630624_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฌาน สมาธิ ของพุทธเกิดจากจรณะและวิชชา
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1SYUEk5KTF95xTebGpYDSDVsH8PjMiaEmmNoaydaIFGA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1EZ2LnUb-h5jspwJDv55CYALbd-peinJQ/view?usp=sharing
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันคล้ายวันเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยมาได้ 88 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงสักที ตอนนี้ก็ยังแสวงหาว่าประชาธิปไตยอยู่ตรงไหนกัน พ่อครูบอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 คือนักประชาธิปไตยที่แท้จริง และชาวอโศกคือนักประชาธิปไตยในยุคนี้
พ่อครูว่า…มีการคัด sms มาเพื่อเป็นไกด์ให้ได้อธิบายธรรมะให้ลึกซึ้งถึงสัจธรรมได้ อันไหนที่เขาท้วงติงมาใน Social Media ซึ่งก็มีมากตอนนี้ อันไหนที่เราเห็นว่าไม่ถูกต้องไม่ตรงตามสัจธรรมเราก็บอกไปว่ายังไงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
SMSวันที่22มิ.ย.2563(เอื้อไออุ่น)
_เพ็ญศรี สกุลเกียรติวงศ์ • พ่อท่านไม่แก่เลยเจ้าค่ะสดใสเหมือนเดิมเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…คุณคนนี้พูดถูก
_สมเจตน์ เชาว์ศิริ • ส่งกำลังใจให้ฝ่ายเทคนิคครับ สู้ๆ
_ใจแกร่ง จนจริงจริง • ดวงตาเห็นธรรมขึ้นแล้วครับพ่อครู.
พ่อครูว่า…ความชัดเจนในการฟังธรรมนั้น ความชัดเจนที่ว่า ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอานิสงส์ของการฟังธรรม 5 ประการ ฟังแล้ว เหมือนได้ฟังสิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้นๆ เหมือนเติมขึ้นมา และที่ว่า ได้ฟังสิ่งเพิ่มเติม เสร็จแล้วก็ทำให้เราเข้าใจชัดมากยิ่งขึ้น ทำให้ความข้องใจสงสัยบรรเทาลง ก็เกิดทิฐิความเห็นความเข้าใจความเชื่อถือเจริญขึ้นมามากยิ่งขึ้นถูกตรงมากยิ่งขึ้น จิตใจก็สว่างขึ้นมา โอ้โห จะรู้สึกชื่นใจในการได้รับอะไรขึ้นมานี่เป็นอานิสงส์ 5 ประการในการฟังธรรม พระไตรปิฎกเล่ม 22 ข้อ 202 มันเกิดลักษณะนั้นจริงๆ ผู้ที่ฟังธรรมก็ลองทดสอบดูเถอะ
_ฝั่งดาว บุญมา • ดูรายการผ่านเฟชค่ะตอนนี้เสียงก้องมากเลยค่ะ
พ่อครูว่า…เป็นที่เครื่องของคุณหรือเปล่า
โลกุตรธรรมคืออะไร
_SomnuekLailak(สมนึก ลายลักษณ์) • สมัยยังไม่เจอชาวอโศกชอบไปทำทานด้วยการเอาเงินใส่บาตรตลอด เป็นประจำได้เงินแบงก์ใหม่จะไม่ใช้จะเก็บไว้ใส่บาตรเป็นประจำเจ้าค่ะพ่อครู / ถามพ่อครูใจอยากไปอยู่บ้านราชแต่ยังมีวิบากกรรมอยู่ ไม่อยากลาออกจากงาน แต่ก็ออกตามผู้มีพระคุณสั่งให้ลาออก เพื่อไปอยู่กับเขา ทำใจได้แต่ทำไมน้ำตาไหล คือจะได้ฟังธรรมน้อย ลูกก็จะสู้วิบากต่อไป ถึงจะไม่ได้ฟังธรรมรายการสดก็จะฟังย้อนหลังจะไม่ขาดการฟังธรรม กราบขอบพระคุณพ่อครูมากที่เทศน์ให้ฟังตอนเย็นทุกวัน ฟังพ่อครู ฟังสมณะสิกชมาตุทุกรูปและอาจารย์หมอเขียวถ้ามีเวลาว่างคะ
พ่อครูว่า…ผู้ใดใส่ใจฟังธรรมเห็นธรรมะเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตเป็นผู้ที่มีสาระในชีวิตผู้รู้ค่าในชีวิตตัวเอง ใส่ใจสนใจศึกษาเรื่องปฏิบัติ คุณจะเกิดมาชาติใดก็แล้วแต่ได้ร่างเป็นมนุษย์ จะเป็นพุทธศาสนิกชนของศาสนาไหนก็ตาม แต่คนไม่เอาถ่านในศาสนาที่คนนับถือพ่อแม่ปู่ย่าตายายนับถือ คุณไม่ใส่ใจคุณไม่เอาเรื่องเอาราว ชีวิตของคุณมันไม่มีทางเจริญได้หรอก แต่ก็อาจจะมียกเว้นบางคน คือพ่อแม่พี่น้องนับถืออย่างนั้นมาแล้วตัวเองก็เห็นว่ามันไม่ค่อยได้เรื่อง แต่คุณก็มีของคุณเลยว่าอันนี้คือธรรมะ คุณจะต้องเข้าใจว่าเป็นสัจจะสัจธรรมเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตมันพาให้ตนเองเจริญได้ให้ดีขึ้นได้ ถ้าเข้าใจโลกุตรธรรมแล้วจะชัดเจนในเรื่องศาสนา ถ้าเข้าใจสัจธรรมโลกุตรธรรมเป็นชาวพุทธจะเป็นคนมีศาสนา ถ้าเป็นคนไม่มีศาสนาเลยจะไม่มีทางมาเป็นโลกุตรธรรมโดยเฉพาะศาสนาอื่นที่เป็นเทวนิยมทั้งหลาย ผู้จะรู้จักโลกุตรธรรมมีชาวพุทธเท่านั้น ชาวพุทธที่สัมมาแล้วก็จะชัดเจนว่าเราก็ทำเป็นเช่นนี้
โลกุตรธรรม คือ มีธาตุปัญญาอ่านจิตเจตสิกตัวเองออก อ่านแล้วก็รู้อาการของกิเลส จิตของตัวเองเป็นกิเลส แล้วก็สามารถทำให้กิเลสมันลดได้มันจางคลายลงได้ชัดเจน กิเลสมันเกิด โดยเฉพาะในปัจจุบันสัมผัสกระทบในปัจจุบัน แล้วกิเลสมันเกิด ก็รู้ทัน แล้วจับ อย่างน้อยก็สะกดมันไว้อย่าให้มันมากขึ้น เอ็งอย่าทำเก่ง ให้มันลดลงจะด้วยวิธีสมถะก็ตาม ยิ่งถ้ามีวิธีของปัญญาซึ่งจะมีฤทธิ์มากเลย พลังงานปัญญามันจะทำให้กิเลสอ่อนตัวลง ดีไม่ดีถ้าพลังปัญญามันดีเก่ง กิเลสหยุดทันทีเลย ถ้ารู้ทันปั๊บกิเลสก็หายไป
นี่คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่สามารถที่จะเรียนรู้จิตเจตสิกต่างๆ เป็นเรื่องง่ายๆ คนจะรู้จิตเจตสิกอย่างนี้เป็นเรื่องยาก แต่ผู้ที่เอาสัจธรรมพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วมาเรียนรู้จะทำได้ อย่างพวกคุณนี้สามารถที่จะรู้ แต่ไม่สามารถที่จะรู้บัญญัติภาษาอย่างที่อาตมาอธิบาย แต่พวกคุณมีติดตัวจึงมาเป็นจริง แล้วก็รู้สึกว่าเรามาแล้วเราสบายเราเจริญ เจริญทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ อยู่ทางโน้นก็เจริญแบบทางโน้นมีเงินมีทองกับอะไรทางโลกเขาลาภยศสรรเสริญยิ่งขึ้นไป แต่มาทางนี้มันไม่แล้วมันลดลงมาก็เข้าใจแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรไม่ได้เดือดร้อนอะไรไม่ได้เห็นว่าเราชีวิตเราแย่แล้วเราเสื่อมลง ไม่ใช่ เจริญขึ้นด้วยซ้ำจะเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง
วันที่ 23 มิ.ย. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ : สมณะสิกขมาตุ สันติอโศก)
ทำไมพ่อครูรู้ว่าตนเองเป็นอรหันต์
_แทน ความห่วงใย : อุเบกขาเนกขัมมะ ยุคนี้มีพ่อครูที่มาแยกแยะออกจากอุเบกขาโลกีย์ได้ชัดเจน..โชคดีที่ชาตินี้มาเจอพ่อครูครับ
พ่อครูว่า…อันนี้ก็จริงไม่เห็นสำนักไหนอาจารย์ไหนอธิบายแยกแยะ เนกขัมมะ และเคหสิตะอุเบกขา เขาไม่เข้าใจไม่รู้ว่ามีความสำคัญ ฐานนิพพาน ตรงนี้แหละอาการอยู่ตรงนี้แหละ อุเบกขาเคหสิตเวทนาแล้วคุณก็ทำให้เปลี่ยนเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาได้ เข้าใจอุเบกขา 2 นี้ชัดเจนซึ่งเป็นมโนปวิจาร18 ในเวทนา 108 อันนี้เป็นตัวชี้บ่งผู้ที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่เข้าใจชัดเจนในเวทนาโดยเฉพาะอันหนึ่งเป็นของโลกียะเป็นของเคหสิตะแล้วทำให้กิเลสออกได้ก็เป็นเนกขัมมะ ฐานเป็นอุเบกขาเป็นฐานปลายของจิตที่เป็นฌาน อุเบกขามีองค์ธรรม 5 ประการ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา รู้จักทางภาษาและสภาวะธรรมที่เราทำได้เป็นจริงอย่างนี้อย่างนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมมาพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติและสัมมาปฏิเวธและเราบรรลุธรรม ดีไม่ดีก็สามารถทะลุแยกแยะได้ ในพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ พระพุทธเจ้าก็สอนให้รู้ตัวเอง อย่าปฏิบัติและสับสนปนเป มันก็จะไปได้เรื่องอะไร มันก็จะต้องสามารถแยกแยะจัดกรอบขอบเขตขีดคั่นได้ มันก็ไม่สับสนก็จะรู้จักลำดับ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์
จะเป็นพระอรหันต์ต้องรู้สิ่งเหล่านี้หลักฐานก็มีในพระไตรปิฎกก็มี แม้แต่พระอาจารย์ต่างๆไม่ได้มาพูดถึงแต่ในพระไตรปิฎกก็มี อาจารย์บางท่านก็หยิบมาพูดถึงบ้าง แต่ผู้ที่ไม่เห็นความสำคัญไม่เข้าใจก็ไม่ได้หยิบมาพูดหรอก ผู้ที่จะหยิบมาพูดก็มีน้อย มีบันทึกไว้ในคำสอนในข้อเขียนข้อบรรยายของตัวเองที่ได้จากพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎกมา เหมือนอย่างอาตมาเห็นความสำคัญมากต้องเอามาขยายความ
มีคนบอกว่าอาตมารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ อาตมาก็รู้สิ
-
อาตมารู้ใจตัวเองรู้อาการใจตัวเอง
-
อาตมาก็ดูตามความหมายของภาษาบัญญัติที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้
-
ก็ยืนยันในหลักฐาน ของผู้รู้เอามารวบรวมไว้ ในพระไตรปิฎกก็ยืนยันอ้างอิง
-
เอามาอธิบายให้คนเข้าใจและปฏิบัติตามได้มีผลที่เป็นได้อย่างเช่นชาวอโศก
สิ่งเหล่านี้ใครๆก็มาแข่งยาก เกิดเป็นหมู่กลุ่มชาวอโศกมีพฤติกรรมสังคม สังคมมีศีลสังคมมีวรรณะ 9 สังคมเป็นสาราณียธรรม 6 อย่างนี้เป็นต้น เอาธรรมะพระพุทธเจ้าจึงยืนยันถึงขั้นสาธารณโภคี ซึ่งมันเป็นไปได้ง่ายๆที่ไหนแต่จริงๆคุณมีภูมิปัญญารู้ก็มาตรวจสอบไม่ได้ท้าทายอวดอ้างอวดดีอะไร เป็นเอหิปัสสิโกเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ได้ แม้ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้
ขอย้ำคำว่าอุเบกขา พูดกันเข้าใจกันทั่วไป แต่ไม่เข้าใจลึกซึ้ง เพราะว่านี่แหละเป็นฐานนิพพาน พื้นฐานของนิพพานอาการจิตแบบนี้ จิตว่างจากกาม จิตว่างจากอัตตา จิตกลางๆเป็นมัชฌิมา ก็มีคนถามมาอีก
_วันชัย สหมโนธรรม • การไม่กินเนื้อสัตว์ได้.ย่อมเป็นสิ่งดีแก่ตัวเราแน่นอน.ไข่หนึ่งฟองเท่ากับหนึ่งชีวิต “มังสวิรัติ”ไม่ไข่ไม่นม ควรทานทุกวันตลอดไป.
_อเนญชา นาคบัว • ขอสรุปคำว่าอุเบกขากับมัชฌิมาของพ่อท่านอีกครั้งนะครับ
พ่อครูว่า…ในพจนานุกรมแปลอุเบกขาว่าความมีใจเป็นกลาง ความวางใจเป็นกลาง อุเบกขาคือสภาวะธรรม ของผู้ที่ได้ปฏิบัติ เกิดพลังงานฌานเผากิเลส จนกระทั่งถึงฌาน 4 เลยสุดไปเป็นอุเบกขา กำลังกลางๆไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขาคือความมีใจเป็นกลาง เป็นผลของการปฏิบัติจิตที่สะอาดลงไป
ส่วน มัชฌิมา เขาก็แปลว่า มีในท่ามกลาง เกิดในท่ามกลาง หรือ ท่ามกลาง มันเป็นบัญญัติภาษากว้างๆ บอกถึงลักษณะของมัชฌิมา ลักษณะมันกลางๆ ในธรรมจักรกัปปวัตนสูตร บอกไว้เรื่องของมัชฌิมาปฏิปทา ปฏิปทา แปลว่า ทางปฏิบัติหรือวิธีปฏิบัติให้เกิดมัชฌิมา ให้มีใจในท่ามกลาง มันมีลักษณะมันเป็นซินโนนีม (synonym) หรือไวพจน์กับอุเบกขามีความใกล้เคียงในอุเบกขามาก แต่ในความละเอียดแล้ว อุเบกขาคือจิตของคนที่ปฏิบัติได้ แล้วมันจะมีลักษณะของอุเบกขา ท่านยังแจกแจงไปอีก 5 หมวดธรรม ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ส่วนมัชฌิมา บอกความกว้างๆ รวมหมดเลย หากเราไม่ติดยึดในกามกับอัตตาก็มัชฌิมา ก็คืออุเบกขาแล้ว เราก็มีใจอยู่ท่ามกลางความเป็น 2 อย่าง เป็นความเป็นกลางอย่างนั้นได้ นี่อธิบายโดยสภาวะ นี่อาตมาใช้ภาษาไทยขยายความให้ฟัง
สมณะฟ้าไท…ฟังธรรมะพ่อครูรู้เรื่องไม่ใช่เรื่องง่าย
พ่อครูว่า…ขนาดพวกคุณมาเข้าใจร่วมปฏิบัตินี้ ยังท่านฟ้าไท ก็คงไม่สึกแน่คงจะตายคาที่นี่แน่ ขนาดพวกคุณมาได้ขนาดนี้ก็ยังยากเลย แล้วคนอื่นก็ยิ่งยาก มาฟังธรรมะอาตมาเข้าใจไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรอก นี่ไม่ได้พูดยกย่องตัวเองให้หลงตัวหลงตน..ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องสัจจะเป็นอย่างนั้น
อาตมาอธิบายอุเบกขา ย้ำยืนยันบอกว่า มัชฌิมามันเป็นผลยืนยันของทางกลางระหว่าง กาม กับ อัตตา คุณถึงขั้นมีจิตใจอยู่ในความเป็นกลางมีในท่ามกลางได้แล้ว กามมันก็เป็นอยู่ในโลกของมันมีอยู่แล้ว อัตตามันก็มีอยู่เต็มไปหมด แต่เราไม่ได้เอียงไปข้างไหนไม่ว่าจะเป็นข้างของ กาม หรืออัตตา ไม่มีอันตา จิตเราไม่ไปเสพอัตตาไม่ไปเสพกาม เรียกว่าจิตว่าง จิตกลาง จิตบรรลุธรรมเป็นฐานของนิพพาน ทำได้เมื่อสัมผัสสัมพันธ์กับอะไรต่างๆนานา
พ่อครูยกแตงกวาพันธุ์อินเดียให้ดู มันยาวๆเหมือนบวบ…ที่พูดนี้ไม่ใช่ว่าอาตมามี กาม อยากกิน ก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นสิ่งที่เหมาะควรตามมหาปเทศ ก็อนุโลมตามสิ่งที่เหมาะควร สิ่งที่ไม่เหมาะควรอาตมาก็ว่า อาตมานี้ยอดนักตำหนิ ยอดนักว่า
สู่แดนธรรม…อันนี้รสชาติเหมือนแตงกวาทุกอย่างครับ (ญาติธรรมว่า ไปอินเดียก็ไม่ได้กิน)
_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ • จิตว่าง จะทำให้เราเข้าใจฐานจิตของแต่ละคน มองผู้อื่นอย่างเมตตา ปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์เหมือนเรา แต่จะไม่เร่งเร้า ไม่เบียดเบียนใจเขา อยู่กับเขาอย่างเข้าใจยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนใช้ชีวิตอยู่กับของมีพิษ แต่พิษนั้นไม่สามารถเข้ามาทำร้ายใจหรือกายเราได้
พ่อครูว่า…เหมือนกับผ้าขาวเมื่อสีอะไรมาถูกอันนี้สีแดงสีดำสีเขียวก็จะรู้ แยกแยะความแตกต่างได้ชัดเจนมีอะไรที่ไม่เหมือนหรือต่างรู้ได้ ภาษาพูดมาถูกหมดทำใจทำจิตให้มีสภาวะอย่างนี้ได้ถ้าจิตใจคุณทำสภาวะอย่างนี้ได้เป็นอรหัตตมรรคได้เป็นอย่างน้อย
_PinyaSawangsaeng(ภิญญา สว่างแสง) • กราบนมัสการค่ะ ชมจากจังหวัดร้อยเอ็ด ภาพและเสียงชัดเจนดีค่ะ
_ลอง เบิ่ง •…พระดีๆแบบนี้แถวบ้านผมไม่มี ไอ้ที่มีกลับเป็นผีมาบวชทำบ้านเมืองเดือดร้อนไปทั่วสูบบุหรีกินหมากฟาดเหล้าเบียร์ หาเงินเลี้ยงเมียเลี้ยงกิ๊กฯลฯ
พ่อครูว่า…มันเป็นมันมีจริงๆคนที่พูดมาไม่ได้พูดอะไรเลยแล้วมันก็เลอะเทอะ ศาสนามันผ่านมา 2500 กว่าปีแล้วก็ย่อมหย่อนยานและเสื่อมไปแล้วก็น่าเห็นใจมหาเถรสมาคม
ไปบังคับไปจำกัดเกินก็ไม่ได้ ก็ได้ข้อจำกัดประมาณนึง แต่คนก็ เฉโก ฉลาดเรื่องมันก็มาจนได้แล้วก็แอบเลี่ยง ทำปลอมเป็นนักบวช ถึงจะไม่ปลอมแต่ว่ากิเลสมันพาให้เป็นก็มีเรื่องราวอยู่เสมอ ก็เลือกเฟ้นสำหรับผู้ที่ใส่ใจก็ช่วยกัน สามารถทำให้สิ่งที่ไม่ดีหยุดไปเลิกไปได้ก็ไม่ดี หรือแม้แต่ทางบ้านเมืองทางกฎหมายจะช่วยจับสึกบ้างจับเข้าคุกบ้างเพราะว่ามันไปทำลายสิ่งที่(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท…พระข้างนอกมีข่าว ขับรถไปชนกิ๊กตาย รุนแรง อาตมาว่า พระสมัยนี้น่ากลัว น่ากลัวมากกว่าโยมอีก เถรสมาคมจึงออกข่าวว่าพระขับรถผิดพระขับรถไม่ได้..ก็ดี เพราะว่าเดี๋ยวนี้พระเณรขับรถเยอะแยะไปชนคนอีก เขาเลยออกกฎหมายว่าห้ามพระขับรถ แต่ของเราขับอยู่ในวัดห้ามขับออกไปก็ต้องระมัดระวัง อย่าไปเสี่ยงอย่าไปรีบร้อน
_ isara chinsawangwattanagul อิสรา ชินแสวงวัฒนานุกูล…….แล้ว พวกอวดตัวเป็นอรหันต์ แล้ว ที่ให้คนไม่ใส่รองเท้า แล้ว บอกไม่รับตังค์แต่มีทุนบุญนิยม ให้คน หลงเข้ามาเพื่อรับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ในอโศกคือ ปัจจัย สี่ คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่ ยารักษาโรค แล้ว ทำไมต้องมีน้ำตกในอโศก ต้องมีรูปปั้นตัวเองใน เจดีย์อโศกด้วย คืออะไร ยึดติดหรือไม่ยึดติด
พ่อครูว่า…อาตมาไม่แก้ข้อสงสัยคุณดอกปล่อยให้คุณงงสงสัยต่อไป คุณไม่เข้าใจก็เรื่องของคุณ เพราะว่าถ้าคุณจะพยายามทำความเข้าใจก็จะได้ประโยชน์บ้าง แต่ถ้าไม่ทำความเข้าใจแล้วสงสัยก็จะเป็นอย่างนั้นต่อไป เราเข้าใจข้อที่คุณติติงมา มันก็มีสภาวะมีรูปมีเรื่องตัวสภาวะรองรับจริงๆที่คุณพูด ถูกต้องที่คุณพูด แต่มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่มีกิเลสเข้าไปพัวพันสิ่งที่คุณต้องศึกษาให้ดีๆ เพราะว่าสิ่งที่มีกับไม่มีในโลกนี้ ผู้บรรลุความไม่มีแล้วก็มีได้ ผู้บรรลุความไม่มี จิตใจไม่มีกิเลสแล้วเป็นโลกนิโรธ ก็อยู่กับโลกสมุทัยนี่แหละ แต่เราดับสมุทัยได้แล้ว มันก็ไม่มีสมุทัย แต่ชีวิตมันยังมี มีพระสูตรบอกไว้ว่าเราเป็นผู้ที่ไม่มีแล้ว แต่เราก็ยังมีอยู่ นี่คือสัจธรรมที่เลี่ยงไม่ได้ เรายังไม่ตายอย่างสุดยอดหายไปจากโลกนี้ได้เลยอัตภาพก็หายไปด้วยเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ปรินิพพาน คือ ตายอย่างสิ้นรอบดับหมดเลยทำจิตให้แตก ธาตุจิตแตกเป็นอุตุนิยามเป็นดินน้ำไฟลมเลย ไม่จับตัวอีก อาตมาอธิบายไปหมดแล้ว เราก็ขออภัยที่ต้องพูดว่าไม่มีใครมาอธิบายอย่างอาตมา ขอยืนยันว่าไม่มี ยิ่งเป็นยุค 2,500 กว่า ที่ผ่านศาสนาพุทธมาไม่มีใครอธิบายอย่างอาตมา มีอาตมาอธิบายคนเดียวขอยืนยันอย่างละเอียดละออ ฟังแล้วอย่าเพิ่งเพ่งโทษ เพื่อให้เกิดการศึกษา
สู่แดนธรรม…คุณคนนี้ยังจับแพะชนแกะ ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
พ่อครูว่า…เรื่องพวกนี้ก็พอกับเขาไปบ้างก็ไม่เป็นไร ขอบคุณที่มอง พยายามหาขี้ไคลให้แก่อาตมา เอ๊..มันขี้ใคร ขี้ของอาตมาเองแหละแต่มองไม่เห็น ขอบคุณที่ช่วยบอก
_ ภาสกร เกวรรณ์….ผมเคยเห็นโอปปาติกะครั้งหนึ่งครับ มันมานอนข้างผมเลย ผมหลับตาแค่ 3 นาทีเห็น ลืมตามาไม่เห็น ลองหลับตาอีกก็เห็น ถ้าหลับตาจะเห็นแต่ถ้าลืมตาจะไม่เห็น ตอนนั้นผมเคยท้าเจ้าที่แถวๆร้านผมว่า ถ้าวันนี้ยอดขายไม่ได้ 2000บาทก็จะไม่เลี้ยงพิชซ่า วันแรกยอดขายไม่ถึงก็ไม่เลี้ยง วันที่ 2 ยอดขายไม่ถึงก็ไม่เลี้ยง พอมาวันที่ 3 ยอดขายเกิน 2000 บาท แต่ผมลืมเลี้ยง ผมว่าเห้อขี้เกียจออกไปล่ะ ผมเจอดีเข้าเลยอ่ะดิ ลักษณะมันคือ ตัวจะเหมือนคนตาย แต่หน้ามันจะคล้ายๆเปรต ปากเป็นรู ตากลมๆเกลือบหลุดออกจากเบ้า แล้วตามันค่อยๆโตขึ้นเรื่อยๆ มันนอนอยู่อย่างงั้นไม่ขยับไปไหน ถ้าจิตไม่แข็งพอจะเป็นบ้าได้เลย ขนาดผมเป็นคนจิตแข็งยังขาสั่น เคยเห็นคนเดินแบบขาสั่นมั้ย ประมาณนั้น แต่ผมไม่กลัวมันน่ะ ถ้ามาอีกรอบก็ไม่กลัว เพราะเคยมองหน้ามันเป็นนาทีล่ะ
พ่อครูว่า…ที่เล่ามานี้ เขาเรียกว่า มโนมยอัตตา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต แม้ว่าเขาเห็นผีเขาเห็นเปรต จะเป็นรูปร่างยังไงก็ตาม อุปาทานเขายึดไว้ เขาเข้าใจว่า มันต้องเป็นอย่างนี้เขาก็จะเห็นอย่างนี้ เขาปั้นเอง เป็นมโนมยอัตตา ที่จริงมันไม่มีจริงหรอก ใครมีอุปาทานอย่างไร ก็เห็นอย่างนั้น
เช่น คุณหลับตาปั๊บ จะมืดใช่ไหม แสงก็ไม่มี สีก็ไม่มี แต่คนที่ยังมีอุปาทานอยู่ หลับตาเข้าไปก็จะมีแสงสี ดีไม่ดีก็ทำแสงสว่างในตอนหลับตาได้เป็นอุปาทานทั้งนั้น แสงหรือสีที่คุณเห็น คนที่ยังมีอุปาทานในจิตใครก็แล้วแต่ จะเป็นพระอาริยะก็ตาม ยังไม่หมดอุปาทานนั้น หลับตาก็จะเห็นแสง สีม่วง สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีม่วง ก็หลับตาไปมันก็ต้องมืด ลืมตาก็สว่าง หลับตาก็มืด ยิ่งไม่มีแสงก็จะมืดชัดเจน ถ้ามีแสงมากก็จะมีบ้าง แต่ถ้าไม่มีแสงก็มีเลยอยู่ในที่มืดหลับตามันก็ต้องมืด ที่เห็นยิบยับๆ คืออุปาทานทั้งสิ้น คนที่ไม่หมดอุปาทาน หลับตาก็จะมีแสง ไม่ใช่แค่แสง มันจะมีเป็นดวงไฟขยายเข้าขยายออก เละไปหมด นี่คือพวกที่มิจฉาทิฏฐิไม่เข้าใจความจริงตามความเป็นจริง นี่ลึกละเอียดลงไปให้ฟัง
หากเห็นโอปปาติกะเป็นตัวเป็นตนนั้น มันไม่มีหรอก แต่เป็นมี เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิตเรียกว่ามโนมยอัตตา รูปที่คุณสร้างเองปั้นเองมีเองเป็นอุปทาน เป็นจริง อย่าง อาจารย์มั่น เรียกว่าเข้าฌานสนิท มีสมาธิสูงแล้วก็ไปสอนเทวดา เทวดามาจากต่างประเทศก็มีวิญญาณเป็นโอปปาติกะที่มีตัวตน นี่คือมิจฉาทิฏฐิทั้งสิ้น อาจารย์มหาบัวเขียนไว้ อาจารย์มั่นก็เล่าไว้บอกว่า เทวดาองค์นี้มาจากเยอรมัน พระอาจารย์มั่นก็สอนเทวดาที่มาเรียนรู้กับอาจารย์มั่น
นี่เป็นมโนมยอัตตาอย่างหนึ่ง ยิ่งเป็นตัวตนยิ่งเป็นรูปร่างยิ่งอยากมาก น่าสงสารบอกอาจารย์มั่นเป็นอรหันต์ยังไม่รู้ในอัตตา 3 โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา แม้ที่สุดให้เราหมดความยึดถือใน อัตตาก็อาศัยอัตตาได้
ขออภัยที่ต้องตำหนิอ.มั่น ก็เพราะว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิในศาสนาพุทธบอกให้รู้ เพื่อจะได้ไม่ไปหลงกัน มันจะทำให้เกิดความเสียหายเละเทะ อาตมารู้ว่าเขามีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ อาตมาพูดไปเขาก็จะชังน้ำหน้า อาตมาก็ยินยอมเสี่ยง เพื่อสัจธรรมที่ถูกต้อง อาตมามาทำงานเพื่อจะทำให้ศาสนาพุทธให้ถูกต้องขึ้นมา สิ่งที่ผิดพลาดจะปล่อยให้ผิดพลาดไปทำไม มันไม่ดี มันเสียหาย ก็ต้องตำหนิ ก็ต้องบอกความจริงใจ ส่วนคุณจะไม่เชื่อจะศรัทธาหรือไม่อาตมาจะไปบังคับคุณได้อย่างไร คุณศรัทธาสิ่งที่ผิดอยู่มันก็น่าสงสารก็บอกให้รู้ตัวหากว่าคุณมีปรโตโฆษะบ้าง อย่าไปยึดติดสิ่งที่ตัวเองยึดถืออยู่ อย่างที่อาจารย์มั่นทำนั้นอาตมาก็เคยผ่านเคยทำมาทั้งนั้น แต่อาตมาไม่มีอุปาทานเป็นเทวดาเยอรมันอย่างอาจารย์มั่นเท่านั้นเอง
ต้องขอโทษอย่างที่พระทั้งหลายอย่างที่อาจารย์มั่น อาจารย์มหาบัว ทำนั้นอาตมาผ่านมาหมดทำได้อย่างนั้นน่ะ แต่ว่าอาตมารู้แล้วว่ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิก็เอามาพูดมาบอก เอาสิ่งที่ถูกต้องมาพากันทำ อย่างที่พวกคุณเข้าใจกัน หลายคนไม่ต้องไปเสียเวลาไปหลง คนไหนไปลงก็เลิกเสียมาศึกษาสัมมาทิฏฐิให้ดีๆ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…ขออาสาสมัครผู้ชาย พา พ่อป่าเย็น กลั้นปัสสาวะไม่ได้ อาเจียนหน้ามืด ไปตรวจที่โรงพยาบาล ไปสมัครที่คุณพรตะวัน
พ่อครูว่า..ขอสรุปคำว่า โอปปาติกะ ซึ่งเป็นภาษาที่บอกถึง วิญญาณ ธาตุจิต ที่เป็นอะไรก็ได้ ผู้ที่ศึกษาเรียนรู้แล้ว จะรู้ว่าจิตที่มันเป็นอะไรต่างๆนานาที่เรียกว่าเป็นสัตว์ ผู้ศึกษาถูกต้องดีแล้วก็จะเรียนรู้ว่า อันนี้ไม่ใช่สัตว์ทั้งตัวตนบุคคลเราเขา ไม่ใช่ ช้างม้าวัวควาย มีแต่คนชาตินั้นชาตินี้ ไม่ใช่ อันนี้เป็นจิตวิญญาณเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ สัตว์ทางจิตวิญญาณเป็นเทวดา เป็นผีนรก เป็นต้น มีอีกเยอะรายชื่อ เป็นอาภัสรา เทวดาอาภัสราพรหม สุภกิณหาพรหม หรือรายละเอียดเป็น อากาสานัญจายตนสัตว์ วิญญาณัญจายตนสัตว์ อากิญจัญญายตนะสัตว์ เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ก็เข้าใจสภาวะจิต มันเป็นเช่นนั้นๆ อย่างนั้นๆ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนถึงสัตว์ทั้ง 9 ประการ ในสัตตาวาส 9 แล้วก็เรียนรู้สัตว์ทั้ง 9 ด้วยรูปนามคือ กาย
จะรู้ว่าตัวเองเรายังเป็นสัตว์ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง สัตตาวาสที่ 1 จะเป็นมนุษย์เป็นเทวดาเป็นผีเป็นมาร ก็เห็นต่างกันได้ กายต่างกันสัญญาต่างกัน อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นสัตตาวาส 9 ข้อที่ 1
-
สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
-
สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น . พวกนี้มี 2 อย่างแบบนั่งหลับตาก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้เหมือนพวกลืมตาปฏิบัติ แต่องค์ประกอบรูปงามคือกาย ต่างกัน