ก.ค.82020ศาสนา630708_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอนที่ 10 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1D_-IQp-37CD5fA-R2bi93m2b-gE5fphV2J0I-aiNlfA/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1k-FOcla166y3yaOBln0x_MtGwju_c6Yb/view?usp=sharing สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ช่วงเข้าพรรษา ก็จะมีคนมาบำเพ็ญบารมีที่วัดเพิ่มขึ้น แต่พวกเราอโศกก็บำเพ็ญกันไปตลอดไม่ว่าจะเป็นเฉพาะช่วงเข้าพรรษา เพราะว่าการลดกิเลสหากไม่มีบารมี เพียงแค่วันสองวันก็คงจะลดไม่ได้ เพราะไม่ได้มีบารมีเหมือนคนสมัยพุทธกาล ที่ฟังคำพูดไม่กี่กัณฑ์ก็บรรลุธรรมได้ เรามาฟังธรรมะพ่อครูที่จะอธิบายให้เราฟังถึงการลดละกิเลสตามลำดับ พ่อครูว่า…SMS วันที่ 4-6 ก.ค. 2563 _เพียรผ่องพุทธ แสงสำลี · กราบนมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูง ได้ฝึกปฏิบัติความบริสุทธิ์ชนะทุกสิ่งในโลก เห็นผลได้เป็นจริง ใจโล่ง โปร่งสบาย เบากายได้มาก ส่วนใหญ่ที่จับอาการกิเลสตายและสลายกิเลสหายไปได้ทันที่เราจะเห็นดวงตาในเราใสปิ๊งเลยค่ะ ดวงตานอกก็สดใสได้ทุกที่จริงๆค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า…ดีมาก _ชาติธูน โอษยิ้มพราย : นมัสการหลวงพ่อและชาวอโศกที่เคารพกระผมภูมิใจที่ได้รับฟังเทศผมอยากเป็นชาวอโศกบางจะต้องทำอย่างใรครับเจิรญธรรมสำนึกดีครับ พ่อครูว่า…อยากเป็นชาวอโศกมันจะยากอะไร ก็ฟังธรรมะจากบุญนิยมทีวี เดี๋ยวนี้ใครมีโทรศัพท์มือถือก็ฟังได้หมด ไม่ต้องไปใช้สัญญาณดาวเทียมเลย กดดูได้หมดอยู่ที่ไหนก็กดดูได้ ฟังทาง LINE ทาง facebook ทาง youtube กดดูได้เลย เมื่อฟังแล้วเข้าใจคุณก็จะต้องปฏิบัติตามโดยมีศีลสมาธิปัญญาวิมุตติ นั่นคือคุณเป็นชาวอโศกทันทีอยู่ในมุมไหนของโลกก็ได้ไม่ยาก _Onwipa Griffiths (อรวิภา กริฟฟิธส์) · กราบนมัสการพ่อครูและสมณะสิกขมาตุและเจริญธรรมสำนึกดีค่ะ ชื่ออรวิภา กริฟฟิธส์ อายุ 51 ปี อยู่ประเทศออสเตรเลียขอตั้งตบะ กินมื้อเดียวและไม่กินขนมคุกกี้หรือเค็กที่คนอื่นทำค่ะ เพราะว่าที่ทำงานมีขนมเยอะมากแล้วเรา ก็ เคยหลุด และทานอาหารสมดุลร้อนเย็นค่ะ ออกกำลังกายโยคะและเดินเร็ววันละ 1ชั่วโมงค่ะ สาธุค่ะ _แก้วตะวัน พวงบุบผา · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพศรัทธาสูงสุด..การรับชมรับฟังชัดเจนมากค่ะ..เหตุแห่งทุกข์คือตัณหา กับอุปาทาน ก็เริ่มเข้าใจเพิ่มมากขึ้นตามฐานของตัวเอง แต่ยังไม่ละเอียดลึกซึ้ง ก็จะพยายามศึกษาต่อไปค่ะ _ນາງເກດມະນີ ສູກສະຫວັນ · ນະມັດສະການພໍ່ທ່ານດ້ວຍຄວາມເຄົາຮົບພັນສານີ້ຕັ້ງຕະບະອ່ານຕົວເອງສໍາລວດຕົວເອງສໍາລວມກາຍວາຈາໃຈແລະຈະພະຍາຍາມຮູ້ທັນຕົວເອງຕັ່ງແຕ່ຟັງທັມພໍ່ທ່ານແລະສາມະນະສິຂະມາດທ່ານອາຈານໝໍຂຽວແລະໄດ້ມາຮວມມິດດີຊາວບ້ານລາດເຮັດໃຫ້ຂ້ານອ້ຍຄວາມທຸກເບົາບາງຈຶດສົດຊື່ນຂຶ່ນຈະປະຕິບັດເພື່ອບູสສາພໍ່ທ່ານດ້ວຍການປະຕິປັດສາຖຸ??? _นางเกดมณี สุขสวรรค์ นมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพ ในพรรษานี้ตั้งตบะอ่านตัวเอง สำรวจตัวเอง สำรวมกาย วาจา ใจ และจะพยายามรู้ทันตัวเอง ตั้งแต่ฟังธรรมพ่อท่านและสมณะ สิกขมาตุ ท่านอาจารย์หมอเขียว และได้มาร่วมมิตรดีชาวบ้านราช เฮ็ดให้ข้าน้อยความทุกข์เบาบาง จิตสดชื่นขึ้น จะปฏิบัติบูชาพ่อท่านด้วยการปฏิบัติ สาธุ สาธุ สาธุ _Silapatkul Sukjai (ศิลปะกุล สุขใจ): มีปัญหาระบบเสียงเรื่อยเลย ก่อนออกอากาศเช็คให้เรียบร้อยก่อนไม่ได้รึคะ ขึ้นมา เสียงก้องไม่ชัดเลยอาแป้ง พ่อครูว่า…เรามาต่อที่ได้บรรยายอัมพัฏฐสูตร ก็มาต่อที่ศีล ศีลเป็นข้อต้นเป็นหลักใหญ่ของศาสนาพุทธเป็นหัวข้อหลัก ถ้าปฏิบัติธรรมไม่มีหัวข้อหลักคือศีลเป็นตัวยืนยันแล้วล่ะก็ การปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าก็ล้มเหลว ผู้ที่ไม่ได้เรียนรู้จรณะ 15 วิชชา 8 อันเป็นพุทธคุณของพระพุทธองค์ มีศีลเป็นหัวข้อหลัก ศีลข้อที่ 1 คุณก็จะต้องปฏิบัติตามกระบวนการของจรณะอีก 14 วิชชาอีก 8 ศีลข้อที่ 2 คุณก็จะต้องปฏิบัติตามกระบวนการของจรณะอีก 14 วิชชาอีก 8 ศีลข้อที่ 3 4 5 6 ก็ทำเหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นศีลแต่ละข้อก็จะได้ปฏิบัติ แล้วก็จะมีผลตามกระบวนการ มีผลของอธิจิต เพราะศีลปฏิบัติแล้วก็จะเกิดผลของศีลสมาธิปัญญา วิมุติ แต่การทิ้งศีลแล้วไปนั่งหลับตาปฏิบัติคือพวกมิจฉาทิฏฐิเด็ดขาด พวกนั่งหลับตาสมาธิ สมาธิจะเกิดได้ก็เกิดหลักการปฏิบัติศีล เป็นข้อกำหนดไว้ แล้วก็ปฏิบัติ โดยหลักปฏิบัติมี 3 ข้อ ถ้าไม่ใช่ 3 ข้อนี้ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ นั่งหลับตาจึงมองข้ามไปเลยไม่ใช่พุทธ เพราะทิ้งสามข้อนี้เลย อปัณณกปฏิปทา ท่านสอนธรรมะสอนศาสนาพุทธ ท่ามกลางเดียรถีย์นอกรีต ผู้ที่จะไปนั่งหลับตาออกป่าเขาถ้ำ ไม่มีสังวรศีลสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ก็คือโมฆะไปจากวิชชาจรณะ ก็ไม่เกิดฌาน ฌานต้องเกิดจากกระบวนการของจรณะวิชชา การไปปฏิบัตินั่งหลับตาและเกิดฌานมันคนละสูตรกันเลยคนละศาสตร์กันเลย กับของพระพุทธเจ้า ศีล มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล จุลศีล คือ ศีลที่ปฏิบัติแต่ละข้อมี 26 ข้อ ปฏิบัติไปแต่ละข้อๆ คุณอาจไม่ถึง 26 ข้อหรอก ปฏิบัติจุลศีลแล้วก็เจริญขึ้นเป็น มัชฌิมศีล ขยายละเอียดลงไปอีก ส่วนมหาศีล เป็นศีลของศาสนาพุทธไม่ใช่สิ่งที่จะปฏิบัติในแต่ละบุคคลแต่ทุกคนต้องปฏิบัติโดยเฉพาะภิกษุ เพราะเป็นศีลของศาสนา หมายความว่า ให้ละเว้นในมหาศีล ในวงการศาสนาไม่มี แต่เดี๋ยวนี้เต็มไปหมด เดรัจฉานวิชชา เดรัจฉานกถา ทวนไปอีกหน่อยศีลสังวร เอาข้อสุดท้ายข้อเดียวก็ได้ ๗. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก พ่อครูว่า…อันนี้พระพุทธเจ้าพูดทำนองเชิงเปรียบเทียบ มีอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากรบอกว่าไปเฝ้าเอาเสมหะของหลวงปู่แหวน เป็นไปอย่างงมงาย ดูโทรทัศน์บางช่องก็เห็นความงมงายที่พุทธศาสนิกชน ไปนั่งเฝ้ากันอยู่นั่นแหละ มีอิริยาบถฉันอาหาร เสร็จแล้วก็มีการสวดมนต์ ยะถาวาริวะหาฯ ถ้าไม่ยะถาฯก็นั่งเฝ้ากันอยู่นั่นแหละไม่ไป ศาสนาพุทธมันก็ไปเรื่อยๆ ออกนอกเรื่องนอกรีตนอกราว อย่างนั้นเป็นเดรัจฉานวิชชาทั้งนั้น ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน พ่อครูว่า…ถามจริงๆนั่งอยู่ที่นี่มีใครเคยไปบนบานไหม?…ยกมือเพียบ…เคยสำเร็จผลแล้วไปแก้บนไหม? ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตาทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. พ่อครูว่า…ทำพิธีแล้วก็ได้คนฮือฮา ได้ลาภยศสรรเสริญ ย้อมสีใส่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไปไกล ศาสนาพุทธเลยน่าสงสาร เป็นสมณะ ภิกษุจะมาปรุงยาอะไรไม่ได้ ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็กใส่ยาชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง อ่านเพียงข้อเดียวนะ ข้ออื่นๆไม่ต้องพูดเลย ก็เคยสรุปไว้หลายทีว่าทุกวันนี้ไม่มีศีลเลย ไม่ว่าจะเป็นจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.. ก็เหลือเพียงวินัย 227 เมื่อถามว่าภิกษุมีศีลเท่าไหร่เขาก็จะบอกว่า 227 แล้วก็ไม่รู้ความต่างระหว่าง วินัย เป็นข้อกำหนดที่ให้งดเว้นแล้วถ้าละเมิดก็มีบทลงโทษเป็นอาชญา ไม่ใช่เป็นศีล ที่เป็นพระอนุสาสนี ใครปฏิบัติตามก็ได้ผล ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น เปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษกกำจัดราชศัตรูได้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุก็ฉันนั้นสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆเพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล จบมหาศีล. พ่อครูว่า…ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลต้องถึงผลที่จิตในภายใน มีสอนกันว่าศีลปฏิบัติที่กายวาจาและสมาธิเข้าไปนั่งหลับตา เห็นไหมว่าไม่ฟังคำสอนพระพุทธเจ้า คำสอนของเดียรถีย์มาสวมแทนออกนอกรีตไปเลย ทั้งๆที่ท่านสอนไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อที่ 1 กับ 208 กิมัตถิยสูตร ศีลจะทำให้เกิดจิตใจที่เจริญขึ้นไม่ใช่บอกว่ากายวาจา กุสลานิ สีลานิ อนุปุพเพนะ อรหัตตายะ ปูเรนตีติ ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ ตอนนี้อาตมาอธิบายสมาธิ สมาธิที่เป็นสมาธิสำเร็จ ลงตัว เรียกสมาหิโต เกิดจากการปฏิบัติจรณะ 15 วิชา 8 สิ้นอาสวะพอจิตกำจัดอาสวะได้จิตก็สะอาดจิตสะอาดก็สั่งสมตกผลึก เป็นผลของจิตที่อเนญชาตกผลึก จิตนี้ก็รวมจิตสะอาด สมาธิต้องเป็นจิตที่รวมจิตที่สะอาด ตกผลึกแล้วก็เป็นมวลที่ได้สะสมตั้งมั่น ควบแน่นแข็งแรงตั้งมั่นเรียกสมาหิโต เกิดจากการปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 วิชชาสุดท้าย เป็นอุเบกขาในฌาน 4 จะสั่งสมความบริสุทธิ์ ปริสุทธิา ปริโยทาตามากยิ่งขึ้น ธาตุจิตมุทุภูตธาตุ ที่มีความเร็วไวทั้งเจโตปัญญา แข็งแรงตั้งมั่นเป็นความบริบูรณ์ทั้ง เจโต ปัญญา ก็ยิ่งมีกรรมอันดีงาม จะปฏิบัติธรรมได้ดีเหมาะสมกับทุกอย่าง ยิ่งจะเป็นประโยชน์สูง เป็นการกระทำที่เจริญด้วย กัมมัญญา ยิ่งทำจิตยิ่งผ่องใส ปภัสสรา นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท…คนเราปฏิบัติแบบโลกีย์จะทำง่ายๆ สะกดจิตเอาแต่ของพระพุทธเจ้านี้ทำได้ยากกว่า เคยฟังสายพุทธวจนะ เขาถามมาว่าอรหันต์เป็นอย่างไร เขาก็พูดว่า อรหันต์มีอยู่ในทุกคนเพียงละอุปาทานขันธ์ 5 ก็เป็นอรหันต์ได้ เขาเอาปลายมาพูดเหมือนง่าย แต่เขาไม่รู้จักกิเลส เอาแต่ภาษามาพูด จริงๆแล้วมรรคผลได้จริงหรือเปล่า พ่อครูว่า…ทวนอีกที พยายามจำจรณะ 15 วิชชา 8 พยายามจำให้ได้ แต่ละข้อๆ ศีล แบ่งเป็น ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 วิชชา 8 ถ้าไปจำลุยเลยนะ 15 กับ 8 รวมแล้วเละเลย ไม่เรียงจะจำยาก หากจัดหมวดหมู่แล้วเข้าใจด้วยจะจำง่าย ศีล เป็นข้อกำหนดตั้งต้น หากปฏิบัติศีลข้อ 1 ก็ต้องปฏิบัติด้วย อปัณณกธรรม 3 แล้วเกิด ศรัทธา หิริ โอตัปปะ หิริโอตตัปปะพหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา ในสัทธรรม 7 มี วิริยะ สติ ปัญญา แต่ไม่มีสมาธิ ต่างจาก อินทรีย์ 5 คำว่าหิริกับโอตตัปปะ มันละอายต่อสิ่งที่จะละเมิด มันไม่ได้ศึกษาแล้วยังหลงผิดไปยินดี แย่งลาภยศสรรเสริญสุข ยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ยินดีแล้วเอาไปโชว์อวดเบ่งกันใน ลาภยศสรรเสริญ มันนึกว่าเจริญนึกว่าดี แต่เมื่อมารู้สึกตัวแล้ว หิริ ละอาย ใครเคยเป็นไหม แต่ก่อนเราไม่ละอายตอนนี้รู้สึกละอายเราไปทำแบบคนโลกีย์ๆ จะบอกว่าโลกุตระเป็นเชิงข่ม เหมือนดูถูกโลกีย์ มันก็เป็นอย่างนั้นได้ แต่ความจริงมันเป็นสัจธรรม เราก็ไม่รู้อวิชชา ก็ไปตกหลงอยู่ในสภาพที่ต้องไปศรัทธายินดี สะสม ชื่นใจ สั่งสมไปชาติแล้วชาติเล่า เราไม่เคยได้ลดละ ใช่ไหม จะเป็นอย่างนั้นมาทุกคนกว่าจะสำนึกว่านี่เราแย่งมาเท่าไหร่เราไปเสวยเสพมาเท่าไหร่ เรานึกว่าน่าได้ น่ามี น่าเป็น ได้มาก็ชื่นใจมาเท่าไหร่สะดุดใจ ใครจะสะดุดตรงไหนในมิติใดบ้าง ก็ชัดเจน ไม่สงสัย ธรรมดาธรรมชาติมันก็มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ธรรมดาธรรมชาติมันก็มีลาภยศสรรเสริญสุขโลกีย์ มันก็มีเป็นตามสามัญ ถ้าเราเอง เราเป็นผู้ทำงานสร้างสรร ผลมันก็เกิดเป็นลาภ ลาภปฏิลาโภ เป็นสิ่งที่ได้มาเป็นลาภที่ได้โดยธรรม ลาภธัมมิกา มันก็เกิดเมื่อขยันสร้างด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ไปทุจริตมันก็เกิด นี่เราปลูกอินทผาลัม ก็ได้ลูก เขาบอกรุ่นแรกจะฝาดหน่อย ปีต่อไปจะโตและหวาน ผู้ที่ทำอะไรออกมามันก็มีผลได้เป็น ลาภธัมมิกา เราก็รู้ว่ามันได้มากมันได้ดีมีคุณสมบัติดีอะไรก็แล้วแต่ มีทั้งปริมาณและคุณค่ามันดีก็มุทิตาจิต มันไม่ดีมันบกพร่องมันไม่เจริญทั้งคุณภาพและปริมาณ เราก็แก้ไขปรับปรุงให้มันดีทั้งคุณภาพและปริมาณเพราะเป็นสิ่งที่ควรสร้างควรเป็น เราก็ทำไปก็ไม่ต้องฟูใจ ถ้าไม่มีอุปกิเลส ยินดีติดยึด หากไม่ได้สิ่งเหล่านี้แล้วก็ทุกข์ มันก็มีแต่จิตใจที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ขนาดเราเรียนมามันก็ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ต้องการ เราทำลาภธัมมิกา ทำแล้วเอาเข้าส่วนกลาง เรายังมีจิตเป็นเราเป็นของเรา ยังมีอุปกิเลสต่างๆให้เราได้ศึกษาอย่างนี้เป็นต้น ในหมู่เราชาวอโศกอย่างหยาบที่ไปแย่งชิงอย่างทุจริตไม่ได้ทำแล้วไมได้แย่งชิงกับโลก แต่ก่อนเราไม่พอ ได้ท่าก็จะมีช่องใช้แทคติกนิดหน่อยได้เพิ่มใช้ความเฉลียวฉลาดแทกติกซับซ้อนได้เพิ่มแต่ที่จริงหยาบขึ้นนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เอาแล้ว จนกระทั่งฐาน 0 ไม่มีก็พอ เพราะเราอยู่กับส่วนกลาง เราได้มาก็เอาเข้าส่วนกลางมีน้อยก็เอาเข้าน้อย เราเจ็บป่วยอายุมากแล้วก้ไม่ไหว ก็เลี้ยงดูกันเผื่อแผ่กันช่วยเหลือกัน มันเป็นสังคมที่สุดยอด พูดแล้วพูดอีกไม่รู้กี่ที อาตมาภูมิใจที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติจนเกิดเป็นสังคมสาธารณโภคี อาตมาภูมิใจมันเป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่มีประเทศไหนศาสนาไหนในโลกทำได้ พูดถึงขนาดนั้น จริง และที่อาตมาพาทำมาได้ มันไม่ใช่มีสังคมชุมชนหมู่บ้านหมู่เดียว อันเดียวคนอื่นไม่ได้ไม่ใช่มันก็มีอีกเยอะแยะในชุมชนชาวอโศกในประเทศไทย ล้วนแล้วแต่สาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เป็นทั้งคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ให้แก่ส่วนกลาง เศรษฐศาสตร์ก็เป็นบุญนิยมรัฐศาสตร์ก็เป็นบุญนิยม บริหารกันง่ายๆ เมื่อไม่มีตัวกูของกูไม่มีความติดยึดในโลกกีย์มากแล้ว การบริหารปกครองดูแล ก็ง่ายวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) แค่นี้ก็พอแล้ว จนตายก็ไม่ต้องห่วง เป็นแต่เพียงว่าเราอย่าแย่ ไม่ทำอะไรเลยกินๆนอนๆหลบเลี่ยงก็จะซวย เรากลายเป็นตัวทากตัวปลิง ตัวเล็น ตัวหมัด ที่มาเกาะอยู่ดูดเลือด ถ้าเราอยู่ด้วย เพื่อนฝูงทำงาน ในญาณข้อ 5 โสดาบัน หมือนวัวแม่ลูกอ่อน เล็มหญ้าไปเลี้ยงลูกไป ปฏิบัติธรรมไปช่วยงานหมู่ไป คนข้างนอกว่าอโศกไม่ใช่พุทธ เราว่าเราก็มีความจริงตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้ายืนยันมากยิ่งขึ้น แล้วเอาสิ่งที่ในชาวอโศกมีไปตรวจสอบพวกคุณด้วย ตกลงใครถูกต้องใครเป็นพุทธกันแน่ ตรงตามพระพุทธเจ้าไหมเป็นสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 วรรณะ 9ไหม มาถึงตอนนี้ 50 ปีที่อาตมาเป็นพระยืนยันหลักธรรมพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติให้เป็นจริงได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตราบใด โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ พวกเราปฏิบัติธรรมก็เป็น สมณพราหมณาสัมมัคตา .. ศาสนาพุทธก็จะยังไม่เสื่อม แต่ตรงกันข้ามกับของพุทธเจ้าที่เป็นเดรัจฉานวิชาเฮฮาสารพัดพูดไปแล้วก็เป็นเชิง ข่ม แต่มันก็ต้องตำหนิ นิคคัณเห นิคคห นิคคหารหัง ปัคคัณเหปัคคหารหัง ต่อมาก็สำรวมอินทรีย์ สังวรศีลอันเป็นอริยะ อินทรีย์สังวร หรือสังวรอินทรีย์ สํารวมอินทรีย์คือดูตาหูจมูกลิ้นกายใจทั้งหมดเดินยืนนั่งนอนในอิริยาบถปกติ ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ไม่ยึดถือในนิมิต อนุพยัญชนะคือเช่นไร อินทรียสังวร ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย? ดูกรอัมพัฏฐะภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ พ่อครูว่า…ไปนั่งหลับตาไม่ใช่ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า พูดไปเผื่อพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติด้วยความสงสาร แต่เขาตีค่าว่าเราไปด่าเขา พฤติกรรมเราทำเพื่อเขาสงสารเขาเมตตาช่วยเหลือก็หาว่าเราไปย่ำยีเขา เห็นไหมคนเราเกเรเป็นพาลชนเรียกว่าโง่พาลคือโง่ไม่เดียงสา ไม่ฉลาด เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ คืออะไรคือเห็นอะไรก็เป็นอันนั้นเช่นฟักทองนี้เราเห็นแล้วก็มีสัญญาว่าอย่างนี้เห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นฟักทองอันนี้ลูกละมุด อันนี้ลูกอินทผาลัม เห็นอะไรเราก็เห็นอันนั้นเป็นอย่างนั้นก็ไม่ติดไม่ยึดในนิมิต คือ หมายความว่าไม่ไปมีอุปกิเลสไม่เป็นมีกิเลสยึดติดกับสิ่งนั้นเข้าไปยึดถือว่า เออ หรือมีกิเลสเข้าไปร่วมปรุง หากยึดถือว่า ไม่น่าได้ไม่น่ามีหรือว่าน่าได้น่ามีก็เกิดจิตผลัก ดูด เป็นตัวเราของเราเป็นตัวกูของกู เราก็ไม่ให้มีสิ่งเหล่านั้น ไม่ถือนิมิต มันมีนิมิต มีรูป เรื่องมีสภาพอย่างนั้น แบบนั้นให้รู้ว่าอันนั้นคืออันนั้นแต่เราก็ต้องไม่ยึดถือไม่มีอะไรที่เป็นกิเลสอุปกิเลส เข้าไปร่วมกับสิ่งเหล่านั้นที่เป็นจริง ฟักทองก็เป็นฟักทอง ไม่ถืออนุพยัญชนะ คือเรียนมามากแล้วมีพยัญชนะมากแม้แต่ อนุพยัญชนะ แปลว่าตามพยัญชนะ ไม่ไปถือตามพยัญชนะที่เรียนมา แต่ให้ตามสภาวธรรม ตัวนั้นก็มีสภาวะธรรมของมันอย่างนั้นรูปก็คือรูป เสียงก็คือเสียง เสียงอันนี้มาอย่างนี้ เสียงอันนี้คือเสียงคำด่าเสียงอันนี้คือเสียงคำชมเสียงอันนี้คือเสียงบอกลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ตามนั้นตามนี้ ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมในรูป ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมในเสียงร่วมในกลิ่นร่วมในรสในสัมผัสต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้ามันมีเธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวม จักขุนทรีย์ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ พ่อครูว่า…ก็ดูอาการหากมันมีกิเลสมาผสมอยู่ คุณก็สำรวม แล้วก็กำจัดออก หรืออย่าให้มันมีกิเลสหรืออุปกิเลสนั้น ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุฟังเสียงด้วยโสต … ดมกลิ่นด้วยฆานะ … ลิ้นรสด้วยชิวหา … ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย … รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรียสังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน พ่อครูว่า…ขอใช้พยัญชนะแทน เอาคำว่าสุขมา สุขคำนี้แปลว่า สุ แปลว่าดี ข แปลว่า ว่าง จิตว่างนี้แหละดี ก็เป็นสุข ไม่ผสมไปด้วยกิเลสในภายใน คุ้มครองทวารอินทรีย์ด้วยไตรลักษณ์ ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย. พ่อครูว่า…เมื่อกระทบสัมผัสสังคตธรรมภายนอกมันก็จะปรุงแต่งภายในเราก็อ่านสังกัปปะ 7 ข้างใน ก็ขออธิบายรวบไปเลย เมื่อเริ่มสัมผัสจิตก็เริ่ม ตักกะ เริ่มรู้แล้วพอจิตมันเริ่ตักกะ เริ่มดำริรู้ขึ้นมา ในดำริจิตที่รู้ขึ้นมาต้องรีบอ่าน อ่านมันว่า จิตนี้บริสุทธิ์สะอาดจากกิเลสจากอุปกิเลสหรือไม่ มันยังมีกามผสมหรือไม่ มีโทสะปฏิฆะผสมมาหรือไม่ ก็แยกให้ออก แล้ววิธีปฏิบัติแยกกามแยกโทสะออกมาได้ ก็ให้พิจารณาตัวเป็นกิเลส-อุปกิเลสนี่แหละว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องอาศัยหรอก มันเป็นตัวปลอมมันเป็นอาคันตุกะ มันเป็นโจร มันเข้ามาแทรกทำทีเป็นจิตเราทั้งที่มันเป็นตัวปลอม มันเป็นไอ้โจร มันปลอมตัวเป็นตัวเรา มาอยู่ในจิตของเรา สนิทเนียนเลยนะ ปุถุชนทุกคนไม่ได้ศึกษาละเอียดละอออย่างนี้แหละมีไอ้โจรแฝงอยู่ในจิตทั้งนั้นแหละเพราะฉะนั้นเราจับโจรได้แล้วเราก็ต้องพิจารณาให้โจรนี้ วิธีกำจัดของท่านไม่ใช่ว่าไปทำร้ายทำลาย..ไม่ใช่ แต่เป็นธาตุปัญญา ธาตุปัญญา ให้เกิดปัญญาชัดเจนว่า เฮ้ย ไอ้โจรเลยเถิดแอบมาเป็นชีวิตชีวาปลอมตัวเป็นจิตเป็นมายาอยู่ในจิตเรา แกไม่ใช่ตัวตนจริงๆหรอก แกมันเป็นตัวเหตุแห่งทุกข์เป็นผีร้ายเป็นตัวชั่วร้าย แล้วแกก็ไม่ได้มาอยู่กันอย่างเที่ยงแท้ถาวรแต่คุณไปยึดถือว่ามันเที่ยงแท้ไปแล้ว ฟังดีๆ ผู้หลงยึดมันมาตั้งนานเมื่อไม่ได้มาศึกษาอย่างนี้ก็ยึดถือว่า มันเป็นตัวคุณ คุณก็ต้องล้างออก เทวนิยมไม่ได้ศึกษาให้ละเอียดอย่างนี้ไม่ได้พิจารณามีสติสัมโพชฌงค์ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์วิริยะสัมโพชฌงค์ไม่รู้เรื่องหรอก นี่ต้องมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท… การปฏิบัติสติสัมปชัญญะในจรณะต้องปฏิบัติเช่นไร พ่อครูว่า…ในการสำรวมอินทรีย์มีแยกไปอีกต่อจากการสำรวมอินทรีย์ก็เป็นสติสัมปชัญญะ แล้วเป็นสันโดษต่อไป ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกรอัมพัฏฐะภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียวในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยวการลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับการตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ. พ่อครูว่า..ผู้ปฏิบัติที่พาซื่อก็จะทำการเต๊ะท่าในท่าต่างๆไม่ใช่ แต่ทุกอิริยาบถที่กล่าวมานี้ควรจะต้องมีสติสัมปชัญญะกำหนดไปด้วยเสมอ ไม่ใช่ว่าคุณจะสำรวมเฉพาะการเต๊ะท่า ผู้ปฏิบัตินี้เวลาปฏิบัติเราก็สำรวมสังวรมีสติสัมปชัญญะ ตอนนี้เราจะก้าวเดินจงกรม ตอนนี้ก็จะนั่งคู้ขาเหยียดขาเคลื่อนย้ายวิริยะบทนั่งเดินนอนยืน เสร็จแล้วสำรวมเสร็จแล้วให้มีสติรู้ตัวขณะนั้น เสร็จแล้วก็จบ แล้วก็ไปเป็นมีชีวิตปกติคุณก็ไม่ได้มีสติกับมันเลย ไม่ใช่ว่าไปนั่งเต๊ะท่าแล้วสำรวม แต่ให้สำรวมมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมในทุกขณะที่คุณมีอิริยาบถพวกนี้ สำรวมนี้มันจะมีศีลมาด้วย เราจะสัมผัสในขณะที่เราลืมตาเราไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆก็จะมีการทำประโยชน์ต่างๆที่กล่าวมานี้ ทุกอิริยาบถ สรุปแล้วคุณจะต้องสำรวมและมีศีลตามลำดับ ฐานะของคุณศีลแค่ไหน ไม่ใช่ว่าเอาจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีลมาทั้งหมด ไม่ใช่ คุณต้องพอเหมาะกับของคุณเองตั้งแต่ศีล 5 หรือศีลแต่ละข้อที่คุณปฏิบัติได้ ศีลข้อที่ 1 มีองค์ประกอบอย่างนี้กับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 มีองค์ประกอบอย่างเดียวกับพืชเกี่ยวกับข้าวของ ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆนานายังมีเป็นต้น มันก็จะต้องรู้แต่ละข้อแล้วก็ให้มีการสำรวมอินทรีย์ ซึ่งประกอบด้วยสติต้องมีเข้าไปร่วมในขณะนั้นไม่ได้แยกกัน สรุปแล้วมีสังวรศีล-สำรวมอินทรีย์-มีสติสัมปชัญญะ 3 ข้อนี้เป็น 3 เส้า ปฏิบัติได้แล้วก็จะมีความสันโดษในข้อต่อไป ไม่ใช่การปฏิบัติแยกส่วนกันไปเลย การปฏิบัติจะต้องมี 3 ข้อนี้ เป็นอริยะ จึงจะเกิดสันโดษอันเป็นอริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะเป็นเช่นไร ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะ นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไป ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ. พ่อครูว่า..ปฏิบัติแล้วคุณจะทิ้งสิ่งที่มันรุ่มร่ามเยอะแยะมากมาย แต่ก่อนนี้ไอ้นี่ก็เป็นของเรา อันนี้ก็เพชรของเรา ไอ้นี่ก็ทองของเรา อันนี้ก็เสื้อของฉัน เสื้อชั้น 1 แฟชั่นราคาแพงไฮโซ นะนี่อะไรก็แล้วแต่ นี่บ้านเรือนของเรา นี่อะไรต่างๆนานา แต่พอเวลามาปฏิบัติแล้วได้รู้ว่าเราเอง ชีวิตมันน้อยนิด เหมือนนกมีปีกสองปีกบินไป ไปไหนก็ไปด้วยปีก ไปทิศใดก็ได้ด้วยปีก แล้วก็อยู่อย่างได้สิ่งที่ควรได้เพียงพอเป็นปัจจัยชีวิตแค่นี้ก็พอแล้ว มีบาตรบริหารท้องมีจีวรบริหารกายเป็นปัจจัยมีเครื่องนุ่งห่มมีอาหาร นี่ไม่ได้กล่าวถึงที่อยู่ถึงยารักษาโรค กล่าวเพียงแค่อาหารกับจีวร มีแต่เครื่องนุ่งห่มกับของกินก็สบายแล้วสันโดษ หมายความว่าเป็นผู้ที่มีน้อย มักน้อย สันโดษ คือ ตั้งแต่อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ สันโดษ ไม่ได้หมายความว่าโดดเดี่ยว แต่อยู่กับสิ่งทั้งหลาย แต่แค่นี้ก็พอ สันโดษ สันตุฏฐิแปลว่าใจพอ มันพอเท่านี้ก็พอแล้ว อย่างสมณะ สิกขมาตุพวกเรา อาตมาพาปฏิบัติบวชมาเป็นนักบวช มาถึงวันนี้แล้วอาตมาภาคภูมิใจว่า พวกเรามีชีวิตสันโดษไม่ต้องไปอยากได้เงินทองได้ที่ทางได้อะไรต่างๆนานา ได้รับยศสรรเสริญพวกเราไม่มี เพราะพวกเราไม่มีตัวอย่างจะไปทำอย่างนั้นด้วย มันก็เลยสบายง่ายสะดวก เป็นองค์ประกอบของสังคมศาสนาของพวกเรา สรุปแล้วยังไม่ได้มากถึงขนาด มีจีวร บริหารกาย บาตรบริหารท้อง ไปถึงขั้นนี้ก็ค่อยลดลงมา เรียกว่าใจพอมาเป็นลำดับ บางคนมาแต่ก่อนยังไม่บวช เป็นฆราวาสยังไม่มีอะไรให้สะสมหรอก พอมาบวชแล้วอันนี้ก็มีมาใครก็เอามาให้ก็หอบสิ กุฏิเดียวไม่พอก็ต้องขอ หลายกุฏิอะไรอย่างนี้ คุณจะมาบวชหรือคุณจะมาแบก แต่พวกเราไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพูดไปก็ไปกระทบถึงท่านทั้งหลาย แบกจริงๆ ไม่ต้องเอามากหรอกเอาแต่ในห้องไปดูเถอะห้องเจ้าคุณต่างๆ ไปดูเถอะห้องแต่ละเจ้าคุณ ถ้าไม่มีอะไรก็จะมีพระทองคำมีพระราคาแพงอยู่เต็มห้อง มีโต๊ะมุก มีเก้าอี้ ดีไม่ดีมี fur ไว้ปู สมณะฟ้าไท..เวลาท่านมรณภาพต้องปิดกุฎิ ปิดกุญแจไว้ห้ามคนเข้าเดี๋ยวของหาย พ่อครูว่า…แล้วศพท่านก็เอาใส่ตู้กระจกไว้ด้วยตายแล้วไม่เน่า การบูชาศพที่ไม่เน่าเป็นการกระทำของเดียรถีย์ คนที่ตายแล้วไม่เน่า มันน่าสงสารคนที่ไปหลงไปเคารพศพคนตายที่ไม่เน่า โดยเฉพาะภิกษุที่บำเพ็ญเป็นมิจฉาทิฐิเป็นเดียรถีย์ คือไปบำเพ็ญแบบว่ากินน้อยสะสมน้อย ร่างกายไม่ค่อยมีเนื้อหนังไม่ค่อยมีพลังงานเท่าไหร่ เสร็จแล้วก็สร้างพลังงานสมถะ มันก็ยึด ยึดอยู่ใช้ให้น้อย สร้างให้น้อย มันก็จะมีการสะพัดสังเคราะห์ร่างกายก็จะใช้พลังงานอาหารที่กินน้อยใช้น้อยมาเลี้ยงชีวิตได้ดี ไม่ต้องอาศัยอาหารอะไรมากนักแม้แต่อาหารมีสำรองตกค้างอยู่ในตัวบ้างตกค้าง ภิกษุหรือผู้ปฏิบัติพวกนี้ก็จะไม่อ้วนหรอกจะผอม เสร็จแล้วเมื่อตายลงไปก็จะไม่เน่าศพที่ไม่เน่าคือผู้ที่ปฏิบัติผิดธรรมะของพระพุทธเจ้าฟังให้ดีนะเป็นการบำเพ็ญแบบฤาษี มักน้อยสันโดษเกินขอบเขต มันควรจะเน่าก็ไม่ให้เน่า สิ่งที่มันได้ลักษณะของมันหากมีการยึดถือเป็นพลังงานพิเศษ ดีไม่ดีนั่งสมาธิเกิดการแข็งตายก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นแหละ แล้วบูชากันว่าเป็นสิ่งวิเศษเป็นพระวิเศษเลย เอาทองมาปิด พระหรือภิกษุผู้บำเพ็ญแบบนี้เป็นมิจฉาทิฎฐิเป็นเดียรถีย์ทั้งนั้น นอกรีตของพระพุทธเจ้า อาการที่ควรตาย ตายก็คือการแยกธาตุ แต่นี่คุณไปยึดถือไม่ยอมแยกธาตุ ยึดถือไว้หมด ฝึกมาจนกระทั่งมักน้อยมากเลยจนกระทั่งตายไป ก็ไม่เน่า เขาก็ไปกราบศพเดียรถีย์นอกรีตของพุทธเจ้าและหลงว่าเป็นผู้ประเสริฐผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ได้มรรคผลของศาสนาพุทธ นี่คือความหลงทิศทางของศาสนาพุทธ คน มีพลังงาน สุดท้ายก็ต้องมากราบจบ กราบบูชา มิจฉาทิฏฐิเวทีบุคคล ต้องขออภัยที่พูดแล้วอย่าหาว่าไปทำลาย แล้ว ธรรมดาสามัญปกติมีพลังงานปกติเมื่อตายแล้วธาตุที่จะไปเลี้ยงพลังงานที่จะไปเลี้ยงชีวะก็หมดไปเหลือแต่พลังงานที่จะเป็นพีชะ มันก็จะสลายตัวเป็นมนุษย์พืชที่อยู่ในพอดีมันก็จะสลายตัว แต่นี่ไปสร้างพลังงานของตัวเอง แม้แต่เป็นพืช ข้าก็จะเป็นพืชที่ไม่เน่าเปื่อยง่ายๆ คุณสามารถฝึกฝนทำพลังงานนี้ได้ แต่มันเป็นเรื่องนอกรีต ตายแล้วก็คือตายสลายไปอย่าไปได้ปลอม หลอกลวงคนว่าเป็นของประเสริฐใส่โลงแก้ว แต่เป็นการบูชาเดียรถีย์ แล้วบริวารลูกศิษย์ก็เอาอาจารย์นี้เป็นเครื่องมือทำมาหากินก็บอกว่าเป็นสิ่งวิเศษให้คนมาทำทาน ก็หากินอย่างนี้ ทั้งที่คำสอนพระพุทธเจ้าบอกว่าให้เผาสรีระร่างที่ตายนี้เสีย ไม่ให้รอแม้แต่ญาติที่กำลังเดินทางมาด้วยซ้ำไป นี่คือสัจจะที่อาตมาต้องเปิดเผย ต้องบอกให้เข้าใจกัน ความพอดีความพอเหมาะของทุกอย่าง ตายก็คือตาย พลังงานที่เกาะยึดเมื่อหมดธาตุไฟ หมดธาตุพลังงานที่จะรวมตัวกันติดพลังงานแม่เหล็กไม่มีมันก็สลายตัว เมื่อสลายตัวเมื่อไม่ได้สะกดมันไว้มันก็แห้งถ้าไม่มีน้ำมากมันก็ไม่เน่าแต่ถ้ามันมีน้ำอยู่ถ้าเผื่อว่าปล่อยไว้มันก็จะเน่า ก็รีบทำลายซากนี้ มันเสียแล้ว อย่าเอาไว้นานอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นสภาวะที่สอนกัน สลับเอาสิ่งที่ไม่น่าทำไปทำแล้วก็ไปนับถือกัน สิ่งที่ควรจะทำกลับไม่ทำ สิ่งที่สมสัดสมส่วนกลับไม่ทำ อย่างอาตมานี่สอนด้วยกายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา เป็นผู้คล่องแคล่วในเวทนาสัญญาสังขาร แล้วก็มีพลังงานที่แคล่วคล่องออกมาทางกายกรรมวจีกรรม เขาก็หาว่าอาตมาหลุกหลิก น้ำลายฟูมปากมือเป็นวอก จริง ดูแล้ว จะเอาภาษาง่ายๆเหมือนไม่สุภาพเรียบร้อยไม่สุขุม วอกแวกไป ขนาดอาตมาทำทั้งมือไม้หูตา ทำลักษณะพวกนี้เพื่อเป็นสิ่งเอามาประกอบองค์ประกอบของสื่อให้คุณเข้าใจ สารัตถะ เนื้อแท้ของมันก็ยังไม่ได้ง่ายเลย แล้วยิ่งมาทำเซื่องๆ ช้าๆ อ่านอย่างช้าๆเฉยๆ…คนก็หลับหมด ขณะนี้ก็ยังจะหลับกันเลย สมณะฟ้าไท สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin8 กรกฎาคม 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630707โฮมแฮงมันโอกินาว่าก่อนน้ำจะมาท่วมNextNext post:630710_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศีล วินัย ภิกษุ กับการเมือง Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024