630515_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อรหันต์จริงจบประโยชน์ตนก่อนประโยชน์ท่าน
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1XT08XGpjw0dKx6XAI7_SUAgGVVnifBvgCNDYXu8vWKs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1hOyT_GvgsmjOGPMG_lyHC914QTdwSyTh
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563 ที่อุบลราชธานี ในเดือนมิถุนายนเราก็จะมีการจัดงานอโศกรำลึกออนไลน์ อยู่ที่ต่างๆก็สามารถร่วมงานได้ทางออนไลน์ มีการเทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู แสดงธรรมก่อนฉันโดยสมณะ สิกขมาตุจากหลายบวร พุทธสถาน มีรายการภาคค่ำ และเปิดโอกาสให้คนทุกฐานะ คนใน คนนอก …สามารถส่งข้อความบอกข้อบกพร่อง ข้อควรปรับปรุง ข้อเสนอกแนะที่ควรจะพัฒนาแก้ไขสำหรับชาวอโศก ส่งมาคนละไม่เกิน 3 ข้อ ส่งมาที่ไลน์ส่วนตัวของ สมณะฟ้าไท สมณะแสนดิน หรือสิกขมาตุรินฟ้า (จะบอกชื่อหรือไม่ก็ได้) นำไปร่วมคัดเลือก
พ่อครูว่า…มีบทกวี
~ นักรบนิรนาม ~
ไม่เห็นตัวยิ่งต้อง เกรงขาม
คือนักรบนิรนาม แน่ไซร้
พาประกาศสงคราม กับมนุษย์ แล้วเฮย
โควิดคือพิษไข้ ชื่อนี้น่ากลัว
ฤาเลือกจำเพาะผู้ พาลชน
เคยเบ่งกลับน่าฉงน สงบแท้
กลัวโรคกลับดิ้นรน ตายเกลื่อน กร่นแฮ
คล้ายพยัคฆ์หักเขี้ยวแล้ หมดสิ้นลายเสือ
ประวัติศาสตร์อดีตย้อน นานมา
โรคระบาดอหิวาต์ พิษร้าย
มีศพเกลื่อนพสุธา คืออดีต สมัยแฮ
ล้วนโรคมีพิษลม้าย เกือบคล้ายคลึงกัน
คนเตือนคนห่อนรู้ ฟังคน
เมื่อโรคมาน่าฉงน สดับได้
ยอมคุกเข่าให้ยล กลัวโรค ร้ายฤา
ฤทธิ์เดชสำแดงให้ ทั่วทั้งโลกา
ไม่กลัวประมาทได้ บ่ดี
ชีพดับลับชีวี มอดม้วย
เราชาวพุทธย่อมมี สติมั่น คงเฮย
ประพฤติธรรมไปด้วย สติตั้งสัมมา
เป็นต้น นาประโคน 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
630515 SMS วันที่ 13 พ.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_เพลงวารินถิ่นนักปราญ อาราม : เมื่อไรจะเปิดอุทยานครับบบบบ
_PankeawJiadee ปานแก้ว :รับชมที่อังกฤษค่ะพ่อท่านเสียงใสเลยค่ะ กราบนมัสการค่ะ
_จักรพล พุทธพัฒนา : ภพที่มีกิเลสเรียกว่า”ภวภพ”,…ส่วนภพที่ไม่มีกิเลสเรียกว่า”วิภวภพ”ใช่ไหมครับ?.
_กิ่งฟ้า ขันหล้า : ชัดเจนทั้งภาพและเสียงค่ะ..รับฟังที่อำเภอดอนเจดีย์.จังหวัดสุพรรณบุรีค่ะ
_ทวีศักดิ์ อู่ทอง .จากโรงเห็ดบ้านราช รับฟังอยู่ครับ
_คณิตไทเทิดธรรม สีสุวรรณ์ : พ่อท่านครับผมดูรายการวิถีอาริยะธรรมทางเฟซบุ๊กครับภาพเสียงดีมากครับ ชมอยู่มาเลเชียรัฐกลันตันครับ ติดโควิด19 ไปไหนไม่ได้ครับ
_DuangjaiJeab ดวงใจ : เป็นแฟนตัวยงบุญนิยมทีวีค่พุทธเจ้าก็อุทานว่าชิบหายแล้วหนอพวกนี้ะ_แต่แทบจะไมได้ดูสดเลยค่ะเพราะเบรกไม่ได้รายการสดไม่รอ_แต่คลิปกดหยุดได้ค่ะ
_ขวัญ เขตบุญ : ใช่อย่างท่านสมณะฟ้าไทบอกค่ะ ลูกมาพบธรรมมะด้วยสายศรัทธาฟังธรรมก็ไม่ค่อยเข้าใจพอฟังธรรมบ่อยๆซ้ำๆเลยมาเป็นสายปัญญายิ่งท่านสมณะท่านสิกขมาตุย่อยธรรมมะยิ่งเข้าใจ๊เข้าใจค่ะ ลูกจะพยายามฝึกฝนให้หมดตัวหมดตนค่ะ
_กุญแจ เงินทอง : ความรู้ มี กี่ แบบคะ โลกียะ /โลกุตตระ ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ใช่ คุณก็รู้นี่ โดยเฉพาะชาวพุทธเราจะเรียกได้ว่าความรู้มี 2 แบบ แบบโลกียะกับแบบโลกุตระเท่านั้นแหละ แต่ในชาวโลกียะหรือชาวเทวนิยม ความรู้เขามีแบบเดียว มีแต่โลกียะ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าของเขามีแบบเดียว ของเขาบอกว่าเขามีหลากหลายแต่มันต่างในระดับสูงระดับต่ำ แยกผิดแยกถูกแยกชั่วเต็มไปเยอะแยะ มันก็ถูก ส่วนโลกุตระกับโลกียนั้นเป็นความรู้ที่เป็นแบบที่ไม่ใช่ที่คนจะเข้าใจได้ง่ายๆ คนจะเข้าใจความรู้ในระดับโลกุตระแตกต่างจากโลกียะจะต้องมีปฏิภาณปัญญาชัดเจนเลยว่า เอาอะไรเป็นเครื่องตัดสิน เอาตัวความรู้ที่เรียกว่าปัญญา มีอัญญธาตุรู้จักโลกโลกีย์ที่เขารู้ในเทวนิยมดีชั่วสูงต่ำ ความสุขความทุกข์เขาก็ยังไม่ชัดเจนเพราะเขาเป็นสุขนิยมโลกียนิยม
ส่วนโลกียะนั้นสูงสุดมีภพมีชาติ เป็นภวภพ แต่ของโลกุตระนั้นไม่มีภพชาติ ส่วนโลกุตระรู้เวทนา แยกเวทนาสองได้ ทวเยน เวทนายะ ความสุขความทุกข์มันเป็นภาวะ 2 แต่คนไม่รู้ไปลงภาวะความสุข โดยไม่รู้จักจะว่าความสุขมันไม่มีหรอกความสุขมันเป็นเพียงความตอแหล ภาษาบาลีบอกว่า สุขขัลลิกะ มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปพระพุทธเจ้าบอกว่าให้หาเหตุแห่งความโง่ที่ไปหลงติดเหตุแห่งความทุกข์ ก็ต้องดับที่เหตุแห่งความทุกข์ได้ก็จบ ความสุขก็ดับไปด้วยความทุกข์ก็ดับไปด้วยศาสนาพุทธจึงค้นพบ ความหมดภพหมดชาติ หมดความสุขความทุกข์ อธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสั้น
_มุ่ง ตรงธรรม : น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพยิ่งครับ กราบนมัสกาารท่านสมณะ สิขมาตุทุกรูปครับ พม่าเสียงชัดภาพชัดครับ
พ่อครูว่า…แล้วไทยภาพและเสียงชัดไหม?
_WalailakDennis วลัยลักษณ์ :เสียงชัดมากค่ะจากประเทศอังกฤษ
_จาก คนไทย : คำว่า “สยาม” แปลว่าอะไร นมัสการขอบพระคุณ
พ่อครูว่า…คนจีน เขาบอกว่า สยามแปลว่าคนป่า เสียมนั๊ง คนป่า ไม่ใช่คนเจริญ เหมือนกับทางฮินดู เรียกอาริยกะ กับ มิลักขะ พวกมิลักขะ พวกคนเถื่อนคนป่า ส่วน อาริยกะคือคนเจริญ
ทีนี้มีคนแปล สยาม แปลมาก็เป็นชั้นได้ความสุข เลยดาวดึงส์ อยู่ยามา เป็นท้าวสุยามา ดูแลสวรรค์ชั้นยามา ก็แล้วแต่จะตีความไป
ถ้าเอาอาตมาตีความ สยะ แปลว่าเป็นเรา
เป็นเรามีคำว่า สก สย สว
สย เป็นตัวตนที่กลางๆ สก คือตัวตนที่มากใหญ่ สว เป็นพยัญชนะตัวที่ 4 ย ร ล ว ส ทีนี้ สย คือใช่ตัวเรา ใช่แล้วตัวเรา นี่แปลอย่างโพธิรักษ์ ไม่ได้แปลตามที่เขาเรียนตำราไวยากรณ์มานะ
ทำไมมาอยู่กับไทย สยาม เคยได้ยินคำว่า สยัมภูไหม ใกล้เคียงกันไหม ผู้รู้สูงสุดเป็นผู้รู้ได้ด้วยตนเอง สยังอภิญญา คือผู้รู้ที่รู้ได้ด้วยตนเอง อาตมาประกาศตัวเองว่าเป็น สยังอภิญญา เพราะว่าในชาตินี้มีความรู้ที่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้าเอาของตัวเองมาพูดเอามาอธิบายไม่เหมือนของที่เขารู้กัน และบอกด้วยว่าของเขาผิดของอาตมาถูก พูดอย่างนี้ด้วย ยืนยันถึงขนาดนั้นแล้วอาตมาก็ยังมั่นใจว่าอาตมาไม่ได้พูดตลบตะแลงพูดอวดดีอะไร ก็ขอยืนยันว่าอาตมาพูดความจริง ใครจะรู้สึกหมั่นไส้ว่าเป็นพวกอวดดีก็แล้วแต่ แต่ต้องพูดความจริง จำเป็นที่จะต้องยืนยันความจริงเท่านั้นเอง ใครจะคิดอย่างไรอาตมาห้ามไม่ได้
SMS วันที่ 14 พ.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ : สมณะ สิกขมาตุ บ้านราช)
_ยิ่งรัก สัมมานนท์ : กำลังรับชมและรับฟังที่บ้านนวมินทร์40ภาพชัดและเสียงดังฟังชัดดีค่ะ
_Sittirat Narintsidhaddha สิทธิรัฐ : มีอาหารเหมือนมีอาวุธต่อสู้กับวิบัติ
_สุลิน สายพันธุ์ สาธุค่ะ : เห็นสังคมมีการแบ่งปันแล้วมีความสุขค่ะ
พ่อครูว่า…เมืองอื่นเขาก็มี แต่เมืองไทยนี้เมื่อจุดชนวนการแบ่งปันแล้วแตกโคบๆเลย ภาษาอีสาน แตกไปทั่วประเทศเลย เหมือนข้าวโพดคั่วแตก เห็นโลกที่มีแต่การแบ่งปันไม่ขี้เหนียวไม่หวงแหน มีน้อยก็แบ่งปันมีมากก็แบ่งปัน ไม่ใช่ว่าเอาแต่กอบโกยใส่ตัวเองให้ได้มากๆ คนที่ฉลาดที่สุดคือตัวเองไม่สะสม อปจยะ ไม่สะสม วิริยารัมภะ ยอดขยันเสร็จแล้วทำงานสร้างสรรค์แล้วไม่สะสม เกื้อกูล ไม่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีกินมีใช้ เพราะเชื่อว่าตัวเองมีคงคลัง คืออะไร คือสมรรถนะกับความขยัน เพราะฉะนั้นเรามีสมรรถนะกับความขยันในตัวเราทำด้วยไม้ด้วยมือ คนอ้างว่าไม่มีที่ทำกิน จะทำได้ไง ขยันก็ตามแต่ไม่มีที่ดิน ที่จริงแล้วอยู่ที่ไหนก็ได้ดินที่ไหนเป็นสาธารณะก็ใส่กระถางทำคอนโดขึ้นมา มีเสาเดียวห้อยก็ได้ แต่บ้านคุณมีตั้ง 4 เสาก็ห้อยไว้เต็มไปหมด ปลูกไปก็กี่คอนโด 10 Condo ห้อย 4 ทิศ ปลูกผักสารพัดแต่ละกระถางรดน้ำกระถางบนลงกระถางล่างเสร็จ ลดเวลาเยอะเลย เก็บกินไปตลอดทั้งวัน เมื่อเก็บอันนี้เสร็จก็ปลูกใหม่ก็กินสลับกันไปหมุนเวียนไปมา ไม่เห็นจะจนแต้มตรงไหนเลยอาตมามอง บางคนบอกไม่มีที่ทำกิน อย่างนั้นเป็นความรู้ที่โง่ อาตมาพูดไปจะเห็นได้ว่าทำได้ไม่เห็นจะจนแต้มตรงไหน มันมีอะไรนิดๆหน่อยๆ คุณต้องมีบ้านอยู่ไม่มีบ้านตัวเองก็เป็นบ้านเช่ารับรองปลูกได้ไม่เกี่ยงหรอก เอาเม็ดยัดริมกำแพงบ้านยังขึ้นเลย
นิมนต์จิบน้ำ
สู่แดนธรรม…ผมปฏิบัติธรรมกับพ่อท่านมาก็นึกเสมอว่าอยากจะเห็นวันที่มีการให้การแบ่งปันกันเต็มไปหมดอย่างนี้ครับ
พ่อครูว่า…ตอนนี้เมืองไทยมีแฟชั่นตู้ปันสุขเต็มไปทั่วประเทศ
_ฐิติ ยากร : ดีจังค่ะพึ่งมีโอกาสได้เข้ามาดูชอบมากๆๆค่ะ อยากไปเที่ยวอยุ่ที่ไหนค่ะ
_Nittaya Sripalakit นิตยา ศรีพาลกิต (ดูคลิปพ่อครูพูดถึงนกพิราบ)…..ใช้น้ำส้มควันไม้ หรือ น้ำส้มสายชู (ที่ญี่ปุ่นใช้) ใส่กระบอกแขวนสูง หลายจุดนะคะ ไม่มาเลย เติมทุกครึ่งปี
_Dhammawat Noimor ธรรมวัฒน์ น้อยมอ…สาธุ นมัสการพ่อครูใหญ่ มีแบ่งปันกันฟรีด้วย เข้าบรรยากาศ ตู้ปันสุข…เยี่ยม
_Tiger 0905 ไทเกอร์ 0905… 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา …กองกุศลที่แท้จริงคือ สติปัฏฐาน 4 หรืออานาปานสติ กองอกุศลที่แท้จริงคือ นิวรณ์ 5 สาธุครับ
_Sarai Wongkaew • สาหร่าย วงค์แก้ว…ขอบคุณค่ะ ตัวอย่างที่ดีที่สุดในโลกและในจักรวาลในการพึ่งตนเองและการดำรงชีวิตที่เอื้อกันทั้งคนและสัตว์
_พริกเชื่อม • กราบพ่อครูช่วยขยายความที่ว่า อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก ประโยชน์ตนเป็นที่ 1 ประโยชน์ท่านเป็นที่ 2
พ่อครูว่า…สรุปความว่า อย่าพร่าประโยชน์ตนเองแม้น้อย แล้วก็ไปอ้างว่าเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นแม้มาก อย่าทำต้องเห็นแก่ประโยชน์ตัวเองด้วย ประโยชน์ตอนนี้สำคัญ อย่ามาอ้างว่าเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แม้จะมีมากก็อย่ามาอ้าง ต้องสำคัญที่ประโยชน์ตนเองเสียก่อน อาตมาก็เคยพูดเรื่องนี้ว่า ประโยชน์ตนเองยังไม่มี ประโยชน์ตนเองยังทำไม่ได้ แล้วจะไปช่วยผู้อื่น คุณจะเอาอะไรจากที่ตัวเองยังไม่มี เอาหยาบๆง่ายๆ แหม่ อยากช่วยคนนี้จังเลยที่เขาจน แต่คุณยังไม่มีทรัพย์เลย คุณต้องไปหาทรัพย์ให้ตัวเองมากพอจึงจะไปช่วยคนอื่นได้ คุณจะไปกู้หนี้ยืมสินไปช่วยผู้อื่นหรือ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนั้น อธิบายขยายความอย่างนั้น
คนที่ได้ประโยชน์ตนเองนั้นคือคนที่ทำให้กิเลสตัวเองลด ไม่ได้หมายความตื้นประโยชน์ตนอย่างทั่วไป ที่เป็นวัตถุ ไม่ใช่อย่างนั้น ประโยชน์ตนคือกิเลสลด ต้องทำกิเลสตนเองให้หมดไปซะก่อนถึงจะช่วยคนอื่น พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ตั้งตนอยู่ในคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง
หมายความว่าตัวเองจะต้องมีหลักตั้งต้นอันสมควรก่อน ตัวเองจะต้องมีหลัก จะต้องเป็นผู้ที่มีฐานะ เป็นผู้ที่มีที่ยืน ที่ยืนที่ดีก็คือความจริง ความจริงที่ตัวเองจะสอนเขาว่าให้ลดกิเลส แล้วตัวเองนี้ลดได้บ้างหรือยัง ตนเองยังลดไม่ได้เลยจะสอนคนอื่น แจ้วๆ คนอย่างนี้ก็มีอยู่ เต็มไปหมดแหละ โดยที่ไม่รู้ความจริง
อย่างอาตมาพูดได้เต็มปากว่าทำประโยชน์ตนเองได้จบแล้ว จึงเอามาสอนคนอื่น แต่เดี๋ยวนี้คนไม่เชื่อเพราะว่าคนพูดแบบเอาเล่ห์เหลี่ยมมาพูดเป็นเรื่องไม่จริง จนเมื่อพระอรหันต์จริงมาบอกเขาก็ไม่เชื่อ เขาเชื่อว่าอรหันต์จริงต้องไม่บอก มันน่าสงสารจริงๆ แล้วสุดท้าย อรหันต์จริง ต้องมาบอกว่า อย่างนั้นเป็นอรหันต์เดาอรหันต์หลอก แล้วก็เปิดโปงอรหันต์เดาอีก ดีที่มีคำสอนในพระไตรปิฎกมารองรับอาตมาจึงค่อยยังชั่ว พูดถึงเรื่องอรหันต์เดา อรหันต์จริงได้
มาเข้าประเด็นเรื่องของอรหันต์จริงอรหันต์เดา
เราจะรู้ได้อย่างไรเรื่องอรหันต์จริงอรหันต์เดา เราจะต้องรู้ด้วย 1 ต้องอยู่ดูกันอย่างใช้เวลานาน อันนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัส เราจะรู้กันได้ด้วยการอยู่ร่วมกันเป็นเวลานาน แล้วเราก็จะรู้จะเห็นความจริง ถ้าผู้ที่มีความจริงว่า กิเลสไม่มีความโกรธความโลภความหลง ผู้นี้ก็จะแสดงออกทางกายทางวาจาออกมาให้เห็น แม้ว่าผู้นี้จะ กดข่มเก่ง กดข่มก็จะต้องมีเวลาที่เผลอละเมิดออกมาจนได้ก็จะมีช่วงเวลาที่จะรู้กันได้ ว่ายังไม่จริง ยังละเมิด
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่บรรลุแล้ว สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายอยู่เหนือมันแล้ว แล้วก็อยู่เหนือมันโดยชนิดที่เรียกว่า เหมือนกับผู้นั้นร่วมอนุโลมปฏิโลมกับคนอื่นเขา คนนั้นเขามีกิเลสระดับนั้นกิเลสระดับนี้ ก็ผสมไปกับเขาได้ก็ขัดแย้งกับเขาได้บ้าง ให้สติเขา ให้แง่คิด ให้อะไรที่จะเป็นประเด็นที่จะให้เขาสะดุดรู้ตัว ดีไม่ดีบอกตรงๆหนักๆ แต่ก็ร่วมกับเขา
ไม่รู้จะทำยังไงอาตมาเกิดมาในยุคนี้ต้องพูดความจริง คือมันยุคนี้เขาไม่มีความรู้ของโลกุตระมีแต่ความรู้โลกียะ อาตมาก็จำเป็นที่จะต้องมาพูดมาบอก มันก็เลยเป็นความข่ม เหมือนอาตมารู้อยู่คนเดียว ดูสิเขามีครูบาอาจารย์มาเป็นร้อยปีเชื่อถือกันมารับช่วงกันมา แล้วก็โพธิรักษ์เป็นใครหัวเดียวกระเทียมลีบ สำนักของตัวเองก็ไม่มี ครูบาอาจารย์ของตัวเองก็ไม่มี โผล่มาไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง แล้วก็มาพูดอยู่คนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบ ใครเขาจะไปเชื่อถือ ดีมากที่อาตมามีพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานยืนยันอ้างอิงมาจึงรอดตัวได้ ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาไม่รอด
นัยของพระไตรปิฎกที่เขาแปลกันไม่ออกมาก็เลยต้องมาแปลซ้ำซ้อน มันก็เลยไปหักล้างที่เขายึดถือกันมามีความเจริญได้หลายชั้นมันก็เลยย้อนแย้งกับเขาไปใหญ่ ความรู้สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน อาตมาใช้ ปฏินิสสัคคานุปัสสี หรือคัมภีราวภาโส เหมือนก้นหอย วนเวียนซ้ายขวา แต่มันมีชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เขาก็บอกว่าอาตมาพูดแค่ซ้ายกับขวาเพราะเขามีความรู้แค่ระนาบเดียวชั้นเดียว เมื่ออาตมาพูดซ้ายขวาแล้วก็มาซ้ายขวาอีกเขาก็เข้าใจไม่ได้ หาว่าพูดไม่ตรงกับเขาแล้ววนเวียน ก็เลยยิ่งหน้ามืดเลย
เช่น บาป กับบุญ พอคุณมีบาปก็ต้องมีบุญ ก็บอกว่าไม่มีบุญแล้วก็ต้องไปมีบาปวนเวียนอยู่แค่นี้ เลยไม่รู้ว่าคำว่าบุญนี้ไม่มีที่จะไปบาปอีก บุญมีหน้าที่ข้าบาปอย่างเดียวแล้วก็จบหมดเรื่อง บุญจะไม่วนไปมีบาปอีกเลยบุญเป็น one way Traffic มีเดินหน้า หน้าที่เดียวทำงานฆ่ากิเลสท่าเดียวแล้วไม่เหลือเชื้อไม่เหลือเศษอะไรอยู่อีกเลยทำหน้าที่นั้นเสร็จแล้วก็หายไปเลย ผู้ที่ไม่รู้ความจริงอันนี้ก็เลยแปลคำว่าบุญด้วยความรู้ของเขา ว่าบุญคือความหมายของสภาวะโลกียะเทว มีสอง แท้จริงแล้วบุญมีเพียงภาวะ 1 ทำหน้าที่เสร็จแล้วหายไปเลยศูนย์ บุญเกิดในปัจจุบัน บุญเป็นพลังงานที่ผู้ที่สามารถนำพลังงานจิตให้เป็นพลังงาน ฌาน
ฌาน เป็นพลังงานที่ทำลายกิเลสเลยอยู่ในจรณะ 15 เมื่อทำลายกิเลสได้กิเลสก็ลดไปตามลำดับ จนหมดสิ้นอาสวะ พอหมดสิ้นอาสวะก็เป็นจิตสะอาด ฟังให้ดีนะ ตรงนี้ตามให้ดี
จิตที่จะเป็นจิตสมาธิของศาสนาพุทธนั้นคือจิตสะอาด จิตที่พ้นฌาน 4 ผ่านอุเบกขามีปริสุทธา มีการกระทบแล้วก็สะอาด ปริโยทาตา มีมุทุ กัมมัญญา ยิ่งมีกายปาคุญญตา มีเวทนา สัญญา สังขาร ยิ่งคล่องแคล่วว่องไวมากขึ้นๆ จึงเป็น กัมมัญญา หรือกัมมัญญตาก็ยิ่งเก่ง สรุปแล้วความสะอาดที่รวม ยิ่งสะอาดซ้ำซ้อน ยิ่งสะอาดมากๆ เรียกว่าประภัสสร
ปริสุทธา ปริยโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสราเป็นคุณสมบัติ 5 ของอุเบกขา เพราะฉะนั้นสมาธิสะอาดนั้นจิตสะอาดจึงจะมาสั่งสม จิตสะอาดแล้วค่อยๆสั่งสม จิตที่จะมาสั่งสมเป็นจิตของผู้ใด คือจิตที่ได้กำจัดกิเลสสะอาด ล้างอาสวะออกแล้วนะ ในวิชชา 8 ต้องมีอาสวักขยญาณ ล้างออกให้สะอาดและสั่งสมเป็นสมาหิโต เป็นจิตตั้งมั่นแล้ว จิตสมาธิของพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องตื้นแค่เดียรถีย์ นั่งหลับตาสะกดจิตแล้วบอกว่า จิตว่าง จิตนิ่ง ว่างแบบเคหสิตเวทนา ว่างแบบโลกียะ แบบโลกๆ
จะรู้ว่ากระทบด้วยทางตาหูจมูกลิ้นกายในทวารทั้ง 5 มีทวารทั้ง 6 มี แล้วก็เกิดความสุขความทุกข์ ทำให้เกิดความไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอุเบกขาหรือ อทุกขสมุข
แบบสะกดจิตไว้แบบลืมไม่ให้มันมีอาการแบบกดข่ม ไม่ได้เรียนรู้เหตุไม่ได้ สัพเพธัมมาทุกขา สัพเพธัมมาอนิจจา ไม่ได้เรียนรู้แบบนี้เลย ก็ต้องทำด้วยปัญญา จะรู้สัจจะความจริงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละคือพระอรหันต์ คือผู้รู้จริงๆเห็นจริงๆเลยว่า สังขารทั้งหลายเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นสังขารก็อยู่ในสภาพ 3 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นเหตุแห่งทุกข์ แท้ๆมันอนัตตา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีจิตถึงอนัตตาจะรู้จักอัตตา แล้วได้เรียนรู้อัตตาที่จิตตนเองแล้วล้าง อัตตา 3 โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา เหลืออรูปอัตตาก็ล้างจนสิ้น แม่จะไม่มีอัตตาแล้วก็ยังอาศัยอัตตา เป็นสิริมหามายา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าในโลกนี้ก็ต้องใช้ความมีและไม่มีนี่แหละในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ก็ต้องใช้คำว่ามีและไม่มีนี่แหละ คือโลกสมุทัย กับ โลกนิโรธ
ผู้ที่มีนิโรธได้แล้วดับกิเลสไม่มีกิเลสแล้ว แต่ผู้นั้นก็ยังมีตัวเองอาศัย เป็นผู้ที่ไม่มีแล้วกิเลสไม่เกิดอีกเด็ดขาด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นอย่างนั้นเองตถตาเลยคุณถึงจะรู้ความจริงได้ ตถตามันเป็นเช่นนี้เอง ผู้ที่มีความรู้เองเป็นเองอย่างนี้เอง เป็นความจริงแบบนี้ซึ่งผู้นี้จะไม่เชื่อใครแม้แต่พระพุทธเจ้า แต่เชื่อที่ตัวเองเป็นของตัวเองได้แล้ว สุดยอด
อาตมาอธิบายธรรมะที่พูดขยายความนี้อาตมาอธิบายจากสภาวะที่อาตมามี แล้วดีมากที่เมื่ออาตมาอธิบายไปแล้วในพระไตรปิฎกก็มีด้วย บางคนก็เห็นกับตาว่าพระไตรปิฎกมีแล้วก็เอามาขยายความได้ อาตมาเห็นแล้วก็รู้สภาวะได้เลย บางอย่างอาตมาก็มีสภาวะก่อนแต่ยังไม่เห็นในพระไตรปิฎก ไม่เจอรหัส เจอก็ยิ่งสบายใจและพยายามจำเอาพระไตรปิฎกเล่มนี้อันนี้มา
คำว่า เชื่อ คำไทยว่า โดยไม่ต้องเชื่อใคร? เป็นการเชื่อที่ได้เห็นจริงด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเชื่อใคร นปจยา อะไร?
อาตมามาชาตินี้หัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆ
_สู่แดนธรรม…
รู้ธรรมแล้วไม่ต้องเชื่อใครอีก พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง
เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ
พ่อครูว่า..พูดไปแล้วก็ถึงจุดของ ปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ารู้ยิ่งด้วยตนเองแล้วไม่ต้องเชื่อใครเชื่อความจริงอันนี้มันชัดเจน ที่จริงก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าค้นพบก่อน แต่ตอนนี้พระพุทธเจ้าก็พระพุทธเจ้าเถอะ ตรงกันก็ไม่มีปัญหาเลยมันตรงกัน มันไม่ต้องเชื่อใครอีกแล้วมันจบในตัวของมันเอง แล้วท่านก็ตรัสต่อมาอีก อธิบายความไปถึง
อาตมาก็มีพุทธวิสัยตามขนาดโพธิสัตว์ อจินไตยมี 4
-
พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
-
ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน .
-
วิบากแห่งกรรม
-
ความคิดเรื่องโลก (จักรวาล เอกภพ)