630520_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฝึกฝนจรณะ 15 ต้องมาสัมผัสกับของจริง
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ohuSmbxjatf9xWLuuqxOkS6f-Ws9j710QsngrpGdwM4/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1iO6PWX6Xa8D7R0IgNwciv3sEH5z6wRh8
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก เราอยู่ในยุคโควิด การเป็นอยู่แบบไหนที่ไม่เดือดร้อนที่สุด ผาสุกที่สุด ก็ต้องหันมาหาระบบบุญนิยมกัน เดี๋ยวนี้คนมีการช่วยเหลือกันมากขึ้น คนที่โง่คือคนไม่รู้จักแบ่งปัน คนที่ฉลาดสูงสุดคือคนที่ไม่สะสมอะไรเลยและแบ่งปันให้เต็มที่ พ่อครูเป็นผู้ให้ได้หมดทุกอย่าง เราก็ต้องเรียนรู้ต่อไปว่าให้ได้ขนาดไหน
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 18 พ.ค. 2563 (เอื้อไออุ่น : พ่อครู)
_Jaiklan Navabooniyom ใจกลั่น • เศรษฐกิจบุญนิยมเป็นเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เป็นเศรษฐกิจที่ทุนนิยมไม่เข้าใจ การไม่สะสมความรวยเป็นความสุขของคนบุญนิยม
พ่อครูว่า…สิ่งอย่างนี้มันเป็นจริง ผู้ที่เข้าถึง ที่เข้าถึงบรรลุธรรม อาตมากล่าวมานี้ เป็นสภาวะที่คนมีความรู้สึก การเป็นคนไม่ต้องสะสมอะไรเลย อปจยะ ความรวยเราก็เข้าใจ ว่ามันคืออะไร คนสะสมมีอะไรเป็นของตนเองมากก็รวย เราก็อยู่อย่างไม่รวยเลย แต่ต้องอยู่ในระบบ ระบบนั้นต้องมีกลุ่มหมู่ มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี อยู่กันอย่างสาธารณโภคีจริงๆ
ถ้ามีสาธารณโภคีและมีหมู่กลุ่มมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีพร้อมจริงๆแล้ว คนที่มี ความจริงที่เราก็นึกถึงจิตวิญญาณแล้วไม่มีตัวมีตนแล้วไม่มีของตัวของตนแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็นการหยั่งรู้สภาวะนี้เรื่องนี้มันรู้จริงๆของเราเองโดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย เคยเชื่อพระพุทธเจ้ามาตอนนี้ไม่ต้องเชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าเพราะมันเชื่อเพราะว่าเราเป็นเองอยู่มันเป็นคำตอบของตัวเองที่สุดแล้ว จบแล้ว ไม่มีใครจะมาตอบเราอีกแล้ว มันรู้สุด รู้จบ รู้แจ้ง รู้จริง
คนจะรู้ความจริงอย่างที่ว่านี้เป็นความรู้เกิดในจิตใจของเราเองจริงๆจึงเป็นผู้ที่ชื่อว่าบรรลุธรรมแท้ๆของพระพุทธเจ้าจริงๆ
นอกจากจะใช้เศรษฐกิจบุญนิยมแล้ว เศรษฐกิจที่ถึงขั้นสาธารณโภคีจบเลย แต่ต้องไม่กดข่มนะ หากกดข่มเสแสร้งก็ไม่จริง พยายามกดข่มไว้แต่จิตไม่เกิดญาณปัญญา ไม่รู้ความสูญที่แท้จริง ที่เราได้ลดละหมดกิเลสหมดอาสวะ มันไม่มีจริง ก็ไม่ได้
ความจริงที่พูดโดยภาษานี้ พวกเราทุกคน ก็พยายามเข้าใจให้ถึงสภาวะจริงให้ได้ แล้วเราก็ดูของเรานี่แหละ ของคนอื่นดูไม่ชัดเท่าของเราเองหรอก หากเรามีแล้ว เราก็มั่นใจในหมู่ เราเป็นอย่างนี้หมู่ก็เป็นอย่างนี้ มันจะรู้กันและมั่นใจในกันและกัน นี่คือความจริงอันนี้อาตมามั่นใจแล้วก็เห็นว่าเมื่อมีความจริงนี้เกิดแล้วก็จบ
อาตมามั่นใจว่าจบ เห็นหน้าสลอน ใครอยากจะมาหลอกอาตมาก็หลอกไปเลย แต่ถ้าคุณไม่ใช่หลอก คุณจริงก็อยู่จนเผาไป เราก็เผาไปหลายคนแล้ว ไม่มีปัญหา
แม้แต่เราไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่ในชุมชนชาวอโศกไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ไปตายในชุมชนไหนก็ไม่มีปัญหา หมดสงสัย ตายไปแล้วดีไม่ดี ตายแล้วยิ้ม ตายแล้วยิ้ม พยายามทำอย่างนั้นให้ได้ เป็นเอกลักษณ์ของเราไง ส่วนใหญ่แล้วจะยิ้มนะ
_สิทธิพล พิมเขต • ทำดีทำไม่ยาก แต่การรักษาดี ทำไมยากจัง
พ่อครูว่า…ทำดีฉาบฉวยไม่ยาก แต่เดี๋ยวก็กลับไปสู่ความจริง แต่คนที่พยายามทำดีต่อไปนั้นยาก อาตมาถึงบอกว่า มาทำเป็นดัดจริตดี อาตมาว่าดัดไปเถอะ ดัดอย่าให้ขาดวินาทีเลย ดัดให้ดี ตลอดจนตาย แต่แล้วก็เกิดมา ดัดต่ออีก จำไว้ ก็จะมีปัญหาอะไร จริงๆแล้วมันดีไหมล่ะ ดัดจริตอย่างนี้ มันสุจริตจริงๆ ทำไปสิ มันแปลกอะไร ก็ต้องพยายามรักษา อนุรักขณาปธาน รักษาผลสั่งสมอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง เกิดปัญญา
สัญญาจะเป็นตัวตัดสิน มันดี ดีถาวรเลย ดีอย่างนี้แม้เผลอตัวไม่เผลอตัวก็ดี เป็นอัตโนมัติ ใครจะมาเปลี่ยนแปลงไม่ให้ดีมันก็ไม่ไป คนอื่นจะมีแรงกระแทกอะไรให้เปลี่ยนแปลงจากดี ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
_Varunee K วารุณี : คนไทยในอเมริกาก็มีแบ่งปันค่ะ ชมรมสมาคมต่างแจกข้าวสาร ร้านอาหารไทยสลับกันแจกข้าวกล่อง คนไทยอื่นๆก็มีแจกข้าวกล่องตามบ้าน และทำหน้ากากแจกค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ดีนะ แต่เขาบอกว่าคนไทยทำ
_Sapsiri Suwansuk ทรัพย์สิริ : การอยู่กับปัจจุบัน คือจิตเราตั้งมั่นอยู่ในศีลทุกขณะใช่ไหมครับ ไม่เกี่ยวกับการวางแผนในการดำรงชีวิตในอนาคตเช่น วางแผนการเพาะปลูก ป้องกันภัยภัยธรรมชาติในอนาคต
พ่อครูว่า…ใช่ด้วย จนศีลนั้นบรรลุผล ข้อนั้นๆ อย่างนั้นแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นทุกปัจจุบัน เป็นผลที่บรรลุอยู่นั้นทุกปัจจุบัน
เกี่ยวกับการวางแผนชีวิต ศีลคือหลักเกณฑ์ที่คุณรู้แล้วก็ทำให้เป็นปกติเลย ทุกขณะ จะบอกว่าไม่รู้พิมพ์เขียวแบบแผน ไม่ใช่ มันก็มีแบบแผน พระพุทธเจ้าท่านวางแผนไว้หมดแล้ว เป็นแผนซึ่งสรุป ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขา ขยายผลไปเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 หรือขยายพิสดารไปอีกเยอะแยะก็ได้ทั้งนั้น ก็เลยบอกว่าไม่วางแผน
อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นคนไม่มีแผน ไม่มีโปรเจค ไม่มีโครงสร้างอะไรต่อไปเลย มันก็เป็นอัตโนมัติตามลำดับที่อาตมาทำงานเท่านั้นเอง อาตมาก็มีแผนมาก่อนเรียนศีลสมาธิปัญญาเป็นแผนผัง อาตมาทำงานโดยรู้องค์รวม ระดับ ต้น กลาง ปลาย โดยการรู้องค์รวมที่เป็นสภาวธรรม ที่ครบกระบวนการ เป็นความรู้ที่รู้รอบ มีในตัวอัตโนมัติ ก็เลยไม่ต้องไปวางโครงสร้าง คุณถามมา จะวางแผนก็วาง แต่พอเวลาเต็มที่ก็ต้องวางใจ
SMS วันที่ 19 พ.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ สมณะ สิกขมาตุ)
_Suanlomphai Gaywee สวนลมไพร • รับชมที่กรุงเทพฯภาพและเสียงชัดเจนค่ะ ที่บ้านกำลังปลูกผักสวนครัวหลายชนิดค่ะประหยัดเงินได้เยอะค่ะ
พ่อครูว่า…ดี..อาตมาขยายความคำว่าผักสวนครัว คือผักที่เอาไปทำอาหารเป็นประจำใครชอบอะไรก็ปลูกไปกิน จะทำผักคอนโดก็ได้ ปลูกสูงขนาดไหนก็ประมาณดู รดน้ำข้างบนก็ไปถึงข้างล่าง ประหยัดด้วย แล้วมันก็ดูดเอาไว้ตามดิน คือประหยัดที่สุดแล้วประหยัดมาก ทำที่ชายคาบ้าน ชายคาละ 10แถว ก็ปลูกผักคอนโด จะสวยด้วยนะ ทำรอบๆบ้าน อยู่ชั้นบนแล้วก็ฉีดน้ำให้ชั้นบนสบาย อาตมาว่าความคิดนี้น่าทำนะ ใครทำแล้วเอามาโชว์ได้
_พิศมัย ชำนาญคิด • อาหารเป็นหนึ่งในโลก สาธุค่ะ ส่วนศิลปะในการกิน โยมจะฝึกการกินที่ไม่ผลักไม่ดูดนะคะ กินที่เป็นกลางๆ กราบนมัสการค่ะ ขอบคุณค่ะ
พ่อครูว่า…คำว่าอาหารเป็นที่หนึ่งในโลกจะรู้จักกันลึกซึ้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อาหารมี กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหารก็สัมพันธ์กัน แต่อาหารเป็นคำข้าวที่กินกันนี่แหละเป็นหนึ่งในโลก ธนบัตรก็สู้ไม่ได้ น้ำมันราคาแพงก็สู้ไม่ได้ อาวุธราคาแพงก็สู้ไม่ได้แล้วตอนนี้ สู้อาหารไม่ได้ ถามพวกคนอเมริกัน ตอนนี้ซาบซึ้งแล้ว เขาเก่งอาวุธ มีน้ำมันเยอะด้วย เขารู้แล้วตอนนี้น้ำมันสู้อาหารไม่ได้ ดีไม่ดีธนบัตรก็สู้อาหารจริงๆไม่ได้ ยิ่งธนบัตรอเมริกาด้วย อาตมาไม่ได้แช่งเขานะ เงินดอลลาร์นี่แหละดูๆไป กำลังจะลดอำนาจเมื่อไหร่อย่างไร
สู่แดนธรรม…ตอนนี้มี 5 ประเทศจับมือกันไม่ใช้เงินดอลฯ มี บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้
พ่อครูว่า…มันต้องหัดอ่านความรู้สึก เวทนา แล้วก็อ่านอาการ ดูด อาการชอบ ผลักไม่ชอบ ใช้พยัญชนะผลักกับดูด อาการจริงๆเป็นอย่างไร เรามีชอบไม่ชอบ ผลักหรือดูด อ่านจริงๆ เวทนาของเรามีความรู้สึก ผลักหรือดูด ชอบหรือไม่ชอบ อาหารจะมีสัมผัสจริง อ่านความจริงได้ นี่คือการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าโภชเนมัตตัญญุตา ถ้าคุณอาการจิตเจตสิกตัวนี้ออกแล้วจับอาการได้ จัดการทำใจในใจของคุณได้และมีผลสำเร็จ นี่คือตัวหัวใจแท้ๆของการปฏิบัติ ศึกษาไปแล้วเราจะหมดทุกข์หมดสุข หมดความทุกข์หมดความสุขนี่แหละคือนิพพานของพระพุทธเจ้า จากอาหารก็จะเกิดปัญญาเกิดความเข้าใจว่าอันอื่นมันง่ายกว่านะ ผลักดูดเรื่องเงินทอง เพชรนิลจินดาอะไรต่างๆวัตถุสมบัติ ข้าวของต่างๆ มันรู้ง่ายกว่าติดอาหารรสอาหารนะ ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วจะเข้าใจอย่างอื่นได้ง่าย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_บ้านเหล่า เวียงเชียงรุ้ง : เพราะเงินตัวเดียวทำให้พี่น้องตัดขาดกันได้ เงินก็ทำให้ขาดการสามัคคี ขาดความรัก
พ่อครูว่า…หากเห็นเงินสำคัญกว่าความเป็นพี่น้องเพื่อนฝูงกันอยู่รวมกัน ก็ใช่แน่นอนเลย ต้องเห็นให้จริงว่า จิตวิญญาณในเรื่องของความสมานสามัคคีความร่วมมืออนุโลมปฏิโลม มีความปรารถนาดีต่อกัน มันเป็นคุณธรรม ของจิตวิญญาณที่สูงส่งที่จะต้องเข้าใจให้ได้ เรื่องเงินเรื่องทองนั้นขี้ผง เราก็ศึกษามีความขยันมีสมรรถนะต่างคนต่างทำงานสร้างสรรปัจจัยจำเป็นต่อชีวิตอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์มีกินมีใช้ มีเหลือเฟือแจกจ่ายคนอื่นไปอีกด้วย ก็คนอื่นก็ต้องกินต้องใช้ ไม่ว่าใครทั้งนั้น จะอยู่ที่เอสกิโม จะอยู่ประเทศขั้วโลกใต้ แต่พวกเราอยู่ในโซนกลางๆนั้นสุดยอดแล้ว
_Ji Loh จีโล๊ะ ม.ฟ.น. : ผมมุสลิม ผมติดตามพ่อท่านโพธิรักษ์และท่านจันทร์ตลอดครับผม ได้ความรู้มาก
_กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพ…อนุสนธิจากรายการ’วิถีอารยธรรม’เมื่อวันที่17พ.ค.ศกนี้ พ่อครูอ่านคอลัมน์’กวนน้ำให้ใส’โดย’สารส้ม’ค้างไว้..ดิฉันขอโอกาสสรุปความถวายดังนี้ค่ะ…..”ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์เศรษฐกิจCLMV(กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียตนาม)โดยใช้ข้อมูลจากรายได้ธุรกิจการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นตัวชี้วัด เป็นการพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ จึง ทำให้เศรษฐกิจหดตัวมาก’..นี่คือการวิเคราะห์เศรษฐกิจแบบทุนนิยม..กราบนิมนต์พ่อครูกรุณาวิเคราะห์เศรษฐกิจหลังปรากฏการณ์โควิด19…..ตามแนวทางเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธได้เลยค่ะ..กราบมาด้วยศรัทธาและเคารพอย่างสูง..หายโง่ (สิริมา ศรสุวรรณ)
พ่อครูว่า…รายได้จากการส่งออกคือเอาสินค้าของเราไปขายแล้วได้รายได้มา อาตมาว่าไม่ต้องไปยินดีกับอันนี้ มันไม่เก่ง นอกจากไม่เก่งแล้ว คิดรายได้ของเราจากการส่งออกแล้วไปคิดราคาแพงขูดรีด แล้วได้มา นับว่าเป็นGDP อาตมาชี้หน้าว่าขี้โม้ มันไม่เป็นdomestic ที่เป็นภายใน แต่เอารายได้จากภายนอกมาเป็น Gross รวม ถ้าชัดๆแล้วรายได้ภายในคือ ผลผลิตแล้วตีราคา ถ้ามันได้มากมันเจริญนั่นคือ GDP มีทั้งคุณภาพของผลผลิตและปริมาณของผลผลิตนั่นคือความเจริญของ GDP สามารถแปรสภาพไปเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนไปเอามาก็ไปตีราคาเงินจากที่โกงเขามามันก็ผิดสภาพแล้ว ตัวจริงคือผลผลิตแต่ก็นับเอาเป็น Gross นับเปลี่ยนตัวเลขเงินแล้วนะเป็น GDP มันไม่ใช่สาระแท้
ถ้าจริงๆแล้วDomestic ของคุณแท้ๆ แล้วเจริญ มีปริมาณและคุณภาพดีก็ขายให้คนอื่นอย่างขาดทุนขาดทุนได้มากเท่าไหร่คุณยิ่งเจริญมากขึ้นเท่านั้น ให้เขาไปได้ฟรียิ่งเจริญ เจริญโภคภัณฑ์ เจริญกว่า สิริวัฒนภักดี นี่คือความเจริญที่แท้จริง เมื่อไหร่นักเศรษฐศาสตร์จะเข้าใจชัดเจน แล้วพยายามให้คนไทยเราเป็นอย่างนี้ให้ได้ อาตมาว่าคนไทยจะเป็นได้ คนไทยมีนิสัยมีปัญญา มีความลึกซึ้งซาบซึ้งในคุณค่าและคุณธรรมอันนี้ พากเพียรไปและเป็นตัวอย่างของโลก ในโลกต้องเดินตามรอยอันนี้แหละ
คนเรามีความรู้ความขยันหมั่นเพียร คำว่าความรู้คือรู้อะไรดีอะไรควรแล้วหรือว่าทำอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะเกิดผลตามที่เราต้องการ ที่เรารู้องค์ประกอบ แล้วเราก็ทำพลาดเพียงทำตามความรู้นั้น มันคือทรัพย์ อาตมาได้อธิบายว่ามันคือทรัพย์ในตัวคนที่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ใครก็ปล้นเอาไปไม่ได้ นี่เป็นสุดยอดแห่งทรัพย์ นี่เป็นทรัพย์แท้ๆของมวลมนุษยชาติ
ชาวอโศกที่มารวมกัน เรามีผลผลิตตามแรงงานที่เราสร้าง เราก็ไม่ได้ยึดถือเป็นของตัวของเรา มันจึงเป็นการสะสมผลผลิตที่สมบูรณ์แบบ ทำงานแล้วเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำงานเอาเข้าส่วนรวมทั้งหมด แล้วเราก็มีหลักเกณฑ์ในการมีชีวิต มักน้อยสันโดษ ขัดเกลากิเลส จนกลายเป็นคนรู้เหตุปัจจัยของชีวิตที่สำคัญ ไอ้ที่สุรุ่ยสุร่ายสงสัยก็ลดลง จนกระทั่งเอาเฉพาะเหตุปัจจัยสำคัญสำหรับสรีระร่างชีวิต แต่ปัญหาน้อย แต่ความลดลงมาหาปัจจัยที่น้อยและพอ สุดท้ายอาศัยเสื้อผ้าหน้าแพรไม่กี่ชิ้น อาศัยที่อยู่อาศัยเล็กน้อย อาศัยอาหารวันละมื้อ อาศัยยารักษาโรคหรือมีบริการประกอบ มีอุปกรณ์ที่จะใช้ อาจจะไปถึงขั้นคอมพิวเตอร์ เป็นบริขารก็เอา ทำงานเพื่อผู้อื่นไม่มีอะไรหรอก จะมีคอมพิวเตอร์หรือจอพวกนี้ไว้สำหรับขายออนไลน์ ไม่ใช่ เราไม่ได้เอามาเป็นเครื่องมือหาเงิน มาใช้เพื่อจะทำงานเพื่อมีอะไรบันทึกคิดอ่านเผยแพร่ ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นซับซ้อนอีก ผู้ที่มีความรู้มีปัญญาทำได้จริงตามทฤษฎีที่เขาพยายามทำ
สรุปแล้วพระพุทธเจ้านี้ ท่านไม่ได้มาแกล้งไม่ได้มาดัดจริตสู่รู้อะไรเลย ท่านศึกษาความจริงจากความเป็นมนุษย์มาไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆชาติ ศึกษาแต่ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่ 1 คน 2 คน 3 คนแต่ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆคน แล้วแต่ละสังคม สังคมต่างๆก็ไม่เหมือนกันทีเดียว ศึกษารายละเอียดต่างๆพวกนี้มาจนไม่รู้กี่ล้านชาติ อาตมาเป็นโพธิสัตว์รู้ดี อาตมาศึกษามาอย่างนั้น อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ศึกษามา
อาตมาไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าแต่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ศึกษามาอย่างนี้ถึงได้รู้อย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ ที่อาตมารู้และเข้าใจจนกระทั่งสามารถพาคนมาเป็นอย่างนี้ มันเป็นไม่ได้ง่ายๆนะไม่ได้หวงแหน ใครจะลอกเลียนเอาอย่าง ใครจะแกล้งทำให้เป็นอย่างที่อาตมาพาทำนี้ไม่ได้รังเกียจเลยเชิญเลย เชิญเลย ไม่ได้หวงแหนไม่เคยรังเกียจรังงอน อยากให้เป็นอยากให้ทำจริงๆ แล้วมันจะยอดเยี่ยมเลยสังคมมนุษย์โลก มันมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อมนุษย์โลก มันเป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เมื่อไหร่ในยุคไหนๆ ก็ดีจริงๆ ใหม่อยู่เสมอไม่เก่าเลย อกาลิโก ไม่ว่าจะยุคไหนก็ไม่เป็นแปลงไม่มีอะไรแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ มันเป็นสัจจะที่ยั่งยืนสูงสุด
เศรษฐกิจที่เราพาทำถึงขั้นสาธารณโภคี แล้วก็มีคนอื่นๆอีกพวกเราก็อยู่ในระดับที่ต่างจากชาวโลกมากตามฐานะแต่ละภูมิของตัวเองแต่ละคน จนกระทั่งถึงชั้นอยู่ข้างนอกแต่ก็สนใจชอบอโศกแต่ยังมาไม่ได้ ยังเขลอะแบกหามอยู่ก็ยอมรับความจริง แต่ก็อย่าไปเหยาะแหยะ ชาติหน้าวิบากตามไปอีก ชาตินี้เจอมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีแล้ว มาอยู่ให้ได้ เรายินดีต้อนรับอยู่เลย ถ้าได้ 777 คนก็ฉลองให้ยิ่งใหญ่เลย ว่าจะทำเหรียญสักอัน คนที่ 777 แต่ก่อนคนสองร้อยคนสามร้อยคนก็ยาก แต่ เดี๋ยวนี้มีอัตราการก้าวหน้าแล้วก็มีคนคอยทีอยู่ จะมาๆ อย่าเอาแต่คอยเลย มาเร็วๆ
_ใจแก้ว..อ่านหนังสือที่พ่อครูเขียนฟังธรรมซ้ำเกิดเจโต ปัญญา ได้อาริยทรัพย์ 7 ปฏิบัติตาม วรรณะ 9 จรณะ 15 วิชชา 8 มีผัสสะและอ่านเวทนา 2 ให้เป็น 1เป็น 0 อ่านเวทนาของเราเพื่อพ้นทุกข์ พ่อท่านสอนสุขทุกข์ตัวเดียวกัน ให้คะแนนตัวเอง 70
ถามพ่อว่าอาริยทรัพย์ 7 วรรณะ 9 จรณะ 15 วิชชา 8 อธิบาย
พ่อครูว่า…ถามมา หากอธิบายหมดเวลาแค่นี้ไม่พอหรอก ก็หมดทั้งพุทธศาสนา อธิบายพอสังเขปก็แล้วกัน
-
ศรัทธา
-
ศีล
-
หิริ (ละลายต่อบาป) .
-
โอตตัปปะ (สะดุ้งกลัวต่อบาป)
-
สุตะ, พาหุสัจจะ (รู้ธรรมที่แทงตลอดได้มาก)
-
จาคะ (การสละ ให้ – บริจาค เอาออก) . .
-
ปัญญา (ธนสูตร พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 6)
ส่วนสัทธรรม 7 ก็มี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา ก็มีนัยต่างกันเล็กน้อยแต่เป็นคุณธรรม 2 อย่างที่เราต้องรู้ให้ครบแล้วทำได้ทั้งสองอย่างไม่ว่าจะเป็นอริยะทรัพย์หรือสัทธรรม 7
ในจรณะ 15 อยู่ในสัทธรรม 7
แต่ก่อนคุณไม่มีความละอายต่อการฆ่าการทำร้ายเลย ไม่หวังดีต่อสัตว์ทั้งปวง แสดงว่าเราเองไม่ได้เป็นผู้มีศีล ไม่มีอธิจิตที่เป็นจิตเจริญ พอรู้ตัวเราเริ่มเข้าใจ สัมผัสกับสัตว์แล้วกระทบ มีจิตเอ็นดูปราณีกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อย่าว่าแต่ฆ่าเลย แม้แต่จะไปต้านกั้นไม่ให้ทำอะไรก็ไม่ทำหากทำดี แต่สัตว์มันเป็นงูจะไปกินเขียดจะไปห้ามอย่างไร จะเอาแตงโมให้งูกิน ไม่ให้กินเขียด เราต้องมีปฏิภาณรู้ว่ามันเป็นวิบากของเขา สิ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจเป็นปฏิภาณปัญญาที่ละเอียดลึกซึ้ง
แม้แต่ที่สุดเราเห็นสัตว์คน เขาทำร้ายกัน บางทีเราก็ทำเป็นไม่เห็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเรารู้ว่าเป็นวิบากเขาต้องฆ่ากันเอง เราอย่าไปร่วม อันนี้เป็นอจินไตยลึกซึ้ง หรือแม้ไม่ลึกซึ้ง แต่ว่าคุณเห็นว่าเขาจะฆ่ากัน แต่เราไปช่วยไม่ได้ก็จะรู้ บางคนรู้ตัวเองว่าช่วยได้ก็จัดการไม่ให้เขาฆ่ากันได้ ออกแรงหน่อยบางทีก็ต้องทำ ก็ช่วยได้ แต่ถ้ามันรู้ตัว ขืนเข้าไปแหยมก็ตาย พวกนั้นก็จะไม่ทำ เราไม่มีสิทธิ์ขัดขวาง ไม่ใช่ว่าเราเห็นแก่ตัวไม่มีน้ำใจ แต่ไม่ใช่ เราประมาณแล้วเราไม่ใช่ฐานะจะไปช่วยเขามันมีความจริงใจว่าเราช่วยได้ แต่เราต้องเจ็บตัวหน่อย เขาก็จะช่วยก็มีน้ำใจหน่อย บางคนมีน้ำใจช่วยเขารอด แต่ตัวเองตาย ก็เป็นน้ำใจอย่างมากไม่ใช่ของเสียนะ แม้จะช่วยเขารอดแต่ตัวเองเสียสละชีวิตตาย เขาไม่ได้เลวลงนะ แต่จะหาน้ำใจอย่างนี้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้วเราไม่ยุแหย่ ประมาณเองตามฐานะ ซึ่งมันมีในโลก คนไม่อยู่ในฐานะนี้ก็ไม่ต้องทำ หากทำแล้วแย่ก็จะไม่ดี
ขอต๊ะไว้บางอัน อย่าบังคับให้อาตมาตอบมากนัก
นิมนต์จิบน้ำ
พ่อครูว่า…อาตมาทำงานมาด้วยจิตตัวนี้ อาตมารู้ว่าเราเกิดมาหัวเดียวกระเทียมลีบไม่เหมือนกับกระแสหลักทั้งหมดเลย กว่าจะบุกบั่นมาได้ถึงขนาดนี้จนกระทั่งเขายอม ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกอาตมาไม่รอด ลูกไม่รอดแน่ๆ แต่มีพระไตรปิฎกลูกถึงรอดมาได้เป็นหลักฐานยืนยัน แล้วก็ดีที่ว่าคนไทยยังยอมรับนับถือพระไตรปิฎกฉบับนี้แหละฉบับสยามรัฐ คนอื่นเขาตะแบงไม่เอาก็แล้วแต่ ต้องขอบคุณผู้รู้ที่แปลมา พยายามไม่ให้ผิดพยัญชนะ รู้บ้างไม่รู้บ้าง ที่ใช้นี่ฉบับหลวง แปลมาถึง พศ. 2500 นี่สมบูรณ์แล้ว เป็นฉบับหลวง ตอนหลังมี ทางมหาจุฬาลงกรณ์กับของมกุฎราชวิทยาลัย มาแข่งกัน
มีหลักฐานจากพระพุทธเจ้าหลายอย่างที่ได้มาจากพระไตรปิฎกถ้าไม่มีพระไตรปิฎกจะไม่รู้เลย มีพยัญชนะที่สัมผัสแล้วเราก็รู้ได้เลยเอามาขยายได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่รู้จะบอกยังไงมันมีในตัวของตัวเอง ยกตัวอย่าง
อธิบายเรื่องสมาธิ ฌาน หรือกาย บุญ ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ขยายอย่างนี้ แต่มีโดยปริยาย ก็เอามาอ้างอิงยืนยัน แม้ไม่ตรงเป๊ะ แต่ก็เอามาอธิบายได้ เข้าได้ แล้วอธิบายให้พวกเราไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง จริงๆแล้วในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ขยายความหมาย เช่นมูลกรรมฐานให้แยกกายแยกจิต หรือไม่ต้องเอาอะไรก็แล้วแต่ ธรรมนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ในพระไตรปิฎกไม่มีด้วยซ้ำไป มีแต่ธรรมะนิยาม ส่วนนิยามทั้ง 5 นี้มีอยู่ในอรรถกถาอาจารย์ เอามาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค อาตมาก็ยอมรับว่า อันนี้ไม่ใช่ของท่านพุทธโฆษาจารย์แต่เป็นของพระพุทธเจ้าขอยืนยัน พออาตมาเห็น อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม มันครบแล้ว แต่ท่านอธิบายไม่เหมือนกับที่อาตมาอธิบายเท่าไหร่แต่มั่นใจเหมือนกับที่ว่า
พวกคุณฟังก็เข้าใจได้แม้คุณจะยังไม่มีฐานถึง มีแต่พยัญชนะเหตุผล แต่ถ้าคุณสามารถแยกจิตของคุณให้เป็นวัตถุไปเลยเป็นดินน้ำไฟลม แล้วดินน้ำไฟลมมันไม่มีจิตวิญญาณ คุณก็เข้าใจใช่ไหม ถ้าคุณสามารถแยกธาตุจิตตัวนี้ให้สลายกลายเป็นดินน้ำไฟลมเลย แล้วคุณจะเอาอะไรมาเกิด ข้อสำคัญคุณเข้าใจแล้วทำได้ไหม ที่นี้มันจะรู้ได้อย่างไร
ก็ในชีวิตจริงของคุณนี่แหละมีอะไรที่ต่ำหยาบมากในโลกนี้เขาติดกัน แต่เราไม่ เราไม่ติด จิตของเราไม่มีสุขไม่มีทุกข์กับมันจริงๆ จิตของเราไม่มีเวทนาอย่างนั้น สัมผัสแล้วก็จะรู้ที่เขาชอบหรือชัง ไปชอบไปชังทำไม เอาง่ายๆ ผู้ชายไม่ติดลิปสติกเลย ผู้ชายที่ไม่มีเชื้อกะเทยเลย ผู้หญิงเขาชอบ เราก็ผู้ชายก็รู้ว่าเขาชอบ แต่เราไม่ได้ชอบไม่ได้ชัง แต่คุณชอบอย่างไรเราก็รู้ก็เข้าใจ เราก็เฉยๆกลางๆ คนนี้ ชอบลิปสติกเฉดสีนั้นสีนี้ บางคนชอบลิปสติกสีดำบางคนก็ทาให้ขาวเลยก็แล้วแต่ใครจะสมมติไป
ทุกอย่างเราศึกษาด้วยตนแล้วก็เกิดความรู้สึก เวทนา นี่แหละ เป็นตัวสำคัญ เพราะฉะนั้นผู้ใดศึกษาอาการของจิตที่เรียกรวมว่าอารมณ์หรือความรู้สึก แล้วแยกแยะให้เห็นความสุขความทุกข์ให้เหตุแห่งความสุขความทุกข์แล้วก็เนกขัมมะออกมา ด้วยเวทนาท่านแจกแจงเอาไว้ถึง 108 ซึ่งครบกระบวนการเวทนา 108
ถ้าเข้าใจเวทนา 108 แล้วปฏิบัติให้ถูก โดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 ที่เป็นเคหสิตะโลกๆ พอเราเข้าใจแล้วว่าเรายังติดสุขติดทุกข์ตั้งแต่อบายภูมิไปติดของหยาบต่ำ ทุเรศ แต่ก่อนเราไม่รู้ แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว เราก็ทุเรศในตัวเองเลย แต่ใครไม่เคยไปติด แต่เราก็ได้แล้วไม่ได้ติดยึดอะไรเลย ดีไม่ดี คุณจะไปดูถูกดูแคลนเขาด้วย จะไปติดทำไม คุณไม่ติดมาแล้วในชาตินี้ เราก็เคยผ่านมาแล้ว โสโครกๆเราก็เคยผ่านมา มันไม่ติดก็ดีแล้วคุณได้ละมาแล้วก็ดีแล้ว ถ้าเราติดเข้าไป หรือเราติดในชาตินี้ก็ตาม มันก็ต้องมาเรียนรู้ปล่อยวาง ใครที่บอกว่า เคยติดมาแล้วเราก็มาปฏิบัติธรรมกับชาวอโศก ปฏิบัติแล้วไม่นึกว่ามันจะวางได้ปล่อยได้มีไหม เราไม่ได้นึกว่าตัวเราเองจะล้างได้ แต่มาถึงทุกวันนี้มันก็เฉยก็กลางๆ แต่ก่อนมันดูดผลักไม่ได้เลย จะเป็นจะตายเลยขาดไม่ได้ ลองนึกไปดูสิ แต่ใครระลึกแล้วก็ไม่มีนะที่เราจะติดจนกระทั่งเราขาดไม่ได้ก็เป็นบารมีของเรา บารมีของแต่ละคน ชาตินี้ไม่ได้ยากอะไรเท่าไหร่ หรือบางทีได้มาก่อนแล้วไม่เคยไปติดเลย ทำไมเขาไปติดนะ เราไม่เคยชอบ เราไม่เคยชังเราเฉยๆ อันนี้อย่างนี้แหละ สิ่งนี้ที่เขาติดกัน เราก็ไม่ได้ติด
ยกตัวอย่างสิ่งที่พวกกะเทยเขาทำ ปรุงแต่งมาก แต่เขาไม่รู้ตัว เขาว่าสุดยอด เขาแสดงออกว่าสุขนะ เขาก็สุขของเขาไป ที่อาตมายกตัวอย่างกะเทย เพราะว่าเป็นความหลงที่ซับซ้อน รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆนานาในศักดิ์ศรีด้วย เขาก็ปรุงกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เวอร์สุดเวอร์ แล้วนิยมชมชอบกัน มันก็ต้องมีในโลกเป็นตัวอย่างถ้าไม่มีเราก็ยืนยันไม่ได้ ใครจะไปทำอย่างนั้นได้ ที่จริงที่เขาไม่ได้เอาอากาศมันมีเวอร์กว่านี้อีกเยอะ เขารู้ตัวเหมือนกันว่ามันมากไปไม่ได้ออกอากาศ แต่ของเขาก็ใช้ปรุงแต่งสัมผัสเสพสมสุขสม เขารู้แล้วว่ามันน่าอายแต่เขาติด เขารู้แล้วว่า มันเกิน เวอร์ไปเยอะแยะ ที่เราเห็นนี้ก็แค่นี้ แต่ที่ยังไม่เห็น potential ยังแฝงซ่อนอยู่อีกเยอะแยะ
จรณะ 15 วิชชา8 ศีล แล้วอปันกปฏิปทา 3 ย้ำแล้วย้ำอีก หากคุณปฏิบัติไม่เดินตามลักษณะจรณะ 15 โดยมีหลักเกณฑ์นี้ เกี่ยวกับสัตว์นี่เป็นข้อที่ 1 เกี่ยวกับของ ของก็คือว่าถูกกับพืช ไม่ใช่จิตนิยาม สัตว์มีจิตนิยาม แต่พืชกับของนี่ไม่ใช่จิตนิยาม ไม่มีสุข ทุกข์ บาป บุญ กุศล อกุศล ไม่จองเวร ไม่สะสมวิบาก
ศีลข้อ 2 คือวัตถุ กับพืช จะพิจารณาอย่าทุจริต ส่วนสัตว์นั้นอย่าโหดร้ายรุนแรงต่อกัน ต้องหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง
ส่วนข้อ 3 นี้เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตัวนี้สลายยาก และมันถึงขั้นเบื้องต้นและจบ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีทั้งเริ่มต้นและมีตัวจบ
ส่วนของคนกับสัตว์กับพืชกับของนี้บรรลุได้ก่อน แต่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี่ทีหลัง ยากมาก ในสังคมชุมชนชาวอโศก เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ เรื่องเกี่ยวกับทุจริต คือในวัตถุก็คือในพืชหรือทุจริตในคน ก็คือสัตว์ ถ้าคุณเองไปทุจริตกับคนด้วยกัน คุณก็ยิ่งแย่ สัตว์นี้เราต้องปรารถนาดีต่อเขาแต่คุณยังไปทุจริตกับสัตว์อีก มันก็ยิ่งแย่เพราะมีวิบาก ทุจริตกับของกับพืชมันไม่มีวิบาก ฉะนั้นความซับซ้อนในความเป็นสัตว์ คุณอย่าไปเกี่ยวข้องด้วยใดๆเลย สัตว์ทั้งหลายแหล่โดยเฉพาะกับสัตว์เดรัจฉานนั้น ปล่อยไปตามยถากรรม ไม่ต้องไปสร้างความรักความต่างกับสัตว์เดรัจฉานได้เลย
คนนี่แหละ คุณมาพยายามอย่าให้เกิดความรักความชัง มันมีวิบากกันอีกเยอะเลยเราไม่รู้ เราได้มาล้างแล้วจะมีเหลือเชื่ออีกเล็กๆน้อยๆ ที่เราพรากมา แต่ไม่ได้จองเวรจองกรรมมีอีกเยอะ คนข้างนอกทำแต่คุณไม่ถือสาได้ แต่คนข้างในทำแล้วเขาจะถือสา คุณจะไม่ติดใจคนข้างนอกเลย คนข้างนอกจะมาทำอะไรกับเรา เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาไม่รู้ แต่คนข้างในนี้เราวางใจได้ยากกว่า คนที่หยาบกว่าเราเราวางใจได้ง่าย หรือคนที่ใกล้กันนี้วางยากกว่า หรือคนที่สูงกว่าก็วางยาก เพราะเรายึดว่าเขาไม่น่าทำอย่างนี้เลย
ต้องอ่านอาการใจติดยึดดูดผลักอย่างไร ก็ต้องเข้าใจว่าเขาก็เป็นของเขา เราก็เป็นของเรา เขาก็มีชีวิตของเขา เราก็มีชีวิตของเรา กรรมก็เป็นของเขาไม่ใช่ของเรา ยิ่งเราเองวางงได้แล้ว เขายังวางไม่ได้ ก็เขาน่ะ เราสงสารเขา เขายังวางไม่ได้ยังผลักยังดูดอยู่ มันจะค่อยๆเข้าใจสัจธรรมของจิตวิญญาณให้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นวิธีของพระเจ้าให้มาปฏิบัติ อปัณณกธรรม 3 ต้องสำรวม ตาหูจมูกลิ้นกายใจ หากไม่ปฏิบัติธรรมแล้วสังวรตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่จะสัมผัสแล้วเกิดอาการ เวทนา คุณก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย เพราะฉะนั้นคุณก็จะต้องรู้ว่าเมื่อคุณสำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้นกาย ซึ่งใจก็ตาม แล้วคุณก็จะต้อง ตัด
แต่คนปฏิบัติตัด ไม่เอาตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้าไปเอาแต่ใจเลยมันโมฆะ จริงๆแล้วคุณเรียนรู้ทั้ง 5 ทวารนี้ ข้างในนั้นเหลือแต่จิต เป็นอนาคามีขึ้นไปแล้วมันง่าย แต่มันจะยากสำหรับผู้ที่ทำไม่ได้ แต่ก็จะเป็นรายละเอียดว่าอนาคามีมีหลายแบบ
สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 จึงเป็นทางปฏิบัติที่ถ้าไม่มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่มีการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าท่านมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย กายต้องมีภายนอก ไม่มีภายนอกร่วมด้วยไม่ใช่กาย กายคือจิต มโน วิญญาณ กายภายนอกละวางได้ง่าย แต่ที่ละวางได้ยากคือจิต
โภชเนมัตตัญญุตาคือ การประมาณในของกินของใช้ ของใช้นี้มากกว่าของกิน เอาแต่ของกินก่อนเถอะ คุณสำรวมให้ดีพิจารณาให้ดีกับของกินนี่แหละ กวฬิงการาหาร คุณต้องรู้จักเจตนาของคุณ เจตนานั้นแบ่งเป็น 3
-
กาม 2. ภว 3. วิภวะ