630609_พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก 2563
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1PId_mgoeuX17IdQWuxbiMIPnAe5EVkI3_S4TdZYmqzs/edit?usp=sharing ng
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1PrnVBNAODwvxOI87stCL9oRMKVYbQkMN
พ่อครูพากล่าว…
สัจจวาจาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ
วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร
ปริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ
ขอยอบนอบหมอบกราบคารวะ
ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยนี้
เกลือกถูรองรับอยู่ใต้ละอองผงคลีแห่งธุลีฝ่าพระบาท ของสมเด็จพ่อ
ผู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระผู้มีพุทธคุณดังกล่าวข้างต้น อย่างสุดเทิดสุดบูชายิ่ง
เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย ขอน้อมรำลึกเทิดทูนพระคุณอันหาที่สุดมิได้
ณ กาลศุภสมัย ๙ มิถุนายนนี้ เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย
ขอตั้งปณิธานต่อพระมหาบรมสารีริกธาตุ ณ บัดนี้ว่า…
เลือดและวิญญาณขอเหล่ข้าน้อยทั้งหมดนี้
ขอถวายอุทิศแด่พระพุทธศาสนาไปตราบดินสิ้นฟ้า
จนกว่าข้าน้อยแต่ละคนจะปรินิพพาน
ขอได้โปรดรับปณิธานนี้
ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยทั้งหลายเถิดเทอญ.
จากนั้นพ่อครูเทศนาต่อ…
พ่อครูว่า…ครั้งนี้เป็นงานอโศกรำลึกครั้งที่ 39 สามคือ รอบสามเส้า 9 คือสามเส้าสามเส้าสามเส้า ทุกอย่างก็มีหลายๆอย่างที่เป็นรูปกับนาม ที่มันลงตัวกัน อาตมา ใช้สิ่งเหล่านี้เป็น guide นำทาง ซึ่งใช้ได้ อย่างพระพุทธเจ้าสมณะโคดมทรงพระนามว่าสิทธัตถะ พระองค์ก็ต้องอุบัติขึ้นมา อย่างไรอย่างไรท่านก็จะต้องทรงพระนามว่าสิทธัตถะ แล้วไม่มีอื่นด้วยนามเดียว หนึ่งเดียว โพธิรักษ์ชาตินี้เกิดมาหลายนาม มีทั้งสไมย์ มงคล รัก โพธิรักษ์อะไรอย่างนี้ยังไม่ลงร่องลงรอยทีเดียว แต่ทุกคำมีความหมาย มีลักษณะที่อาตมาใช้ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งชื่อพยัญชนะบัญญัติและนาม ใช้พิจารณาเป็นเครื่องหมายในการทำงานไป เป็นเรื่องลอกเลียนกันไม่ได้ ถึงเวลาจะมีปฏิภาณรู้ในแต่ละคนเอง หากพาให้เสื่อมเสียทำลายก็ยิ่งบาปซ้ำซ้อนได้ด้วย
เรื่องที่พูดเป็นเรื่องธรรมะที่ยิ่งใหญ่ อาตมาได้สรุปชี้บอก อธิบายให้เห็นว่าคำว่าสอง ภาษาไทยว่า เทวฺ หรือเทวะ เทวะแปลว่าสอง และแปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ผู้เจริญ เจริญสูงสุดเป็นจอมเทวะเป็นพระเจ้า
ศาสนาพุทธรู้สองเป็นหนึ่ง หนึ่งเป็นสอง เราก็เลือกใช้ได้ ในจักรวาลจะมีสองเสมอ มีวัตถุกับนาม มีกายกับจิต เรียนรู้สองนี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด จนรู้แจ้งรู้ครบรู้ชัด ใช้งานได้อย่างเป็นตัวแทนสลับไปสลับมา จะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด
เป็นผู้ให้เกิดคือมาตา ให้เกิดสิ่งวิเศษที่สุด ให้เกิดสิทธัตถะ คือมายา แต่เป็นสุดยอดของมายาคือสิริมหามายา หน้าที่ให้เกิด พลังต่อเนื่องถึง 7 วัน พระมารดาก็ต้องตาย จริงๆแล้วมีอะไรละเอียดลึกซึ้งมากกว่านี้
อาตมาอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 ถือว่าเปิดเผยความจริงไปพอสมควรแล้วแต่ก็รู้ว่าตัวเองไม่ลึกซึ้งละเอียดพอ
การเกิดมี 4 อย่าง
-
ชลาพุชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)
-
อัณฑชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)
-
สังเสทชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว)
-
โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที เกิดนิโรธ ไม่มีอะไรมาคั่น เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)
(พตปฎ.เล่ม 11 ข้อ 263)
หากคนเกิดได้ร่างกายเป็นชลาพุชโยนิ ส่วนที่เกิดเป็นไข่ก่อนมีเยอะที่เป็นสัตว์ ส่วนสัตว์ที่เกิดแตกตัวเอง คือสังเสทชโยนิ
สัมมาทิฏฐิ ๑๐ เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง)
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา)
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา)
-
. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา)
-
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้มีทานอย่างมีหวัง
_ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ