเราทำให้ดีขึ้นนั่นคือเป็นโลกุตระ มันไม่ทำเสียหายไม่ทำชั่วทำแต่ดีนั้นเป็นโลกียธรรม แต่ถ้ารู้จักจิตใจเราว่ามันยังหลงกิเลสในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือจิตเราหลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอันนั้นมันเป็นกิเลสอย่าไปตามใจ เราจะต้องไม่ตามใจ อย่าให้อาการกิเลสอย่างนี้เกิด รู้อย่างนี้สำนึกอย่างนี้เป็นโลกุตระ ฟังดีๆแยกโลกียะแยกโลกุตระให้ออก ศาสนาพุทธนั้นพิเศษ ศาสนาอื่นไม่มีโลกุตระหรอกเขาไม่มาเรียน จ้ำจี้จ้ำไชชัดเจนว่าต้องทำให้กิเลสลดและต้องให้รู้จักอาการจิตที่มันเป็นอาการของมีกิเลสด้วย ผู้ที่อ่านอาการของกิเลสออกก็คือผู้ที่รู้รูปนามผู้นั้นรู้จัก กายกลิ องค์ประชุมของรูปนามที่มันเป็นโทษภัย นี่แหละคือตัว สักกายะที่จะต้องทำความเข้าใจเรียกว่า สักกายทิฏฐิ สักกะ แปลว่าตัวเรา กายคือรูปนาม มันเป็นอาการอยู่ในจิต มันเป็นอย่างนี้มันเป็นตัว กลิ แล้วจับมั่นคั้นตาย มันเป็นนามธรรมมันเป็นรูปมันไม่มีตัวตน แต่เราจับอาการ ลิงค นิมิต มันได้ แยกได้ว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการของกิเลสจิตของเราเป็นธาตุรู้ มันก็จะรู้เป็นธรรมชาติ แล้วมันก็จะไปรู้แยกกิเลสได้อย่างนี้แหละ นั่นคือจิตที่มีญาณปัญญาที่มันรู้จักกิเลสนี่ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะกิเลสออกจากจิตใจเราเองได้นี่เป็นโลกุตรธรรม
_ฉายา มะขามป้อม : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพคะ
_แดง ลานกราบ : ตอนนี้แม่ของแดงเริ่มมีใจคิดจะอยู่กับหมู่มิตรดีที่บ้านราชแล้ว
พ่อครูว่า…ขอยืนยันว่าสังคมที่นี่เป็นสังคมที่มีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีซึ่งเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์เลย พระอานนท์รู้สึกว่าความเป็นมิตรดี บุคคลที่มารวมกันเป็นมิตรสหายดีร่วมกันและมีสัมปวังโก รวมกันอย่างนี้มีบวร บ้านวัดโรงเรียนอย่างนี้ดีพระอานนท์ก็รู้สึกว่าดีจังเลยจึงบอกพระพุทธเจ้าว่าเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์เลยนะ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าอานนท์นั้นไม่ใช่ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ใช่แค่ครึ่งหนึ่งครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์แต่มันทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์เลย เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนาฟังให้ดีๆ
คนอยู่ที่นี่ บวร ก็พร้อมด้วยสังคมสิ่งแวดล้อมดีมิตรสหายดีมีสัปปายะ 4 บุคคลสัปปายะอาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ สถานที่สัปปายะ แล้วไม่เอาก็โง่สิ
_จักรพล พุทธพัฒนา : ผมเคยเรียนอภิธรรมมาครับ..ชั้นนักศึกษา9ชั้น ชั้นอาจารย์6ชั้น..ผมเรียนชั้นนักศึกษาแค่6ชั้น..อาจารย์1ชั้นเท่านั้นครับ.
พ่อครูว่า..คุณยังได้เรียน อาตมายังไม่ได้เรียนเลย คุณยังดีกว่าอาตมาเยอะ
สื่อธรรมะพ่อครู(วิเวก 3) ตอน วิเวก 3 โดยพิสดาร
_กวางตุ้ง…วิโมกข์ 3 คืออะไรคะหลวงปู่ หรือเป็นวิเวก 3
พ่อครูว่า…มีด้วยหรือวิโมกข์ 3 หลวงปู่เคยได้ยินแต่วิโมกข์ 8 หรือเป็นวิเวก 3
วิเวกแปลว่าความสงัด มีความรู้เรื่องวิเวก
ก็เลยเข้าใจไปว่าเอาร่างกายนี้ออกไปอยู่ป่า บอกว่าอย่างนี้คือกายวิเวกแล้ว กายเขาเข้าใจแต่เพียงร่างกายนั้นไม่ใช่ กายคือองค์ประกอบรวมทั้งหมด ทั้งรูปภายนอกภายในที่จิตสัมผัสรวมทั้งหมด เรียกว่ากาย สัมผัสแล้วกิเลสมันลดมันจางมันเบาลงมันสงบ จนกระทั่งมันจะดับจนสงบ ด้วยพยัญชนะเรียกว่ากายก็ดีเรียกว่าวิเวกก็ดี มี 3 อย่างคือกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
จิตวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกต้องทำกายวิเวกให้ได้ก่อน
กายวิเวกต่างกับจิตวิเวก คือกายวิเวกต้องทำกายภายนอกที่เกี่ยวข้องกับกามภพเราได้ทำให้กิเลสกามหมดได้แล้ว ก็ไปทำจิตวิเวกอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนที่ไปปฏิบัติธรรมมะแบบนั่งหลับตากัน ในครรลองคลองธรรมของพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธเลย การหลับตาปฏิบัตินั้นเป็นการปฏิบัติผิด ปัณกปฏิปทา แปลว่าผิด ไม่ใช่ของพุทธ
การปฏิบัติที่ไม่ผิดทางของพุทธ มี 3 ข้อคือ สำรวมอินทรีย์ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจครบพร้อมนี้เป็นข้อ 1 ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก มีแต่นั่งไปหลบไปหลับ พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาก็มีแต่พวกนั่งหลับตาเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธได้เสื่อมไปหมด จนกลายเป็นมีแต่นั่งหลับตา เขาถือว่าเป็นการทำสมาธิทำฌานทำให้กิเลสออกให้หมดแล้วจะได้ไปนิพพาน มันกลับไปเป็นเดียรถีย์เก่าเต็มรูป อาการหนักมากอาตมาพูดขึ้นนี้เหมือนกับอาตมาทำเป็นเก่งคนเดียวทำเป็นรู้ ครูบาอาจารย์ผ่านมาหลายร้อยปีพากันนั่งมาจนกระทั่งทุกวันนี้ยึดถือกันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องไปหมดแล้ว เหลือผู้ที่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องจะมีครึ่งคนไหมในครูบาอาจารย์ศาสนาพุทธ ถ้ามันผิดนะการนั่งหลับตามันผิด แล้วไปเอาคำว่านั่งหลับตาสมาธิเป็นอุปการะ คำว่าอุปการะไม่ใช่ปฏิปทา
อุปการะ หมายถึง สิ่งที่ช่วยนิดๆหน่อยๆ เป็นการช่วย เช่นคุณจะทำเตวิชโช หลับตาไม่ให้มีอะไรรบกวนแล้วก็ทบทวน เตวิชโช คือ การตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองทำมาแล้วว่ามันได้ผลหรือมันไม่ได้ผลมันผิดพลาดตรงไหนอะไรอย่างไร บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แต่เขาก็ไปแปลเป็นการระลึกชาติตัวตนบุคคลเราเขา ซึ่งมันแบบนั้น ปฏิบัติธรรมไม่ได้ มันไม่เป็นผลการปฏิบัติของจิตที่ชัดเจนขึ้นได้ก็ไม่ได้ผล จุตูปปาตญาณ ก็เรียนกิเลสเกิดกิเลสดับ เราก็ทำให้กิเลสดับได้ เป็นจุตูปปาตญาณ ส่วนอาสวักขยญาณ ก็เป็นญาณที่รู้ความหมดอาสวะ แต่เบื้องต้นเขาก็ไม่รู้แล้วมันก็เลยยาก
จิตวิเวก คือ ทำจิตให้กิเลสลดลงๆ
อุปธิวิเวก ก็หมายถึงขันธ์ 5 หมายถึงอภิสังขาร นี่คืออุปธิ ที่มี 1. กิเลส 2.ขันธ์ 5 3. อภิสังขาร
รู้จักกิเลสอยู่ในขันธ์ 5 อภิสังขาร คือ จัดการเรียนรู้จิตของตัวเองที่มันมีกิเลส แล้วเอากิเลสออกได้ นี่แหละคืออภิสังขาร อภิสังขารมี 3 อย่าง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
ปุญญาภิสังขาร คือ สามารถจัดการให้กำจัดกิเลสได้ ด้วยบุญ บุญเป็นตัวร้ายเป็นนักฆ่าบุญไม่ใช่สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นเลยในมนุษยชาติ มันมีกิเลสจึงต้องจำเป็นต้องสร้างพลังงานให้เกิดบุญแล้วบุญก็คือการฆ่ากิเลส คือการทำพลังงานให้เป็นไฟโลกุตระ อุณหธาตุโลกุตระ เรียกไฟนั้นว่าฌาน ไฟฌาน ก็จะทำหน้าที่เผา ฌาปนกิจ แปลว่ากิจเผาสรีระ ฌานแปลว่าเผา พอมันเผาเสร็จ กิริยาของการเผาจบนั่นแหละ เผากิเลสลดไปได้หมดคือจบบุญ
หากกิเลสถูกเผาหรือฌานเผากิเลสได้ส่วนหนึ่ง ก็คือกิเลสถูกกำจัดได้ส่วนหนึ่ง เป็นส่วนแห่งบุญ ที่พูดกันด้วยพยัญชนะว่าได้ส่วนบุญคือได้การลดกิเลสไม่ใช่ว่าได้อะไรกลับมาเลย ไม่ใช่ภพชาติไม่ใช่วิมานไม่ใช่สิ่งที่เป็นสมบัติอะไรที่จะได้มาเลยบุญ มีแต่ความชิปหายความวิบัติ บุญมีหน้าที่ทำให้หมดไปมีหน้าที่เท่านั้น ซึ่งมันมีความเข้าใจผิดของศาสนาพุทธมานานจนกระทั่งอาตมาเอามาพูดคืนนี้ ด็อกเตอร์ทั้งหลายทางพุทธศาสนาเปรียญ 9 ก็ดี เคยฟังมาอย่างที่อาตมาพูดไหม เคยฟังไหมหรือสะดุดไหม อาตมาเอามาย้ำหนักหนา ผู้ที่ไม่เห็นว่าเป็นความสำคัญก็ไม่ฟัง
หากคนไม่รู้จักสภาวะจิตที่ทำให้เกิดบุญกิเลส ทานไม่ได้ก็ล้างกิเลสไม่ได้ทำให้พลังงานชีวิตแบบนี้ขึ้นมาไม่ได้ประกอบอภิสังขารไม่ได้
อปุญญาภิสังขาร คือ ไม่มีบุญแล้ว อภิสังขารนี้ เป็นของพระอรหันต์ไม่มีบุญแล้ว ไม่ใช่ อปุญญะ พอไม่ใช่บุญก็ไปแปลว่าบาป นั่นคือไม่รู้จักสภาวะของบุญ ไม่รู้จริง ผู้ที่ไม่รู้จริงก็ไปแปลว่าเป็นบาป กลับกันที่ไม่ใช่บุญก็เป็นบาป แต่บุญ One way Traffic ทำงานฆ่ากิเลสอย่างเดียวเลย ถ้าบุญยังวกกลับได้ ก็ไม่มีปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ 0 หมดเลย มันอาจจะนานเพราะว่าองศามันน้อยก็เลยออกจะไกลมาก ไม่ใช่ มันไปแล้วไปเลย บุญมีหน้าที่ฆ่ากิเลสจบมันก็ไม่มีบุญ ถ้าทำเป็น คุณก็เกิดฌานเกิดบุญได้
หากคุณบอกจะทำขวานไปถากไม้ แต่คุณก็ปั้นแป้งเปียกมาเป็นรูปขวาน แล้วไปถากไม้ มันจะได้อะไร ต้องเข้าใจให้ถูกการสร้างขวัญต้องสร้างด้วยอะไรประกอบอะไรขึ้นมา นี่คือความลึกซึ้งของโลกุตระธรรมพระพุทธเจ้า อปุญญาภิสังขาร แปลว่า สังขารที่ไม่มีบุญแล้วเลิกบุญแล้วบาปก็หมดแล้ว เรียกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ สิ้นบุญสิ้นบาป
สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ผู้ที่ทำให้บุญเกิดสำเร็จ กำจัดบาปจนหมด ก็เป็นสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง บาปไม่ทำอีกแล้วไม่เกิดอีกแล้ว คนนี้ก็ไม่ต้องมีบุญอีกแล้ว ฉะนั้นกรรมที่เหลือของคนนี้ คนที่มีสัพพปาปัสสอกรณัง คนนี้ไม่มีบาปแล้วทำกรรมกิริยาอย่างไรๆ ก็ไม่มีบาปเลย กรรมกิริยาของคนคนนี้จึงมีแต่กุศล บุญ ผู้ไปแปล ว่าละชั่วประพฤติดี ได้คะแนน 0 ไข่นกกระจอกเทศ
อเนญชาภิสังขาร เป็นการสั่งสมฐานจิตที่ไม่มีกิเลสแล้ว ก็ทำอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำซ้ำอย่างที่ทำให้ไม่เกิดกิเลสนี่แหละ ทำอย่างนั้นอย่าให้ผิดทำให้มากๆๆๆ เป็นการรักษาผลเป็นอนุรักขณาปธาน พากเพียรรักษาผล ของพระพุทธเจ้ากำชับทำซ้ำทำให้มากไม่รู้กี่ชั้นจึงจะเป็นพระอรหันต์ที่สมบูรณ์
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน จรณะ 15 วิชชา 8 โดยย่อ
_ด.ญ.ข้าวฟ่าง จรณะ15 มีอะไรบ้างคะ
พ่อครูว่า…จำศีลก่อนแล้วก็ อปัณกธรรมอีก 3 แล้วก็สัทธรรม อีก 7 จากนั้นเป็นฌานอีก 4
จรณะ 15
-
ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. ปรารภความเพียร (อารัทธวิริโย)
-
คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ
-
ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา
-
ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน
-
ศรัทธา (เชื่อมั่น) 13. ทุติยฌาน
-
หิริ (ละอายต่อบาป) 14. ตติยฌาน
-
โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป) 15. จตุตถฌาน
-
แทงตลอดในพหูสูต (ล.13/34)
สมาธิจะเกิดตอนได้วิชชา 8
วิชชา 8
-
วิปัสสนาญาณ รู้จักกิเลส
-
มโนมยิทธิญาณ มีฤทธิ์ฆ่ากิเลส
-
อิทธิวิธญาณ คือ มีฤทธิ์ที่มากขึ้นหลากหลายขึ้น เป็นมโนมยิทธิที่มากขึ้นเป็นญาณที่มากขึ้นเยอะขึ้น
-
ทิพโสตญาณ ยิ่งเก่งขึ้นเป็นความรู้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น รู้สิ่งที่เป็นพิษที่รู้ได้ยากที่เป็นอรูปของจิตของกิเลส ชัดมากยิ่งขึ้น นั่นคือก็จะรู้จัก
-
เจโตปริยญาณ 16 รู้จักราคะโทสะเป็นตัวก่อ แล้วก็รู้ว่า ทำให้ ราคะ โทสะ โมหะ มันหมดไปไม่มี คือ วีตะราคะ วีตะโทสะ วีตะโมหะ เป็น 6 จากนั้นก็แจกจิตเป็นสองตระกูล คือตระกูลปัญญา กับ ตระกูลศรัทธา คือสังขิตตังจิตตัง (ศรัทธาจับตัวเป็นก้อน สังกะตังที่หัว) วิกขิตตังจิตตัง คือของสายปัญญาฟุ้งกระจาย
แล้วก็ทำให้จิตมันเจริญขึ้นยิ่งใหญ่ขึ้น เรียกว่า มหัคคตะ ทำให้เจริญขึ้นไม่ได้ก็เป็น อมหัคคตะ
คุณทำได้เป็นมหัคคตะ เจริญขึ้นก็ใกล้นิพพานมากขึ้นเรื่อยๆ เป็น สอุตรังจิตตัง คือ จิตที่ดีเจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก จนกว่าจะดีที่สุดคือ อะนุตตะรังจิตตัง
เป็นคู่ๆ แล้วก็ไปถึง สมาหิตะ กับ อสมาหิตะ คือสมาธิ กับ ไม่เป็นสมาธิ สมาหิตะ คือเป็นสมาธิแล้ว อสมาหิตะคือ ยังไม่เป็นสมาธิที่เสร็จแล้ว สมาธิคือ ผ่านกาละสำเร็จแล้วนั่นเอง
จบด้วย วิมุต กับ อวิมุติ คู่สุดท้าย คือเจโตปริยญาณ 16 ตัว ไม่สับสน หากรู้สภาวะ
นี่หมดอาตมาไม่ได้ท่องบาลีพวกนี้ แต่มีสภาวะแล้วก็ค่อยจำสภาวะ เวลาพูดก็เอาสภาวะมาเรียง กับพยัญชนะก็เรียงไม่สับสน มันเป็นลำดับ คุณต้องมีญาณรู้อย่างนี้แล้วก็รู้มันหมดจนเป็นวิมุติหรืออวิมุติ หรือสมาธิกับไม่เป็นสมาธิ
สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ไปดับหลับตาอย่างนั้น นั้นจะว่าเป็นอนุบาลก็ยังสูงไปต้องเป็นเตรียมอนุบาล นั่งหลับตาสมาธินั้นไม่ใช่ของพุทธ พูดไม่รู้กี่ทีแล้ว ที่นั่งหลับตาสมาธิก็เป็นของเดียรถีย์ที่มันมีอยู่อย่างนั้นของเขา อาจจะยกให้เป็นมหาวิทยาลัยนั่งหลับตาเป็นการนั่งหลับตาสมาธิแต่มันก็ไม่ใช่ของพุทธเลย ของพุทธนั้นไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องหลับตาเลย เป็นของแถมเท่านั้น แต่กลับว่าไปเอามาเป็นสาระ มันเป็นของเคียง ไม่ต้องก็ได้ แต่กลับเอามาเป็นแก่น เอามาทำเป็นความผิดเพี้ยนไกลลิบลับ ท่านผู้นั่งหลับตาเป็นหลักทั้งหลายเอ๋ยฟังอาตมาพูดแล้วจะสะเทือนสักนิดไหม จะสะดุ้งสักนิดนึงไหม ขอฝากไว้เอาไปตรวจสอบในพระไตรปิฎกให้ดี อ่านพระไตรปิฎกให้แตก เรามีหลักฐานอ้างอิงยืนยันจากพระไตรปิฎก อันอื่นคุณก็ไม่เชื่อนะ แต่มาบอกว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาเป็นผู้มากอบกู้ศาสนาคนก็จะยิ่งไม่เชื่อหมั่นไส้ ไม่เป็นไรก็ไปตรวจสอบกับพระไตรปิฎกตามที่อาตมาพูดให้ฟัง
-
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
-
จุตูปปาตญาณ
-
อาสวักขยญาณ
_คนที่ชื่อบรรยินน่ากลัวโหดร้ายขนาดนี้ เรื่องของมันคงจะปลูกฝังไว้ในลูกหลานหรือเปล่า ฝากข้อความถึงศาลสถิตยุติธรรมกรุณาอย่าปล่อยให้มันออกมาเพ่นพ่านอีก แล้วพวกเราก็ควรจะเร่งรีบ Active ปฏิบัติจิตใจให้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาให้สิ้นไปเพราะตอนนี้จะเรียกว่าไฟบรรลัยกัลป์ใกล้ถึงตัวแล้ว
พ่อครูว่า…ดี ไม่ต้องไปขยายความพูดถึงคุณบรรยิน ตามข่าวได้ยินบ้าง เขาจะมีเรื่องราวอย่างไรตอนนี้ก็ยังสมมติตามเขาไม่ได้เลย รู้แต่เป็นเรื่องฆ่ากันเท่านั้นเอง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าฆ่า ใคร ใครฆ่าก็ไม่รู้ ยังนึกไม่ออก ไม่ได้ใส่ใจข่าวเขาหรอก แต่พอรู้ตามโลกเขานิดหน่อย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อัญญโลกคืออะไร
_โลกอื่น อัญญโลกคือไฉน เป็นอย่างไร
พ่อครูว่า…อัญญ นี้ เมื่อพระสมณโคดมเทศน์กัณฑ์แรกก็เกิด อัญญธาตุ คือ ธาตุจิตที่เป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่ง เป็นจิตตัวอื่นที่ไม่เคยเกิดมาในโลกีย์ เมื่อได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามทั้ง 5 รูปเมื่อได้ฟังด้วยกันมีอัญญาโกณฑัญญะที่เป็นพราหมณ์รูปแรกที่ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าจบ จิตก็เกิดรู้เลยเป็นจิตดวงใหม่ที่เรียกว่าอัญญธาตุ เป็นธาตุตัวเกิดขึ้นมาตัวแรกคืออัญญะ เมื่อรู้เพิ่มขึ้นคืออัญญา เป็นความรู้และไม่ใช่ความรู้ที่เป็น เฉโกหรือเฉกะ อัญญา คือ ความรู้ของโลกุตระ ที่เป็นความรู้ชนิดอื่นที่แตกต่างจากความรู้โลกียะ ถ้าเป็นบุคคลก็เป็นโสดาบันบุคคลขึ้นไปเป็นโลกุตระ
อัญญโลก คือ โลกอันอื่น ดาวคนละดวงโลกคนละลูก โลกโลกียะก็โลกหนึ่ง โลกโลกุตระก็อีกโลกหนึ่ง เราชาวอโศกซึ่งเป็นคนที่ไม่เหมือนเขาเป็นคนละโลก เขาเข้ามาไม่ค่อยติดเข้ามาไม่ค่อยได้ เพราะว่ามันเป็นโลกที่ยากมันเป็นโลกที่มีราศีสะอาด ราศีอุตระ เขาเข้ามายาก เป็นเรื่องอจินไตยที่เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง พระธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระสัจจะจึงเป็นสัจธรรมที่รู้ยากเข้าใจยากแต่เป็นสัจธรรมที่จำเป็น โดยเฉพาะชาวพุทธเพราะว่าศาสนาพุทธมีอันนี้แหละเกิดขึ้นมาพระพุทธเจ้าอุบัติจึงเกิดโลกุตรธรรม เรื่องพิเศษเป็นเรื่องที่รู้แจ้งโลกรู้จักทุกอย่างรู้ดาวดวงอื่นโดยเฉพาะดาวดวงที่เป็นดาวพิเศษยิ่งกว่าพระอาทิตย์ สามารถส่องทะลุอะไรได้หมดเลย ดาวดวงเล็กน้อยก็ในอำนาจของพระอาทิตย์
มนุษย์เราเกิดมาแล้วเกิดมาเจอพระพุทธศาสนา แล้วสามารถที่จะเอาศาสนาพุทธเอาธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าไปได้ก็ประเสริฐแล้ว เป็นกุศลอันเลิศแล้ว ในชีวิตที่เกิดมาเพราะฉะนั้นคนจะไปลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอยู่ หรือจะไปสนใจในธรรมะก็หลงในโลกียธรรม หมุนเวียนวนเก่า เช่นไปนั่งหลับตาออกนอกวิธีการของพระพุทธเจ้านั้นน่าสงสาร จะมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรนี่พูดจากใจจริงน่าสงสารไปนั่งหลับตายึดมั่นถือมั่น แล้วมาฟังอาตมาก็ไปบอกว่าอาตมาด่าเรา ก็อย่าไปคิดว่าด่าสิอาตมาด่าเอาบุญด่าเอาคำว่าบุญไปยัดเยียดให้คุณให้รู้จักคำว่าบุญ เพราะว่าคุณไม่รู้จักคำว่าบุญหรอก สิ่งที่อาตมาทำนี้คุณควรได้ควรเอา ยิ่งถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมและคนสนใจเอาไปอย่างยิ่ง
_เกื้อกูล แม้นมาลัย…เจอพ่อครูตั้งแต่อายุ 17 ตอนนี้เป็นยายแล้ว
ทานนี้ฉันคิดว่ามันเป็นพลังงาน ฟิวชั่นกับฟิชชั่น ทีนี้ ดิฉันเข้าใจว่า การที่เราจะให้อะไรกับคนที่เรารักมันเป็นฟิชชัน แต่ถ้าให้ทุกคนมันเป็นฟิวชั่น ฉันคิดว่าถ้าเราให้แต่คนที่เรารักถ้าเกิดว่าชาติหน้าเราจะไม่เจอคนเหล่านี้คนที่เราให้ไว้ เขาก็จะไม่ได้รับผลผ่านจากใครเลยใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ที่จริงแล้วคุณจะไปคิดได้ผลตอบแทนทำไมพระพุทธเจ้าสอนให้ทานแล้วอย่าไปมี สาเปกโข ถ้าไปคิดแล้วมันไม่ได้ทาน คุณทานไปแล้วคุณก็ต้องการกลับมาก็เป็นภพชาติ ถ้าทานไปแล้วก็ไปเลยไม่ต้องคิดถึงเลย 0 และคุณทานอย่างนิพพาน หายไปเลยไม่ต้องไปคิดว่าเราทำทานแม้แต่พี่แม้แต่น้องแม้แต่ลูกแม้แต่ผัวไม่ต้อง มันเป็นเรื่องสังคมประเพณีวัฒนธรรมก็ทำไป
ควรให้ทานแก่ผู้เหมาะสม ที่จริงแล้วทานเป็นเรื่องสูงสุด บารมี 10 ทัศเริ่มต้นที่การทาน
ทาน เป็นศีล ทานเป็นเนกขัมมะ ทานเป็นปัญญา
ทานเป็นเรื่องเริ่มต้นและสุดท้าย ผู้มีจิตเป็นทานมีการให้ เพลง พี่นี้มีแต่ให้ ให้อย่างไม่สาเปกโข
ทานแล้ว
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ