ก.ค.132020ศาสนา630713_รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์(สำมะปี๋ซี่วิต) ครั้งที่ 10 ศีรษะอโศก สีมาอโศก อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1VsCyNT45IqW46lTs8L9Am1IXs1mYpr_3CJdAvEJx5qE/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1DAjWnPBYQGAJo4OmHX8A6Ii8Qbfy7lUi/view?usp=sharing สู่แดนธรรมว่า… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ศีรษะอโศก สีมาอโศก เลไลย์อโศก ศีรษะอโศก… ส.ถ่องแท้…วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของที่ศีรษะอโศก ก็มาร่วมฟังธรรมพ่อครูด้วย พ่อครูว่า…มีปัญหาแห้ง _เพื่อนน้องภูมิ วาฬเกยตื้น…น้อมกราบแทบเท้าพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง ยะหม่าฝนตกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อย่างเช่นฤดูทั้ง 4 พวกเรามีชีวิตอย่างนี้ตลอดมาไม่ว่าพรุ่งนี้ฝนตกหรือแดดออกก็จะเป็นวันที่ดีเสมอ …สู้สุดใจทยานสุดฝัน SMS วันที่ 12 ก.ค. 2563 (วิถีอาริยธรรม) _เมิ้ง เมินเงิน · ดีใจมาก ได้ฟังพระสูตรอีก คือผมอินมาก โดยเฉพาะฟังจากพ่อท่าน คืออ่านเองไม่หนุกเท่าพ่อท่านเล่า กราบนมัสการณ์ด้วยความเคารพยิ่งครับ พ่อครูว่า…ดีมากให้กำลังใจอาตมา สู่ความหมดอันตา คือมัชฌิมา _หลวงตาแด่ธรรม ธัมมรักขิโต · พระพุทธเจ้ารู้ส่วนสุดทั้งสองด้านแต่ไม่ยึดมั่นด้านใดๆ นี่คือความเป็นกลาง (ขอบพระคุณพ่อครูครับ) พ่อครูว่า…ชัดเจนไหม? แถมอีก พระพุทธเจ้าท่านรู้ส่วนสุดทั้งสองข้าง กามเป็นต้น กับอัตตาสองข้าง รู้ชัดเจนดียิ่ง แล้วไม่ยึดทั้ง 2 ด้าน คนพวกตีกินก็บอกว่า เขาไม่ยึดทั้ง 2 ด้าน กามเขาก็รู้ก็มี อัตตาก็รู้ก็มี เสพกามเขาก็ไม่ยึด อัตตาเขาก็เสพแต่ไม่ยึด พวกตีกิน ดื่มเบียร์ด้วยจิตว่าง คุณสมัย แก้วสม สมัยที่อยู่วัดมหาธาตุก็บอกว่าดื่มเบียร์ด้วยจิตว่าง เป็นพวกลูกศิษย์ท่านพุทธทาส นี่คือ การตีความให้แก่ตัวเอง ก็เป็นจริงของเขาแต่เราก็ฟังแล้วเราจะเอาตามเขาไหมสภาวะเราเป็นอย่างไรต้องให้ชัดเจน ของพระพุทธเจ้านั้นรู้ทั้ง 2 ข้าง แต่ไม่มีทั้งสองข้าง คือ ล้างกิเลสออกหมดแล้ว ไม่มี แต่ชีวิตยังอยู่ ชีวิตถึงว่ายังมี ก็ต้องอนุโลมปฏิโลมไปตามอย่างเขาแต่ไม่ยึดอย่างเขา ไม่ได้มีการเสพไม่ได้มีการเกี่ยวเกาะ แต่ว่าสัมพันธ์ เราจะเป็นประโยชน์แก่เขาเราจะไม่เอาประโยชน์อะไรจากกาม เราจะไม่เอาประโยชน์อะไรจากอัตตา เพราะเราไม่ต้องมี อัตตาไม่ต้องมีกาม เราอยู่กลางๆ ทุกอย่างอยู่กับความเป็นจริงทั้งนั้น นี่เป็นธรรมะ 1 ธรรมะหนึ่งคือสิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น เราสัมผัสแล้วก็รู้สิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น จิตจะเป็นกาม จิตจะเป็นอัตตา ก็ไม่มีทั้ง 2 อย่าง เรารู้สภาวะทั้งในกามหยาบ ละเอียด จนเรารู้ว่ามันเหลือหรือไม่เหลือ หมดกาม แล้วก็จะเหลืออัตตา ตัวอัตตานี้ต้องเรียนรู้ที่เน้นจิต จิตก็จะมีมโนมยอัตตา เหตุการณ์ภายนอกและมีทางภายใน มโนมยอัตตา ก็จะเป็นตัวกลางก็ยังยึดติดอยู่กับอัตตาที่สำเร็จด้วยภายนอกอัตตาที่สำเร็จด้วยภายใน หากหมดอัตตาที่สำเร็จภายนอกก็หมด มโนมยอัตตา เข้าไปเป็นโลกอัตตา ยังมีความเป็นโลกอยู่กับอัตตาภายนอกหมดแล้ว อัตตาข้างนอกดับ เหลือข้างในมีแต่อัตตา จึงมีแต่รูปอัตตา กับอรูปอัตตา เป็นภพสอง ก็มาล้างความอยากไปอีก การหลุดพ้นจากกามภพ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราหลับตา ปี๋ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับกามภพไม่ใช่ แต่เราอยู่เหนือ กามภพ เราหลุดพ้น เราบรรลุกิเลสเราหมดสิ้นแล้วเราก็ยังอยู่กับ กามภพ เราไม่มีเกี่ยวข้องในการมีรสชาติ ตัวกิเลสเก๊ เวทนาเก๊ไม่มี มีแต่เวทนาจริงรู้ความจริงตามความเป็นจริง รู้รูปก็เป็นรูป นี่รูปกลมๆยาวๆ นี่มันๆ เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าโอ้โห ชื่นใจอยากได้ มันไม่มีอาการกระดี๊กระด๊า รู้ความจริงตามความเป็นจริง รูปก็ดีเสียงก็ดีกลิ่นก็ดีอะไรก็ดี จนกระทั่งเข้าไปถึงรายละเอียดที่มันยัง วิบแวบในจิต เราก็จะต้องล้างอะไรในจิตนี้อย่างดีด้วย _Pordee Pordee พอดี พอดี · อัญตา แปลเป็นกลาง เขียนอย่างไรค่ะ อัณตา หรือ อัญตรา พ่อครูว่า…อาตมาไม่เคยเห็นพยัญชนะบาลีทั้ง 3 คำที่เขียนมานี้เลย อัญญถตา แปลว่าความเป็นอื่น เออ อันนี้ก็รู้ แต่ความเป็นกลาง อันตะ แปลว่าที่สุด อันตา แปลว่าข้างแปลว่าปลายแปลว่าฝ่ายก็ได้ หาก อัญตา อันตา จะแปลว่า ความเป็นกลางเหมือนกันเราจะใช้ร่วมกับเขาใหม่จะไปรอดไหม แต่คำเดียวกันนี้แปลได้ทั้งบวกทั้งลบภาษาบาลีนี้ใช้ได้ทั้งบวกทั้งลบ ทั้งถูกและผิดคำเดียวกันนี่แหละ แปลว่าทั้งดีและชั่วด้วยคำเดียวกันนี้มันมีเหมือนกันเยอะหลายคำ ก็แล้วแต่ว่าเราจะกำหนดหมายกรรมในหมู่กลุ่ม เพราะเป็นสมมติสัจจะ ทีนี้ก็ไปที่ปรมัตถสัจจะคุณยึดมั่นถือมั่นแล้วได้ประโยชน์ไหม ประโยชน์ที่คุณจะเจริญหรือสงบ ถ้ายึดมั่นถือมั่นแล้วมันไม่เจริญมันไม่สงบ คุณก็จะไปยึดมันทำไมก็เลิกเสีย ก็เอาที่สภาวะตรงนี้ก็แล้วกันเอาง่ายๆก่อน ค่อยๆศึกษากัน เรื่องพยัญชนะกับสภาวะนี่แหละในโลกไม่รู้จะกี่กัป โลกจะหมุนเวียนไปจนคนไม่รู้จักสภาวะธรรมที่ยิ่งละเอียดเพราะเป็นนามธรรม เป็นสภาวะถึงขนาดไม่มีตัวตนไปเลย แต่พยัญชนะเอามาสื่อกันเรียนรู้กัน มันก็จะรับรู้ได้ง่ายติดกันได้ง่าย มันก็จะเอาแต่พยัญชนะ หนักเข้าก็จะเอาแต่พยัญชนะ สภาวะเปลี่ยนไปไม่รู้กี่รอบแล้วก็ไม่รู้เลยได้แต่พยัญชนะ แล้วแถมปรุงแต่งพยัญชนะเพิ่มขึ้นอีกมาก คนเลยเต็มไปด้วยพยัญชนะ อย่างที่เรากำลังพูดถึงอัมพัฏฐสูตร อย่างอัมพัฏฐมานพ เก่งพระเวทย์ ก็เหมือนกับในศาสนาพุทธที่เรียกพระธรรมวินัย เขาก็เรียนมาจบเลยในภาษาพราหมณ์ มันก็เป็นความรู้ที่เป็นสภาวะ แล้วมันก็สับสนระหว่างสภาวะกับบัญญัติ จึงเป็นเรื่องที่ ยิ่งลึกซึ้งยิ่งเกิดเร็วดับเร็วก็เป็นสิริมหามายา ก็เลยยิ่ง คว้าไม่ทัน จับไม่ทัน ไล่ไม่ทันรู้ไม่ครบ ก็งง หยิบจับผิด ยึดผิดกันไป มันก็เถียงกัน ก็ทำความรู้ร่วมกันแล้วได้สภาวะที่เป็นจริงแล้ว เมื่อได้สภาวะที่เป็นจริงแล้วจบ เป็นสภาวะที่จบจริงเลย ซึ่งเป็นสัจธรรมอันสุดยอด พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง เรารู้สภาวะได้ เป็นต้นว่า สภาวะกิเลส เรารู้ว่าอันนี้เป็นกิเลส เราจับอาการกิเลสได้โดยทุกตัวตนจริงนะ อันนี้ไม่มีใครบอกใครได้เพราะกิเลสของเราเอง เราจับได้แล้วก็ปฏิบัติละกิเลสจนหมด หมดจนเราต้องทำซ้ำทำให้มากทำให้ถาวร บริสุทธิ์จะมีคุณสมบัติ 5 ของอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ได้แล้วเราก็รู้ของเราเองโดยไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อของตัวเองเลยมันสุดยอดอันนี้ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย (อปรปฺปจฺจยา ญาณเมวสฺสเอตฺถ โหติ ฯ) _พยอม ราพฤทธิ์ · นมัสการพ่อครู ผมปฏิบัติตามที่พ่อครูสอน และปฏิบัติมานานแล้วครับ _มีแขกพิเศษมาขอถาม…ด.ญ.แสงศีล ศรีเพ็ญ…หลวงปู่คะทำไมหลวงปู่ลายมือสวยจังค่ะดูลายมือสวยจังเลย พ่อครูว่า…ทำไมลายมือหลวงปู่ถึงสวย อันนี้อาตมาจะบอกให้เลย ประมาณนี้ลายมือแย่จริงๆตั้งแต่เด็กตั้งแต่นักเรียน แต่หลวงปู่พยายามเขียน พยายามหัด พยายามตั้งใจเขียนให้ตัวดีๆหัดเขียน ต้องหัด ไม่มีทางอื่นเลย ลายมือจะดีนี่ นอกจากคนที่มี พรสวรรค์ มี talent ของตัวเองมาแต่เก่า ก็เขียนสวยมาแต่เก่าได้ก็แล้วไป แต่ทุกคนจะหัดเขียนให้ลายมือสวยได้จำไว้เด็กหญิงกล้วย หลวงปู่หัดฝึกเขียนมันก็จะเขียนได้ดี _แสงศีล..ทำไมหลวงปู่ขยันทำงานคะ พ่อครูว่า…ทีนี้หลวงปู่จะถาม หนูแสงศีล ถามกลับถามคืนไปว่า แล้วขยันกับขี้เกียจอันไหนดีกว่ากันล่ะ? _แสงศีล…ขยันค่ะ พ่อครูว่า..ก็ขยันมันดีเราก็ต้องทำสิ่งที่ดีกว่าสิ เราจะไปขี้เกียจทำไม เข้าใจก็ขยันเข้าไว้จบ ใช้ได้ _สีมาอโศก…สมณะดินทอง…เมื่อวานนี้ฟังพ่อครูว่า..ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เกิดโพชฌงค์ 7 ไม่เกิด มรรคมีองค์ 8 ไม่เกิด ผมคิดต่อว่า ถ้าพ่อครูไม่เกิดคงไม่มีใครสามารถอธิบายเทวนิยมอเทวนิยมได้แจ่มแจ้งเหมือนพ่อครู เพราะทุกศาสนาในโลกนี้ล้วนแต่เป็นเทวนิยมทั้งสิ้น ถ้าพ่อครูไม่เกิด ระบบสาธารณโภคีก็ไม่เกิดอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกภาคทั่วประเทศ ถ้าพ่อครูไม่เกิด โลกุตรธรรม ก็จะไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจน แล้วไม่มีอาจารย์ไหนสอนคนให้เป็นโลกุตระบุคคลเป็นพระอริยะสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ครับ ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องไหมครับ พ่อครูว่า…ถูกต้อง อันนี้ที่อาตมาพูดเหมือนอวดดี ที่จริงมันเป็นความดีที่ควรอวด แต่อาตมาอวดนี้ไม่มีสาเฐยจิต ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตรธรรม อาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่รับผิดชอบสิ่งนี้ก็พูดความจริงมาหลายครั้ง คนที่เขาไม่เชื่อก็ไม่เชื่อนอกจากไม่เชื่อแล้วจะหมั่นไส้ด้วย เขารับไม่ได้เขาไม่เชื่ออันนั้นก็เป็นวิบากของเขา เป็นเรื่องที่น่าสงสารเขาก็จะต้องจมอยู่ในสงสารน่าเวทนาเขาก็ยังไม่รู้เวทนาก็ต้องจมอยู่ในเวทนาอย่างนั้นแหละ มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ อย่าว่าแต่โลกุตระหรือว่าคำว่าสาธารณโภคี พยัญชนะตัวนี้ เทวะ ที่แปลว่า 2 แล้ว 2 นี้คือ พยัญชนะกับสภาวะ เท่านี้แหละยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกี่กัปป์กี่กัลป์ก็อยู่ตรงนี้ เทวนิยมที่เขายึดมั่นถือมั่นเทวะว่า 1 อย่าแตะนะ มหาเทวะเรียกว่าพระเจ้า เทวะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพระเจ้า เป็น 1 แล้วเขาก็ไปยึดพยัญชนะว่า 1 ห้ามไปแยกห้ามไปวิจัยวิจารณ์อะไรออกไปอีกเลย เป็นอย่างไรก็พาซื่ออย่างนั้น เป็นอย่างไรก็ต้องอย่างนั้น พระเจ้าหรือพระศาสดาของเทวดานิยม พระเจ้าตรัสว่าอย่างไรว่าอย่างไรก็ทำตามทั้งหมด กี่กัปกี่กัลป์ เวลาจะหมุนจะเวียนเปลี่ยนไปจะบริบทอย่างไปก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวนี่คือพวกพาซื่อ มันเป็นไปไม่ได้ ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนตามกาละเวลา เปลี่ยนไปตั้งเยอะแยะองค์ประกอบสิ่งที่เป็นปัจจุบันนี้กับองค์ประกอบของยุคกาล แค่ 100 ปีผ่านไป พันปีผ่านมา มันยิ่งเปลี่ยนมาก 2,000 5,000ปี มันไม่เที่ยงหรอก มันไม่อยู่คงที่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นพวกยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นจึงไม่ทันสมัย และก็ไม่อยู่ในฐานของความเป็นจริงที่สมัยนั้นมันมีอะไรเป็นอย่างไร สมัยนี้มันมีโทรทัศน์มันมีเทคโนโลยีที่ ตั้งเยอะแยะ ตั้งต่างๆนานาสารพัดแล้วก็เปลี่ยนอะไรอีกตั้งเยอะแยะ อาศัยอะไร ไม่อาศัยอะไร มันเป็นไปแล้ว ยุคกาลแต่ก่อนอาศัยอยู่แค่นั้นเดี๋ยวนี้ไม่ต้องอาศัยอย่างที่โบราณอาศัยก็เยอะแยะไป ก็ไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ตามบริบทของ status quo สถานะที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ มันก็เลยเถียงกัน เรารู้เราเข้าใจว่าเขายึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้นมันก็ใช้ไม่ได้ แต่เราก็เข้าใจเขาแล้ว เราก็เห็นใจเขาเท่านั้นเอง นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ _สู่แดนธรรม..มีคนที่เห็นโปสเตอร์ของพวกอภิธรรมบอกว่า การพูดเพ้อเจ้อเป็นการพูดสิ่งไร้สาระไร้ประโยชน์ การพูดเพ้อเจ้ออาจจะมีโลภมูลจิต และไม่จำเป็นต้องเป็นอกุศลกรรมบท แต่มีอกุศลจิตเป็นปัจจัยซึ่งไม่ถึงกับอกุศลกรรมบท จุดนี้เขาเน้นรายละเอียดแต่ข้างในไม่ต้องรอถึงข้างนอกที่เป็นอกุศลกรรมบถที่เป็นของหยาบภายนอกใช่ไหมครับ พ่อครูว่า..มันเป็นอกุศลที่จิต แล้วมันก็ได้ แต่อกุศลจิตที่เข้าใจว่าเป็นเราเท่านั้น ผมขออภิปราย ถ้าเราพวกเราถือว่าหยาบแล้ว แต่ทางอภิธรรม เขาว่า แต่เกิดในจิตก็เถือว่าเพ้อเจ้อแล้ว พ่อครูว่า…คำว่าเพ้อเจ้อนี้เป็นคำที่มาใช้กับความหยาบภายนอก ส่วนพวกอภิธรรมก็บอกให้ไปเรียนเสียใหม่ คำที่แบบนั้นเขาเรียกว่าคำฟุ้งซ่านหรือคำว่าจริตภาษาบาลีเรียกว่า จิตตัปเขปะ แปลว่า ความฟุ้งซ่านแห่งจิต หรือเรียกว่าวิกลจริต จิตมันฟุ้งซ่านคิดพิกลพิการไป เพราะเป็นจิตของตัวเองปั้นอากาศเป็นตัวปั้นน้ำเป็นตัวไป ไปยืนยันกับรูปรสกลิ่นเสียงกับวัตถุอะไรไม่ได้เลย บางทีปั้นไป เหมือนพวกช่องส่องผีก็ใช่ พวกออกไปนอกโลกมันก็วาดภพวาดภาพนอกโลกพวก Star Wars ไม่มีตัวแบบนั้นแบบนี้ต่างๆนานาสารพัด ช่างมาดูเสียเงินเสียทองกันสนุกสนานพวก Star Wars ตัวประหลาดๆ บ้าๆบอๆ ฟุ้งซ่านไปได้เรื่อยๆ ส่องผีก็เหมือนกัน ฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆมันก็ไปเรื่อยๆนี่คือพวก จิตตัปเขปะ คือพวกความฟุ้งซ่านแห่งจิต หรือจิตวิกลจริต นี่คือวิกลจริตในจิตเท่านั้น สู่แดนธรรม กรอบการเพ้อเจ้อคือต้องมีวจีกรรมใช่ไหมครับ พ่อครูว่า..ใช่ เป็นมิจฉาวาจาเป็นทุจริตวาจาเป็นความเพ้อเจ้อ เพ้อเจ้อภาษาบาลีเรียกว่า สัมผับปลาปะ แต่นี่ไม่ใช่มันเป็น จิตตัปเขปะ คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ก็ไม่เป็นไร ก็น่าสงสารคนที่เข้าใจไม่ได้ก็ยึดติดไปก็ไม่เป็นไร _สีมาอโศก…ปลายดาว…ได้เคยฟังหลวงปู่แสดงธรรม เชิงเปรียบเทียบว่า เป่าควายใส่หูปี่ เป่าปี่ใส่หูควาย มีความหมายที่ชัดเจนให้ดูตัวเองและหลวงปู่ว่าชาวอโศกได้บรรลุเป็นอริยะกันหลายระดับ บางคน พ้นทั้งความเป็นปี่ เป็นควาย อย่างนั้นใช่ไหมคะ แล้วส่วนใหญ่ ยังคงเป็นปี่เป็นควายอยู่ไหมคะ พ่อครูว่า…ก็เป็นประเด็นที่ว่า 1 ปี่ 2 ควาย มันมีพฤติกรรมกัน ถ้าปี เป็นพฤติกรรมที่ไม่มีชีวิตถ้าควายเป็นพฤติกรรมเป็นสิ่งมีชีวิตมันรับความกระทบรู้สึกได้ มีจิตวิญญาณมีจิตนิยามมันก็จะรู้สึกได้ ปี่นี่ก็มีไว้สำหรับเป่าให้เกิดเสียง เสียงมันก็จะดังๆๆ ทีนี้ควายนี้มันมีหูมีธาตุรู้ทางทวารหู มันก็รับเสียงได้ ถ้าไปต่อดังๆใส่หูมากๆมันก็จะรำคาญมันก็จะเกิดอาการไม่ชอบใจได้ มันก็จะเป็นอย่างนั้น มันรู้เรื่องรู้สึก แต่ทีนี้ที่หลวงปู่รู้สึกก็คือ เป่าควายใส่หูปี่ หากเป่าปี่ใส่หูควายเดี๋ยวควายมันเกิดวิ่งชนไส้ทะลักได้มันโกรธได้ ถ้าเป่าปี่ใสหูควาย สามารถทำให้ควายมันเกิดอาการรักหรือชังชอบหรือสั่งได้ เกิดพัฒนาเกิดความรู้สึกได้ แต่ถ้าไปเป่าควายใส่หูปี่ ปี่มันไม่รู้เรื่องหรอก เป่าอย่างไรมันก็ไม่รู้เรื่องแล้วจะเป่าตรงไหนควายมันถึงออกเสียง ไปเป่าที่ซี่โครงควายหรือท้องควายก็ดังที่เราเท่านั้น ควายไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้เป่า พูดให้ชัดเจนว่าสิ่งที่ไปทำแล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หลวงปู่ได้ยกตัวอย่างเป่าควายใส่หูปี่ หรือเข็นเขาขึ้นครกก็รู้ ภูเขาที่ติดยึดพื้นดินใครจะไปเคลื่อนได้ ถ้าเคลื่อนครกก็ได้ พยายามอุตสาหะ พากเพียร ถ้าไม่ใหญ่เกินไปนักสักวันหนึ่งก็เข็นครกขึ้นเขาได้ แต่เข็นเขาขึ้นครก เข็นเขาก็ไม่ได้แล้ว มันเป็นสิ่งกลับกัน ที่หลวงปู่พูดคือให้เห็นว่าไปทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทำไม เป่าควายใส่หูปี่ทำไม หรือใช้สำนวนที่เขาใช้กันคือ สีซอให้ควายฟัง หรือจะกลับกัน สีควายให้ซอฟัง ซอมันก็ไม่รู้เรื่อง ความหมายก็คืออย่าไปทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียเวลาเปล่าๆ หรือไปหลงเพ้อเจ้อกับสิ่งที่ผิดก็เสียเวลาเสียแรงงานเสียชาติไปเปล่าๆอย่างนี้เป็นต้น _เลไลย์อโศก…มีสองประเด็น ประเด็นแรกก็คือ จะรายงาน ที่นี่มีสมณะมาแวะเวียนประจำมาจากสีมาอโศก จัดค่ายอุโบสถศีลจัดมาได้ 29 ครั้งแล้ว ที่ประจำอยู่ที่นี่นอนพักค้างมี 5 คน 3คนทำงานส่วนกลาง 100% ส่วนมาช่วยประจำทุกวันแต่ไม่พักค้างมี 1 คน เฉลี่ยมาสัปดาห์ละครั้งก็ 3 คน เมื่อมีกิจกรรมที่จะร่วมแรงร่วมใจก็มา 10 ถึง 25 คน กิจกรรมของชุมชนที่ผ่านมา อาชีพ กสิกรรมเป็นหลัก มีค้าขายบ้าง ปีนี้ฝนแล้ง ทำข้าวไร่ หยอดแห้งๆ ตอนนี้ฝนมาก็เจริญงอกงามดี ค่ายอุโบสถศีลมี 29 ครั้งแล้ว ก็เจอสถานการณ์ covid ก็หยุดไป กิจกรรมที่ผ่านมา ชวนกันว่าจะไปบ้านราชฯหรือสีมา จะไปเข้าพรรษา ปรึกษาที่บ้านราชฯยังยกการ์ดสูง ก็เลยอยู่ที่ เลไลย์ ร่วมกันจัดกิจกรรม ตั้งตบะกัน และดูทีวีออนไลน์ อยากเรียนถาม เรื่องของโควิด ซึ่ง โดยรวมของประเทศไทยแล้วดีขึ้น อยากให้ทางบ้านราชฯผ่อนคลายมาตรการณ์บ้าง ให้ญาติธรรม ได้ไปเยี่ยม หรือจัดโซน หากทำได้จะดีเยี่ยมเลย พ่อครูว่า..คุณพูดแล้วจบแล้ว ได้ตามที่คุณต้องการ แล้วก็ขอยืนยันว่า การ์ดขอยกไว้ก่อน เพราะว่าเราประมาทไม่ได้ ก็คงมาตรการไว้อย่างนี้แหละ เราต้องแข็งขันไว้ก่อน เราเองแม้จะบริสุทธิ์ในตัวเรา แต่เราต้องป้องกันสิ่งที่อยู่ภายนอกมันก็แข็งแรงของมันนะไม่ใช่มันอ่อนแอ ถ้ามันอ่อนแอเราก็เบาลงไปได้ แต่นี่เราต้องแข็งแรงการ์ดเราต้องแข็ง โควิดมันยังไม่ได้ลดเลย มันยังมีอัตราการก้าวหน้า มีอัตราการเขมือบ โดยเฉพาะอเมริกา ยุโรป ไล่กันหลายประเทศ กำลังชิงชนะเลิศกัน ตอนนี้อเมริกา บราซิล อินเดีย รัสเซีย กำลังชิงชนะเลิศกัน ตอนนี้เมืองไทยเรา ไล่ลงมาถึงอันดับร้อยแล้วนะ เมืองไทยเรายิ่งลดลงไปตอนนี้อันดับ 100 แล้ว แสดงว่าเมืองไทยยิ่งแข็งแรงยิ่งปลอดภัย สถิติพวกนี้เป็นความรู้ของคน เป็นความสำคัญของมนุษยชาติและมันเป็นความรู้ที่จะต้องให้รู้ในธรรมชาติพวกนี้ ถ้าไม่เช่นนั้น เราซวย ถูกธรรมชาติกวาดเกลี้ยง เราต้องป้องกันและหาทางต่อสู้กับธรรมชาติคนก็ทำได้มากขึ้นเรื่อยๆเมืองไทยเราก็ไม่น้อยหน้าทำได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว _สู่แดนธรรม…พ่อท่านถูกเพ่งโทษว่าพูดมาก ผมก็เลยได้พระสูตรหนึ่ง พระสารีบุตรวินิจฉัยว่า คนที่พูดมากแต่พูดด้วยปัญญานี้ไม่ฟุ้งซ่าน อันนี้มีธรรมะคุ้มครอง (พ่อครูว่า ไม่จิตตัปเขปะ) คำว่าผู้พูดด้วยปัญญาไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญาเรียกว่า มันตา ได้แก่ปัญญาความรู้ทั่วความไม่หลงความเลือกเฟ้นธรรมความเห็นชอบ บุคคลกำหนดกล่าววาจาด้วยปัญญา แม้กล่าวมาก พูดมากแสดงมากแถลงมากก็ไม่กล่าวว่าจาที่พูดชั่ว เจรจาชั่วปราศรัยชั่วบอกเล่าชั่ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าผู้พูดด้วยปัญญา ความฟุ้งซ่าน ในคำว่า ผู้ไม่ฟุ้งซ่านเป็นไฉน ความฟุ้งซ่านคือความไม่สงบจิตความคิดจิตกวัดแกว่งความที่จิตหมุนไปนี่เรียกว่าความฟุ้งซ่าน ผู้ใดระงับแล้วทำให้ไม่เกิดได้เผาเสียแล้วด้วยไฟคือฌานบุคคลนั้นเรียกว่าผู้ไม่ฟุ้งซ่าน จากพระไตรปิฎกล.29ข้อ 388 พ่อครูว่า…ที่พูดไปมีคำว่าเผาแล้วด้วยฌาน ยิ่งชัดเจนว่า ไฟคือฌาน ไม่ใช่แบบเดียวละทีที่บอกว่าฌานคือการเพ่งหลับตา เข้าใจผิดเพี้ยนในสภาวะจริงแล้วสภาวะคืออุณหธาตุที่ทำให้เกิดพลังงานไฟ ไปเผาไฟราคะ โทสะ โมหะได้ คำว่าฌานนี้อาตมาก็ไม่ได้รู้ทันทีมันเป็นลิงลมข้าวพองกับเขาเหมือนกัน ผิดไปกับเขาไปตั้งนานไปสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภพ ความจริงแล้วมันไม่ใช่ ฌาน มันเกิดจากการปฏิบัติจรณะ 15 พอจรณะที่ 12 13 14 15 ก็เป็นฌานที่ 1 2 3 4 แล้ว เกิดจากการปฏิบัติจรณะทั้ง 11 พร้อมกับมี ฌาน วิชชา 8 ตอนนี้ก็ละเอียดขึ้นชัดเจนขึ้น เราก็จะรู้ว่าฌานคืออย่างนี้ จะไปเพ่งสะกดจิตไม่ใช่ฌานพุทธ เขาก็เรียกฌาน แต่ได้ผลเป็นมิจฉาฌาน ไม่เหมือนกันกับของพระพุทธเจ้า ฌานของพระเจ้าลืมตารู้ตัวทั่วพร้อม เข้าใจรู้จักกิเลสแล้วกิเลสถูกไฟฌานเผาจนหมด จิตก็สะอาดบริสุทธิ์ก็เป็นสมาธิ จากฌานต้องมาเป็นสมาธิตกผลึกเป็น สมาหิโต มันก็พยัญชนะอย่างหนึ่ง สภาวะธรรมก็อย่างนึง _เมื่อวานลูกๆม.1 4 คนคุยกันอยู่ดีๆเพื่อนคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า “ความตายไม่ใช่สิ่งไกลตัว ความตายอยู่ใกล้ตัวเรา ความตายอยู่ใกล้ตัวเราที่สุดความตายอยู่กับเราทุกๆวินาที ความตายหายใจพร้อมเรา ความตายก้าวเดินพร้อมกับเรา ความตายหลับตาหรือลืมตาพร้อมกับเรา ความตายอยู่ทั้งเวลาเราทุกข์ และสุข พร้อมกับเรา ความตายเสมือนเราอีกคน” เพื่อนคนนั้นพูดอย่างนี้ 2 รอบ เพื่อนที่นั่งคุยกันอยู่จึงถามว่า เธอเป็นอะไรไปหรือเปล่า? พร้อมทำหน้าตกใจ แล้วกลัวนิดๆ เธอคนนั้นก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เพื่อนที่ทำท่ากลัวนั้น ก็ถามอีกว่า ใครเข้าสิงแล้วนี่คือใคร? เธอพูดพลางรอไปพลางว่าไม่มีใครเข้าสิงทั้งนั้นแหละ แต่ในตอนที่พูดนั้น ในสมองไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรหรือควรจะทำอะไรเลย ขอบอกหลวงปู่ว่า เพื่อนลูกเป็นอะไรหรือเปล่าคะ พ่อครูว่า…ไม่เป็นอะไรเลยเขาแสดงความเป็นจริงจากจิตที่เขาเข้าใจและรู้สึก พูดออกมาได้แต่ละประโยคนี้…คม แล้วก็เป็นความหมายที่ เป็นโลกุตระเลย เป็นสิ่งที่ประเสริฐนี่เด็กม.1 นะ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ค่อยๆดูกันไปอย่าเพิ่งไปขี้ตู่ ตีขลุม ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จะมีน้ำไหลไปหาน้ำ จะมีน้ำมันไหลไปหาน้ำมันมัน จะเป็นธรรมดาธรรมชาติค่อยๆเป็นไปเรื่อยๆ นับวันจะมีสิ่งอย่างนี้เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นพูดไว้แค่นี้ก็แล้วกัน _ลูกขอถามว่า ตัณหา แปลว่าอะไรครับ ด.ช.กิติทัต จันดาศรี พ่อครูว่า…ตัณหา แปลว่า อาการของจิต ภาษาที่ได้กี่คำก็เรียกว่าเป็นกิเลส ตัณหาหรือกิเลสของเรา ถ้าคำว่ากิเลสก็คงจะเข้าใจมากกว่าต่างหาก สรุปแล้วคือจิตที่มันชั่ว จิตตัวที่มันไม่ดี มันไม่ใช่จิตเราจริง มันเป็นตัวอาการเป็นพลังงานที่แฝงอยู่ในจิตเรา แล้วก็ยึดว่า ตัวมันเป็นตัวเรา มันปลอมตัวแล้วแสดงอำนาจยึดติดใจเราเลยแล้วก็แสดงอำนาจนั้นออกมา จนคนที่แพ้อำนาจของกิเลสแพ้อำนาจของตัณหาก็ต้องตามมัน มันอยากได้ อยากโกรธ มันอยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ตามอำเภอใจ ทั้งๆที่สิ่งที่ทำออกไปนั้น โดยสามัญสำนึก ก็รู้ว่ามันชั่วเขาก็ยังทำ เช่น คนที่มันปล้ำข่มขืน ข่มขืนก็ชั่วแล้วใช่ไหม มันรู้ว่าการข่มขืนชั่วมั้ย..มันก็รู้ เสร็จแล้วมันก็รู้ว่ามันชั่ว มันก็กลัวคนที่ถูกข่มขืนจะไปฟ้องจะไปบอกว่ามันเห็นหน้าเห็นตา มันก็ฆ่า แล้วมันรู้ว่าการฆ่าคนชั่วหนักเข้าไปอีก…มันก็รู้ นี่แหละคืออำนาจของกิเลสและตัณหาที่มันแรง น่ากลัวมาก เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเรียนรู้กิเลสตัณหา แล้วล้างมัน กำจัดมันออกไปจากจิต ทฤษฎีพระพุทธเจ้านั้น ฆ่ากิเลสได้จริง ขอยืนยันว่าฆ่าได้จริง มาสู่ที่นี่แล้ว สนามรบฆ่ากิเลส ชาวอโศกคือสนามรบฆ่ากิเลสเป็นสนามสำคัญเลยของโลก อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆด้วย ขอพูดอย่างนั้น ตั้งใจดีๆนักเรียนที่มาที่นี่เป็นโชคของพวกเธอแล้วนี่เด็กม.1ดีมาก _ขออนุญาต เสนอความคิดเห็นว่ารายการพุทธศาสนาตามภูมิวันพุธ ศุกร์ อาทิตย์ พ่อท่านจะให้เวลาในการตอบ sms เยอะมาก เกือบจะหมดเวลา อธิบายข้อธรรมอันใดไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ คนที่ถามมา ก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนทิฐิความเห็นได้ง่ายๆ ผมมีความเห็นว่าถ้าตอบ SMS ให้จบภายใน 19:00 น ตรง แล้วเอาเวลาที่เหลือเทศน์หัวข้อทำให้ลูกๆหลานๆ คนในฟัง จะเป็นประโยชน์มากครับ เป็นความเห็นหนึ่งเท่านั้นควรไม่ควรแล้วแต่พ่อครูจะพิจารณาเห็นสมควร พ่อครูว่า..อาตมาว่า เห็นดีด้วยเหมือนกันนะ ถ้าไป19:00 น ก็เหลืออีกครึ่งชั่วโมง เขาก็เลยอยากได้ครึ่งชั่วโมงไปอ่านพระไตรปิฎกจะอธิบายเนื้อหา ไม่ใช่ตอบ sms ไปทั้งหมด ก็ดีเหมือนกันนะเอาอันนี้ลองดูอย่างนี้ก็แล้วกัน _สู่แดนธรรม …ถ้าอย่างนั้นผมขอช่วยกำกับเวลาครับ _ด.ช.ปลื้ม ธนโชติ สาริบูรณ์..ผมอยากรู้ว่าถ้ามีเพื่อนมาล้อเลียนปมด้อยของเราทุกวัน เราจะทำอย่างไรครับ พ่อครูว่า…เราก็เข้าใจให้ได้ว่าปมด้อยนั้นเป็นปมด้อยจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นปมด้อยจริงเราก็ยอมรับซะ เขาจะมาท้วงเรา เพื่อนกันนี่นะเขาจะท้วงเขาจะล้อเล่น ถ้าไม่ใช่เพื่อนกันเขาไม่ค่อยล้อเล่นกันหรอก ก็จะไม่มาตอแย เพื่อนที่มาล้อเล่น แม้แต่ล้อชื่อพ่อชื่อแม่ ล้อปมด้อย ก็คือเพื่อนเขารักเรา คนที่ถูกล้อ อย่าไปคิดว่ามันไม่ดีไม่งามแล้วก็ทะเลาะกันไม่ชอบใจ ต้องดูด้วยว่าเพื่อนที่ล้อเราเขารักเราเล่นกับเรา ไม่ใช่สิ่งเสียหาย ทีนี้ประเด็นปมด้อย เราก็ยอมรับ แล้วก็พูดกับเพื่อนดีๆว่าเรายอมรับ ถ้ามันจริง ถ้าไม่จริงเราก็บอกว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขามองผิดมันไม่จริงอย่างไรก็อธิบายให้เขาฟัง เขาก็อาจจะขัดแย้ง ก็วิจัยกัน ใครถูกใครผิด มันเป็นปมด้อยจริงหรือไม่จริง มองโดยอาการ นึกว่าเป็นปมด้อย แต่ที่จริงไม่ใช่ อย่างอาตมาคนมองแต่อาการและนึกว่าเป็นปมด้อย แต่ที่จริงมันไม่ใช่อาตมาต้องอนุโลมแสดงอะไรต่างๆนานา มันแรงบ้าง หรือบางทีมันค่อยๆขึ้นเป็นคำหยาบแรงด้วยซ้ำ หรือพูดมาก หนัก เน้น อะไรต่างๆนานา จนเขาหาว่าพูดเพ้อเจ้อ วันนี้ก็ได้ข้อหาว่าเพ้อเจ้อ สู่แดนธรรม..การบูลลี่ การล้อเลียนกันนี้มันเป็นเรื่องระดับโลกแล้วตอนนี้ พ่อครูว่า…ก็ต้องเข้าใจว่าคนที่มาล้อเลียนเรา อย่างหาเรื่อง ล้อเลียนเราอย่างเพื่อจะทำให้เราเสียหาย หรือล้อเลียนเราเล่นๆ เหมือนที่หลวงปู่อธิบาย ว่าเพื่อนมาล้อเลียนเรามันเป็นเรื่องดีเป็นเรื่องแสดงความสนิทสนมความรักกันไม่เสียหาย สู่แดนธรรม..ผมพูดถึงกรณีที่มันเกิน _ลูกอยากได้ชื่อจากหลวงปู่ แล้วก็บอกว่า คำถามก็คือ หลวงปู่จะอยู่ถึง 151 ปีจริงหรือเปล่าคะ พ่อครูว่า…หลวงปู่เจตนาจะอยู่ถึง 151 ปี ตั้งใจพากเพียร เพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตมีขันธ์ รักษาดูแล ที่ทำนี้เพื่อให้ชีวิตอยู่สืบทอดธรรมะ ทำงานศาสนานี้ไปให้เป็นประโยชน์ ไม่เช่นนั้นมันจะขาดช่วงขาดจังหวะ ก็เลยพยายามที่จะลากสังขาร ปรุงสังขาร ก็ช่วยกันตั้งหลายคน ทั้งอาตมาเอง หลวงปู่เอง ก็ดูดีนะ ดูก้าวหน้า ก็ค่อยๆเป็นไป อยากได้ชื่อก็เขียนมา _ทำไมหลวงปู่ ถึงอยากอายุ 151 ปี หรอคะ พ่อครูว่า…ที่หลวงปู่อยากจะอายุ 151 ปีก็เพราะว่า หลวงปู่จะทำงานให้มีเวลายืดต่อไป เดี๋ยวมันก็หมดวันๆ วันมันไปไม่มีวันหยุด เวลามันเดินทาง โลกก็หมุน พระอาทิตย์ก็หมุน ไปด้วยกันเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆมันไม่เคยถอยหลังเลยเวลา แล้วหลวงปู่ก็ไม่ค่อยเก่ง ทำงานช้า เดี๋ยวนี้ช้าลงเยอะเลย ก็เลยต้องเพิ่มเวลาตัวเองให้มีอายุขัยยาวไป ก็ยังมีงานอีกเยอะที่ยังต้องเห็นว่าจะต้องทำ จะต้องมาแจกแจง จะต้องมาอธิบายขยายความ 4 5 ปี 6 ปีหลังนี้ หลวงปู่ได้ขยายธรรมะละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งกลับกันกับตอนก่อนนี้เยอะเหมือนกัน แล้วพวกเราก็เข้าใจว่าที่มันกลับ อันโน้นเป็นฐาน 1 อันนี้มันเป็นอีกอันหนึ่งแล้วพวกเราก็เข้าใจ ขยับขึ้นเหมือนก้นหอย มันวนมาซ้ายแล้วไปขวา ซ้ายแล้วไปขวา มันก็วนซ้ายขวาเหมือนซ้ำซาก แต่ถ้าคนไม่มีปฏิภาณปัญญาก็จะดูว่าเป็นการวนซ้ำซาก ซ้ายขวา แต่ก็ไม่รู้ว่าซ้ายขวานี่มันสูงขึ้น มันคนละอย่างแล้ว มันคนละชั้นแล้ว มันใช้ภาษาเก่า ภาษาซ้ายขวาอย่างเก่า แต่ซ้ายอันนี้ขวาอย่างนี้มันเป็นอีกเนื้อหา แล้วก็ไม่มีพยัญชนะจะใช้ก็ต้องใช้พยัญชนะซ้ายขวา ซ้ายขวา ซ้ายขวา จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ภาษามันยังซ้ำอยู่ซ้ายกับขวา เพราะยังไม่มีภาษาใหม่ แต่ผู้ที่รู้จักสภาวะ ตามที่อาตมาขยายความ ซ้ายขวา นี่ซ้ายขวา สภาวะใหม่แล้ว พวกเราเข้าใจ เช่น อรหัตตผล อรหัตตผลของโสดาบัน ก็คือสกิทาคามีแล้ว คือกิเลสดับ เป็นไง กิเลสอันนี้ดับแล้วอันนี้ก็ยังเกิดอยู่ก็ทำให้มันดับอีก ดับหมดเราก็ดับ มีความเกิดอีก เราก็ดับให้มันได้ เกิดอีกก็ดับอีก ก็เป็นภาษาเกิดดับ เกิดดับเท่านั้น แต่มันเป็นคนละเรื่อง คนละชั้น พระโสดาบันก็ดับระดับหนึ่ง พระสกิทาคามีก็ดับระดับหนึ่ง พระอนาคามีก็ดับอีกระดับ อรหันต์ก็ดับอีกระดับ ยิ่งเป็นโพธิสัตว์แล้ว ยิ่งตีลังกากลับเลย ดับคราวนี้ไม่ดับของตัวเองแล้วไปดับของคนอื่น ซึ่งแต่ละคนก็ต่างกันไป ก็ยิ่งหลากหลาย วิจิตรพิสดารมากยิ่งขึ้น _ลูกอยากได้ชื่อค่ะ ลูกชอบดอกไม้ รัชภรณ์ พุ่มจำปาค่ะ พ่อครูว่า…เขียนมาขอทีหลังนะ ชอบอะไรก็ดีแล้วที่เขียนมา จะได้ตั้งชื่อให้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราชอบ _หลวงปู่บอกว่า บัวมี 5 เหล่า แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่าบัวมี 4 เหล่า บัวที่ 5 คืออะไรหรือคะ พ่อครูว่า..บัวมันมี 4 เหล่า หลวงปู่ก็ไม่เคยบอกว่า 5 เหล่า ใครเอามาใส่ให้หลวงปู่ มีอะไรนะ ๑. อุคฆติตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้เพียงท่านยกหัวข้อขึ้นแสดงเท่านั้น) ๒. วิปัญจิตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้โดยการจำแนกเนื้อความให้พิสดาร) ๓. เนยยะ (ผู้บรรลุมรรคผลเป็นชั้นๆ ไป โดยอุทเทส (หัวข้อ) โดยไต่ถาม โดยทำไว้ในใจโดยแยบคาย โดยการสมาคม โดยคบหา โดยสนิมสนมกับกัลยาณมิตร) ๔. ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย) พอเข้าใจโลกียธรรม แต่เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ หรือเข้าถึงธรรมระดับโลกุตระได้ยาก (พตปฎ. ล.๓๖/๑๐๘) พ่อครูว่า..บัวที่ 5 พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้หรอก ถ้าจะพูดก็อธิบายไปเฉยๆไม่ได้ไปตั้งหรอก พระพุทธเจ้าก็ตั้งไว้แค่บัว 4 เหล่าตั้งเอง คำว่า ชาวอโศก มีความเป็นมาอย่างไร _ก่อนจะสร้างอโศก หลวงปู่บวชที่วัดไหนครับเพราะอะไรจึงบวชที่นั่นครับ พ่อครูว่า…ก่อนจะสร้างอโศก หลวงปู่ บวชที่วัดไหนครับ ตอบ หลวงปู่บวชครั้งแรกที่วัดอโศก เรียกว่าอโศการาม อารามแปลว่าวัด วัดอโศกนั่นแหละ เพราะอะไรถึงบวชที่นั่น … เพราะว่า มันต้องเป็นเช่นนั้น มันต้องไปตรงที่อโศก เพราะว่าคำว่า “อโศก”นี้มันเกี่ยวข้องกับหลวงปู่มานาน มามาก มาเยอะ พอมาถึงยุคนี้ก็ยังมีอโศกอยู่ เช่น ลานอโศกที่วัดมหาธาตุนี่ หลวงปู่ก็เข้าไปเกี่ยวข้องไปแสดงธรรม อยู่ที่นั่นสนุก แต่ก่อนวันอาทิตย์ทีนึง ก็เปิดลาน ที่วัดมหาธาตุ มีนักธรรมมะไปถกกันขรมเลย แต่ก่อนถือว่าเป็นตักกะศิลาของศาสนาพุทธเลย ถกกันใต้ร่มอโศก ที่วัดมหาธาตุตอนนั้นมีต้นอโศกเยอะด้วย มันก็เลยเกี่ยวข้องไปหมด 1 วัดอโศกไปแสดงธรรมที่ลาน ใต้ต้นอโศก แล้วหลวงปู่ก็เลยบอกว่า อโศกนี้มันก็เลยมาใช้นามแฝงนามปากกาของตัวเองว่า อโศก ออกหนังสือพิมพ์ คุณชวน เขามีหัวหนังสือแล้วก็ขอหัวย่อย ออกหนังสือวารสารทุก 15 วันตั้งชื่อหนังสือนั้นว่าหนังสืออโศก แล้วก็ทำเป็นนิตยสารอโศกราย 15 วันที่บอกมา พิมพ์ได้เล่มที่ 1 ใครจะมาเขียนก็ให้ใช้นามเดียว อโศก มันก็เลยกลายเป็น คลั่งอโศก กลายเป็นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ใครเขียนมาก็ให้ใช้นามว่าอโศกไม่ให้มีตัวตนเป็นการถอดตัวถอดตน คอลัมน์ทุกคอลัมน์ อโศกเขียนหมดเลยแต่หลายคนเขียน เพราะฉะนั้นคำว่าอโศกนี้จึงสัมพันธ์สนิท สัมพันธ์ลึกซึ้งกับตัวหลวงปู่ไว้มากขึ้นๆๆ จนมีผู้มาร่วมงาน มาร่วมงานขึ้นมากก็มาทำหนังสือในตอนแรก มาร่วมหมู่กลุ่มกัน แล้วหลวงปู่ก็ยังอยู่วัดอโศการามแล้วก็มาแสดงธรรมที่ลานอโศก มันก็เลยมีแต่ อโศกๆๆ อโศกก็เลยเนียนลึกมาเป็นพวกเรา ก็เลยกลายเป็นกลุ่มหมู่คนกลุ่มหนึ่ง เขาบอกว่าคนกลุ่มนี้คือคนอโศก คำว่าชาวอโศกเกิดมาด้วยประการฉะนี้ นี่คือคำว่าชาวอโศก _To หลวงปู่…หลวงปู่คะ หลวงปู่รักเด็กม.1 ปีนี้ไหมคะ พ่อครูว่า…ถ้าอย่างนั้นคนทำมาก็ไม่ใช่เด็กมา 1 สิ ไม่ได้ลงชื่ออะไรเลย เป็นบัตรสนเท่ห์ บัตรที่เขียนมาเนื้อเรื่องที่เขียนมาโดยไม่ได้ลงชื่อเขาเรียกว่าบัตรสนเท่ห์ _สู่แดนธรรม…ครั้งหน้า รายการนี้วนไปที่ภาคใต้ ทีมสุขภาพพบว่าพวกเราการ์ดตกกัน ไม่ค่อยใส่แมส เวลาพูดกับพ่อครู จึงขอให้ทุกคนพกแมสประจำตัวไว้ด้วย พ่อครูว่า…ก็ดีนะคนทั้งโลกตอนนี้โควิด มันก็ยังไม่เบาบางลงเลย ฝนก็คิดวิธีป้องกันมาก็คือการใส่แมส ตอนนี้โดนัลด์ทรัมป์ก็ยอมใส่แมสแล้ว ตอนนี้สถิติของอเมริกาเองก็ยังไม่ลดลงเลย แสดงว่า โดนัลด์ทรัมป์กลัวตายเหมือนกัน ถึงยอมใส่แมส อาตมาว่าเขากลัวจะไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดียก 2 เท่านั้นแหละอาตมาว่าเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับเขา เรื่องนี้ก็เป็นไปตามธรรม อาตมาก็จะดูว่า ใช้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านสังคมโลกว่า การเมืองของโลกที่เป็นประชาธิปไตย ถ้าโดนัลด์ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีอีก สังคมโลกก็คือชนิดหนึ่ง แต่อย่าเพิ่งไปเข้าใจผิดได้ง่ายๆนะ มันมองไปในแง่ดีได้เหมือนกัน ถ้าโดนัลด์ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี อีกรอบนึงนะ ดีเหมือนกัน อเมริกาจะได้แย่ลงเร็วกว่านี้ อาตมามองให้ฟัง เอ้า..จริง! จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ควรจะไปซ้ำเติมประชากรของชาวอเมริกา ก็ไม่น่าจะให้โดนัลด์ทรัมป์ได้รับการเลือกตั้ง ถ้าเขาได้รับการเลือกตั้งประชากรอเมริกาจะย่ำแย่ลงไปอีกเยอะ สู่แดนธรรม…จบ Category: ศาสนาBy Samanasandin13 กรกฎาคม 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630712_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ กัจจานโคตรสูตร มีก็สูญ ไม่มีก็สูญ NextNext post:630715_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศีลกับวัตร ต่างกันอย่างไรRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024