ก.ค.152020ศาสนา630715_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศีลกับวัตร ต่างกันอย่างไร ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/19iW_iqX01oAfalkLU_jYvOISktIx-eXTi5Rf35vQYwk/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1vnzsh1d_Wdfh283bfMQzqQLidpbiSIHb/view?usp=sharing สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ใครก็ติดตามเหตุการณ์ที่ระยอง ที่ทหารอียิปต์ที่ติดเชื้อโควิดไปเที่ยวห้างที่จ.ระยอง คนก็กลัวการแพร่เชื้อโควิด ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ออกมาขอโทษประชาชน เป็นเรื่องที่ดีที่นายกฯยอมขอโทษประชาชน พ่อครูว่า…SMS วันที่ 13-14 ก.ค. 2563 _Boy Mungchomklang (บอย มุ่งจอมกลาง) · ฟังพ่อครูว่าให้เวลาเราแค่ช่วงโมงครึ่ง ว่าแล้วว่าอีกก็ยังไม่เพิ่มให้ ส่วนตัวผมมองว่าช่วงนี้พ่อครูน่าจะประมาณแล้วว่า ท่านน่าจะพอมีกำลังเหลือ… ผมจึงขอเสนอว่าน่าจะลองเพิ่มเวลาให้สักหนึ่งวันต่อสัปดาห์ก่อนจะเหมาะไหมครับ ผมคาดว่าอีกหลายๆๆท่าน ก็จะได้ความรู้นำมาปฏิบัติเพิ่มขึ้นครับ จะอย่างไรผมก็เคารพในการตัดสินใจ และความปรารถนาดีของทีมสุขภาพต่อพ่อครูครับ(ด้วยใจจริงตอนนี้ครับ) ขออนุโมทนาด้วยนะครับ กราบขอบพระคุณครับ พ่อครูว่า…แล้วแต่จะเป็นไปอาตมาไม่มีปัญหาหรอก _Tapanee Burakrai (ฐาปนี บุราไกร) · ธรรมะพ่อท่านตอนนี้ละเอียดมากขึ้น ฟังไม่เคยเบื่อ ฟังแล้วยิ่งละเอียดมากยิ่งขึ้น พ่อครูว่า…เจตนาอาตมาก็ต้องการให้ดียิ่งขึ้นละเอียดยิ่งขึ้น คนก็รับฟังได้ตรงกันก็แสดงว่าอาตมาทำได้ผล _ต้นไม้ ใบย่า ธรรมะชาติ · กราบนมัสการพ่อครู สมณและสิกขมาตุค่ะ รับฟังอยู่ทีสันติอโศกวันนี้เสียงเบา มีเรื่องร้องทุกข์ค่ะคือเวลาอาจารย์แป้งพูดเอาผ้าปิดจมูกออกได้ไหม? ผู้สูงอายุฟังไม่ค่อยชัดเจน เสียประโยชน์มากกว่าไม่ค่อยได้ยินค่ะ พ่อครูว่า…บางคนใส่แมสพูดก็ชัดเจน บางคนก็พูดไม่ค่อยชัดเจน อาตมาก็คนหนึ่งใส่แมสเราพูดไม่ชัดเจนทีนี้ก็เลยไม่ใส่แมส ทีนี้คนอื่นก็ใส่เสียอาตมาก็อยู่ห่าง ก็เลยสบายๆ ก็เลยถือโอกาส ก็ดูอยู่ อาตมาก็ไม่ประมาท วาระใดควรใส่ก็ใส่ สิริมหามายาเป็นความจริง ส่วนมายาคือความหลอก _Surapa Limwannasathian (สุรภา ลิ้มวรรณเสถียร) · ช่วยอธิบายศิรมหามายารด้วยคะ / เราควรยึดความจริงใช่มั้ยคะ พ่อครูว่า…ใช่สิเราควรยึดความจริง ทีนี้ก็ฟังอีกที สิริมหามายาเป็นความจริง คำว่ามายาคำนี้เป็นคำไม่จริง คำว่ามายาแปลความว่าไม่จริง แต่ที่ใช้คำว่าสิริมหามายานี้ มันลึกซึ้งนะ ที่จริงมันมีความหมายรูปงามยิ่งใหญ่มาก เช่นพระมารดาของพระพุทธเจ้าชื่อว่าสิริมหามายา ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจกันได้ง่ายว่าทำไม ชื่อมีมากมายหลากหลายเยอะแยะ ภาษาที่สวยงามเอาไปตั้งชื่อพระมารดาของพระพุทธเจ้าได้ ทำไมต้องตั้งชื่อว่าสิริมหามายา ทำไมต้องมายา จะเป็นสิริมหาอะไรก็ได้ สิริมหาฟ้าไท เป็นต้น ทำไมต้องสิริมหามายา พระพุทธเจ้าสมณโคดมเกิดในยุคนี้ ในยุคปลายภัทรกัปป์ ในยุคจะมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นองค์สุดท้าย ต่อไปก็จะมีตำแหน่งพระพุทธเจ้าที่เป็นพระศรีอริยเมตไตรย์ ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งไม่ใช่ชื่อพระพุทธเจ้า องค์ต่อไปทุกพระองค์ที่เจริญกว่าพระสมณโคดม จะเป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาแล้วจะสอนมนุษย์ได้มากยิ่งกว่าสมณโคดม หรือองค์ก่อนๆ พระศรีอริยเมตไตรยจะสอนได้ ศาสนาก็จะอายุยืนยาวผู้คนก็มากมายมีมาฆบูชาหลายครั้ง ทีนี้พระสมณโคดม เป็นองค์สุดท้ายมาฆบูชาก็ครั้งเดียวอรหันต์ก็เพียงแค่เพียง 1250 องค์ คิดดูสิ พุทธเจ้าบางพระองค์มีมาฆบูชา 5 ครั้ง พระอรหันต์มีเป็นล้านองค์ที่มาประชุมในวันมาฆบูชา มันเทียบกันไม่ติดเลย ไกล เพราะฉะนั้น ยุคนี้จึงเป็นยุคที่ปลายของสังคม ยุคกัปป์ ที่จะมีไฟบรรลัยกัลป์ เป็นกลียุค สรุปก็คือคนมันเสื่อมคนมันแย่คนมันต่ำ แต่มันซ้อน คนต่ำ แต่คุณธรรมโลกุตระ ยิ่งราคาแพง อันนี้ก็น่าจะเข้าใจกันได้ สิ่งที่มีน้อยหายาก สิ่งที่หาได้โดยยากและมีน้อยนั้นต้องราคายิ่งแพง จะเป็นอย่างนั้นจริง ผู้รู้ค่าจะรู้ค่าสิ่งที่หายาก สิ่งที่มีค่าสูงยิ่งหายาก เพราะฉะนั้น ในยุคนี้หายากและมีค่าสูงแต่คนไม่ค่อยจะให้ค่า เพราะอะไรเพราะคนมันยังไม่เจริญ แต่สัจจธรรมจริงๆแล้วมันเป็นสัจธรรม ไม่มีผิดเพี้ยนหรอก ถ้าหากผิดเพี้ยนก็ไม่ชัด สัจธรรมนี้ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มากแต่ต่อไปต้องมากแน่นอน เพราะยุคกาลนี้ต้องมากไปจนถึงขั้น อาตมาไม่มีปัญญาหยั่งรู้จำนวนได้ ประมาณได้ ว่าต้องพยายามยืดอายุยาวไปจะได้ช่วยกันอีก นับตัวเลขตายตัว ทำงานมา 50 ปี กับอีก 450 ปี ที่ศาสนาพุทธจะเจริญไป จากจุด 500 ปีเป็นจุด peak สุดแล้ว จากนั้นก็จะค่อยๆเสื่อมไปอีก 2,000 กว่าปี ก็หมดศาสนาพุทธของสมณโคดม จบจากศาสนาพุทธของสมณโคดมก็จะมีช่องว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง แล้วจึงจะเกิดศาสนาพุทธใหม่ ตอนนี้เป็นปลายภัทรกัปป์ สิริมหามายา ชื่อผู้ที่จะให้กำเนิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ สิทธัตถะ สิทธะ แปลว่าความสำเร็จ อัตถะ คือ ประโยชน์ที่ใหญ่ เป็นความมีประโยชน์ที่ใหญ่ที่จะสร้างให้แก่มนุษยชาติ พุทธเจ้าให้กำหนดโดยสัจธรรมปรมัตถธรรมของโลกุตระแล้ว การเกิดเป็นสิ่งที่ไม่ดี การดับเป็นสิ่งที่ดี โดยปรมัตถธรรมการเกิดเป็นทุกข์การดับทุกข์ ในความหมายการเกิดเป็นทุกข์นี้มันต้องเกิด อย่างไรก็ต้องให้พระพุทธเจ้าเกิด ถ้าหากไม่ให้พระพุทธเจ้าเกิดก็ไม่มีศาสนาพุทธเกิดก็ไม่มีสิ่งที่ดี มาทำให้ช่วยมนุษยชาติไปได้ จึงต้องเกิด เพราะฉะนั้นคำว่าเกิดกับไม่เกิดมันจะเป็นสิริมหามายา เป็นภาษาที่ไม่รู้เกิดอีกหรือไม่เกิดอีก เกิดดีหรือไม่เกิดดี แต่กำกับเอาไว้ด้วยเลข 7 สิริมหามายา เลข 7 คือพลังเต็มที่แล้ว เพราะฉะนั้นเต็มที่ในเรื่องที่จะไม่ล้มเหลว ถ้าได้พลังงานขั้น 7 เป็นพลังงานที่จะส่งผลสำเร็จแน่แท้ ผลสำเร็จแน่แท้สมบูรณ์แบบคือ 9 เพราะฉะนั้นถ้าเสร็จจะไปสู่ สัมโพธิปรายนะ ไปสู่สิ่งที่จะบรรลุสูงสุดๆ ในยุคกาลปลายนี้ อย่างไรๆ ก็ต้องมีการบรรลุถึงที่สุดได้ จะให้เกิดแต่ก็เป็นการให้เกิดครั้งสุดท้ายนะ แล้วเกิดยังไม่ได้สวยงาม เหมือนกับคนหลอกเข้าใจไม่ชัดเจน เรื่องที่เป็นสัจธรรมเข้าใจไม่ชัดเจนไม่ได้หมายความว่าความจริงไม่ชัดเจน แต่มันเป็นยุคการที่คนในยุคนี้ในกัปป์นี้ตอนนี้มันไม่ค่อยฉลาดยังรู้บ้าง ไม่รู้บ้างมันก็เลยเป็นสภาพคลุมเครือแต่ผู้ที่รู้จริงได้จริงก็จะไปสู่ความสำเร็จได้ก็จะมีคนจำนวนหนึ่งตามความเป็นจริง ซึ่งจะมีไม่มากนักหรอกอาตมาก็ไม่ได้ร้อนใจไม่ได้ตกอกตกใจอะไร ว่าทำไมได้แค่นี้ มีแต่พ้อเล่นๆ เพราะเรารู้เหตุปัจจัยองค์ประกอบมันแล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ แต่พออาตมาตายไป ไม่มีความเจริญไปยิ่งกว่านี้อีกพวกคุณก็อย่าเพิ่งตาย มีชีวิตอยู่ให้นานอีกกว่าจะมา อาตมาอายุ 151 คุณก็อยู่ต่อไปอีกนะ เกิดมาใหม่อาจยังเด็กไม่รู้ประสีประสา แต่ก็จะพอรู้ ทำอย่างไรจะเป็นคนใจเย็น _ป้าอ้วน Channel : กราบนมัสการสมณ สิขมาตุค่ะ ท่านสมณะคะ ทำยังไงจะเป็นคนใจเย็นหรือควบคุมอารมณ์ได้คะ พ่อครูว่า…มันก็คือความจบ เป็นผู้ที่ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ คือเป็นคนที่สามารถรู้พลังงานจิตและจัดการมีปัญญามีอำนาจอธิปไตย สามารถสร้างพลังงานจิตให้เหมาะสมให้ออกไปทำงานใช้งานได้ เป็นกัมมัญญา เป็นการงานทุกงานได้เหมาะสมเหมาะควรได้ดี เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุดได้ทุกที ถ้าเป็นคนมีอำนาจทางจิต วสวัตตี ผู้มีอำนาจจิตนี้เรียกว่า วสวัตตีโก จะทำอย่างไรก็ใจเย็นถ้าคุณมีอัตตาจะใจไม่เย็น คุณก็จะเอาให้ได้ดั่งใจตนให้ได้ แล้วยิ่งเป็นจริตใจร้อนรน จะช้า ยิ่งมีจริตเอาแต่ใจเรา แต่คนที่ถามมาก็จะรู้ตัวเองว่าเป็นคนใจร้อน ก็ไม่มีอย่างอื่นที่จะทำได้นอกจากฝึก เรียนรู้สิ่งที่ตัวเองบกพร่อง ก็ทำสิ่งที่มันตรงกันข้ามกันที่ทวนกระแสใจกัน ไม่มีทางอื่นจะต้องฝึก ไปซื้อตามร้านขายยาไม่ได้ Supermarket ก็ไม่ได้ ศูนย์การค้าก็ไม่ได้ ให้ปฏิบัติไปตามลำดับ ข้อสำคัญคือการปฏิบัติตามลำดับ ให้รู้ตัวเองว่าควรปฏิบัติอะไร อย่าไปเอาเยอะมากก่อน เดี๋ยวมันจะเข็ด แล้วไม่ได้เรื่องเลย อย่าให้เข็ดเชียวนะ ตัวเองเข็ดมันแย่ ไม่มีกำลัง ให้ได้ทีละน้อยก็ไม่เป็นไรไม่ได้มากก็ไม่เป็นไร _ทรู มูฟ : ผมพยายามลดกิเลสแต่ลดไม่ได้สักทีครับ พ่อครูว่า…ดีแล้วที่คุณรู้ว่าการลดกิเลสไม่ดีให้เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิและปฏิบัติให้ได้เหมาะสมกับตัวเองอย่าตะกละตะกรามเกินไป ค่อยๆได้เป็นทีละข้อ เขาจะบอกว่าปฏิบัติเหมือนกับเด็กๆ ก็ไม่เป็นไร ปฏิบัติตามลำดับ 1 2 3 4 5 นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท… ผีคืออุปาทานในตัวเราเอง _อุไร กิจสมพงษ์ · กราบนมัสการ สาธุเจ้าค่ะ ยิ่งกลัวยิ่งเห็นผี จิตปรุงแต่ง เห็นเป็นรูปร่าง เคยเป็นอย่างนั้นค่ะ พอปฏิบัติธรรม รู้ว่า ผีอยู่ ในตัวเรานี่เองนะ พ่อครูว่า…แสดงว่าคุณบรรเทาดีขึ้นแล้วสิ จริงๆแล้วผีไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างจริงๆเลยแต่คุณปั้นรูปร่างนั้นขึ้นมาเอง จิตมันสร้างเองมันสร้างพลัง สร้างเป็นตัวตนรูปร่างขึ้นมาเอง เรียกว่ารูปที่สำเร็จด้วยจิต มโนมยอัตตา ตัวตนรูปนั้น เสียงนั้น กลิ่นนั้นมันสำเร็จด้วยจิตเราปรุงแต่งมาเอง โลกนี้เป็นทุกข์อยู่ได้เท่านี้แหละ คุณกินไอ้นี่อร่อย กินอะไรอร่อยมันเป็นผีเป็นอุปาทาน เมื่อคุณปฏิบัติจริงแล้วก็จะรู้ว่าไม่มี แต่ก่อนคุณกินเหล้าอร่อย แต่ก่อนทาลิปสติกชื่นใจๆ ชื่นใจจริงๆ กินเหล้าก็อร่อยจริงๆทาลิปสติกก็ชื่นใจดีจริงๆ นั่นแหละอาการพวกนั้นแหละคือผี แต่มันไม่มีรูปร่างตัวตน อย่างผีที่เขาเห็น ผีเปรต ก็ตัวสูงๆปากจู๋ แล้วเราก็ไปมีความคิดเห็นเชื่อตามเขา มันก็เป็นตามๆเขามา กิเลสะ แปลว่าโง่ตามๆกัน กิระ หรือ กิละ แปลว่าดั่งได้ยินมา เอสะ แปลว่าอย่างนั้น อย่างได้ยินอย่างใดมาก็เป็นอย่างนั้น มันเป็นมายาแท้ๆไม่ใช่สิริมหามายา ผู้ใดที่รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า มาร ตถาคต รู้เจ้าแล้ว หักเรือนยอดเจ้าแล้ว ไม่มีการเกิดอีกแล้วสำหรับเจ้า สรุปแล้ว ผีที่เห็นนั้น มันคือตัวคุณหลอกตัวเอง หลอกตัวเองไม่พอแล้วเชื่อว่าเป็นจริง ไปสร้างเหตุปัจจัยต่างๆก็เลยมีผีเยอะขึ้นมา เยอะมาจากแต่ละคนนั่นแหละ ที่ของแต่ละคนแต่ละเจ้าปรุงแต่งขึ้นมาสร้างขึ้นมา เรียกว่าออกแบบผีของแต่ละเจ้าๆ เยอะเลย ไอ้ช่องส่องผีปิดไปได้นี่ก็ดี เป็นกุศลของวงการศาสนาพุทธแล้ว สังเกตุสิว่าชาวอโศกเราเข้าใจเรื่องผี ก็จะไม่ค่อยกลัวผีกัน เป็นเล็กๆน้อยสำหรับบางคนจะไปกลัวทำไม ที่นี่มีศพ มีโลง ก็ลากไปมาในศาลาแห่งนี้ ก็นอนกันอยู่ในนี้ อยู่วันๆคืนๆ หรือแม้แต่เมรุพวกเราก็พากันไปนอน ไม่ว่าจะที่ศีรษะฯศาลีฯก็นอนกัน สังเกตให้ดีๆ คนเจอภาพผี เป็นรูปเป็นร่างจะมีมากกว่า หรือคนไม่ค่อยเจอเป็นรูปเป็นร่างมีมากกว่ากัน …คนไม่ค่อยเจอรูปร่างเป็นผีมากกว่ากันเพราะอุปาทานไม่ได้เก่งถึงที่ เพราะฉะนั้นคนที่เห็นผีคือคนที่อุปทานเก่ง เก่งฉิบหาย ถึงโง่หรอกตัวเอง มันเก่งไม่ดี ยังไง เก่งเรื่องไม่ดีก็เลยได้ไม่ดีนักหนา เห็นไหม? เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ศึกษากับพวกเราจริงหรอกว่าไม่มีหรอก พวกเราไม่มีใครเห็น ผี เผอ อะไรพวกนี้ ก็รู้แล้วว่าผีมันเป็นยังไงแล้วเราก็ลดละมันได้น้อยลงน้อยลงอย่างจริงจัง ก็ให้กำลังใจคุณอุไรให้ปฏิบัติไป คุณก็จะค่อยเข้าใจค่อยๆลดลง หมดอัตตาตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ไปหมดโอฬาริกอัตตา มีภายนอกกับภายในแล้วหมดรูปราคะ เหลืออรูป ก็จะหมดอรูปไป ก็จะไม่มีตัวมีตนแล้ว วิบากของการทำผิดพลาด _เพียรผ่องพุทธ แสงสำลี · กราบนมัสการท่านสมณะและท่านสิกขมาตุ เรียนถามว่าคำว่าเพ่งโทษผู้ที่เคยทำผิดพลาดหมายความว่าอย่างไรค่ะ ขอบพระคุณค่ะ พ่อครูว่า…คนๆนี้เคยมีการผิดพลาดแล้วก็มีการเพ่งโทษ ผู้ที่ไปเพ่งโทษผู้ที่เกิดผิดพลาด ผู้ที่เคยผิดพลาดนั้นจะเคยผิดแล้วก็เลิกได้แล้ว หรือว่า เคยผิดแต่ยังเลิกไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเพ่งโทษผู้ที่เคยผิดพลาด ก็คือ ผู้ที่เคยผิดพลาดนั่นแหละมันซวย แม้ตนเองจะเลิกผิดได้แล้วจริงๆ ก็แน่นอน จะมีคนคอยเพ่งโทษเราอยู่เป็นวิบากของคุณเอง ที่คุณเคยทำผิดพลาดแล้วเขาก็รู้ รู้ว่ามันผิด แม้คุณจะแก้ไขได้แล้วไม่ผิดพลาดอย่างนี้อีกแล้ว แต่วิบากพวกที่เคยยังจำ เขาไม่หยั่งรู้จิตคุณได้ ไม่เชื่อคุณทันทีบอกว่าคุณเลิกได้แล้ว เขาก็จะระแวง ผู้ที่เชื่อแล้วว่าคุณจะไม่ผิดพลาดอีกก็จะวางใจ ได้แล้วได้เลย ส่วนคนที่ยังไม่ไว้ใจก็จะมี เห็นไหมว่าการผิดพลาด มันไม่ใช่ว่าจะล้าง เราเองล้างได้ยาก แม้เราล้างได้แล้ว คนอื่นที่เขาไม่รู้ว่าผิดพลาดมาก่อน มันถึงอยากที่จะไปบังคับใจใครคนอื่น ให้เขามาบอกว่า ก็เราล้างได้แล้ว ก็แน่ใจหรือมันเคยผิด เราจึงมีสำนวนบอกว่า ทำชั่ว 1 ที ทำดี 100 หนป่น เราก็เคยพูดสำนวนนี้กัน ก็ระมัดระวังกันไว้ คนเราไม่มีใครอยากจะผิดพลาดหรอก แต่คนเราจะทำยังไงกันได้ ผิดพลาดก็แก้ไขกันไป _เกษม สันทอง · อานิสงส์ฟังธรรม ได้ฟังเรื่องใหม่ เข้าใจเรื่องเก่า บรรเทาความสงสัย ได้ความเห็นถูกตรง จิตดำรงความผ่องใส พ่อครูว่า…วันนี้อาตมามี พูดแสดงความเห็นมา แหมลึกซึ้งนะ คิดว่า อ่านก็น่าจะต้องคุยทางโน้นให้ทำpattern ภาพ insert ด้วย ก็ยาก ของคุณ ทำมาวิจัยใต้ร่มโพธิ์ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) สมณะฟ้าไท…เราเคยผิดพลาดมาก็ให้เรียนรู้องคุลีมาล พ่อครูว่า…ก็พยายามที่จะประมวล คำอธิบายที่อาตมาอธิบายสูตรใหม่ พลังงานสูตรใหม่ สัมประสิทธิ์ = E=C(mc2 + A) เอาไว้ค่อยว่ากันเหมาะๆ ทำ pattern มาประกอบก่อน สังขารร่างการเกิดมวลในสัมประสิทธิ์ ศีลและวัตรต่างกันอย่างไร เอาที่สู่แดนธรรมได้เกริ่นมา ท่านพระสารีบุตรสอนในพระไตรปิฎกเล่มที่ 29 ข้อ 918 เกี่ยวกับ ศีลวัตร ว่าด้วยศีลและวัตร [918] คำว่า พึงเป็นผู้มีศีลและวัตรอย่างไร? ความว่า พระเถระย่อมทูลถามถึงความบริสุทธิ์แห่งศีลและวัตรว่า ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ประกอบด้วยศีลและวัตรอย่างไร คือ ด้วยศีลและวัตรที่ดำรงไว้อย่างไร มีชนิดอย่างไร มีส่วนเปรียบอย่างไร. ความบริสุทธิ์แห่งศีลและวัตรเป็นไฉน? บางแห่งเป็นศีลและเป็นวัตร บางแห่งเป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีล. ศีลและเป็นวัตรเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวม ด้วยความสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร เป็นผู้เห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อยสมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ความสำรวม ความระวัง ความไม่ก้าวล่วงในสิกขาบททั้งหลายนั้น นี่เป็นศีล. ความสมาทาน ชื่อว่าเป็นวัตร. เพราะอรรถว่า สำรวม จึงชื่อว่า ศีล.เพราะอรรถว่า สมาทาน จึงชื่อว่า วัตร. นี้เรียกว่าศีลและวัตร. เป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีลเป็นไฉน? ธุดงค์ 8 คือ อารัญญิกังคธุดงค์ 1 ปิณฑปาติกังคธุดงค์1 ปังสุกุลิกังคธุดงค์ 1 เตจีวริกังคธุดงค์ 1 สปทานจาริกังคธุดงค์ 1 ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์๑ เนสัชชิกังคธุดงค์ 1 ยถาสันตติกังคธุดงค์ 1 นี้เรียกว่าเป็นวัตร แต่ไม่เป็นศีล. (พ่อครูว่า…เดือนนี้มีการทำพิธีชักผ้าบังสุกุลทอดผ้าป่า ก็ทำเป็นแบบผิดธรรมวินัยไปหมด ทั้งพระทั้งโยม เพราะผ้าบังสุกุลคือผ้าที่เขาไม่ใช่แล้วเขาทิ้งแล้วจึงนำมาใช้เป็นจีวร แต่นี่ไม่ใช่ทำอย่างนั้นเลยเดี๋ยวนี้ ผ้า 3 ผืนของภิกษุ คือ อันตรวาสก (สบง คือ ผ้านุ่ง) อุตราสงค์ (จีวร คือ ผ้าห่ม) และสังฆาฏิ (ผ้าทาบ), เรียกสั้น ๆ ว่า ผ้าไตร หรือ ไตร ) พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) สมณะฟ้าไท…พระเทวทัตก็จะให้สมณะพระทำธุดงควัตรแต่พุทธเจ้าไม่ให้ พ่อครูว่า…สปทานจาริกังคธุดงค์ 1 อันนี้ยังเถียงกันอยู่ บ้างก็ว่า เดินบิณฑบาตเป็นแนวเดียวไม่ข้ามฝั่งถนน การบิณฑบาตเป็นการไปแสดงธรรม ไม่ให้แสดงจะมีความโลภความอยากได้ความเห็นแก่ได้ ถ้าไปบิณฑบาตก็ต้องไปแสดงความมักน้อยสันโดษไม่แสดงความโลภ กระหาย อยากได้อะไร ต้องแสดงความเป็นผู้มักน้อยสันโดษได้เพียงรู้จักพอ เอาตามที่ควรได้ อาตมาก็ขยายความไว้หมดอยู่ในหนังสือศาสตร์และศิลป์แห่งการบิณฑบาต อาตมาให้เป็นหนังสือถ้าหากผู้ที่จะมาบวชอยู่ที่นี่จะบิณฑบาตเลี้ยงตนตั้งแต่เป็นเณรจะต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ก่อน ให้จบ ว่าเราจะต้องใช้การบิณฑบาตเลี้ยงตนต้องรู้จักศาสตร์และศิลป์ของการบิณฑบาตให้ดี ไม่เช่นนั้นก็จะผิดพลาดแล้วก็จะเป็นวิบากกรรม ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์1 คือมีความพอรับอาหารแล้วไม่รับเพิ่มจากนี้อีก ห้ามภัต ว่าพอแล้ว ถ้าคุณกล่าวว่าอันนี้พอแล้ว หรือว่ารับประเคนแล้วบอกพอแล้วๆ ใครจะมาประเทศอะไรอีกก็ต้องไม่รับไม่เอาอีกแล้ว ผู้ถือวัตรปฏิบัติเช่นนี้จะต้องถือเช่นนี้ หรือบอกแต่ละอย่าง อันนี้ก็เอาเท่านี้นะก๋วยเตี๋ยวชามเดียวก็พอ แต่อย่างอื่นไม่เกี่ยวเติมได้ บางอันก็ปัจเวกอาหารแล้วก็ไม่รับอีก สมณะฟ้าไท…เคยมีภันเต ตั้งไว้ว่า ถ้าอาหารเต็มบาตรแล้วก็จะไม่รับ แต่โยมอยากใส่ ท่านก็รู้สึกเพ่งโทษโยม ทำไปทำมาขอลาสิกขา บอกว่าผมรู้สึกเพ่งโทษโยม เนสัชชิกังคธุดงค์ เป็นผู้ที่นอนหลับโดยไม่ให้หลังแตะพื้น ยถาสันตติกังคธุดงค์ ๑ มีชีวิตอยู่ตามมีตามได้ เป็นธุดงควัตร 8 แต่ไม่ใช่ศีล อันนี้เป็นความสมัครใจของท่าน ธุดงควัตรค่อนข้างจะเข้ม ธูตะ แปลว่าศีลเคร่งสำหรับแต่ละคน แต่ละคนถ้าจะสมาทานวัตรปฏิบัติเช่นนี้ วัตร จึงมีนัยยะไม่ทั่วไป เป็นเฉพาะของแต่ละบุคคลไม่เป็นเหมือนศีล แม้การสมาทานความเพียร ก็เรียกว่าเป็นวัตร ไม่เป็นศีล กล่าวคือ พระมหาสัตว์ทรงประคองตั้งพระทัยว่าจงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามที เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไปเถิดผลใดอันบุรุษพึงบรรลุด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ การไม่บรรลุผลนั้นแล้วหยุดความเพียรเสียจักไม่มี ดังนี้ แม้การสมาทานความเพียรเห็นปานนี้ ก็เรียกว่าเป็นวัตร ไม่เป็นศีล. ภิกษุประคองตั้งจิตว่าเมื่อลูกศรคือตัณหาเรายังถอนไม่ได้แล้ว เราจักไม่กิน จักไม่ดื่ม จักไม่ออกจากวิหาร ทั้งจักไม่เอนข้าง [ไม่นอน] ดังนี้.แม้การสมาทานความเพียรเห็นปานนี้ ก็เรียกว่าเป็นวัตร ไม่เป็นศีล. พระมหาสัตว์ทรงประคองตั้งพระทัยว่า เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้จนตลอดเวลาที่จิตของเราจักไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้ แม้การสมาทานความเพียรเห็นปานนี้ ก็เรียกว่าเป็นวัตรไม่เป็นศีล. ภิกษุประคองตั้งจิตว่า จิตของเราจักไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นเพียงใด เราจักไม่ลุกขึ้นจากอาสนะนี้เพียงนั้น จิตของเราจักยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นเพียงใด เราจักไม่ลงจากที่จงกรม จักไม่ออกจากวิหาร จักไม่ออกจากเรือนมีหลังคาแถบเดียว จักไม่ออกจากปราสาท จักไม่ออกจากเรือนโล้น จักไม่ออกจากเพิง จักไม่ออกจากถ้ำ จักไม่ออกจากกุฏิ จักไม่ออกจากเรือนยอด จักไม่ออกจากป้อม จักไม่ออกจากโรงกรม จักไม่ออกจากเรือนที่มีเครื่องกั้น จักไม่ออกจากศาลาที่บำรุง จักไม่ออกจากมณฑปจักไม่ออกจากโคนต้นไม้ เพียงนั้น ดังนี้ แม้การสมาทานความเพียรเห็นปานนี้ ก็เรียกว่าเป็นวัตร ไม่เป็นศีล. ภิกษุประคองตั้งจิตว่า ในเวลาเช้านี้แหละ เราจักนำมา จักนำมาพร้อมจักบรรลุ จักถูกต้อง จักทำให้แจ้ง ซึ่งอริยธรรม ดังนี้ แม้การสมาทานความเพียรเห็นปานนี้ก็เรียกว่าเป็นวัตร ไม่เป็นศีล. ภิกษุประคองตั้งจิตว่า ในเวลาเที่ยงนี้แหละ ในเวลาเย็นนี้แหละในกาลก่อนภัตนี้แหละ ในกาลภายหลังภัตนี้แหละ ในยามต้นนี้แหละ ในยามหลังนี้แหละในฤดูร้อนนี้แหละ ในตอนวัยต้นนี้แหละ ในตอนวัยกลางนี้แหละ ในตอนวัยหลังนี้แหละเราจักนำมา จักนำมาพร้อม จักบรรลุ จักถูกต้อง จำทำให้แจ้งซึ่งอริยธรรม ดังนี้ แม้การสมาทานความเพียรเห็นปานนี้ ก็เรียกว่าเป็นวัตร ไม่เป็นศีล. นี้ชื่อว่าความบริสุทธิ์แห่งศีลและวัตร. ภิกษุพึงเป็นผู้ประกอบด้วยความบริสุทธิ์แห่งศีลและวัตรเช่นนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เธอพึงเป็นผู้มีศีลและวัตรอย่างไร? พ่อครูว่า…มาเนื้อหาธรรมะที่พูดกันในอัมพัฏฐสูตร ก็ทวนอีก ทวนตรงที่ว่า การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ปฏิบัติมีอาริยะ 4 ศีลเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ มีความสันโดษอันเป็นอริยะ ปฏิบัติศีลแล้วก็เกิดเป็นอารยะเกิดโลกุตรธรรมขึ้นมาได้ ผู้ที่ปฏิบัติสีลัพพตุปาทาน ถือศีลเคร่งอะไรกันไปตามตามกันไปเป็นมิจฉาทิฐิ ตามครูบาอาจารย์ตามจารีตประเพณีพาทำ ไม่ได้มรรคผลอะไรเรียกว่า สีลัพพตุปาทาน แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิปฏิบัติแล้วเป็นสัมมาปฏิบัติ ปฏิบัติศีลไปตามลำดับปฏิบัติแล้วกิเลสเราจะลดในจุลศีล ส่วนมหาศีล เป็นศีลองค์รวมที่ชาวพุทธจะต้องไม่ให้มีสิ่งเหล่านี้ ส่วนจุลศีลมัชฌิมศีลให้ปฏิบัติส่วนตัวแล้วจะได้ลดละกิเลสไป มัชฌิมศีลก็จะเก็บรายละเอียดของจุลศีล และมีสิ่งที่จะเสริมหนุนให้สมบูรณ์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ภิกษุทั่วไปจะไม่ได้รู้จักศีล 43 ข้อแล้ว จะรู้จักแต่วินัย 227 ข้อที่มีในปาติโมกข์ อย่าละเมิดเพราะเป็นข้อที่มีการลงโทษ หากปาราชิก ไล่ออกจากศาสนาไปตลอดชาติเลย ส่วนศีล เคยปฏิบัติก็จะบรรลุมรรคผลไปเป็นส่วนตัว ศีล เช่นเป็นหลักของศาสนา จรณะ 15 ศีล ถึงแยกไป 1 เลย จะถือศีลกี่ข้อจะถือศีลระดับเท่าไหร่ก็ส่วนตัวไม่เกี่ยวกับใคร ให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงต้องมีข้อกำหนด ศีล สำหรับตัวเองแล้วปฏิบัติ เริ่มปฏิบัติก็มีหลักการอีก 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ โดยมีข้อศีลเป็นหลักการ แล้วคุณก็ต้องปฏิบัติแบบนี้ ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวข้องกับสัตว์คุณก็จะต้องสัมผัสสัมพันธ์กับสัตว์ ปฏิบัติแล้วก็เกี่ยวข้องโดยเฉพาะสัตว์คือตัวบุคคล คนนี่ล่ะ คือสัตว์ตัวใหญ่ สัตว์ที่สำคัญมันยั่วกิเลสดีนัก สัตว์ปูปลาหมูหมา คนจะกินเนื้อมันหรือเอามันมาเล่นหัวเอามันมาฆ่าก็แล้วแต่ มันก็ไม่ยากนะ แต่คนนี่กระบิดกระบวนมีลีลา สัตว์คนนี่แหละ แล้วคุณจะต้องสัมผัสสัมพันธ์กับคนนี้แหละไม่ใช่หนีไปเหมือนพวกเชนไม่คบกับใครเข้าป่า ไปดิ่งๆ หายไปเลย อยู่ในป่าเขาถ้ำ ทั้งปีทั้งชาติไม่เกี่ยวกับใคร มีแต่กินแต่อยู่ไปผ่านวันเวลาไปรอวันเวลาตายเท่านั้น ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันเป็นเกิน ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิบัติศีลแล้วไม่รู้จักปฏิบัติศีลให้ถูก พระพุทธเจ้าก็กำกับไว้หมดแล้วต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ต้องมีการสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับของกินของใช้ ศีลข้อที่ 1 ก็คือสัตว์แล้ว ศีลข้อที่ 2 ก็เกี่ยวกับของใช้ โภชเนมัตตัญญุตา จะต้องรู้จักการกำหนดประมาณในสิ่งที่คุณกินใช้ เกี่ยวข้องกับธนบัตรก็เป็นของใช้ มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะต้องไปหลงใหลได้ปลื้มที่จะต้องน่ามีน่าได้มันก็เป็นเครื่องใช้อย่างหนึ่ง อาหาร กวฬิงการาหารก็เป็นสิ่งที่ต้องกินเข้าไปเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ไม่ใช่ของที่จะบ่งบอกศักดิ์ศรีอะไร กินเข้าไปเพื่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น ต้องอ่านจิตตัวเอง ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับของกินของใช้ จิตใจเราเกิดกิเลสอย่างไรก็รู้ แล้วกิเลสเกิด แล้วก็ต้องพิจารณาไตรลักษณ์ ไอ้พวกนี้เป็นผีหลอกทั้งนั้นแหละ ผีเป็นนามธรรมไม่ใช่ผีแบบช่องส่องผีที่เป็นตัวตนหยาบ แต่นี่เราเป็นพวกสัมมาทิฏฐินักปฏิบัติธรรมชั้นสูงแล้ว ก็อ่าน อาการ ลิงค นิมิต คุณต้องกำหนดหมายรู้เอง นิมิต อาการอย่างนี้ เป็นอาการชอบอาการไม่ชอบ อาการรู้สึก บางเบา หรือมากหรือน้อย ซึ่งจะมีลักษณะต่างๆในอาการต่างๆ ตั้งแต่มันเป็น กายิกะ เป็นความรู้สึก กายิกเวทนา หรือเจตสิกเวทนา มันเนื่องมาจากข้างนอก อันนี้มันหมดแล้วเป็นภูมิธรรม ข้างนอกรสหมดแล้วเป็นอนาคามี มีแต่ เจตสิกะ เราก็อย่าให้ผิดพลาด แม้ว่าคุณจะเหลือแต่ในเจตสิก แต่ข้างนอกคุณก็ยังสัมผัสสัมพันธ์อยู่นะ เราแน่ใจ เราไม่มีกิเลสภายนอก มีแต่ภายใน หากมันแรง มันก็จะออกเป็นท่าทีลีลามันก็เรื่องของคุณ แต่ถ้ามันไม่แรงก็กำกับมันไว้ได้ มันไม่ออกลีลามาก็จะทำท่ายังกับพระอรหันต์ได้ แต่ที่ไหนได้ข้างในยังมีอยู่ก็แล้วแต่ไม่เป็นไร คุณสังวรระวังเอาแล้วก็ต้องพิจารณาด้วยปัญญาอันยิ่ง พลังงานของปัญญานี้มันชัดเจน คุณก็จะรู้ว่ามันไม่เก่งหรอกกิเลส เอาจริงๆแล้วมันตาย มันไม่ใช่ของจริงหรอกมันต้องหายไปได้เอาจริงๆเถอะ คุณเอากิเลสมันตาย แต่ถ้าคุณสู้มันไม่ได้มันก็เอาคุณตายมาไม่รู้กี่ชาติแล้วนะ เพราะฉะนั้นคุณก็พิจารณาไตรลักษณ์ ปัญญาอันยิ่งที่เห็นด้วยไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนอะไร 3 คำนี้แหละยิ่งใหญ่มากเลย ถ้าคุณเห็นคุณเข้าใจชัดแล้ว ถ้าคุณเก่งก็จะรู้ว่าปัดโธ่เอ๊ยไอ้หน้าแหลม มันไม่เที่ยงหรอก มันจะหายไปเลย มันไม่มาทำท่าทีลีลาเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เราเลย แล้วก็รีบหายวับไป คุณก็จะเห็นว่ามันเป็นอนัตตา มันเป็นความไม่เที่ยงแล้วอนัตตาเลย ยังไม่ทันจะก่อความทุกข์ให้แก่เราหรอก ถ้าหากพลังงานปัญญาเรามีฤทธิ์เก่งเช่นนั้น ใครพอจะมีฤทธิ์ทำอย่างนี้ได้บ้างมันหายไปทันที บางคนหลงว่านี้เป็นพลังสติ เป็นแต่เพียงมีสติ บอกว่ามีสติไอ้นี่มันก็หายไปแล้ว นั่นแสดงว่าสติของคุณมีพลังงานอธิปไตย กำลังสติของคุณสูงทีเดียวเป็นพลังอธิปไตยที่แรง สติเป็นอธิปไตย มันมีพลัง สตินี้มันจะชัดทั้งภายนอกทั้งภายใน ครบเรียกว่าเต็มร้อยสตินี้ไม่มีพร่อง ถ้าหากกายกรรมวจีกรรมก็เต็มร้อย มโนกรรมก็เต็มร้อยจึงเรียกว่ามีสติสมบูรณ์ที่สุดเป็นผู้ที่ตื่นเต็ม แล้วจะมีพลังงานสูงสุดตามความจริงของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น ศีล สำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ ก็หมายความว่าเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้วเกิดสัมมาปฏิบัติเกิดสัมมาปฏิเวธได้เป็นไปตามลำดับ ธัมมานุธัมมปฏิปัติ ได้ผลบุญหรือทำเป็นตามลำดับ เพราะคุณทำการโยนิโสมนสิการคุณทำใจในใจเป็น อยู่ในปัญญาวุฒิ 4 ได้พบสัตบุรุษได้ฟังสัจธรรมก็ได้ โยนิโสมนสิการก็ได้ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอย่างนี้เป็นต้น เมื่อคุณปฏิบัติถูกไม่ผิด 3 ข้อนี้ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มีสติตื่นเต็มร้อย ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ตื่นหรือไปนอนหลับตาด้วย ชาครี ชาคระ แปลว่าผู้ตื่นต้องมีอาการตื่นเต็มทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม สามข้อนี้เป็นเงื่อนไขที่ชัดเจนยิ่งอยู่แล้วในจรณะ 15 ของพระพุทธเจ้าถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ คุณจะทำไม่ตรง 3 ข้อนี้คุณไปหลับตาปฏิบัติเข้าป่าเขาถ้ำ ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรนั่นแหละมันผิดจาก 3 ข้อนี้ไปหมดเลย เป็นเดียรถีย์อย่างที่พระป่าปฏิบัติทุกวันนี้ส่วนใหญ่เลยที่ปฏิบัติสายพระป่าธุดงค์ สู่แดนธรรมก็เคยเป็นเหมือนกับพวกนี้มา ก็เป็นพวกสายอาจารย์มั่น อาจารย์เสาร์ ขออภัยที่กล่าวชื่อ มันเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้รับการศึกษา ถ้าหาก 3 ข้อนี้ไม่ตรงทำผิดเพี้ยน ผลของจรณะทั้งหลายข้ออื่นๆก็เป็นโมฆะ ไม่เต็มเต็งไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้าปฏิบัติตามสามข้อนี้ได้ดี ตรงและถูกต้องคุณก็จะเกิดมรรคผลก็คือเกิดสัจธรรม 7 และฌาน 4 ฌาน 4 เป็นพลังงานไฟกำจัดกิเลส พลังงานที่คุณจะต้องทำใจในใจของคุณให้เป็นพลังงานที่ คุณก็จะต้องพยายามสร้าง ไฟที่ว่าคือปัญญา ไฟที่ว่านี่คือความรู้ ปัญญาอันยิ่ง ฌาน อยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น ฌาน ที่ไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า ปัญญา ที่ไม่มีฌานก็ไม่ใช่ปัญญาของพระพุทธเจ้า ราคะโทสะโมหะ ก็เป็นพลังงานที่ไม่ใช่วัตถุเป็นพลังงานทางนามธรรมเกิดอยู่ที่จิต มีเงื่อนไขหลักว่าเกิดอยู่ที่จิต เป็นราคะ ก็จิต โทสะโมหะก็จิต เราก็สร้างพลังงาน นัยเดียวกัน แต่อำนาจเหนือกว่า เป็นอุตระ แล้วก็พลังงานอันนี้แล้วมันก็มีประสิทธิภาพทำให้กิเลสราคะโทสะของคุณหมดไป คุณก็จะชัดเจนโดยเจโตปริยญาณ 16 สราค สโทส สโมห มันมีเท่านี้แล้วมันจางคลายลง คุณก็เห็นความจางคลาย ท่านอธิบายว่ามันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงแต่เพิ่มขึ้นมันก็ไม่เที่ยงนะ กิเลสเท่านี้ แต่ตัวโตขึ้นก็ไม่เที่ยง แต่นี่ไม่เที่ยงเพราะมันลดลงมันมี 100 มันก็เหลือ 80 บาทเหลือ 70 บาทเหลือ 50 คุณก็ต้องอ่านด้วยนามธรรมของใครของมันใครจะไปรู้ของคุณด้วย มันชัดเจนแล้วจะต้องเห็นจริง ถ้าคุณเห็นจริงจะพอพูดยังอาตมาพูดได้ ตำราพุทธเจ้ามีไว้ก่อน อธิบายอย่างกับเป็นพระพุทธเจ้าเลยแต่ที่แท้เราก็เอาของพระพุทธเจ้า แต่เราอธิบายได้อย่างมั่นใจ เพราะเรามีของจริงด้วยตรงกันมั่นใจ เด็ดเดี่ยว ก็จะชัดเจนในเจโตปริยญาณ 16 ก็มีคู่ๆ สราค สโทส สโมหะ แล้วลดลงเป็น วีตราค วีตโทส วีตโทส ก็ทำการวิราคานุปัสสี ให้มันลดลงไปตามลำดับ เหลืออีกคู่หนึ่ง สังขิตตัง(เป็นก้อน) วิกขิตตัง(ฟุ้งกระจาย) มันแน่นก็ตีให้แตกกระจายออก มันกระจายก็ต้องจับให้มันลงตัวมากเข้ารูปเข้าร่าง มี 2 ลักษณะพลังงานที่เข้ารูปเข้าร่างกับกิเลสมันหายไป ถ้าคุณทำได้ก็เรียกว่า มหัคตะ ก็ทำได้ยิ่งใหญ่ทำได้มากเลิศลอย ทั้งคุณภาพและปริมาณทั้งสองอย่างพร้อมกันไป มันก็เป็น มหัคตะ ทำไม่ได้มันก็เป็น อมหัคตะ แล้วทำได้เรื่อยๆๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก มันยังไม่จบ สอุตรรังจิตตัง มันยังไม่จบคุณก็ต้องทำให้มันจบเรียกว่า อนุตรังจิตตัง มันจบด้วยอะไร? จบด้วยอีกสองคู่ สมาหิตัง กับอสมาหิตัง วิมุติ กับ อวิมุติ วิมุตติหลุดพ้น สมาหิตังคือตั้งมั่นคือ สั่งสมจิตสะอาดแล้วตั้งมั่นก็จะสะสมเป็น สมาหิตัง แข็งแรงตั้งมั่นอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) ต้องรู้จบคุณก็จะรู้ของคุณเอง สมณะฟ้าไท สรุปจบ… Category: ศาสนาBy Samanasandin15 กรกฎาคม 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630713_รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์(สำมะปี๋ซี่วิต) ครั้งที่ 10 ศีรษะอโศก สีมาอโศกNextNext post:630717_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาให้ลดวิบากกรรมRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024