มิ.ย.92020ศาสนา630609_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า อโศกรำลึก 2563 เข้าถึงความมีกับไม่มีก็ได้เวลาสงบศึก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1UNbRvIcGxrBHMi1QKdmMTmGsr59LFeeBQ5QdRkFyAvs/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1_q9JJLsqtDAF1HIzAgxeKir3uaNuNrUv พ่อครูว่า…วันนี้วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก เท่าที่อาตมาอธิบายมาแล้วอาตมาก็ว่าเข้าใจได้เพียงพอ ตั้งแต่ศีลสมาธิปัญญา เราเข้าใจคำว่าศีลคืออะไร แล้วศาสนาพุทธนี้จะต้องปฏิบัติศีล สมาธิปัญญา เป็นการศึกษา 3 ไม่มีการศึกษาอื่นในศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมีการศึกษา 3 อย่างนี้ แล้วอย่าไปตัดของท่านทิ้งนะ ทุกวันนี้เขาตัดทิ้งหมด พวกที่สอนสมาธิ เขาก็ไปนั่งสมาธิ พวกชอบปัญญา ก็ไปอ่านไปตีความๆ แล้วก็ท่องจำด้วย อ่านตีความท่องจำก็อย่างหนึ่ง ได้ความรู้ทางตรรกะทางพยัญชนะทางภาษา ศาสนาพุทธก็เหลือ 2 อย่างนี้ ใหญ่ๆ แต่พวกที่ไปนั่งหลับตาสมาธินั้น มันฝืนจากความเป็นคนที่เป็นสัตว์โขลง แต่ว่านั่งสมาธิไปเข้าใจอย่างเดียรถีย์ต้องหนีปลีกเดี่ยวไปอยู่ผู้เดียวเลย ไปผู้เดียวมาผู้เดียว โง่ผู้เดียว ก็เลยโง่อยู่ผู้เดียวไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา ส่วนพวกหลงบัญญัติภาษาก็เอาแต่ภาษา สอบเปรียญ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 เอาปริญญาตรีโทเอกเลย แล้วก็นึกว่าได้แล้วสำเร็จแล้ว มันเพี้ยนไป อาตมาพูดได้โดยมั่นใจว่าอาตมาพูดถูกด้วยนะไม่ได้ไปใส่ความไม่ได้ไปหาเรื่องเขา แน่ใจมั่นใจด้วยว่า อาตมาพูดถูกเป็นความจริงตามที่อาตมาพูด เพราะศาสนาพุทธทุกวันนี้มันเพี้ยนมันผิดไปไกล ออกไปจากความถูกต้องออกไปจากความจริงของสารัตถะที่เป็นพุทธ มันไกลออกไปเลย อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ไกลจากวิเวกเป็นผู้ไกลจากวิเวก เป็นผู้หยั่งลงสู่ความหลง สำนวนของพระพุทธเจ้าแปลเป็นไทยมันผิดเพี้ยนไปได้เพราะมันลึกซึ้ง ซึ่งมันห่างไกลจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส คิดแล้วมันสยองเลย ขนลุกขนพอง เราจะมาหาสาระของศาสนา แต่มาเห็นที่เรียนกันมันไม่มีสาระของศาสนาเลย ผู้รู้จะสยอง ผู้ไม่รู้ก็แน่นอนไม่สยองสยดอะไรหรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นรชนผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้มีกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว นรชนเมื่อตั้งอยู่ก็จมลงในที่หลง นรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวก ก็เพราะ กามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชน ละได้โดยง่าย ประโยคสุดท้ายบอกว่า ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นอันของนรชนทั้งหลายละได้โดยง่าย พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันนี้ไว้ เท่ากับท่านดัก ดักว่า ศาสนาพุทธเมื่อยาวไปมันจะเสื่อม เสื่อมไปจนกระทั่งสุดท้ายทิ้งกาม ไม่ปฏิบัติเรื่องกาม ลืมไปเลย แต่มันไม่ได้หมดกาม ไม่รู้จักกาม หลงไปปฏิบัติธรรมแต่ในภพ ไม่เอากามภพ ไปเอาภวภพ รูปภพอรูปภพ ไม่รู้จักเบื้องต้น คือตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่เอา นี่แหละมันก็เลยหลุดกลายเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ ไม่ได้ออกมาเห็นโลกเห็นตะวันเขาเลย ไม่มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก ไม่เป็นผู้ตื่น เป็นผู้หลับใหล ไม่ชาคริยา ไม่ชาคระ ไม่ตื่นเป็นผู้หลับ หลับประเภทที่เรียกว่า คนขี้เซาคือคนหลับ หลับโดยไม่ค่อยรู้สึก เอาน้ำสาดยังไม่รู้สึกเลย เขาต้องเอาไม้ขีดไปจุดไฟ เสร็จแล้วเอาแท่งถ่านไปจิ้มขี้ฟัน เพื่อให้มีที่ยึด ไปติดตรงไหนก็แล้วแต่แล้วก็จุดไฟ ไฟก็ค่อยๆไหม้ ใครเคยเล่นเคยทำบ้าง ยกมือ…เขาเรียกไฟเย็น ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปจนเข้าใจผิดบอกว่าศีลนั้นควบคุมกายวาจาเท่านั้น อยากควบคุมจิตใจก็ไปนั่งหลับตาแยกไปเลยนี่คือความผิดเพี้ยน ซึ่งไม่ใช่ ศีลสมาธิปัญญานี้อยู่ด้วยกัน เกิดด้วยกันแยกกันไม่ได้ ปฏิบัติศีล สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วมีใจร่วมรู้ไปตลอด และมีปัญญาเป็นยาดำแทรกอยู่ตลอด อยู่ร่วมไปตลอดกาลนาน เราต้องรู้ว่าเรามีศีลอยู่หรือไม่ ผู้ที่จะมีศีลจะต้องมีสติ มีความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า ตาหูจมูกลิ้นกายเรากระทบกับอะไร ตาเรากระทบบักลอย(บวบเหลี่ยม) ยาวสวย อาตมาเกิดมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ จริงๆไม่ได้พูดเล่นยังไม่เคยเจอ บักลอย งามใหญ่ขนาดนี้ เท่าที่เคยเจอมีแต่ลูกเล็กๆ แต่นี่ลูกเดียวแกงเต็มหม้อเลย พูดไปก็อาหาร อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาขยายความอธิบายต่างๆนานา บอกแล้วว่าเท่าที่อาตมาอธิบายไปแล้วนี้ผู้ที่เข้าใจแล้วจะเอาจุดไหนสำคัญจุดไหนไปทำให้ครบ คู่ รูปนาม รูปนามเป็นตัวสำคัญ พระพุทธเจ้าก็สรุปลงไปว่าที่สำคัญคือวิญญาณธาตุ วิญญาณของเราเป็นตัวที่จะศึกษา วิญญาณหรือจิต หรือมโน หรือจริงๆก็คือเทวะ เทวะนี่แหละคือคำยิ่งใหญ่ คำว่าเทวะ คือคำยิ่งใหญ่ เป็นธาตุที่มีธาตุรู้อยู่ในนั้นเป็น 2 คำว่าเทวะ พยัญชนะแปลว่า 2 อ่านว่า เดวะ ในศาสนาจึงมี 2 ในสภาพของมนุษยชาติ รู้เรื่อง 2 นี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ อันหนึ่งเป็นปรมัตถ์ อันหนึ่งเป็นสมมุติ ปรมัตถ์แปลว่ายิ่งใหญ่ ต้องรู้สองอย่างควบคู่กันไป ถ้าไปทำการศึกษาเดียวๆไม่มีสองผิดหมด ต้องมีสอง แม้จิตก็ต้องมี สอง เรียกว่า เทวธัมมา ธรรมะสอง พระพุทธเจ้าท่านให้ศึกษาสิ่งสำคัญ ศึกษาที่เวทนา รวมลงที่เวทนา ในมูลสูตร 10 ท่านตรัสว่า เวทนาเป็นที่ประชุมลง เป็นสโมสรณา มูลสูตร 10 1.มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) เป็นแดนเกิดแดนตาย ต้องทำที่ตรงนี้แหละ ทำตรงนี้ ถ้าใครไม่มีความรู้ว่าเราจะปฏิบัติธรรม แล้วทำตรงไหนเป็นตัวแก่นตัวที่ที่จะทำ แล้วเกิด มนะ เกิดจิตอรหันต์ ให้รู้ทำได้ต้องมีผัสสะ แล้วมีเวทนาเป็นตัวองค์ประชุมลง เรียกว่า กาย องค์ประชุมของเวทนาองค์ประชุมของสัญญาองค์ประชุมของสังขารนี่คือ กาย จะเปิดพจนานุกรมให้ดูเลยว่า กาย แปลว่า องค์ประชุมของเจตสิก เปรียญ 9 ฟังแล้ว หรือพวกศึกษาสายศาสนาพุทธทั้งหลาย กาย ตัวต้นเลย ในพจนานุกรม ท่านก็แปลว่า กาย กอง ฝูง หมู่ ประชุม หมวดแห่งเจตสิกธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้กายนี่แหละเป็นต้น เป็นโลกุตรธรรม ข้อแรก ในโพธิปักขิยธรรม 37 กาย พระพุทธเจ้าท่านสอน อย่างอุปัชฌาย์ทุกองค์ เมื่อบวชลูกศิษย์ขึ้นมาเมื่อใดก็ต้องให้ความรู้เรื่องการแยกกายแยกจิต ได้ฟังกันมาแล้ว ก็ฟังอีก อาตมาจะพยายามอธิบายเจาะลึก กายนี้ทำไมท่านจึงสอนให้แยกกายแยกจิตเป็นสำคัญก่อนอื่นเลย กำชับกำชาเลย ต้องสอน เอาตรงผิดก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสอนแยกกายแยกจิตกันแล้ว แม้จะสอน อ.ผู้สอนก็สอนผิด เขาจะสอนให้จะต้องเรียนรู้ทำฌานทำสมาธิ เมื่อมีฌาน สมาธิแล้วเราก็จะแยกกายแยกจิตได้ แล้วสมาธิเขาฌานเขาต้องนั่งหลับตาสะกดจิตจึงจะเป็นฌาน เป็นสมาธิ เท่านี้ก็ผิดออกนอกเส้นทางของศาสนาพุทธไปไกล ไปไม่มีทางกลับเลย ลงนรกลูกเดียว เป็นทางผิดเป็นทางกันดาร อย่างเก่งก็ไปวนเวียนอยู่ในเขาวงกต ไม่อย่างนั้นก็ลงนรกไปเลยมันไม่มีทางพบความเป็นจริง น่าสงสารมาก เพราะว่าการแยกกายแยกจิตนั้นต้องลืมตาปฏิบัติมีภายนอก กับจิต แต่เขาเข้าใจเพียงแค่สภาพภายนอกเดี่ยวๆ กายคือร่าง จิตคือใจเลย เขาไปนั่งหลับตาเป็นฌาน จิตแยกไปเลย กายก็คือทิ้งร่างไว้ จิตก็แยกออกไปเสร็จจะมองเห็นร่างตัวเอง นั่นคือการแยกกายแยกจิตซึ่งเป็นอุปาทาน การรู้อย่างนั้นเป็นการรู้อย่างอุปาทาน เป็นการรู้อย่างมิจฉาทิฏฐิ สร้างนิรมานกาย สร้างความเป็นกายด้วยสัญญากำหนดเองสัญญายนิจจานิ กำหนดเที่ยงแท้จริงสัญญาตนเอง ปั้นเอง ไม่มีของจริงหรอก ของใครปั้นคนนั้นก็ได้ เหมือนในฝัน อันเดียวกัน แต่ฝันนั้นจิตมันทำงานด้วยอวิชชาของคุณ มันก็มีภาพมีเรื่องราวอะไรไปของมัน นอกจากคุณจะต้องเรียนรู้จนชัดเจนชัดแจ้งแล้วว่า ฝันนั้นหรือว่าภาพนิมิตต่างๆนั้น จึงจะนำไปใช้เป็นธรรมะได้ แล้วเรียกธรรมะนั้นว่าเทวดา อย่างพระอรหันต์หรือผู้ที่จบแล้ว นอนหลับก็จะมีนิมิต นิมิตนั้นก็เป็นเทวดา เป็นภาพที่ใช้แทน ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เป็นสังขารชนิดหนึ่งเป็นสังขารอยู่ในภพสังขารที่ปรุงแต่งด้วยสัญชาตญาณ เป็นประโยชน์ไม่ใช่เป็นโทษเพราะนิมิตต่างๆของ พระอรหันต์พระอริยะขึ้นไปก็จะเป็นอย่างนี้อย่างพระโพธิสัตว์อาตมาก็มีเยอะ สายปัญญาจะใช้อย่างนี้เยอะ ส่วนสายเจโตก็จะดับ นอนหลับแล้วเงียบเฉย อยากคิดก็ปรุงขึ้นมาต้องพยายามปรุง ส่วนสายปัญญาพยายามดับ ส่วนสายเจโตพยายามปรุง เรื่องการแยกกายแยกจิตเขาสอนกันน่าสงสาร ไปแยกกายแยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิ แยกไม่เป็นไม่มีทางบรรลุนิพพาน แยกเมื่อใดไม่ใช่กายเลย ให้ธาตุจิตเราหมดความเป็นกาย กายคือธาตุที่ต้องมีความรู้สึก หากกายไม่มีความรู้สึกไม่ใช่กาย แล้วความรู้สึกอีกอย่างคือความรู้สึกในระดับพืช เอาภาษามาใช้เท่านั้น ที่จริงไม่มีความรู้สึก แต่มันมีธาตุรู้ในส่วนจำกัดของมัน มันไม่ใช่อุตุนิยาม เราแยกจิตนิยามนี้แล้วทำจิต มนสิการ ทำจิตของเราให้เป็นพืชให้เป็นอุตุให้ได้ เรียกว่ากรรมนิยาม พระอรหันต์ต้องทำจิตให้เป็นพืชได้เพราะว่าพืชไม่มีเวทนา เวทนานี้แปลเต็มๆว่าเป็นความรู้สึกหรือธาตุรู้ที่ยังปรุงแต่ง มีทุกข์มีสุขเป็นต้น มีผลักมีดูด เมื่อผู้ที่เป็นพระอรหันต์ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่านก็ให้มาศึกษามนสิการทำจิตไม่ให้มีความทุกข์ความสุขเกิดขึ้นในจิต จะไม่ให้มีความทุกข์ความสุขได้อย่างไร ก็พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่าทุกอย่างมาจากเหตุ เหตุคืออะไร เหตุคือจิตที่ปลอม หรือจิตกิเลส เรียกว่า กลิ ตัวเป็นโทษเป็นภัย กลิ เพราะฉะนั้น กลิ มันจะอยู่ที่จิต ท่านก็ให้เรียนรู้ที่ กายกลิ คือสภาพองค์รวมของธาตุ 2 รูปกับนาม รูปคือภาวะที่ถูกรู้ object นามคือภาวะตัวประธานรู้ subject รูปกับนามต้องคู่กันเสมอแล้วก็ศึกษาแยกแยะสิ่งที่ถูกรู้นี้คือองค์ประชุมเสมอ นั่นคือกาย มันมีกายในกาย กายในกาย กายในกาย ท่านก็เอามาให้เรียนแค่ 4 คู่ กายในกาย 1 กายในกายตัวที่2 ก็คือเวทนา กายในกายตัวที่3 ก็คือจิต กายในกายตัวที่ 4 ก็คือธรรม กายในกายตัวที่ 1 ก็มีคู่มีรูปกับนาม มีสองเสมอขาดกันไม่ได้ ไม่มีกายก็ขาดการเรียนรู้ ไม่มีภายนอก ขาดไปตั้ง 5 ทวารไปเรียนรู้แค่ทวารเดียว พวกนี้วนในวัฏฏะ ซึ่งหนักกว่่าเวทนา หนักกว่าน่าสงสารนะ วัฏฏะนี้เป็นกัปป์ คือเขาไม่รู้เรื่องเวทนา เพราะฉะนั้นเขาจะไม่รู้เรื่องสงสารมันเป็นเรื่อง กัป ที่ใหญ่กว่าเวทนาสงสาร หมดสิทธิ์ที่จะรู้เลย เวทนา คือ ธาตุรู้ที่จะต้องรู้ให้ได้ ไม่มีเวทนาไม่มีฐานในการปฏิบัติ ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรแรกเลยพรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าสอนชัดเจน ถ้าไม่มีเวทนาไม่มีฐานในการปฏิบัติ เวทนาจะเกิดได้ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย ความรู้สึกไม่มี เพราะฉะนั้นคำว่าความรู้สึกคำนี้มันได้ผิดเพี้ยนไปไกล นิโรธคือไม่มีความรู้สึก ก็แยกความรู้สึกนี้ไม่ได้อีก พระพุทธเจ้าสอนเรื่องสิริมหามายามันไม่ขาดกันสักอย่าง พูดอันนี้ต้องรู้ว่าอีกอันหนึ่งมันต้องมีอยู่ด้วย นิโรธต้องมีการตื่น นิโรธแปลว่าดับแล้วก็ต้องมีตื่น นิโรธแปลว่าดับ ดับของพระเจ้าต้องมีรู้ รู้ยิ่ง รู้จบด้วย รู้ในระดับญาณ วิชชา ปัญญา รู้อะไรดับ เพราะฉะนั้นแค่จะดับอะไรก็แยกไม่ถูก ในมหาสุญญตสูตรหรือจูฬสุญญตสูตร ไปอ่านดีๆ ว่าการดับต้องดับหรือไม่มีหรือว่าง จากอันหนึ่งมีอันหนึ่ง ตลอดจบ ไม่ใช่ไม่มี หมดดับไม่มีแล้ว แต่ต้องรู้ว่าอะไรมี ล.16 จูฬสุญญตาสูตร [๓๔๐] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญายตนสัญญา ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในเจโตสมาธินี้ ไม่มีความกระวนกระวาย(ทรถ)ชนิดที่อาศัยอากิญจัญญายตนสัญญาและชนิดที่อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา มีอยู่แต่เพียงความกระวนกระวาย(ทรถ)คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากอากิญจัญญายตนสัญญา สัญญานี้ว่างจากเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาและรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สู่แดนธรรม…ผมไปนั่งสมาธิครั้งแรก มันน่ากลัว พ่อครูว่า…สิ่งนี้เลลลลลลป็นสิ่งที่น่ากลัวน่าเกลียดน่าชัง ไม่ควรจะแตะต้อง เพราะมันเป็นเรื่องพาหลง จิตลึกๆที่เรามีอยู่แล้ว อย่างสู่แดนธรรมนี้อาตมารู้ว่าเขาคือใคร เขามาเป็นคนแซงอยู่ อย่างนี้เขาเป็นคนมาช่วยอาตมา ไม่เล่าต่อล่ะ สู่แดนธรรม…มีคนเขียนมาถาม ..พ่อท่านพูดว่าสายปัญญาพยายามดับ สายเจโตพยายามปรุง งง ค่ะ พ่อครูว่า..ปัญญาเป็นสายปัญญาฟุ้งซ่านก็ต้องดับ ส่วนสายเจโตเป็นสายหลับ สายหลบ สายไม่เอาอ่าว ไม่เอาอะไร ไม่เอาถ่าน ไม่เอาขี้เถ้าเลย ก็เลยต้องพยายามปลุกฝขึ้นมาฟื้นขึ้นมา มันมี 2 สภาพเสมอ คนที่เป็นจริตสายเจโตหรือสายศรัทธาจริต ก็จะไปชอบดับหยุด ไม่ค่อยตื่น มันจะมี 2 เสมอ สังขิตตังจิตตังกับวิกขิตตังจิตตัง เป็นสองตระกูล สัทธานุสารีกับธัมมานุสารี ก็มี 2 ตระกูลนี้ ซึ่งมันต้องรู้ตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่รู้ตัวเองจะช้าแล้วสับสน กลายเป็นว่าเราจะแสวงหาอะไร ถ้าเราเป็นฐานเจโตหรือศรัทธา ก็ไปหาปัญญาหาผู้รู้คนละสายกับเรา จริงๆมันคนละสายกันจะทะเลาะกันมันจะไม่ค่อยอยากเข้าหากัน แต่ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาแล้วจะรู้ว่าเรามีอย่างนี้เราเป็นแกนนี้เราต้องหาอีกแกนหนึ่ง เราเป็นแกนศรัทธาต้องไปหาแกนปัญญา เราเป็นแกนปัญญาต้องไปหาสายศรัทธา สู่แดนธรรม..พ่อท่านอธิบายค้าง เรื่องความว่างอะไรที่เหลืออยู่ ความไม่ว่างอะไรที่ไม่มี พ่อครูว่า..ความจริงมันชัดเจนความจริงมันสุดยอดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคำว่า มีกับไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 พระไตรปิฎก ข้อ [43] พ่อครูว่า…อุบายคือเครื่องปฏิบัติที่จะออกจากความยึดถืออุปาทาน อุปาทานที่หนักที่สุดคืออภินิเวส แปลว่า ยึดอย่างลงหลักปักแหล่ง อุปาทานคือยึดมั่นถือมั่น อภินิเวส คือยึดอย่างตอกเสาเข็มเลย ลงฐานรากแน่นเลยไม่ถอดไม่ถอนเลย อุปาทานพอเรียนรู้ได้ แต่พระ อริยสาวกไม่ตั้งอยู่ซึ่งอุบายนั้นอันเป็น อภินิเวส และอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อันนี้คืออุปาทาน พระอาริยสาวกนั้นบรรลุแล้วจะมีความเชื่อโดยไม่ต้องเชื่อคนอื่นเลย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ) เป็น 2 เสมอ ใครตีเทวะไม่แตกก็จะอยู่ในสายเทวนิยมเป็นพระเจ้า ส่วนสายพุทธนั้นจะมาตีเทวะแตกแล้วจะรู้จักพระเจ้า สุดท้ายดับพระเจ้าได้ เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ศาสนาเทวนิยมนั้นยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า เพราะดับอัตตาสูญ แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไป ไม่เกิดอีกเลยไม่เหลือเชื้อ แต่ทางโน้นดับไม่ได้ก็เลยต้องอยู่ไปนิรันดร ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าจะลงนรกขึ้นสวรรค์ก็อยู่ที่พระเจ้าจัดการ ไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเอง เป็นศาสนาที่ไม่พ้นความเป็นทาส อย่างน้อยที่สุดก็เป็นทาสพระเจ้า แต่ศาสนาพุทธนั้นไม่มีใครใหญ่กว่าเรา พระเจ้าไม่มี ศาสนาเทวนิยมจำนน ตีธาตุอัตตาอาตมันตัวเองไม่ได้ จำนน จึงกลายเป็นเทวนิยม เป็นศาสนาที่จะต้องมีจิตวิญญาณนิรันดร ดับจิตวิญญาณของตนเองไม่ได้ นี่คือจุดสำคัญระหว่างเทวนิยมกับ อเทวนิยม คนที่ไม่รู้มีอวิชชานั้นมีจำนวนมาก คนมีวิชชารู้ถ้วนรอบมีจำนวนน้อยคือคนศาสนาพุทธ ของพุทธหนึ่งเดียวสมบูรณ์แบบครบหมดแล้ว คุณจะอยู่นานแบบเขาก็ได้ เป็นพระอวโลกิเตศวร บรรลุแล้วแต่ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะอยู่ไปอีกกี่ล้านล้านล้านล้านปี ก็อยู่ไปสิ นี่คือสิ่งที่มี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ) คนที่ดับโลกได้โลกมันจะหมุน คุณก็ดับโลกของคุณได้ไม่ให้หมุน แต่อย่าไปดับโลกของคนอื่น โลกคือจิตของคุณที่หลงก็หมุนไม่หยุด แต่เมื่อมีปัญญาอันยิ่งแล้ว จะเร็วเท่าไหร่ก็จับได้ทัน จับได้แล้วจะหมุนอยู่กับโลกอย่างไรก็ไม่ว่า แต่ต้องเรียนรู้ว่าที่หมุนอยู่อย่างนี้จิตของคุณ จิตตัวเองเป็นจิตที่อยู่อย่างมีภัยหรือมีโทษ กลิ หรือไม่ ต้องเรียนรู้ความเป็นโทษภัยในกายในจิต แล้วล้างตัว กลิ ตัวกาลีให้หมด พอล้างหมดจบ คุณก็ชื่อว่าเป็นโลกที่ไม่มี แต่คุณก็จะต้องอยู่กับโลกที่ยังมี เพราะยังมีความเป็นชีวิต (ต่อ) โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัยอันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ [44] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ 1 นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ … ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ … ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ อาตมาพูดไปกระแทกอย่างไรเขาก็ไม่ตื่นมารู้ หากอาตมาพูดไป เขารู้สึกว่าถูกด่าได้นี่ก็ประสพผลสำเร็จแล้ว ผู้ที่รู้สึกได้ที่อาตมาสอนอาตมาอธิบายความจริง เอามาเปิดเผยแล้วก็รับรู้ได้เข้าใจ เรารู้ตัวว่าเราเกิดมาในชีวิตนี้ต้องมาเอาอย่างนี้ พวกคนที่รู้อย่างนี้ก็มาเอาอย่างนี้จากแต่ก่อนมุ่งจะทางเอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไป อย่างคุณจำลอง ตั้งแต่ไม่รู้จนกระทั่งตอนนี้รู้แล้วก็มาปฏิบัติจนถึงป่านนี้อายุ 85 86 เข้าไปแล้ว ไล่อาตมามาติดๆ ก็ขนาดนี้แล้วอะไรก็ทำมาหมดแล้วจะมีอะไรมากกว่านี้แล้ว นั่นล่ะ โลงเย็นเป็นที่หมาย วันใดวันหนึ่ง มาถึง คุณประยุทธ เชื้อจง เป็นพ่อของรอยทราย ดีรัตนา ตอนนี้คุณประยุทธตายแล้วนอนในโลงเป็นศพ ศพ นี้คือ สว สพ ส่วนเป็นตน คือ สก สว สย สามอย่าง สว มีพลังงานตัวที่ 4 สก คือพลังงานตัวต้น ย ร ล ว ส ห ฬ อํ พยัญชนะเป็นสิ่งแทน ลึกละเอียด ยังรู้ไม่ครบ พูดถึงเรื่องประยุทธ ตกลงคำว่าประยุทธ อาตมานึกถึงคน 3 คน นี่ประยุทธคนหนึ่งตาย ตอนนี้อจินไตย ประยุทธตายแล้ว ประยุทธ์แปลว่าการรบ วันนี้สงบศึกแล้ว จำไว้นะ ยังเหลือธุลีละอองของโควิด ประยุทธ์หนึ่งจบไปแล้วเหลือประยุทธ์อีก 2 ประยุทธ์ประยุทธ์ 1 เป็นสมณะ อีกประยุทธ์เป็นนักรบ ชื่อพวกวกนี้จะลงตัวกับสภาวะให้อาตมาอาศัย ใช้ ยิ่งสมัยพระพุทธเจ้าแล้วจะมีหมดเลยคนนี้พระสารีบุตร คนนี้โมคคัลลานะ คนนี้อานนท์ เป็นชื่อที่บอกสภาวะธรรม สารีคือผู้ที่เต็มไปด้วยสาระ โมคคัลลานะคือมีฤทธิ์ กัจจายนะ คือผู้ขยายความละเอียดลออ อานนท์คือผู้รู้เยอะ กัสสปะคือจอมตัด ผู้เป็นจอมใหญ่ ยาวนาน ยึด เยอะ นี่ก็พูดคร่าวๆ ที่พูดไปไม่ได้เพ้อเจ้อ พล่อย แต่เป็นเรื่องลึกซึ้งเรื่องใหญ่ ก็ขอยืนยันกับพวกเรา อาตมาเป็นผู้ที่ศึกษาเป็นโพธิสัตว์ตัวจริง เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ที่ไม่มีใครรู้เท่า ตอนนี้เป็นไก่ตัวพี่ ในยุคนี้ อาตมามาเอง สยังอภิญญา มารับช่วงศาสนาพระพุทธเจ้าเพื่อจะสืบสานสารัตถะของศาสนาพระพุทธเจ้าให้ยืนยาวไปถึง 5,000 ปี โลกถึงเวลาฟ้าแบ่งสี…กวีของไม้ร่ม เป็นเรื่องอจินไตย…ที่วันที่ 5 มิถุนายนเป็นวันชาวนาไทย เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก และเป็นวันอโศกรำลึกด้วย จะพูดถึงโควิดบ้าง พูดถึงสังขารธรรมที่ปรุงแต่ง ศาสนาพุทธในยุคนี้ถ้าจะมาไม่เอาเรื่องกายมาพูดก็สูญไปแล้ว เรื่องบุญ เรื่องสมาธิก็ตามไม่ต้องพูดถึงเรื่องนิโรธ เรื่องนิพพาน สูญหมดเลย หากอาตมาไม่เกิดมาในยุคนี้ไม่มีใครเอามาพูด กาย ผิดไปคำเดียวก็หมดทางไปแล้วศาสนาพุทธ ก็เป็นศาสนาในโลกโลกีย์ธรรมดาจะไม่มีโลกุตระเลยถ้าเข้าใจคำว่ากายไม่ได้ ย้ำอีกที …ฟังแบบถ้วยว่างเปล่าเทน้ำออกจากถ้วยให้หมด ฟังดีๆ คุณแยกกายที่เป็นอุตุ กายที่เป็นพีชะ กายที่เป็นจิตแล้ว คุณจะทำจิตคนที่นั่งทุกคนให้เป็นพืชหรือเป็น อุตุ ….เป็นจิตที่เราต้องเรียนรู้ จิตในจิต แล้วทำจิตในจิต มนสิการให้มันเป็นพืชให้ได้ให้เป็นอุตุให้ได้ ถ้าคุณทำไม่ได้คุณไม่ได้เป็นพระอรหันต์ นี่เป็นความรู้ที่ย่นย่อสรุปเข้าเป้า การไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะพวกนี้น่าสงสารน่าเวทนา ออกนอกทิศทางศาสนาพุทธไปไกล พวกที่นั่งหลับตาจะสะดุ้งสะเทือนหรือไม่ อาตมาพูดก็แสนสงสาร ขอย้ำอีกที ตีหัวทิ้งเลย ไอ้นั่งหลับตานี้ ขออภัย มันชักเฟื่องว่าใช้ภาษาในใจว่า kick it out เลยนะ เรียกว่า ดีดออกไปได้เลย ดีดทิ้งไปได้เลยนั่งหลับตา ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนานั่งหลับตาเลย นั่งหลับตาก็หมดความเป็นกาย หากเข้าใจผิดอีกว่ากายคือภายนอกอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับจิตก็มิจฉาทิฏฐิสมบูรณ์แบบเลย พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า กายนี้ ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง หากอาตมาไม่ขุดอันนี้จากพระไตรปิฎกเขาจะอ่านผ่านไปเลย จบเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์พระสูตรนี้เขาจะไม่สะดุดเลย ตอนนี้คงจะสะดุดบ้างถ้ามาฟังอาตมาบ้าง หากสะดุดก็จะตามติดเลยอย่างน้อยก็เงี่ยโสตสดับอาตมาบ้าง ใครที่มีบารมีมากก็จะรับได้มากใครที่มีบารมีน้อยก็จะรับได้น้อย หากเขาเป็นผู้แสวงหาก็จะพยายามอย่างพวกคุณถือว่าเป็นผู้ที่มีความแสวงหา ชีวิตเกิดมาชีวิตนึงแล้ว สรุปอีกทีมันไม่มีอะไรดีกว่านิพพาน คุณได้นิพพานแล้วคุณเป็นอรหันต์แล้วคุณอยากจะอยู่ในโลกนี้ไปอีกกี่นานเท่านาน คุณอยู่ไปสิ เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนความรู้ที่สุดยอดแล้ว คุณจะเกิดเป็นคนอีกก็หมดความเป็นพิษภัยหมดความเป็นโทษหมดความไม่ดีแล้ว คุณจะไม่มีแล้วไม่ทำความไม่ดีทางกายวาจาใจ คุณไม่ทำอีกแล้ว ชาตินี้คุณก็ไม่ทำชาติหน้าคุณก็ไม่ทำจะเกิดอีกกี่ล้านชาติถ้าคุณจะยังอยู่ พระผู้เป็นอรหันต์แล้วเป็นอมตะบุคคลจะตายก็ได้ไม่ตายก็ได้คุณจะตายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น อาตมาจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสานเมื่อไหร่ก็ได้ แต่อาตมายังไม่ยอมตาย อาตมารู้ อาตมายังจะทำงานนี้จะตายก็ต่อเมื่อเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาได้ตั้งปณิธานเป็นพระพุทธเจ้า ตอนนี้ยังไม่ได้เป็น ยังเป็นแค่โพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมาพูดไม่ได้หลงตัวหลงตนอะไร อาตมาไม่ได้บอกว่าเป็นระดับ 9 จะเป็นพระพุทธเจ้าในยุคนี้ อาตมาไม่เคยหลงตัวอย่างนั้น ต่อให้ชาตินี้ก็เป็นไม่ได้ ยังไม่ได้เป็นระดับ 8 ระดับ 9 นี่เป็นสัจจะที่อาตมาพูดความจริง คนที่เคยดูถูกอาตมาเป็นนักแสวงหา ไม่อยากฟังซ้ำไม่เชื่อ แต่ก็เป็นคนมีธาตุดีมีบารมี ก็จะค่อยๆรู้สึกว่า มันมีสิ่งที่ไม่เคยฟัง ฟังแล้วเข้าใจที่โพธิรักษ์พูด จะมีอย่างนี้เป็นสารีบุตรที่แอบฟังอยู่ที่ตีนเขาสิเนรุ โดยบุคลาธิษฐานคือสารีบุตรนั่งอยู่ตีนเขา แอบฟังพระพุทธเจ้าสอนพระมารดาอยู่บนยอดเขา นี่คือบุคลาธิษฐาน ธัมมาธิษฐานคือ สารีบุตร คือผู้ที่ตามหาสาระ แต่ไม่อยากให้ใครรู้ ไปแอบฟังอยู่ตีนเขา คนนึงอยู่ตีนเขา คนหนึ่งอยู่ยอดเขา เทศน์โปรดมารดา การโปรดมารดาคืออะไร คือสอนพระสาวกทั้งหมด พระสาวกทั้งหมดนี้คือแม่ สารีบุตรเป็นแม่ เป็นแม่เลี้ยง โมคคัลลานะเป็นแม่นม ภิกษุทั้งหลายแหล่นี่คือแม่ ที่จะไปเป็นผู้ออกลูกเป็นอริยบุคคล เพราะฉะนั้นก็ต้องสอนหรือสร้าง สร้างบุคคลให้เป็นอริยะให้เป็นพระอรหันต์เพื่อที่จะไปถ่ายทอดไปสืบทอดไปออกลูกเป็นอาริยบุคคลต่อๆๆๆไป นี่คือขยายความให้ฟัง ไม่ใช่เรื่องลึกลับ เป็นอย่างนี้ ผู้ใดเป็นแม่ตัวจริง มาตา เป็นพ่อตัวจริง ปิตา อาตมาเกิดมาในชาตินี้มาพร้อมทั้งความ เป็นปิตา มาพร้อมทั้งความเป็นมาตา มาตา เป็นนักรบพ่อลูกอ่อน กระเตงลูก มือหนึ่งจับดาบรบ พร้อมทั้งลูกกระเตงเป็นพ่อลูกอ่อน มาชาตินี้เหนื่อย แม่ไม่มาช่วยเลย การทำมนสิการ ทำใจในใจ ทานอย่างไรถึงจะมีผล ทำทานต้องทำใจในใจ แต่ก็พากันทำ ทานเสร็จแล้ว อ้าว อธิษฐานตั้งใจ อิมานิ… นั่นคือทานล้มเหลว ทานของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องฆ่าพ่อฆ่าแม่ไม่ให้มี ไม่ให้มีสัตว์โอปปาติกา สาเปกโข อย่าไปหวัง ทานต้องฆ่าไอ้หวัง ไอ้หวังตายแน่ โควิดนี้มีนิมิตว่าอบายมุขตายแน่ เมืองไทยไม่เข้าใจอบายมุข อบายมุขคือความจัดจ้านทั้งสายโทสะ ราคะ อัตตา เมืองไทย อาตมาบอกเลยไม่ใช่เมืองนักรบไม่ใช่เมืองนักฆ่าแต่เป็นเมืองแห่งพรหม มีคุณธรรมอย่างนี้ เป็นเมืองนักธรรมะ เป็นเมืองนักสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นเมืองสวรรค์ไม่ใช่เรื่องนรก เมืองนรกนั้นจะบอกให้ตอนนี้คืออเมริกา กำลังเผากันอยู่ เป็นนรก นี่คือสัจจะ ไม่ได้ไปว่าหรือกระหน่ำย่ำยีเขา แต่เป็น Phenomenology เป็นความรู้ทางปรากฏการณ์วิทยา อเมริกาต่อไปจะทรุดโทรม เริ่มตั้งแต่บัดนี้ โดนัลด์ทรัมป์ มาทำให้ประเทศเข้ารูปเข้ารอยอย่างนั้น ไม่มีทางก้าวหน้าต่อไป อเมริกาจะไม่มีทางก้าวหน้าต่อไป ตอนนี้ธรรมชาติหรือโควิดนี่สถิติเขาครองอันดับที่ 1 ประเทศที่ 2 มีทั้งคนเจ็บคนตาย เท่าไหร่ ไม่รู้กี่วันมาแล้ว เมื่อวาน พ่อครูประชาสัมพันธ์ร้านหนังสือในเพจ “อโศกอักษร” ทำให้มีผู้ติดต่อขอซื้อหนังสือทางเอก ทั้งชุดภาค1ภาค2และ 3ภาค เป็นจำนวนทั้งหมด 3 ท่าน และ ซื้อเฉพาะทางเอก ภาค 1 ไป 5 ท่าน และ สั่งซื้อ สมาธิพุทธ คนคืออะไร อีกด้วยค่ะ เพจอโศกอักษรขอกราบขอบพระคุณพ่อครูที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ กับทางร้านค่ะ ร้านของเรามีหนังสือธรรมะของพ่อครูอีกหลายเล่ม อาทิ คนจนที่มีแบบฉบับแก้แล้วไขอีก , รู้คนขังสุขรู้ทุกข์ขังสัตว์ , รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร และอื่นๆ ตลอดจนหนังสือของหมอเขียว สามเล่มออกใหม่ เป็นที่สนใจมาก ก็สามารถติดต่อสั่งซื้อมาได้ โดยแวะเข้าไปในร้านหนังสือของเพจ”อโศกอักษร” ทางเฟสบุ๊คค่ะ ค้นหาเพจนี้ได้ไม่ยาก กดเครื่องมือค้นหาในเฟสบุ๊ค พิมพ์คำว่า “อโศกอักษร” ก็จะพบเราได้อย่างง่ายดาย แล้วเจอกันในร้านค้าของเพจนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพ หมายเหตุ ร้านยังเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่ได้จัดร้านให้เป็นหมวดหมู่ หนังสือจึงยังดูคละกัน ทั้งหนังสือธรรมะและหนังสือสุขภาพ ตลอดจน หนังสือคู่มือการทำกสิกรรม ค่อยๆเลือกชมเลือกซื้อนะคะ เราจะพัฒนาร้านต่อไปค่ะ ฝากญาติธรรมช่วยกันกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์ให้ด้วยนะคะ ยิ่งแชร์มากเท่าไร จะได้ช่วยกระจายหนังสือธรรมะออกไปให้มากที่สุดค่ะ ขอบคุณค่ะ Category: ศาสนาBy Samanasandin9 มิถุนายน 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630608_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า อโศกรำลึก 2563 ชาวอโศกอายุมี 100 ปีเป็นมาตรฐานNextNext post:630609_พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก 2563 Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024