630322_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ มรณสัญญาที่เข้าถึงอมตะและนิพพาน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1S_SuD3mgg-lLS4fMoqlnyxcpjzdTXh5Wf2qA8Qvibo8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1LbMKi8M7O_3UKtH3Mmvq1TfTNEAaspSD
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก อากาศก็ร้อน แต่เขาก็บอกว่าจะได้เป็นการฆ่าเชื้อไวรัส คนที่ติดไวรัสเป็นคนหนุ่มสาวที่ไปติดมาจากการไปเที่ยวสถานบันเทิงสถานอบายมุข แล้วก็ไปติดคนที่บ้าน แต่พวกเราไม่ได้ไปไหนกัน ยิ่งชาวราชธานีอโศกยิ่งไม่ได้ไปไหน ของเราก็อยู่ที่นี่กันประจำนอกจากจะไปตลาดบ้างไปซื้อของบ้างมีร้านอาหารอยู่ข้างนอกบ้าง นอกนั้นก็ไม่ได้ไปไหน
ตอนนี้เราก็ต้องกลับมาฝึกฝนตัวเองตั้งใจฟังธรรม เพราะการฟังธรรมเป็นแกนหลักของศาสนาพุทธ
พ่อครูว่า…ขออ่านโคลงกวีของอ.เป็นต้น นาประโคน
ตื่นไม่เต้น
พ่อประกาศชัดแล้ว ปิดนคร
เสือติดถ้ำสิงขร สนั่นก้อง
นักรบขี่หลังอัสดร ชักธวัช
สีหราชกู่ร้อง สนั่นทั้งพงไพร
ราชธานีปิดด้วย ปัญญา
มิใช่ใจหวาดผวา ตื่นเต้น
โลกลือลั่นนานา ชกหนักฤาหนอ
โควิดเราหลีกเร้น รับรู้เรื่องราว
อัสนีบาตฟาดเปรี้ยง กลางหาว
โสตสดับรู้เรื่องราว ที่แท้
ไฉนตระหนกระนาวทั่วโลก ลูกเอย
วิกฤตเกิดเราแก้ อยู่ด้วย ปัญญา
เจ็ดทิวาปิดให้ สนิทเมือง
ประทีปธรรมประเทือง สว่างฟ้า
แดนพุทธย่อมรุ่งเรือง โลดจรัส
ไม่ประมาทผงาดกล้า อวดอ้างกลางสมร
ปัจจัย 4 ครบพร้อม ในครัว
เครื่องบดบ่ หวาดกลัว สักน้อย
ไม่ประมาทขาดสติ ตนเฮย
สอดรับบทกวีร้อย อโศกรู้เท่าทัน
..เป็นต้น นาประโคน..
Lock down ราชธานีอโศกอยู่ได้ไม่มีปัญหา
พ่อครูว่า..ราชธานีเราปิดไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าปัจจัย 4 ครบพร้อมในครัว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ว่าเราปิดบ้านแล้วจะมีอะไรกินอยู่ในบ้าน ปิดบ้านไม่ติดต่อข้างนอก เหมือนกับเราปิดประเทศแล้วประเทศเรานี้เราไม่เชื่อมโยงอะไรจากข้างนอก เราเลี้ยงตัวรอดมา มีอะไรอยู่อะไรกินพอเพียงไหม อันนี้อาตมาว่า นี่คือเรื่องชี้บ่งถึงเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่สมบูรณ์เศรษฐกิจที่ไม่ต้องไปพึ่งพาใครพึ่งพาตัวเองได้แล้ว ดีไม่ดี เรามีเหลือเฟือเรามีเหลือเกินที่จะแบ่งให้แก่คนอื่นได้อีก ไม่เป็นหนี้ใคร ไม่รบกวนใคร พึ่งตนเองได้ ยืนยันปรากฏ อยู่ได้ด้วยลำแข้งตัวเองตลอดไปอุดมสมบูรณ์ เสร็จแล้วเหลือเฟือแจกจ่ายผู้อื่นได้จริงๆด้วย
นี่เป็นการยืนยันเป็นเรื่องชัดเจน เป็นเครื่องชี้ชัดว่า เศรษฐกิจของเราดี ไม่ใช่เรื่องความร่ำรวย เศรษฐกิจเราจะร่ำรวยด้วยการเอาจากคนอื่นมากๆ มีแต่อัตราการพัฒนาการรวยการได้เปรียบเขาไปได้เรื่อยๆมากกว่าเขาเรื่อยๆ อันนั้นเป็นเรื่องของคนที่โลภ คนที่ตะกละตะกลามคนที่มีใจไม่พอคนไม่สันโดษ คนแบบนี้อยู่ในโลกก็เป็นคนที่น่ารังเกียจผู้ที่มีจิตใจแบบนี้ แล้วลักษณะของทุนนิยมมีลักษณะอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นลักษณะของทุนนิยมนี้เป็นลักษณะความเร็วร้าย ลักษณะสังคมที่เสื่อม มันก็ต้องแย่งชิงกันทะเลาะเบาะแว้งกัน จิตใจเมตตาเกื้อกูลเพื่อการไม่มีหนี้ก็น้อยลงน้อยลงอัตราการแย่งชิงเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น ความขาดแคลนก็เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเป็นจิตใจที่เลวทรามไปเรื่อยๆ
พวกเรานี้ได้มาศึกษาสัจธรรม จะไม่มีความคิดนิยมแบบนั้น ถ้าผู้ใดยังมีความคิดแบบนี้แสดงว่าไม่มีความเจริญก้าวหน้าไม่เป็นคนที่มีวรรณะ 9 ที่จะต้องเป็นคนเลี้ยงง่ายอยู่อย่างสบายๆไม่ใช่ไปแย่งชิงกันตะกละตะกลาม ต้องการที่จะร่ำรวยแสวงหา ผลได้เพิ่มขึ้นๆ มีอัตราการได้ ให้แก่ตัวเองทวีขึ้น ไม่ใช่ เราจะต้องรู้ว่า ชีวิตของเรานี้เราสร้างสรร เราทำงานมีผลผลิตของการงานของเรานี้ พอกินพอใช้ของเราไหม พอกินพอใช้แล้วเหลือมีส่วนเหลือส่วนเกินพอที่จะแจกจ่ายเจือจานผู้อื่นได้ไหม เรามีส่วนเหลือส่วนเกินแล้วเราขี้เหนียวหรือเปล่า เรามีส่วนเหลือส่วนเกินแล้วขี้เหนียว ก็เลว มีส่วนเหลือส่วนเกินแล้วจะต้องเอาส่วนเหลือส่วนเกินนั่นแหละไปให้ผู้อื่น แล้วจะต้องแลกกลับมาด้วยอัตราการแลกเปลี่ยนที่ได้มาก ไม่มีจำกัด ได้มากเท่าไหร่ยิ่งถือว่าเป็นความเจริญ ถือเป็นชีวิตที่ก้าวหน้า ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดชั่ว เป็นความคิดคนที่ไม่พัฒนา เป็นคนตกต่ำ เป็นคนลงนรก เป็นคนเสื่อม
เพราะฉะนั้นคนเราจะต้องรู้จักความพอเพียง ชีวิตของเรานั้นมีความขยันหมั่นเพียรและมีความรู้ความสามารถ เรามีความขยันทำได้มากหลายอย่างและเราก็แลกเปลี่ยนกัน เราทำงานก็แบ่งปันกัน งานที่สร้างของอยู่ของกินโดยตรง งานที่เป็นด้านอื่นใดๆก็ตามที่เป็นความจำเป็นของสังคม ความจำเป็นของชีวิตที่จะต้องอาศัยใช้สอย อยู่ไหนตัวเองอาศัยใช้สอยมีชีวิตสังคมก็ใช้สอยในชีวิตด้วย ไม่ใช่งานที่เป็นอบายมุข ไม่ใช่งานที่ฟุ้งเฟ้อ มอมเมา มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นของชีวิต มันเป็นงานที่ต้องอาศัยใช้สอยในชีวิตและเราก็ทำงานนั้น มีราคา มีอัตราการแลกเปลี่ยนที่คุ้มตัวเรา คุ้มกินคุ้มใช้ แล้วก็มีส่วนเหลือส่วนตัวด้วย
เราทำงาน ไม่ใช่เราขี้เกียจเกาะกินคนอื่น เป็นภาระคนอื่น ถ้าหากเราเจ็บป่วยก็แล้วไปเราแก่เราไม่มีเรี่ยวแรงจะทำ สังคมก็จะรู้ดี เด็กนั้นทำงานเลี้ยงตัวเองไม่พอกินหรอก คนแก่ คนเจ็บป่วย คนพิการ เราก็ต้องเกื้อกูลเลี้ยงดูกันไปในสังคม เป็นเรื่องจำเป็น เป็นเรื่องที่เราจะต้องเรียนรู้ แล้วเราก็อยู่กันเป็นสังคมที่ชัดเจน เป็นสังคมที่เกื้อกูลเลี้ยงดูกันเหลือกินเหลือใช้ เหลือเฟือครอบคลุมเผื่อแผ่เกื้อกูล
อย่างอโศกเรา พูดได้เต็มปากว่า อาตมาพาทำมานั้นไม่ใช่เพิ่งประสบผลสำเร็จประสบความสำเร็จมานานแล้วใน ยุค 2540 เศรษฐกิจตกต่ำ ยุคต้มยำกุ้ง เขาเดือดร้อนกันไปหมดเลย เดือดร้อนเพราะว่า ขี้ตะกละ อโศกนั้นไม่สะดุ้งสะเทือน อโศกไม่มีผลกระทบอะไร สบายๆ ยิ่งทุกวันนี้แล้วลงตัว ถึงขั้นสาธารณโภคี ข้อสำคัญคืออย่าขี้เกียจ อย่าเป็นภาระผู้อื่น มันแก่แล้วเจ็บป่วยแล้วไม่ไหวแล้ว ก็เป็นเรื่องที่เป็นสัจจะ จำนน ก็ว่ากันไปก็ต้องช่วยกันไป ไม่ใช่ว่าแก่แล้วก็ยังกระเสือกกระสนไปทำอยู่ ให้เจียมแก่บ้าง เกินไปก็ไม่ดี หรือคนป่วยอยู่ก็แหม..ไม่อยากจะให้คนอื่นเขาเป็นภาระ ป่วยก็ยังฝืนสังขารไปทำจนกระทั่งสุขภาพแย่ลง อย่างนั้นก็ไม่ดี มันเกินไป รู้สึกว่าจะมีอัตตามานะจัดเกินไป รักดีเกินไป มันก็ไม่ถูก
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเราว่าเรามีความรู้รอบคร่าวๆ อย่างที่อาตมาขยายความไปนี้ อยู่อย่างไม่เป็นภาระใครแล้วยังเป็นที่พึ่งให้แก่ใครอีก คิดค่าสมรรถนะของเราในแต่ละวัน งบดุลดูแล้วเราคุ้มกินคุ้มใช้ของเรา ไม่เป็นหนี้ เป็นสัจธรรมแล้วไม่เป็นหนี้ แต่ใครมาเกาะกินก็เป็นหนี้ ทำอย่างไม่เหมาะสมควร ยังไม่แก่ยังไม่เจ็บป่วย เอาแต่ก็ขี้เกียจอยู่ไปอยู่มา เหมือนมีใครคนหนึ่งที่เห็นว่าขี่มอเตอร์ไซค์ไปมาที่บ้านราชฯนี้ เมื่อเช้านี้ก็มีอยู่คนหนึ่ง (คนว่าเขาไปแล้ว) แล้วบอกว่า ตอนกลับไปนี้มีของเยอะด้วย เห็นว่าตอนมาก็มาแต่ตัว แต่ตอนกลับมีของเยอะ เหมือนนายยักษ์ ตอนมาก็ของน้อย แต่ตอนกลับของเยอะ คนอย่างนี้ก็มี อย่าให้ทำบาป
จะมาขี้เกียจขี้โกงมันไม่ดี มันทำบาป ไม่ใช่ว่าเราหวงแหน แต่ให้เขามาทำบาปทำชั่ว มันไม่ดี
เรื่องเศรษฐกิจ อาตมาเข้าใจความเป็นเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ ตามความรู้ของอาตมาที่มีมาจากพระพุทธเจ้า จริง อาตมาเป็นนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ของคณะเศรษฐศาสตร์แต่ไม่ได้ปริญญาสักใบมาเลย ก็ไม่ได้ถือว่า ได้เรียนได้ใบอะไรรับรองมา แต่อาตมาได้จากของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็เอามาใช้จริง เอามาบริหารพัฒนาสังคม จนเกิดชุมชนชาวอโศกให้ประชาชนอยู่ในแต่ละชุมชน คือ เศรษฐกิจที่ถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นเศรษฐกิจที่สูงสุดแล้วในกระบวนของมนุษยชาติ พ้น มิจฉาชีพ 5 กัมมันตะ 3 สังกัปปะ 3 วาจา 4 โดยเฉพาะคนมิจฉาชีพ 5 และอยู่กันอย่าง พ้นกุหนา ไม่มีโกง ไม่ลปนา ไม่หลอกลวง เนมิตกตา เสี่ยงบาปเสี่ยงบุญเสี่ยงกุศลอกุศลอยู่ ก็ไม่มี แม้จะไม่เสี่ยงแต่นิปเปสิกตา มอบตนในทางที่ผิดยังไปรับใช้คนที่ขี้โกง ที่เอาเปรียบเอารัดอยู่ทางโลกอยู่วันนี้ก็ไม่มี พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 4 ข้อที่ 5 นี่สุดยอดเลยถือว่าทำอาชีพอย่างที่ว่ามีรายได้ทำงานแล้วยังมีเอาค่าตัวให้แก่ตัวเองหรือไม่ นี่ก็ยังเป็นมิจฉาชีพเลยของพระพุทธเจ้า พวกเราไม่เป็นมิจฉาชีพแม้แต่ข้อที่ 5 ไม่มีการใช้ลาภแลกลาภเลย ทำงานฟรี ให้แก่กองกลาง ซึ่งอาตมาว่าทำได้ยอดเยี่ยมแล้วที่อื่นทำไม่ได้แต่ว่าอาตมาทำได้จึงภาคภูมิมากว่า ธรรมะพระพุทธเจ้ามีประสิทธิภาพในยุคนี้เป็นยุคของความเสื่อมของศาสนาหนักเละจัด จนกระทั่งมันจะไม่เหลือเชื้อแล้ว ก็ยังสามารถที่จะพิสูจน์ได้ถึงขั้นนี้ ซึ่งเป็นขั้นที่สูงสุดแล้ว สูงสุดจนกระทั่งในโลก ประเทศไหนก็แล้วแต่ เขาทำไม่ได้อย่างชาวอโศก หรือประเทศไทย มีเศรษฐกิจถึงขั้นทำงานให้แก่ส่วนกลาง 100% ทำงานเสียภาษี 100% รายได้ของตัวเองเอาเข้ากองกลางหมด 100% เลย พูดไปเมื่อไหร่ก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่เมื่อนั้น พูดแล้วเขาก็จะหาว่าอวดโอ่น่าหมั่นไส้ แต่มันเป็นของดีน่าจะบอกให้รู้กันทั่วโลก ให้มนุษย์มาศึกษาให้ดีๆจะได้เกิดการขัดเกลาให้เกิดการไม่เห็นแก่ได้ไม่เห็นแก่ตัว จนกระทั่งมาเป็นคนแบบนี้ สร้างสรร เสียสละ แล้วอาศัยอยู่อาศัยกิน ในแต่ละวันแต่ละวันก็ขาดทุนให้แก่สังคม แล้วก็เข้าใจตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัสไว้
ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา สบาย สบม สบายมาก ทมด ปกต หห จจ มชยลล
_สู่แดนธรรมว่า…แบบนี้ผมว่า สถานีโทรทัศน์ Thai PBS ก็น่าจะมาถ่ายทำบ้างนะครับ
พ่อครูว่า…จริงๆแล้วอโศกก็พอรู้ว่าเป็นสังคมที่พิเศษ แต่เขาเองเขาเกรงสังคม มันเป็นสภาวะของคนในยุคนี้ กระแสหลักเขาเบรมพวกเรา เขากดเขาข่ม เขาพยายามไม่ให้พวกเรา เข้าไปเป็นตัวสัจจะ ที่ว่าอย่างนี้ดีแล้วมาเอาอย่าง ซึ่งเขาทำอย่างนี้ก็ได้บาปนะ ไม่ได้เจริญอะไรหรอก แต่ความที่มีมิจฉาทิฏฐิก็เลยทำอย่างนี้ ตอนนี้ก็ดีขึ้น เพราะว่าคนที่มีจิตใจแบบนี้ตั้งแต่ต้น ที่มีความเข้าใจผิด ว่าอาตมาพาทำให้ไม่เหมือนที่เขายึดถือ พอไปๆๆ อาตมาก็พิสูจน์ความจริง ค่อยๆยืนยันว่าสิ่งที่ทำให้ถูก จนเขาจำนนต่อหลักฐาน จำนนต่อความจริง ประชาชนเห็นดีเห็นด้วยก็เพิ่มขึ้นๆ พวกเราจึงได้ลืมตาอ้าปากกับสังคม เขาก็จำนนขึ้นมาก็พอเป็นไป ทุกวันนี้ก็ค่อยๆดีขึ้นๆๆ แต่ก็ก็ต้องถูกอย่างนี้แหละ เพราะว่าเขาเองก็เกรงใจกับกระแสหลัก แม้แต่สถาบันของสังคมประเทศก็ยังต้องเกรงใจสถาบันศาสนากระแสหลักเขาถือว่าอันนี้ถูก ทั้งๆที่อันนี้ถูกกว่าแต่เขาก็จำนน นี่เป็นความซวยของประเทศชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่มีปัญหาหรอก อาตมาว่าไม่เป็นปัญหาของอาตมา เราก็อย่าไปโทษความเป็นปัญหา เราก็พยายามทำสิ่งที่จริงนี้ไป พิสูจน์ยืนยันไป
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
ส.ฟ้าไทว่า..ทำงานฟรีคนเดียวก็น่ามหัศจรรย์แต่นี่เป็นหลายร้อยคนร่วมกันได้
พ่อครูว่า…630322 SMS วันที่ 20 มี.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ :พ่อครู)
_พระสี สีลคุโณ : กราบนมัสการ.ครับ
_Somboon Sukonrat สมบูรณ์ สุคนรัฐ : ระบบเสียงไม่ดีเลย
_nOice น้อยซ์: เอาพระคนนี้ออกไป อยากฟังพระจันองค์เดียว
_เชวง กิจจะบรรณ์ : คนไช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษขอบอกว่าพระจันท์ที่คุณพูด
ถึงคือสาวกของพระองค์นี้ที่คุณกล่าว
_Nana cit tang นานาจิตตัง : เจริญธรรม สำนึกดีค่ะ ใครจะตอบให้รู้ก็ดี คือว่าคุณเอ๋ ธารร่มธรรมยังอยู่มั้ยคะ ขอบคุณก่อนค่ะ
_Janne เจนนี่: ที่ยุโรปใครจะออกไปไหนต้องมีใบอนุญาตให้ออกคะถ้าออกมาโดยส่วนตัวต้องถูกปรับ1000ยูโรคะ
_Somnuek Lailak สมนึก ลายลักษ์ : อยากให้ปิดสักเดือนเจ้าค่ะ/อยากให้คนบ้านราชมีสุขภาพ 100 ทุกคนค่ะ
_7630ที่พ่อท่านเคยพยากรณ์หลวงปู่มั่นเป็นพระอริยะแต่มาวันนี้บอกว่าท่านเป็นเดียรถีย์ ขอคำอธิจากพ่อท่านด้วยครับผม?/ขอบคุณครับ
พ่อครูว่า..จริงอาตมาเคยพูดไว้ ตอนนั้นอาตมายังไม่คมชัดลึกในสมัยพระพุทธเจ้านัก ก็เลยบอกไป อาตมาเพราะเคยนั่งสมาธิอย่างนั้นจนบรรลุแบบนั้น แต่เมื่อมาได้ศึกษารายละเอียดจึงรู้ว่าอย่างนั้นคือต้นตอของเดียรถีย์ ตอนสมัยพระพุทธเจ้าอุบัตินั้นเขาก็มีแบบนี้อยู่เต็มไปหมดแล้วนั่งสมาธิเดียรถีย์ทั้งนั้นแหละ แล้วพระพุทธเจ้าก็ค่อยมาแก้ อาตมาก็ค่อยๆเข้าใจตามลำดับ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ก่อนนี้ ตอนนี้ก็ขอแก้กลับและขออภัยที่เคยได้พูดเช่นนั้น ถือว่าที่พูดไปแต่ก่อนนั้นยังไม่ถูกต้อง ตอนนี้ถูกต้องแล้ว
แต่ก่อนนั้นเคยบอกว่าท่านเป็นพระอริย แต่ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆอันนี้เป็นเรื่องของความพัฒนาก้าวหน้าความเจริญของความรู้ ซึ่งตอนนั้นมันก็เป็น ลิงลมอมข้าวพอง นึกว่าจะเป็นอย่างนั้น เหมือนกับพระพุทธเจ้านั่นแหละ ที่ปฏิบัติธรรมออกป่า แล้วท่านก็รู้ว่าไม่ใช่ แล้วท่านก็กลับเข้าเมือง จนมีผู้ยกสถานที่ขึ้นเป็นอาราม
สู่แดนธรรม ..ถามเพิ่มแทนเจ้าของปัญหา คุณ7630 เขาก็อาจจะคิดต่อว่า ญาณในการดูความเป็นอารยะของผู้อื่นตอนนั้นของพ่อท่านก็ยังไม่ชัดเจน
พ่อครูว่า…ตอนนั้นก็ยังไม่ชัดเจน ตอนนี้ก็ชัดขึ้นแล้ว ก็ขอยืนยัน มีการพัฒนาขึ้น
สมณะฟ้าไทว่า…แสดงให้เห็นว่าการพยากรณ์ ไม่ใช่เรื่องทำได้ง่ายๆ เพราะต้องชัดเจนจริงๆ
พ่อครูว่า…
_เพ็ญจันทร์ ภูมิเทศ : การห่างไกลกันคือการแสดงความห่วงใย
ขอนแก่นฝนตก สัญญานเสียงค่อนข้างเบามากนะคะ
_แหม่ม สวิส : เมื่อวานตอนเช้าเดินทางมาถึงบ้านราช ตอนเย็นพ่อครูประกาศปิดบ้านราช หวุดหวิดเกือบจะต้องยืนชะเง้อรอหน้ากองหินซะแล้ว
_จักรพล พุทธพัฒนา : คนเรียนมากท่านเรียกว่าปริยัติพหุโล..คนรู้มากท่าน
เรียกว่าบัญญัติพหุโล แต่ไม่มีมรรคผลก็มากครับ.
พ่อครูว่า…ในยุคนี้ก็มีเยอะที่มีความรู้มาก สอนคนก็มากแต่ไม่ได้บรรลุ
_Chittra Aswin จิตรา อัศวิน : กราบ_/\_นมสก พ่อครู ที่เคารพยิ่ง พ่อครูเคยวิจัย วิจารณ์ เรื่องกีฬา คือ อบายมุข ไม่ควรส่งเสริม ความนี้พิสูจน์
ชัดในกาละนี้ เมื่อ’โควิด19′ ขวิดชาวสเปน พวกเขาจะเรียกร้องให้นักเตะบอลล์ หรือ หมอ ช่วยเหลือ!
พ่อครูว่า…สรุปแล้วประเด็นสำคัญคือ เรื่องของอบายมุขเป็นเรื่องที่รู้ได้ยากมากเลยของคน
อบายมุข หมายความว่า เสื่อม เพราะฉะนั้นอาชีพ หรือการไปเอากีฬามาเป็นอาชีพก็ดีเอาการแสดงบันเทิงเริงรมย์เต้นกินรำกิน ซึ่งโบราณเขาเข้าใจว่าเป็นอบายมุข แต่เดี๋ยวนี้เขายกย่องเหมือนกับทางโลก เขาไม่ได้เรียน ทางเทวนิยมทางตะวันตกอเมริกาเขาไม่ได้รู้เรื่องเขาก็ยกเป็นค่านิยมที่เป็นแฟชั่น ราคานักกีฬาสูง ราคานักดาราบันเทิงสูงเท่าไหร่ มันส่อให้เห็นความสูงต่ำของความรู้ของสังคมมนุษยชาติ มนุษยชาติที่ไปตีราคาให้การละเล่นการกีฬาได้สูงเท่าไหร่ หรือการเต้นกินรำกินเป็นดาราตีราคาพวกนี้ให้สูง นั่นคือความเสื่อมต่ำของความรู้ของสังคมนั้นๆ สังคมใดก็แล้วแต่
สังคมอินเดียเขาไม่ได้ยกย่อง ไม่ได้ตื่นตัวตื่นเต้นในเรื่องดาราหรือการกีฬา ทางอินเดียไม่ขึ้นหรอก นั่นคือสังคมเจริญ อินเดียเป็นสังคมเจริญ เพราะไม่หลงใหลเรื่องเหล่านี้จนกระทั่งนานมาถึงยุคนี้เลยไม่รู้เรื่อง เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีเนื้อหาสาระโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าแท้ๆ อย่าไปกระดี๊กระด๊าเป็นอันขาด ตื่นเต้นจะเอาโอลิมปิคมาจัดที่ประเทศไทยอย่าไปทำเลย ฉิบหาย อย่าทำเลยเป็นอันขาด อาตมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรทำไมถึงโง่เง่าดักดาน ไปฉิบหายกับเรื่องไม่ได้เข้าเรื่องเข้าราว ถูกเขามาหลอกเอาเงินเอาทองไป ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นทวนกระแสใจ ทวนกระแสโลก มันไม่เหมือนกับทางโลกที่เขาเข้าใจกันหรอก มันเป็นอย่างนั้นจริง
อาตมาเองอยู่ในวงการดาราพวกนี้เพื่อนๆกันเลยทั้งนั้น น่าจะมาว่า เพราะว่าอาตมาพูดอย่างนี้ ไปว่าพวกนี้ อาตมาพูดสัจจะไม่ได้แปลว่าอะไร อาตมาตอนนั้นก็เป็นลิงลมข้าวพองเหมือนกับพยากรณ์อาจารย์มั่นเป็นอย่างนั้น ..ก็เคยดีอกดีใจที่ได้เป็นดาราเมื่อแต่ก่อน แต่มันก็เป็นสัจจะก็มาพูดให้รู้ตัว
_Grongtong Rattanachan กรองทอง รัตนจันทร์ : กราบนมัสการพ่อครูฯลูกคิดว่าปิดบ้านราชฯจะไม่ได้ฟังธรรมซะแล้วดีใจมากที่ไม่ได้ปิดเทศนาจากพ่อครูฯ
SMS วันที่ 21 มี.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิภาคททวน : สมณะ สิกขมาตุุ)
_กิ่งฟ้า ขันหล้า กราบนมัสการค่ะ..ดีใจจังได้เห็นและได้ยินเสียงท่านสิกขมาตุรินฟ้าแล้วค่ะ
_พิศมัย ชำนาญคิด : กราบนมัสการนะคะท่านปัจฉาแสนดินเทศน์ได้ดีมากค่ะ
_แก้วลา ไชยวงค์ : อยากกินแตงโมบ้านราชมากๆแต่เสียดายอยู่ไกล
พ่อครูว่า…ช่วยไม่ได้ มารับได้ที่หน้าบ้านราชฯ ตอนนี้ก็แตงโมกำลังโต
_Somnuek Lailak สมนึก ลายลักษ์: กราบเท้าเจ้าค่ะ อยากให้ปิดบ้านราช 1 เดือนไปเลยเจ้าค่ะ/เพื่อรักษาสุขภาพชาวบ้านราชเจ้าค่า
_จักรพล พุทธพัฒนา : บ้านราชไม่ปิดก็เหมือนปิดอยู่แล้วเพราะคัดคนเข้ามาอยู่..ยังไงก็มีน้อยอยู่แล้วครับ./เห็นมีบางคนไม่ออกไปไหนอยู่แต่ในบ้านราชเป็นปีๆก็มี..และบางคนไม่เคยเข้าบ้านราชตั้งหลายปีเขาก็อยู่กันได้เป็นเรื่องธรรมดาเลย.
_ป้าอ้วน Channel : กราบนมัสการสมณ สิขมาตุรินฟ้าเจ้าค่ะ
_นุชบา เเก้วนาม : ผู้ชมแชทสดขณะนี้122 คนค่ะ
_ฉันชื่อบุษบา ก๋ากั่น : เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะที่มีประกาศปิดบ้านราช
_Wacharee Piyavatawong วัชรี ปิยวัฏฏวงศ์: มีความยินดีที่ได้เห็น ท่านสิกขมาตุรินฟ้าในวันนี้ค่ะ
_ดวงใจ เจี๊ยบ….กราบนมัสการ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ค่ะ__ข้าพเจ้ามีคำถามดังนี้ค่ะ
-
ที่กล่าวว่ามนุษย์เราไม่ควรเลี้ยงและสุงสิงกับสัตว์เดรัจฉานเพื่อเลี่ยงการมีวิบากกรรมร่วมกัน แล้วในกรณีที่มีผู้รับบริจาคไถ่ชีวิตวัว ควาย ฯลฯจากการซื้อขายเพื่อนำไปฆ่า เราควรสนับสนุนการไถ่ชีวิตดังกล่าวหรือไม่ค่ะ เนื่องจากข้าพเจ้ารับทราบมาว่า เราไม่ควรเข้าไปห้ามหรือขัดขวางผู้ล่าที่กำลังล่าเหยื่อ ไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้ผู้ล่าเกิดความเครียดแค้นเราอันเป็นการผูกเวรผูกกรรมกัน แต่ในใจลึกๆ ของข้าพเจ้านั้นยังไม่เห็นด้วยกับข้อเท็จจริงดังกล่าว เพราะเมื่อพิจารณาศีลข้อ1แล้ว ผู้ปฏิบัติควรมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และมุ่งหมายและเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นเป็นตาม ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการไถ่ชีวิตสัตว์หรือห้ามปรามสรรพสัตว์ไม่ให้ทำร้ายกัน น่าจะเป็นการส่งเสริมให้สรรพสัตว์เจริญตามศีลข้อ1 ค่ะ__ขอให้พ่อครูไขความกระจ่างให้ด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…คุณเข้าใจก็ถูกแล้วกระจ่างแล้ว อาตมาพูดไม่ถึงกรณีคนเอาไปฆ่าแล้วก็มีคนไปไถ่ชีวิต อาตมายังไม่ได้พูดถึงขนาดนั้นคงนำมาพูดถึงก็ดีแล้วล่ะ ช่วยกันไป ยิ่งคุณไถ่เสร็จแล้วก็ปล่อยให้มันไปอยู่ตามธรรมชาติเลยพึ่งพาตัวเองรอด แต่อย่างว่า คนทำให้สัตว์ไม่เหลือความเป็นสัตว์เลี้ยงชีวิตตัวเองไม่รอดก็จำเป็นต้องเลี้ยงกันต่อมันก็เป็นภาระมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจพูดไปแล้วมันเป็นวิบากที่ซับซ้อนมาก เสียสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ปล่อยเข้าป่ามันก็ไม่รอด เอามาเลี้ยงจนลืมสัญชาติของสัตว์ เป็นการทำให้สัตว์เสียความต่างสัตว์ซึ่งมันซับซ้อนมากเลย มันก็เกินกว่าที่จะวิจัยวิจารณ์
-
ในกรณีที่มีผู้กระทำผิดโดยการเอาเปรียบเรา ทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้น มีผู้กล่าวว่าถ้าหากความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นก่อให้ความสงบเรียบร้อยในสังคม เราควรยอมรับและปล่อยให้เป็นวิบากกรรมของเขาไป ข้าพเจ้าจึงอยากถามพ่อครูว่าจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ถ้าเราควรจัดการให้เขาแก้ไขให้ถูกต้องหรือให้เขาได้รับโทษเพื่อที่เขาจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ถูกต้องและทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายด้วย และไม่ไปก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่นอีก นั่นคือจะได้ทั้งประโยชน์เขาและประโยชน์เรา เขาเองก็รู้สึกตัวเร็วขึ้น กลับใจได้เร็วขึ้นไม่ต้องก่อวิบากร้ายอยู่เรื่อยไป __ขอพ่อครูช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
ขอกราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ละเอียดละออขึ้นได้ก็ดีก็ช่วยกันไปตามความรู้ความจริงอย่างที่ว่านี่แหละก็ใช้ได้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน..ปิดบ้านราชฯวันที่ 3 แล้ว คนที่อยู่ที่นี่ตอนแรกนึกว่ามีงานน้อยแต่ตอนนี้ ตอนนี้แตงก็จะเก็บข้าวก็จะเกี่ยว
พ่อครูว่า…
_มีผู้เขียนมา จากคนรักชีวิต โควิด มาสัญญาก่อนสายัณห์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุ มีใจอันอบรมแล้วด้วยมรณะสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการมารักชีวิต ไม่ยื่นไปรับความรักชีวิต เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่ใส่เข้าไปมันก็งอ ย่อมหดงอเข้าหากัน ไม่คลี่ออก มรณสัญญาเราเจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายของเรามี ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว มรณะสัญญาอันเจริญแล้ว หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
(จาก สัญญาสูตรที่ 2 ล.23 ข้อ 46)
กราบนิมนต์อธิบายเพิ่มเติมสองข้อขอรับ
1 มรณะสัญญาอันเราเจริญแล้ว
2 ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว
ภาวนาหมายความว่าการเกิดผล ภาวนาไม่ใช่การท่องบ่น ไม่ได้หมายถึงการนั่งหลับตาสะกดจิต แต่ภาวนาหมายถึงการเกิดผล
พ่อครูว่า…จิตวิญญาณที่ได้อบรมมรณสัญญา จะเข้าใจถึงอิทัปจยตา ของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร
ปฏิกูลคือของไม่น่ารัก ของน่าเกลียด เหมือนอุจจาระของน่าทิ้ง ถ้าตายแล้วไม่มีความรู้ที่จะทำการปรินิพพานเป็นปริโยสาน มันก็เป็นปฏิกูล
พ่อครูว่า..พวกเราปฏิบัติธรรมศึกษาพวกนี้มาด้วยแต่เรายังไม่ได้เน้นตรงนี้ ตรงที่ความตาย เรื่องความตายอาตมายังไม่ได้พูดมากเท่าไหร่ไม่ได้เน้นชัดเจนเท่าไหร่ ไปพูดถึงเรื่องเวทนาเยอะ อธิบายสัญญา เอาสัญญา 10 มาอธิบายเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้ขยายความมากเลย
นี่ มรณะ เรื่องของการ
บอกว่ามรณะสัญญาอันเราเจริญแล้วหมายความว่าเรามีความรู้ เรามีความเข้าใจ สรุปจริงๆก็คือเราบรรลุธรรม มรณสัญญา การเรียนรู้การกำหนดรู้ความตายที่เจริญแล้ว มันรู้มันเข้าใจมันบรรลุธรรมว่าความตายคือความตาย มันเกิดเกือบตายตายตายตายเกิดๆแล้วก็มาลงตาย แล้วแม้แต่ที่สุดศาสนาพุทธก็สอนเรื่องตายให้มันเป็นที่สุดเลย ตายจนกระทั่งปรินิพพานเป็นปริโยสานแยกธาตุอัตภาพของตัวเองหรือวิญญาณของตัวเองหายสูญไปเลย ธาตุนั้นแตกแยกเป็นอุตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยไม่จับตัวมาเป็นชีวะไม่แม้แต่พืช
จิตวิญญาณของเราเป็นจิตวิทยาเข้าใจความรู้เข้าใจเรื่องของธาตุที่มันปรุงแต่งกันอยู่ ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์สุดยอดลึกซึ้งมาก สามารถรู้จักพลังงานทางจิตที่เป็นธาตุระดับที่ปรุงแต่งระดับจิต จิตนิยาม
อย่างของสัตว์โลกหรือมนุษย์เป็นจิตนิยม มีคุณสมบัติมีสมรรถนะสูง หรืออีกระดับหนึ่งคือพืช นี่คือความตรัสรู้ของนักวิทยาศาสตร์เองคือพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธาตุที่ปรุงแต่งกัน วิทยาศาสตร์ทั้งโลกเพียงรู้หมายถึงในการแยกธาตุ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แล้วสามารถทำให้จิตวิญาณมีสภาพเป็น พีชะได้ อุตุธาตุได้ จนจิตวิญญาณของตัวเองที่แตกหายสูญไปรอจนพระเจ้าบอกว่าเอาวิญญาณของเราไปไหน ของพุทธพระเจ้าไม่เกี่ยว สอนให้ทุกคนกบฏต่อพระเจ้าเลย จิตวิญญาณของใครของมันทำให้จิตวิญญาณตัวเองสลายสูญไปเลย ไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าจะมากำหนดให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกไม่ใช่ พิสูจน์เลยว่าจิตวิญญาณของแต่ละคนไม่ใช่ของพระเจ้า จิตวิญญาณของแต่ละคนเป็นของเจ้าของ แล้วสามารถที่จะรู้จิตวิญญาณจนทำให้จิตวิญญาณนี้เลิกเป็นจิตวิญญาณได้เลย สลาย เป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย เป็นการตายถึงขั้นสูงสุดในศาสนาพุทธ ทำลายอาตมันหรืออัตภาพ อัตตาของตัวเองได้เลยไม่เหลือเลย
พระเจ้าเลยบอกว่า เอาวิญญาณของเราไปได้ยังไง วิญญาณของทุกคนพระเจ้าเป็นเจ้าของหมด แต่ว่าศาสนาพุทธนี้บอกว่าอย่ามาขี้ตู่ พระเจ้าอย่ามาขี้ตู่ วิญญาณของเราก็เป็นของเราไม่ใช่ของท่าน เรามีสิทธิ์อิสระเสรีภาพและ วิญญาณของเราที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้จะดีจะชั่วจะเจริญเติบโตตกต่ำ เราเองไม่ให้พระเจ้ามาบันดาลเรา อย่ามาทำเป็นเก่งมาสั่งเราให้ชั่วหรือดี
อาตมาเคยวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องพระเจ้า พระเจ้าปรารถนาดีต่อมนุษย์แล้วทำไมต้องปล่อยให้ทำชั่ว พระเจ้าทำได้ทุกอย่างแล้วทำไมต้องปล่อยให้มนุษย์ทำชั่ว พระเจ้าปรารถนาดีต่อมนุษย์ทุกคน แล้วทำไมต้องปล่อยให้ทำชั่ว แล้วมีอะไรที่อยู่เหนือกว่าพระเจ้า ก็คือซาตาน พระเจ้าไม่รู้จักซาตาน ซาตานเป็นคู่แข่งของพระเจ้าที่สำคัญ แล้วซาตานดูเหมือนจะทำสำเร็จผลมากกว่าพระเจ้า ยิ่งในยุคนี้แล้วซาตานทำสำเร็จกว่าเอาคนไปเป็นนายทุน เอาคนไปขี้โกงเป็นนักการเมืองเป็นนักธุรกิจก็ขี้โกงเอาเปรียบเอารัด พระเจ้าเป็นผู้ที่ให้สุจริตไม่ขี้โกงมีเจตนาดีทั้งนั้น แต่ว่าสู้ซาตานไม่ได้ ซาตานเอาคนไปเป็นคนหน้าเลือดออกทำร้ายกัน เย้ยหยันพระเจ้าใหญ่ สรุปแล้วพระเจ้าไม่มีฤทธิ์อำนาจอะไรมันอยู่ที่ตัวเรา
เราจะเลวร้ายจะมีจิตใจโหดเหี้ยมจะมีความขี้โลภหน้าเลือด หรือจะเป็นคนเสียสละเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบเอารัดใคร เป็นคนที่มีประโยชน์เกื้อกูลโลกเกื้อกูลมนุษย์สัตว์โลกทั้งหลายแหล่อยู่ ก็อยู่ที่เราทำตัวเองศึกษาแล้วเราก็ทำตัวเองให้เป็นคนเช่นนั้น พิสูจน์ยืนยันได้ และเป็นที่สุด ศาสนาพุทธนี้ ตายเป็นที่สุด
-
กิเลสตายไม่เกิดอีก แต่ว่าอัตภาพยังหมุนเวียนเกิดอยู่เป็นโพธิสัตว์เกิดอีกกี่ชาติๆก็ได้ กิเลสตายแล้วไม่เกิดอย่างเช่นอาตมา เกิดมาชาตินี้ก็ไม่มีกิเลสอีกแล้ว นี่คือตายไปชั้นหนึ่งแล้ว กิเลสตายไม่เกิดอีกในอัตภาพในชีวิตของคนผู้นี้
-
ตายอย่างชนิดที่เลิกไปเลย แยกธาตุ ตายเป็นครั้งสุดท้าย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน กายเภทาปรัมมรณา หลังจากตายกายแตกไปก็ไม่เหลือคราบที่จะจับตัวไม่แตก พีชะก็ไม่มี จิตนิยามก็ไม่มี เป็นผลแห่งการปฏิบัติให้ถึงที่ภาวนา ภาวนาเป็นผลแห่งการปฏิบัติได้ถึงที่แล้ว ก็จะเป็นอย่างที่อาตมาพูด อาตมาพูดผลของตัวเองที่ถึงที่แล้วที่อธิบายนี้ไม่ใช่เอาตำรามาเปิดอ่านให้ฟังแต่เอาจากของตัวเองที่เป็นอย่างนี้แล้ว ผลแห่งการภาวนาของเราถึงที่แล้ว
นี่เป็นอานิสงส์ที่มากเป็นผลมาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
อาตมาได้ขยายความถึงมูลสูตร 10
ตั้งแต่ข้อ 1 จนกระทั่งถึงข้อสุดท้ายให้ฟังหน่อย จะเข้าใจถึงการหยั่งลงสู่อมตะ
มูลสูตร 10
1.มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) คือความยินดีความต้องการความประสงค์ความปรารถนาว่าอันนี้ดีนะ นำจิตใจเรา ไม่มีใครบังคับคุณหรอก
2.มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
3.มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
4.มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) สุ
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน