630626_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติศีล 5 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Z3f4SV9DbPkrENSAcbw-li5skMC7f9Y-hxwRganfEXA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1yOvNDHsXPxZiO2NEnsQYEXLU1qhFePUj/view?usp=sharing
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ประเทศไทยปลอดโควิดมา 32 วันแล้ว มีแต่คนติดมาจากต่างประเทศแล้วมาถูกกักตัว ประเทศอื่นๆคนป่วยคนตายจากโควิดกันมากมาย คนก็ชื่นชมการจัดการเรื่องโควิดของประเทศไทยกัน
พ่อครูว่า…เราก็มาฟังเพื่อความรับรู้ได้เลย เพื่อความเข้าใจที่ละเอียดลออลึกซึ้งมากเพิ่มขึ้นแล้วก็ปฏิบัติ
630626
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง
เมื่อก่อนลูกทำงานศิลปะแบบโลกๆ ขับเคลื่อนงานด้วยเงิน ด้วยโลกธรรม และเสริมกำลังด้วยการหาของอร่อย เสียงไพเราะ รูปสวย มาสังเวยเจ้าแม่กาม และแสวงหาความได้ดั่งใจ,สมใจ บำเรอเจ้าแม่ อัตตา จิตวิญญาณก็เลอะเทอะไปด้วยขยะเหล่านี้ แต่ ณ เวลานี้ ลูกโชคดีที่ได้มาอยู่กับหมู่กลุ่มที่ดีและมี สัมมาทิฏฐิของชาวอโศก ได้ฟังธรรมที่เป็นพุทธแท้ๆ ของพ่อท่าน พ่อครูว่า…ธรรมะนั้นไม่ใช่ของอาตมาแต่เป็นของพระพุทธเจ้า อาตมาก็เอามายืนหยัดยืนยันเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้ ก็ยังไม่มีไก่ตัวพี่คนอื่นมาประกาศ อาตมาก็ต้องขอยืนหยัดทำหน้าที่ไก่ตัวพี่ต่อไป หรือว่าถ้ามีก็แสดงตัวมา
และท่านสมณะ สิกขมาตุ ก็เมตตาย่อยธรรมะจากพ่อท่านให้ได้เข้าใจง่ายขึ้น ลูกก็นำมาปฏิบัติลดละตามลำดับจากรูปนอกไปหารูปใน ลูกขอกราบเรียนผล จากการฟังธรรมและการปฏิบัติ (impact) ดังนี้
พ่อท่านสอนศิลปะที่เป็น Abstract แบบโลกุตระ ซึ่งไม่มีใครในโลกนี้สอนได้
พ่อครูว่า…เรื่องนี้อาตมาก็ขอสำเนารับรองคำเสนอนี้ว่าจริง อาตมานี้สอนศิลปะ Abstract เป็นศิลปะในระดับที่มันรู้ได้ยากเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่างตัวตนให้เห็น ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดละออลึกซึ้งเป็นนามธรรม เป็นศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดม ซึ่งก็แสดงออก ยืนยันให้รู้ว่านี่คือศิลปะ ศิลปะไม่ใช่เรื่องความหลงรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ หรือว่าหลงเทคนิค ที่วิตถารขึ้นไปเรื่อยๆกับหลงเทคนิค เป็นฝีมือในการทำ ในการสร้างรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ให้วิตถารเพิ่มขึ้นแล้วไปสารพัด
อย่างอู๊ดเขาพยายามทำก็คือศิลปะ ทางโลกของเขาเอาขยะไปสุมเข้าด้วยกัน ไม่มีใครเหมือนหรอกเป็นชิ้นเดียวด้วย ชิ้นเดียวในโลกด้วย Master piece ตัวเองทำเองอีกทีก็ยังไม่เหมือน เป็นเรื่องที่เรียกว่า มันไร้รูปร่างจริงๆ มันเลยเถิดไปจนไร้รูปร่างไม่มีรูปร่างจนกำหนดไม่ได้พูดกันไม่รู้เรื่อง ตัวเองทำอีกก็ไม่ได้ มันก็เลยถือเป็นสัจจะไม่ได้ สัจจะมันจะต้องเป็นอันนี้ชัดเจน แล้วก็เป็นอีกยืนยันด้วยกันได้อย่างนี้อย่างนี้ เป็นสิ่งเดียวของใครของมันทำได้ เหมือนกันหมดเลย ของพระพุทธเจ้าจึงกระทั่งถึงพลเมือง เช่น ออกจากกิเลส ว่างจากกิเลสเหมือนกันหมดไปเป็นตามลำดับซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นที่ลูกศีรษะอโศกกำลังออกมา ว่าอาตมามาสอนศิลปะแบบ Abstract โลกุตระซึ่งไม่มีใครในโลกนี้สอนได้ก็ถูกต้องที่สุด พูดไปแล้วต้องขออภัยที่เหมือนกับยกตัวอย่างตน
ลูกได้น้อมนำคำสอของพ่อท่านมาจัด Composition ใหม่ให้กับตัวเอง ด้วยกระบวนการ Process คือ โพธิปักขิยธรรม 37 และ สัมมาทิฏฐิ 10 ที่เป็นสาสวะ และดำเนินด้วยจารณะ 15 แต่งแต้ม หรือ input ด้วยศีล และอปัณณกะ 3 เพื่อให้เกิด สัทธรรม 7 เกิดฌาน และ วิชชา 8 จนเข้าถึง ปัญญา ปัญญิณทรีย์ ในสัมมาทิฏฐิ 6 อนาสวะ และตรวจด้วย สังโยชน์ 10 และตรวจซ้ำอีกครั้งด้วย รูปฌาน,อรูปฌาน ในวิโมกข์ 8
พ่อครูว่า…ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ในข้อที่ 2 อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ จะมีตั้งแต่สัมผัสภายนอกจนถึงภายใน เป็นภาวะ 2 นี่ก็ยังไม่ค่อยตื่น เหมือนแทงด้วยหอกร้อยเล่ม เช้า กลางวัน เย็นก็ยังไม่ตาย เหมือนเอาน้ำรดหัวตอ รดหายๆ เหมือนเข็นเขาขึ้นครก เหมือนสีควายให้ตอฟัง ดีไม่ดีควายมันจะขวิดเอาให้
รูปฌาน อรูปฌานนี้ เป็นอนุบุพพวิหาร 9 เป็นสัมมาทิฏฐิของฌาน สมาบัติแบบพุทธ
ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ จะไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่จะมีได้ในผู้ที่มิจฉาทิฏฐิไปแปลว่าการดับทั้งสัญญาทั้งเวทนา เป็นสุภกิณหา ดับมิดเลย พวกนี้ก็พวกเดียวกับอาฬารดาบส อุทกดาบส อาฬารดาบส สะกดได้แค่ฌาน 7 ก็ดับแล้ว ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว มีอะไรก็ไม่รู้อีกแล้ว แต่อุทกดาบสจะรู้ ไปกดข่มอย่างไรมันก็ยังมีรายละเอียดขึ้นมารู้ได้อีก อุทกดาบสมีญาณปัญญาลึกกว่า สามารถรู้สิ่งที่เล็กละเอียดนี้ได้จึงไปได้อีก แต่ก็เป็นอุปาทานตัวสุดท้าย เนวสัญญานาสัญญายตนะ ที่ละเอียดเล็กนิดหน่อยจริงๆเลยส่วนอาฬารดาบสนิดนึงน้อยนึง ก็ไม่มี คืออากิญจัญญายตนะ แต่อุทกดาบส นิดนึงน้อยนึง ก็ยังมีอยู่นะ เป็นเนวสัญญานาสัญญายะตะนะ แต่เขาก็ดับไปอีก ทำวิกขัมภนปหาน ได้ นั่งหลับตาสะกด นี่คือ ความต่างระหว่างพวกเดียรถีย์ฤาษีโลกียะ ของพระพุทธเจ้าไม่ต้องดับหูหลับตา แต่มีสัญญาชัดเจน เวทยิตก็เคล้าเคลียอารมณ์ต่างๆ มีสัญญาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้อารมณ์ต่างๆ เวทยิตะ แปลว่า เคล้าเคลียอารมณ์ ทั้งเวทนา 108 ซ้ำแล้วซ้ำอีกทวนแล้วทวนอีก ก็ยืนยันว่า อ๋อ กิเลส ชัดเจนในตัวกิเลส อัตตา ก็ดับสนิทหมด สิ้นอรูป ชัดเจนแล้วก็ยืนนาน เที่ยงแท้ถาวรตลอดกาลไม่เกิดอีกแม้จะมาอีกอนาคตอีกเท่าไหร่ก็สู้ได้ทำได้ในปัจจุบันทุกปัจจุบันจนมั่นใจเลยจึงจบด้วยปัจจุบัน 36 สั่งสมลงเป็นพื้นฐานที่ช่วยกันกับปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต 36 ปัจจุบัน 36 รวมกันแล้วเป็น 72 ช่วยกันสู้กับอนาคตที่จะมาอีก 36 อนาคตมาถึงเมื่อไหร่ก็เสร็จ 72 ทั้งนั้น 2 ต่อ 1 นี่คือ เวทนา 108 อาตมาก็ค่อยๆอธิบายพวกนี้
เวทนา 2 คือ กายิกเวทนา(เน้นภายนอก แต่ต้องมีจิตรับรู้) กับเจตสิกเวทนา (เน้นมาหาจิต โดยเฉพาะเวทนา)
เวทนา 3 คือ สุข ทุกข์ อุเบกขา
เวทนา 5 คือ ภายในภายนอกแล้วก็อินทรีย์ที่ต่างกัน
เวทนา 6 ก็ เวทนาทางทวารทั้ง 6 ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เวทนา 18 เวทนา 6 แต่ละเวทนาก็เป็นได้ทั้ง สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์
เวทนา 36 ก็คือ เวทนา 18 แยกเป็นสองฝ่ายคือ เคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา เป็นมโนปวิจาร 18 สองฝั่ง นี่แหละคือคู่สำคัญที่สุด หากไม่สามารถแยกแยะเวทนา 2 เคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา ในองค์ประกอบของแต่ละ 2 อันนี้ก็คืออย่างละ 18 มโนปวิจาร หากอวิชชาก็เคหสิตะ จะมีสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้จากตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็รวมเป็น 18 โลกียะธรรมดาโลกมันก็มีสุขทุกอย่างนี้หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ทางโลกียเขาก็ทำได้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว หรือแม้แต่ไม่สุขไม่ทุกข์บางคราว แต่เจตนามีวิธีทำเป็นโลกียะกดข่ม ทำสมาธิโลกียะ จนเกิดอุเบกขาเป็นฌาน 4 เขาก็ทำได้แต่ไม่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า
ผู้ที่รู้จักวิธีการ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ…
สมณะฟ้าไท…
พ่อครูว่า…มโนปวิจาร แบบเคหสิตะ คือแบบโลกีย์ธรรมดา อยังโลโก ผู้อวิชชาหลงอย่างนี้ทั้งนั้น ทุกคนจะผ่านทุกคนจะมีจะเป็นแล้วหลงสุขนิยม แต่ของพระพุทธเจ้า ลดสุข ลดทุกข์ รู้ว่า สุข ทุกข์เป็นมายา เป็นภาวะคู่ เป็น เทวะ แปลว่าสอง แปลว่าคู่ อันนี้ยิ่งใหญ่มาก อันนี้เทวะตีภาวะคู่ไม่แตก หรืออย่าไปแยกนะนี่เป็น 1 บัญญัติกับสภาวะเป็นหนึ่งเลยเทวนิยมห้ามแบ่งแยก เลยกลายเป็นศักดินาเป็นภาวะ 1 ไม่เป็นสภาวะของธาตุรู้คือจิตที่จะต้องแยกแยะตั้งแต่หยาบถึงละเอียด จนสุดท้ายมันไม่ใช่พระเจ้ามันไม่ใช่เทวดาไม่ใช่อะไรเลย มันเป็นอนัตตา เทวนิยมไม่มีอนัตตา มีแต่เทวะนิรันดร
เขาตีไม่แตกแยกไม่ได้ แล้วอย่าแยกอย่าแตกด้วย สูงที่สุดเป็นหนึ่งแล้วคำสอนที่เป็น 1 นี้ก็เป็นคำสอนที่ตายแล้วไม่ขึ้นอยู่กับเวลาองค์ประกอบอะไรอย่างอื่นหมดเลย เป็นคำสอนที่ตายเป็นคำสอนหนึ่งเดียว จะมีอะไรอย่างอื่นก็ช่างจะต้องมีอย่างนี้เป็นอย่างนี้เท่านั้น มันก็เลยเป็นความแคบเป็นความหลง 1 อย่างตื้นๆ เพราะหลงว่าตนเองถูก คำสอนของฉันเป็นประกาศิต คำสอนของฉันไม่ขึ้นกับกาละ ไม่ขึ้นกับองค์ประกอบใด ดินน้ำไฟลม ไม่ขึ้นอยู่กับสังขารปรุงแต่งของยุคสมัย ไม่เกี่ยว ต้องเป็นอย่างที่ฉันว่า แล้วใครจะเข้าใจอย่างไรมันก็จะง่ายก็เลยรู้กันได้ง่าย แล้วก็รู้ได้ตรงกันเป็นหนึ่งกำหนดลงไม่ต้องทำอย่างอื่นอีก 1 แล้วไม่มีอะไรต่อ
เรื่องของศิลปะที่จะรู้จักการสังขารคอมโพซิชั่น ทำออกมาปรุงแต่งจัดแจงออกมา แล้วทำคล้ายกับ creaitve หรือ design เป็นงานให้คนอื่นเอาไปใช้ไปเรียนรู้ เป็นนามธรรมก็ได้อย่างของอาตมาเป็น abstract นามธรรมลึกซึ้งจึงยาก แต่เขาตีความ abstract เป็นแบบไร้รูปร่าง ไม่มีเป้าหมาย เลยไม่เป็นมงคลอันอุดม ไม่ใช่เรื่องอุตระคือเหนือโลก ที่เขาทำกันมันไม่ได้เหนือโลก ความหมายของโลกุตระคือหลุดพ้นสิ่งที่คนติดยึดเป็นทาสโลกแต่เราหลุดพ้นมาได้ รู้ว่าเป็นอย่างนี้แต่เราก็มาทำแต่ละขั้นแต่ละอย่าง แล้วเราก็ช่วยเขาเท่าที่เรามีภูมิรู้ ให้เขาหลุดพ้นมาเป็นลำดับ อย่างคุณลูกศีรษะอโศกที่เรียบเรียงมา
จนบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ จบในแต่ละเรื่องเรื่อง ตามกำลังปัญญา และเจโตของตัวเอง ลูกปฏิบัติมา 22 ปี ก็ได้รู้จักความสงบกาย สงบใจลงบ้างเล็กน้อย ทุกข์ลดลง สุขลดลงบ้างเป็นบางเรื่อง และได้ลิ้มรส ความเป็นกลางบ้างบางเรื่อง เช่น ไปทำงานที่ตัวเองไม่ชอบไม่ถนัด ก็ทำด้วยความยินดี ไม่ดูด ไม่ผลักในงานที่กำลังทำ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทำงานกับคนที่ไม่ชอบ (คิดแล้วก็สยอง) กลัวมากๆ ค่ะ
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ลูกก็ได้จากการฟังธรรมของพ่อท่าน สมณะ สิกขมาตุ ลูกก็นำมาฝึกเรียบเรียงหมวดธรรมตามปัญญาอันน้อยนิดของลูก และลูกขอถวาย สู่แดนทองฉลอง 50 ปี ของพ่อท่านค่ะ ผิดถูกอย่างไร ของความเมตตาพ่อท่านชี้แนะด้วยค่ะ ทุกวันนี้ลูกฟังธรรมเป็นยา เป็นอาหาร หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ลงไปสู่องค์แห่งมรรค คือ ทางที่ถูกตรง กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งค่ะ
SMS วันที่ 24-25 มิ.ย. 2563
_Goong PongpremDhamma Piyakij (กุ้ง ปองเปรมธรรม ปิยะกิจ) · กราบนมัสการท่านสมณะฟ้าไท ท่านสมณะและท่านสิกขมาตุทุกท่านค่ะ. ชมผ่านมือถือชัดเจนทั้งภาพและเสียงค่ะ
_สุดชดา ทรรศนะวิเทศ · อุเบกขาเป็นQuality มัชฌิมาเป็นQuantityได้ไหมคะ?
พ่อครูว่า..Quality คือคุณภาพ Quantity คือปริมาณ ถ้าจะให้พยายามเข้าใจสภาวะให้ละเอียดลึกซึ้งทำความเข้าใจกันและกันอาตมาก็ตอบได้ว่าได้ อุเบกขาเป็นQuality มัชฌิมาเป็นQuantity หรือ อุเบกขาเป็น Proper noun มัชฌิมาเป็น Common noun
มัชฌิมาเป็นคำตื้อๆตันๆใหญ่ๆรวมๆ แยกยังไม่ออก แต่ก็บอกว่าความเป็นกลาง อุเบกขาข้อความเป็นกลาง แต่อุเบกขาแยกสภาวะได้ มัชฌิมาเป็นคำรวม Common noun แต่อุเบกขาเป็นนัยยะละเอียดที่ผู้ที่มีภูมิธรรมรู้ระดับเดียวกันจะรู้ได้ แต่คนไม่มีภูมิธรรมไม่รู้ จะรู้แต่แท่งหยาบใหญ่ อย่างมัชฌิมา แต่อุเบกขาเขาจะเข้าไม่ถึงแยกไม่ได้ เป็นคำสลับไปมา สิริมหามายา
นัยละเอียดของศีล 5
_Aroonwun Tata (อรุณวรรณ ทาทา) · เมื่อก่อนเวลาสมาทานศีล 5 มักจะท่องบ่นไปหยั่งงั้นๆ แต่เมื่อฟังธรรมพ่อท่านผ่านยูทูปเรื่อยๆ เริ่มที่จะทบทวนทุกครั้ง ศีล 5 นั้นไม่ง่ายอย่างที่เราคิด ตัวลูกเองยังต้องขัดเกลาอีกมาก โดยเฉพาะข้อมุสา ข้อนี้ถือว่ายากมากเหลือเกิน แต่ก็จะพยายามเจ้าค่ะ
-
พ่อครูว่า..คุณคนนี้ไปเข้าใจมุสาเป็นวจีกรรม ซึ่งวจีกรรม นั้นเป็นเรื่องขยายออกมาจากกายกรรมด้วยซ้ำไป กายกรรม ในศีลข้อ 1 2 3 เป็นองค์รวมใหญ่ ศีลข้อ 4 เป็นวจีกรรม ศีลข้อ 5 เป็นมโนกรรม คุณบรรลุ 1 2 3 ก็ควบคุม วจีกรรมได้ ล้างกลิ กิเลสออกได้ จิตก็จะมีคุณสมบัติ ตั้งแต่ กามที่เกี่ยวกับสัตว์หรือโทสะที่เกี่ยวกับสัตว์ แล้วก็กามกับโทสะที่เกี่ยวกับวัตถุ พืช ในข้อ 2 แล้วจึงมาเกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายในข้อ 3
จริงๆแล้วในข้อ 3 ตาหูจมูกลิ้นกายนี่แหละ มันก็ไปเป็นสภาวะของการสัมผัสแล้วก็เกิดปฏิกิริยากิเลสเกิดกับสัตว์ กับวัตถุและพืช ในข้อสองที่เป็นพีชธาตุ อุตุธาตุ ส่วนข้อ 1 เป็นจิต ส่วนข้อ 3 เป็นตัวไปยึดถือกับสัตว์ ซึ่งก็มี 2 อย่าง ดูดกับผลัก รักกับชัง เมื่อมาถึงวัตถุกับพืชก็มีทุจริตหรือสุจริต เป็นวัตถุดินน้ำไฟลมหรือพืชทุจริตหรือสุจริต
ส่วนข้อที่ 3 ตาหูจมูกลิ้นกายเกี่ยวข้องกับทั้งสัตว์วัตถุและพืช ตากระทบสัตว์ วัตถุ เพชรนิลจินดาแก้วแหวนเงินทองหรือกระทบกับพืช พืชกับวัตถุ คุณจะทุจริตหรือสุจริต
สัตว์นั้น จะว่าไปแล้วมันทั้งกว้างทั้งลึก มีทั้ง ทุจริต สุจริต มีทั้งเมตตาหรือใจร้าย จึงเป็นองค์ประกอบที่เยอะ หยาบ เรียนรู้ได้ต่างๆนานา คนที่มีหยาบอย่างนี้ก็ต้องล้างของใครของมัน พอได้ระดับหนึ่ง แค่เหลือทุจริตกับสุจริตเท่านั้นกับสัตว์ เพราะว่าสัตว์นั้นมีทั้งจองเวรจองกรรมมีรักมีชังข้ามชาติ แต่วัตถุกับพืชมันไม่มี แต่เราต่างหากจองเวรจองกรรมข้ามชาติ ติดแตงโมมาไม่รู้กี่ชาติ รักแตงโมมาไม่รู้กี่ชาติชังแตงโมมาไม่รู้กี่ชาติ แตงโมมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก คุณเป็นผู้ที่มีจิตโง่ๆไม่เข้าเรื่องเองของคุณเอง
จะค่อยๆรู้นัยะที่เป็น 2 หรือเรารู้ว่าสัมผัสแล้วไม่มีผลัก ไม่มีดูด มันก็เป็นเช่นนั้นของมันเอง เราเกี่ยวข้องกับมัน เราจะทำประโยชน์กับมันได้ไหม อย่างเช่นสัตว์นั้นพระพุทธเจ้าจบที่คำว่า หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ในศีลข้อที่ 1
สัตว์ทั้วปวงอย่างไปยุ่งกับมัน หวังประโยชน์กับมันแล้วปล่อยมันไปตามยถากรรมตามวิบาก นอกจากว่าเราแน่ใจว่าเราจะช่วยสัตว์พวกนั้นได้ ช่วยอะไร อย่าไปช่วยให้มันติดกับในเรื่องวนเวียนวัฏฏสงสารอีก ติดรักติดชัง ไปสร้างความรักความชังให้มันอีก หมามันไม่รู้เรื่องก็ไปสร้างความรักความชังให้มัน อย่างอาตมาเคยมีหมามาที่หลังบ้าน ก็เอาไปให้ห้องภาพสุวรรณเลี้ยง เขาก็ตอนมันแล้วก็เลี้ยงมัน จนกระทั่ง ก๋วยเตี๋ยวหากไม่ปรุงแต่งมันไม่กินนะ ขนมปังถ้าไม่ทาเนยไม่ทาแยมมันไม่กินนะ นั่นคือไปสร้างอะไรใส่ความยึดติดปรุงแต่งให้มันเสียหมาหมดเลย คนนี่แหละทำ ไปหลอกล่อสัตว์เอามันมาใช้ ให้ความรักความผูกพันกับมัน คุณเอ๋ย มันก็อยู่ของมัน มันก็เกิดเป็นสัตว์ การไปรักมันไม่ได้หมายความว่าเราหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ คุณไปผูกพันกับมันเอง
นี่คือนัยยะละเอียดลออ ที่จะไปล้างความติดยึด ให้ความเป็นสัตว์ก็ดี ยิ่งความเป็นวัตถุ ความเป็นพืช มันไม่มีความรู้สึกต่างๆเหมือนสัตว์เลย คุณคนเดียวแท้ๆ บ้า ไปยึดติดไปผูกพันมัน เสร็จแล้วอยากได้สิ หรืออยากจะผลักก็ทำลาย มันก็ทำลายได้ง่าย เพราะว่ามันไม่มีความโต้ตอบ หรือว่าคุณจะได้เป็นของฉัน ก็เกิดการทำอย่างไม่เหมาะควรก็เกิดการทุจริต ไม่สมดุล หรือไม่เสียสละ ถ้าสมดุลก็จะดีหน่อย ถ้าเราเสียสละซะ ก็จบ เพราะเราเป็นผู้เสียสละ เราเป็นเจ้าหนี้ เราไม่ได้เป็นลูกหนี้ แต่คุณไม่เสียสละ คุณไปเอาเปรียบมา คุณไปได้เปรียบมา คุณกลายเป็นลูกหนี้ คุณไปได้เปรียบมาไปเอาเปรียบมา คุณกลายเป็นลูกหนี้ แต่คุณไม่เอา คุณเสียสละด้วยความเต็มใจ แล้วไม่คิดดอกเบี้ยเลย ให้ไปเลย นอกจากให้ไปแล้วยังไม่ยึดติดเป็นเราเป็นของเรา ไม่มีสาเปกโขอีก เป็นความลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า เราก็ไม่เป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ อโหสิกรรมหมดเลย นี่คือธรรมะที่สุดยอดของพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า..ตกลงคุณอรุณวรรณ ทาทา เข้าใจศีล 5 ละเอียดลึกซึ้งได้ยิ่งขึ้น อาตมาเคยเขียนขยายศีลข้อ 1 2 3 จำได้ว่าได้เขียนขยายความไปทั้ง 3 ข้อ อธิบายแยกแยะศีลแต่ละข้อ
_Banthita Vogt (บัณฑิตา วกต์)· กราบนมัสการหลวงปู่ ท่านสมณะทุกรูป เจ้าค่ะ รับชมที่เยอรมนีภาพและเสียงชัดเจนค่ะ
_สติพล จนพัฒนา · ที่สุดแห่งการฟังคือการฟังธรรม…ที่สุดแห่งการตามคือตามธรรมครับ.
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
พ่อครูว่า..อย่างของคุณอู๊ดที่ทำมานี้เอาอะไรมาปะๆ อาตมาให้ชื่อว่าศิลเปรอะ ได้อัตตาไป ไม่รู้ว่าอะไรคือสารศิลป์หรือสุนทรียศิลป์ อาตมาเคยท้วงคนอยู่ตอนหนึ่ง เขาไปประกวดงานศิลปะแต่ละปีมาได้ชนะ มีอาจารย์คนหนึ่งตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นอาจารย์ ได้รางวัลที่ 1 ได้เหรียญทอง ก็มีคนไปสัมภาษณ์ว่ารูปของท่านเป็นรูปเสื้อส้มอยู่ในไม้ธรรมดา คนสัมภาษณ์ก็บอกว่าเป็นศิลปะของอาจารย์ได้ที่ 1 เหรียญทอง มันมีความหมายว่าอย่างไรหรืออาจารย์ …เขาก็บอกว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
อาตมาก็ว่า เวรจริงๆ คนเขียนก็ไม่รู้ว่าเขียนอะไรออกมาสาระของมันคืออะไร อาตมาก็สมเพชเวทนา ทุกวันนี้เขาก็เป็นศาสตราจารย์เป็นศิลปินแห่งชาติ
สู่แดนธรรม…ผมจำ Concept ของท่านได้ ท่านตั้งชื่องานของท่านว่า จิตใต้สำนึก
พ่อครูว่า…ของตัวเองสื่อออกมาแล้วก็ยังอธิบายไม่ได้ คนทำยังไม่รู้ว่าคืออะไร จะให้คนอื่นรู้ได้อย่างไร แล้วก็ไปตั้งชื่อว่าเป็นศิลปะแบบ Abstract คือศิลปะที่ไร้การกำหนด ไร้รูปร่าง ใครจะมากำหนดไม่ได้ต่างคนต่างคิดไป ใครจะคิดอย่างไรก็ได้ มันก็บ้ากันสิ
สู่แดนธรรม…ท่านก็คงไม่อยากตอบตามความคิดของท่าน ให้คนอื่นคิดไปเองได้
พ่อครูว่า…เราต้องพยายามให้คนคิดให้ให้เข้ากรอบไปสู่เป้าหมาย เป็นโลกุตระ ต้องเป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย เป็นไปเพื่อความถูกต้อง ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะไปนับถ้วนได้อย่างไร ใครจะไปอย่างไรก็ได้ เป็นศิลเปรอะไปหมด มีอิสระไม่สิ้นสุด
ศาสนาพุทธนั้น ทางยุโรปทางตะวันตก เขาไม่มีความรู้ทางด้านศาสนาพุทธ อเทวนิยมหรือเป็นโลกุตระ เขาจึงไม่มีความชัดเจน เขาจึงไม่สามารถที่จะเจริญในศิลปะเข้ามาหาโลกุตระได้เลย ยาก ไม่มีทางเลย แล้วก็เป็นคนหมู่มากด้วย อย่างนั้นเราก็เคยรู้เคยบ้ามาอย่างนั้นแล้ว เคยเขียนมา ตั้งแต่ drawing จนกระทั่ง painting อาตมาเขียนส่งๆไปอย่างนั้นมั่วไปเลย ต้นฉบับตอนนี้ไม่เหลือแล้ว รู้ตัวเองว่าเขียนมั่วไป ให้คนไปตีความเอง ก็เขาเข้าใจอย่างนั้น บอกว่าตีความได้หลากหลายนี่คือสุดยอด แล้วเขาก็มีจุดเหมือนกันว่า จะต้องเข้าถึงจิตวิญญาณนะเขาก็มีอันนี้อีก แล้วจิตวิญญาณอะไร ก็เป็นจิตวิญญาณบ้าบอ จิตวิญญาณมีอัตตา เป็นตัวข้าตัวกู วิจารณ์ไปก็ได้แต่ศัตรู แต่ก็มีผู้ที่ตั้งใจศึกษาหาความรู้ชั้นสูงก็จะได้ประโยชน์แม้จะมีน้อยก็ตามไม่เป็นไร คนที่จะฟังเป็นศัตรูไปร้อยคนอาตมาก็ขอยอม เพราะฉะนั้นเพื่อนๆที่อยู่ในวงการศิลปะ ที่เคยผ่านมาทำงานมา แต่ละคนนั้นก็จะแขยง หาว่าไปด่าไปว่าเขา ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะสัจจะมันก็เป็นอย่างนั้น ตัวบุคคลก็อย่างหนึ่ง เราก็ไม่มีปัญหาอะไร
_Pratum Oumkao (ปทุม อ่วมขาว)· รายการมีประโยชน์ค่ะ
_Nawaporn Khuansamran (นวพร ขวัญสำราญ) · ชาวหินผากำลังรับฟังธรรม ชัดเจนดี
_Boy Mungchomklang (บอย มุ่งชมกลาง)· ฟังพ่อครูบรรยายธรรมซ้ำๆ หลายครั้ง หลายครา ทำให้ได้ลดละสิ่งที่ยังค้างยังคาลงได้เรื่อยๆ เมื่อปฏิบัติตามลำดับ ก็ได้สิ่งที่แปลกใหม่ เพราะผมยังล้าหลังอยู่ แต่ก็ยินดีอยู่เสมอๆที่พอได้ลดความโง่ของตนเองลงบ้างเท่าที่ได้ครับ ซึ่งผมก็ยังมีข้อบกพร่องที่จะต้องพัฒนาตัวเองตามลำดับอีกมากครับ อยากจะขอความเมตตาจากพ่อครูให้ปัญญาชี้แนะด้วยครับ เรื่องมีอยู่ว่า
1.ผมเป็นคนที่ติดในรสชาติของอาหารอยู่ ควรจะพิจารณาอย่างไรดีครับ
2.หลายครั้งที่ไม่หิวแต่ก็ มีกำลังที่น้อยที่จะสู้กับความอยากไม่ค่อยได้ครับ…กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า…คุณบอกว่าหลายครั้งไม่หิวแต่ก็ทนความอยากไม่ได้ แสดงว่าคุณก็พอรู้ว่าความอยากเป็นอย่างไร คำว่าความอยากนี้คุณเข้าใจแล้ว แล้วเอามาเปรียบเทียบเอามาถาม อย่างอาตมาไม่เคยหิวข้าวหิวน้ำ อย่างน้ำก็มีผู้คอยให้ดื่มๆ จนอาตมาตั้งให้เป็นอธิบดีกรมประปา ก็พูดเย้ากันเล่นไป เป็นประโยชน์ คือบางทีมันไม่สมดุลก็ต้องเติม อาตมาก็เข้าใจก็ค่อยเป็นไป
หิวกับอยากมันต่างกัน อยาก มันเป็นความแส่หาของกิเลสเป็นตัณหา ส่วน หิว เป็นความต้องการของร่างกาย และในความหิว อย่างอาตมาไม่หิวคือตัดทิ้งพยัญชนะความต้องการของร่างกาย อาตมาก็เลยไม่รู้ ก็ต้องมีคนคอยดูแล
อย่างเช่นอันนี้ๆ เช่นทุเรียนนี้ กินมากไปแล้วก็ควรหยุด หรืออย่างแป้งมากไปก็เปลี่ยนเป็นใถั่ว จนตอนนี้น้ำหนัก 54.9 แล้ว คืออาตมานี้ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา คือ เราให้ผู้อื่นเลี้ยงไว้ เรามีหน้าที่ทำงานก็ทำงานไป มันไม่ทัน เพราะ 1.ของเรามีเยอะ 2.คนจะรับก็มีเยอะ ที่จริงอาตมายังเอื้อมไปได้อีก แต่พวกเราก็ดี ช่วยขยายละเอียดลออไปให้ก็ช่วยกัน
1.ผมเป็นคนที่ติดในรสชาติของอาหารอยู่ ควรจะพิจารณาอย่างไรดีครับ
พ่อครูว่า…อันนี้แหละจะต้องพิจารณาไปตามคำสอนพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนเลยว่า มันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนมันไม่มีตัวจริง เพราะฉะนั้น รสอร่อยหรือรสอาหารที่เป็นอัสสาทะแล้วมันไม่เที่ยงมันไม่คงที่ บางทีเขาชั่งตวงวัดมาเลยอย่างเก่า แต่ทำไมวันนี้มันถึงไม่ค่อยอร่อย หรือปรุงเองด้วยซ้ำ มันก็เกี่ยวกับจิตของคุณเองที่ไปยึดถือบางทีมันก็เซ็ง กินมันก็ไม่อร่อย อะไรก็ได้ทำให้เซ็ง มันเป็นเหตุปัจจัยมันไม่เที่ยงมันไม่ใช่ของแท้ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ความลึกซึ้งอันนี้ลึกซึ้งมากเลย เพราะถ้าคุณสมใจคุณก็สุขคุณไม่สมใจคุณก็ทุกข์ นี่สรุปเข้าเป้า แล้วสุขทุกข์มันไม่มีจริง มันมายา
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงดับทุกข์ดับทุกข์หมดเลย รู้เลย แล้วไม่ใช่ไปอยู่ป่าแล้วไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ใช่ แต่อาการเวทนาความรู้สึกของคุณไม่มีอาการสุขไม่มีอาการทุกข์ ไม่มีอาการโสมนัสไม่มีอาการโทมนัส ไม่มีเลยจริงๆ จิตของคุณต้องเป็นอาการกลางอย่างนั้นจริงๆเลย ไม่ใช่ไปนั่งมันเป็นมันมีแต่คนไม่รู้ว่ามันมีมันเป็นเข้าใจไม่ได้ ไม่ใช่ คุณต้องเข้าใจให้ได้ว่ามันมีนะ แล้วเดี๋ยวนี้ทำให้มันไม่มีได้ คุณจะเปรียบเทียบเองได้ แต่ก่อนมันมีคืออย่างนี้ แล้วตอนนี้มันไม่มี มันต่างกันของคุณเอง ลิงค หรือเพศ ที่มันไม่เหมือนกัน คำว่าเพศ หรือลิงคะ ทำความแตกต่าง
ลิงค เป็นภาษาบาลี เพศ ก็เป็นภาษาบาลี มันต่างกัน ความต่างกันคือมันไม่เป็นอันเดียวกัน จนมันไม่มีเลย หรือมันมีเหลือนิดนึง มันก็แยกกันยาก ก็เคยอธิบายพูดมาไม่รู้กี่ที คุณต้องอ่านอาการที่เป็นนามธรรมละเอียดลออพวกนี้ให้ชัดเจนไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ต้องไป ฮึดฮัดว่าเราไม่รู้ ให้เรียนรู้ไปจากของจริงที่คุณเกี่ยวข้องในชีวิตสามัญ แล้วคุณก็มีสติสัมปชัญญะ รับรู้ และศึกษามีธรรมะวิจัย ว่าเราลดลงแล้วนะ ตัวธาตุรู้คือ ปัญญานี่ มันมีฤทธิ์เข้าใจ ว่าแต่ก่อนมันมี แต่ตอนนี้มันจางคลาย ก็จะเป็น วิราคานุปัสสี จนมันดับ นิโรธานุปัสสี อ่านในปัจจุบัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่สัมผัสอยู่ในเหตุในปัจจัยนั้น
ตอนนี้มีแตงโมลูกนี้อยู่กินยังไม่หมดลูกเลย ขนาดลูกนี้แท้ๆทำไมชิ้นนี้มันหวานทำไมชิ้นนี้มันจืด ชิ้นนี้มันฉ่ำดีเช่นนี้ไม่ฉ่ำเลย ชิ้นนี้มันขาวแดงๆนี่มันแดงแจ๊ด แม้แต่ในลูกเดียวกัน คุณก็รู้ในรายละเอียดพวกนั้นเลยมันก็เป็นอย่างที่มันเป็น คุณก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงนี้ แล้วจิตใจคุณก็ไม่วูบวาบไม่ผลักไม่ชัง จิตของคุณนิ่งกลาง คุณจะสามารถอ่านอาการจิตที่คุณเป็นกลาง ในจิตนี้ จิตของคุณไม่ไปไม่มา ไม่มีอันตา ไม่ไปข้างนี้ ไม่ไปข้างนั้น เป็นอาการนิ่งอยู่ตรงกลาง ไม่ไปทางกาม ไม่ไปทางอัตตา เลย
ในทางกาม มันหยาบ เพราะฉะนั้น จะละได้ก่อน สัมผัสภายนอก ได้แล้วมันก็เหมือนมีภายนอกเหมือนกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ถ้าอยู่ข้างในเรียกว่า รูปราคะ ขั้นหยาบภายในก็ล้างอีก เรียก รูปราคะ หมดไปก็เหลือละเอียดเป็นอรูปราคะ คุณก็ลดล้างอีก เป็นอาสวะ ก็รูปราคะ อรูปราคะ ลดได้ก็จะมีมานะ ถือดี เราเองดี เป็นตัวตน ดีไม่ดีก็เป็น มานะ อติมานะ เป็นอุปกิเลส คุณก็จะติดอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าคุณลดลงได้อีก ก็จะเหลือเศษเล็กเศษน้อยธุลีละอองเป็นอุทธัจจะ ฟุ้งฝอย ละเอียดลอออยู่ อาสวะก็เป็นของที่รู้ในระดับนอกเลย
อนุสัยก็จะเป็นเรื่องภายในเลยเป็นเรื่องซับซ้อน
อนุสัยมี 7
-
กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
-
ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
คุณจะต้องมีสัมมาทิฏฐิ รู้ว่ามีของลึกๆภายใน อนุ ตัวตนน้อยๆอยู่ภายใน เป็นตัวตน สยะ (สก สว สยะ) สยะ เป็นตัวต้นที่สุดเลย ย ร ล ว (ตัว ว คือ ปรุงแต่งออกมาจาก 3 ตัวแรก) ว ตัวนี้ไม่ใช่ สกะ สกะยิ่งหยาบ แต่สยะ นี้ตัวเล็กตัวเริ่มหมดอนุสยะ คือหมดทุกสิ่งทุกอย่าง สยะ ตัวเล็กสุดเรียกอนุสัย หมดตัวนี้จบเลย เมื่อเหลืออนุสัย 7 ต้องมีทิฏฐิที่สมบูรณ์ หากไม่สมบูรณ์จะต้องทำให้สมบูรณ์ให้ได้ จนพ้นวิจิกิจฉานุสัย
-
ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
-
วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า) ก็เรียนรู้ มานานุสัย ตัวตนที่ละเอียดลึกลงไป กลับตัว ภว คือรูปที่ละเอียดกว่ารูปราคะ อรูปราคะ
-
มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
-
ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด) เป็นรากฐานของราคะ ราคะมันรวมทั้งปฏิฆะเลย มันเป็นตัวผลักตัวดูดเลย ภวราคานุสัยหากหมดก็หมดอวิชชานุสัย ก็สิ้นสุด
-
อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)