ส.ค.72020ศาสนา630807_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ นานาสังวาสอโศกประกาศแยกตัวจากเถรสมาคม ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Nkj4w7Wpz4OfH6_g6rCM90QLphMdRU5IavsKu-XFpXM/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1e6axwdtx3gPj6Ppvh011vZncRN5fkP70/view?usp=sharing และยูทูปที่ https://youtu.be/is-7oExZj_Q สมณะเดินดินว่า… วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันที่ 7 สิงหาคม 2563 วันนี้เป็นวันที่ชาวอโศกประกาศอิสรภาพ ตั้งแต่วันที่ 6 คือเมื่อวานนี้ วันที่ 6 สิงหาคมเป็นวันประกาศอิสระเสรีภาพของชาวอโศก คือประกาศนานาสังวาส ประกาศในวันที่ 6 วันที่ 7 ก็ถือว่าเป็นวันอิสระเสรีภาพสมบูรณ์ของเราตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงวันนี้ก็เป็นอิสระเสรีภาพตลอด แต่ก็ยังมีคนไม่ยอมรับอิสระเสรีภาพของเรา อย่างเหตุการณ์ที่เคยเกิดมา ทั้งๆที่ประกาศแล้ว ตอนแรกเขาก็ยังไม่ทันตั้งตัวเขาก็ยังไม่ทันรู้สึกว่ามันจะเป็นอะไร เราก็อยู่สบายมาตั้งแต่พศ. 2518 ประกาศตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518 เราก็ทำงานมาเรื่อยๆสบายๆจนถึงพ.ศ. 2525 ก็ พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ก็คึกขึ้นมา อาละวาดท่านพุทธทาส อาละวาดพระโพธิรักษ์ อาละวาดไปทั่ว เขาถือดีว่าบรรลุธรรมอะไรของเขาก็ไม่รู้ ก็เขียนหนังสือและทำอะไรมาอาละวาดเป็นข่าวคราวเยอะ อาละวาดเราต่างๆนานาไปกันใหญ่เลย ก็เป็นการจุดชนวนให้ทางเถรสมาคม ซึ่งก็เงียบสบายเราก็ทำงานมาดีเราประกาศนานาสังวาสแล้ว ก็รู้สึกว่ายอมรับด้วย ในตอนนั้นก็ยอมรับมีหลักฐานด้วย มีหลักฐานที่ กรมรถไฟ ผู้อำนวยการกรมรถไฟ มันมีเรื่องราวก็เพราะว่า เราไปซื้อตั๋วรถไฟ สมณะตอนนั้นเป็นพระอยู่ ซื้อตั๋วรถไฟ ธรรมดาเขาก็ลดราคาให้ครึ่งนึงแต่เขาไม่ยอมลดให้เรา เราก็บอกว่าทำไม เขาก็บอกว่าเราไม่ใช่พระ เพราะเขาได้เขียนจดหมายไปถามกรมการศาสนา แล้ว อธิบดีกรมการศาสนา คุณธนู แสวงศักดิ์ เป็นอธิบดี ได้ตอบจดหมายมาว่า เราไม่ใช่พระสงฆ์ในสังกัดของเถรสมาคม เพราะฉะนั้นต้องเสียค่ารถไฟต้องจ่ายเต็มราคา เขาไม่ถือว่าเป็นพระสงฆ์ของเถรสมาคม ซึ่งอาตมาก็เคยตั้งข้อสังเกตว่า พระต่างชาติมาอยู่ที่นี่ก็เสียครึ่งราคาได้นะ แต่พระอโศกไม่ได้ครึ่งราคา นี่แหละคือเรื่องของความ แล้วแต่จะตีความจะตัดสินอย่างไร เราก็เลยต้องใช้ตั๋วเต็มราคาตั้งแต่บัดนั้นมา จะขึ้นเครื่องบิน จะขึ้นรถไฟ ยังดีนะรถเมล์เขาใจดีสำหรับพวกเราเขาเชิญขึ้นเลย แล้วก็จัดที่ให้อย่างดีเลย ดีไม่ดีพระทางโน้นเก็บเงินด้วยนะ แต่ถ้าเราเขาดูดี ไม่เก็บ ที่พูดขึ้นมาเป็นการระลึกถึงไม่ใช่ฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่เป็นเพียงให้รู้ว่ามันมีเรื่องที่ลึกซึ้งเป็นเรื่อง อจินไตย หลายอย่างที่เราคิดเองไม่ได้ ถ้าไม่ใช่วิสัยของผู้ที่มีภูมิถึงขั้นพุทธวิสัย เราไม่มีภูมิเข้าเขตถึงพุทธะทีเดียว จะพึงคิดถึงสิ่งที่เป็นสัญญาตอนนั้นเลยไม่ได้หรือแม้แต่ฌานวิสัย ซึ่งเป็นอจิณไตย ถ้าผู้ใดไม่มีความสัมมาทิฏฐิแล้ว จะไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้จักฌานของศาสนาพุทธ จะรู้จักแต่ฌานของโลกีย์ทั้งนั้นเลย เช่นเดียวนี้เป็นต้นไป อาตมาพูดได้เต็มคำเลยว่า ยังหายากมาก ที่จะมี พระ เจ้า แม้แต่จบเปรียญ 9 จบเปรียญ 18 จบด็อกเตอร์ 5 ใบทางพุทธศาสนาก็ตาม หรือได้รับความยกย่องทางพุทธศาสนา ยังเข้าใจ ฌาน แท้ๆของพุทธไม่ได้ ไม่ง่าย ซึ่งอาตมาก็พยายามอธิบายให้ฟัง ยกตัวอย่างอันเดียว คำว่า ฌาน อันเดียว ไม่ต้องพูดถึงคำอื่นอีกเยอะแยะ เพราะว่าคำว่า ฌาน ของพระพุทธเจ้าเป็นจิตวิญญาณ ที่สร้างให้เกิดพลังงาน อุณหธาตุ พลังงานมีฤทธิ์ มีอำนาจ มีประสิทธิภาพ ฌานต้องมีปัญญา ปัญญากับฌาน ปัญญาอยู่ที่ไหน ฌานต้องอยู่ที่นั่น คำว่าปัญญาไม่มีฌานไม่ได้ นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน (พตปฎ. เล่ม ๒๕ ข้อ ๓๕) ฌานที่ไม่มีปัญญาเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องขบคิดตรรกะไม่ได้ ปัญญา กับ ฌาน นี่เป็น synonym เป็นสภาวะเดียวกัน เอามาใช้เป็นสิริมหามายา เอามาใช้เป็นความจริงในด้านหนึ่ง ในด้าน ฌาน ก็เป็นสภาพจัดการทำลายกิเลส ส่วนกลับมาด้านปัญญา ปัญญา เป็นตัวรู้จักกิเลส รู้วิธีปฏิบัติอย่างนี้ทำให้กิเลสลดแล้วกิเลสก็ลดจริงๆด้วย ด้วยพลังปัญญา เป็นอย่างนั้นเลย ซึ่งมันไม่ใช่ความตื้นเขินเลย บอกว่าเป็น อจินไตย คุณขบคิดให้หัวแตกยังไงก็ไม่ได้ ถ้าคุณไม่มีสภาวะจริง อาตมาพูดไปพวกคุณเข้าใจมากน้อยก็แล้วแต่ แต่คนที่ยังไม่มี อัญญธาตุ ยังไม่มีเชิงชั้นที่เป็นโลกุตตรปัญญา ยังยาก อาจจะมี ปฏิภาณไหวพริบ เข้าใจความต่าง อย่างที่อาตมาอธิบายความเข้าใจอย่างนี้มันต่างกันอย่างนี้ ก็พอเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าถึงตัวจิตเจตสิก เข้าใจถึงสภาวะธรรม ซึ่งมันมีสภาวะแล้ว อย่างพวกเรามีสภาวะแล้วตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นมา ฉันเดียวกันกับท่านประยุทธ์ ประยุตโต (มีดช.ธัมมะกับธัมโม มากราบ) พ่อครูเลยว่า เด็กพวกนี้เขามาซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณ โตขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะตกผลึกที่ก้นจิต เขาจะเอามาใช้ได้ ปัญญา กับ ฌาน เป็นพลังงานอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงพลังงานอันนี้จะใช้ในหน้าไหน เป็นสิริมหามายา เหมือนมายา ถ้าเป็นมายาคือคนที่มีอวิชชา จะใช้ไม่ถูกหน้า สลับไปสลับมา ดีไม่ดีสลับหลายชั้น แล้วตัวเองนึกว่าใช่ชั้นนี้ หน้านี้แต่ที่จริงสลับไปตั้ง 5 ตลบ แล้วก็เอาหน้านี้มาโชว์ มันจะมี 2 หน้าเท่านั้นสลับไปสลับมา เสร็จแล้วการสลับกันคือการทับซ้อนในความไม่จริง การทับซ้อนในความไม่รู้ แล้วก็ความไม่รู้ก็ยิ่งไม่รู้หลายชั้น เหมือนกับก้นหอย ซ้ายขวาๆ พูดซ้ายขวาอย่างนั้นแต่ว่ามีกี่ชั้นไม่รู้ มันก็มีเหมือนกันอยู่อย่างนั้น เพราะสภาวะสัจธรรมมันสูงกว่ากันตั้งเยอะ ฉันเดียวกันกับท่านประยุทธ์ อ้างอิง ในหนังสือของท่านว่า เราพูดว่าต้องเป็นอรหันต์ก่อนจึงจะชื่อว่าโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่มีโพธิ เป็นผู้ที่มีความตรัสรู้ อรหันต์คือผลของการปฏิบัติที่ทำให้ไม่ลึกลับ อาตมาแปล อรหะ ว่าไม่ลึกลับ ท่านก็บอกว่าอาตมาแปลไม่ถูกไวยากรณ์ หาว่าพูดเอาเอง อาตมาก็ว่าใช่อาตมาพูดด้วยตัวเอง เดี๋ยวนี้ก็ยังยืนยัน อรหันต์คือผู้ไม่ลึกลับในสัจธรรม อรหันต์คือผู้ไม่ลึกลับ เต็ม อันตะ แปลว่า สมบูรณ์เต็ม ท่านประยุทธ์ท่านก็อ้างอิงโดยท่านไม่รู้ ชั้น ขออภัยที่ต้องพูดถึงท่านด้วยความเคารพท่าน เพราะท่านเป็นภันเตอาตมา ดีนะ ที่พวกคุณยกย่องให้อาตมาเป็นพ่อครู แต่ดีไม่ได้เรียกเป็นพระครู แต่มี ของทางโน้นเขามีตำแหน่งพระครูนะ แต่อาตมาไม่ได้เป็นแม้แต่พระครูที่เป็นระดับต้นเลย ทีนี้ ท่านประยุทธ์ท่านเข้าใจว่า คือ เถรวาท ไม่เข้าใจความเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านก็ไปอ้างอิงพระสุเมธดาบส เป็นโพธิสัตว์ ท่านก็บอกว่า ท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าท่านเป็นโพธิสัตว์ ที่นี้ โพธิสัตว์สุเมธดาบสนั้นอยู่ในชั้นไหน อยู่ในโพธิสัตว์ระดับไหน ขอยืนยันว่า ท่านประยุทธ์ท่านไม่รู้หรอก ไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 และไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 7 เท่าอาตมาด้วย ท่านเป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 สุเมธดาบส อย่างนี้เป็นต้น ท่านไม่รู้ ท่านก็เข้าใจว่าโพธิสัตว์ยังเป็นปุถุชน ยังเป็นผู้ที่เพ่งเพียรเพื่อจะบรรลุอรหันต์ แต่นั่นท่านไม่เข้าใจว่านั้นเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่แค่พระอรหันต์ อย่างเช่น อรหัตผลของพระโสดาบัน จะเรียกว่าอรหันต์ของโสดาบันก็ได้ อะไรที่มีคุณธรรม อย่างพระโสดาบัน มีจิตที่เข้ากระแส โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ถ้ามีคุณธรรมถึงขั้นนิยตะขั้นที่ 3 เลย 50 ไปเป็น 75 เปอร์เซ็นต์แล้ว อยู่ในควอเตอร์ที่ 3 ขึ้นไปหา 4 แล้ว เพราะฉะนั้นโสดาบันที่มีคุณธรรมถึงขั้นนิยตะ เที่ยงแท้แน่นอนแล้ว คนนี้ไม่มีตกต่ำ อวินิปาตธรรม ระดับที่ 2 นี้ยังสามารถตกต่ำได้ แต่ยังไม่ตกร่วง แล้วหลายคนก็เป็นอย่างนี้ สกิทาคามี จะอยู่ตรงนี้นาน ขึ้นลงๆแต่ว่าไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่ตกร่วงลงไป อาจจะไปถึงติดตีน หรือหัวของโสตาปันนะ เข้ากระแส แต่ถ้าหลุดไปเลยไม่เข้ากระแสก็ไม่มีคุณสมบัติของโสดาบัน เป็นการหลงตัวเอง ถ้าไม่หลงตัวเอง ผู้เข้ากระแสแล้วจะเข้าแล้วเข้าเลย มันได้แล้วเป็นแล้วมันหลุดออกไปไม่ได้ รู้แล้วจะบอกว่าตัวเองไม่รู้นั้น ไม่มีทาง เกิดอัญญธาตุ เกิดธาตุรู้ ก็ต้องเกิดแล้ว เป็นแล้ว อย่างอาตมา เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว แล้วเกิดมาทำงานนี้ จะพูดให้ตายใครจะพูดอย่างไรอาตมาก็ไม่เป็นอื่นอย่างที่อาตมาเป็น จะเอาภาษาของคนอื่นมาเปลี่ยนอาตมาไม่ให้เป็นได้อย่างไร มันเปลี่ยนไม่ได้เพราะอาตมาเป็นแล้ว อยู่ใน จูฬวิยูหสูตร ท่านตรัสไว้ละเอียด กลับมาที่เรื่อง นานาสังวาสที่อาตมาประกาศ บอกตรงๆว่าอาตมาไม่มีเจตนาจะมา สร้างเรื่องให้มันยุ่งยากเลย แต่มันเป็นวิบากของอาตมา ที่อาตมาจะต้องเจอ ที่ต้องเจอวิบากพวกนี้เพราะมันต้องพิสูจน์ตัวเอง ถ้าไม่มีวิบาก มารบ่มี บารมีบ่เกิด เป็นเรื่องจริงเป็นสัจจะต้องเป็นเช่นนั้น ขออภัยที่เรียกว่า มาร อาตมายิ่งทำงานมา 50 ปียิ่งชัดเจนในความรู้ของอาตมา ยิ่งชัดเจนว่า อาตมานี้ใช่นะ มันยิ่งมีเหตุปัจจัย เรื่องจริงยืนยัน ว่า ยิ่งยืนยันอะไร อาตมาคือใช่ อาตมาคือใคร อาตมามาทำอะไร แต่ก่อนนี้ทำมาก็ไม่ชัดว่าตัวเองใช่หรือ ยิ่งทำมาถึงวินาทีนี้ ยิ่งใช่ มันยืนยันว่า ใช่ อาตมาเตรียมหลักฐานมา หนังสือที่ท่านประยุทธ์ท่านเขียนตอนท่านเป็นพระเทพเวที เขียนออกมา 3 เล่ม อาตมาก็เจอหลักฐานเพียง 2 เล่มอีก 2 เล่มยังไม่เจอ ก็ขอสรุปตรงนี้ว่า ความรู้ความเข้าใจของท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านเก่งในการศึกษา อาตมาให้เกียรตินิยมท่าน ที่ท่านเป็นนักศึกษาจริงๆ Learned man เป็นผู้คงแก่เรียนจริงๆ ท่านศึกษาจริง ทั้งชีวิตท่านศึกษา ท่านจึงไม่ได้มีคณะไม่ได้มีงานที่จะปลูกฝังสร้างคนสร้างสังคม ท่านไม่ทำ มีคนสร้างที่อยู่ให้แก่ท่านบ้างเท่านั้นเอง อย่างอาตมานี้สร้างที่อยู่ให้เข้ารูปเข้าร่าง ตามที่อาตมาเห็นว่าควรจะเป็น อย่างที่เห็น บวรราชธานี หรือแม้แต่ที่สันติอโศกก็ตาม ก็จะไม่เหมือน Concept ของท่าน เพราะฉะนั้นในความเข้าใจของท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านก็เก่งในความรู้ แต่ไม่เข้าถึงความจริง ความจริงที่เข้าถึงนี้ขออภัยที่อาตมาต้องพูดคำนี้หรือว่าตอนนี้อย่างนี้ สังโยชน์ข้อที่ 1 สักกายทิฏฐิ ท่านยังเข้าใจคำว่ากาย ขอยืนยันว่าท่านยังไม่ชัดเจนว่า กายต้องเน้นจิต มโน วิญญาณ แต่ท่านจะเน้นกาย ก็จะไม่เกิดการปฏิบัติเพื่อหน่ายคลาย แล้วหน่ายคลายอะไรก็หน่ายคลายจิต หน่ายคลายทางวัตถุนั้นมันไม่ยากหรอก กายคือ จิต มโน วิญญาณ ล.๑๖ ข. ๒๓๐ เรื่องของร่างกายนั้นมันเห็นไตรลักษณ์ได้ง่าย แต่เรื่องของ จิต มโน วิญญาณ นั้นเห็นได้ยาก อัสสุตวตาสูตรที่ ๑ [๒๓๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลายว่า … ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อ นั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตาย ก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียก ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้ เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือ ไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลาย กำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ ฉันเดียวกับท่านประยุทธ์ ที่บอกว่า ผู้ใดบอกว่า ตัวเองบรรลุผู้นั้นคือผู้ไม่บรรลุ อยู่ในหนังสือที่ท่านเขียน ต้องขออภัยท่านมหาประยุทธ์หรือท่านพุทธโฆษาจารย์ที่กล่าวพาดพิงถึงท่านมาก อาตมาจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องวิชาการ เรื่องความรู้ เรื่องสัจธรรมให้คนเข้าใจได้ แต่มันไปเกี่ยวข้องกับท่าน ที่มันเกี่ยวข้องกันจริงซึ่งจะต้องเกี่ยวข้องกันไม่มีปัญหาหรอก ในอนาคตก็จะดีขึ้น เรื่องก็จะดีขึ้น ไม่มีปัญหาอะไร เป็นเพียงตอนนี้เป็นวิบากที่เป็นสัมภาระวิบากที่ต้องเจอเท่านั้นเอง เพราะอาตมาไม่มีอกุศลเจตนา ไม่มี มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ จนถึงมายา สาเฐยยะ ตั้งแต่ต้นขั้ว ตั้งแต่ อภิชาวิสมโลภะ โกธ อุปนาหะ พยาปาทะ อาตมาไม่ได้มีเลยในจิต นับถือท่าน อาตมานับถือท่าน จริงๆเลย ไม่ใช่เล่นลิ้นนะ แต่สัจจะที่มันผิดก็ต้องรับผิด สิ่งที่มันถูกก็ต้องว่าถูก อาตมาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาตมาไม่พูดความจริงอันนี้ไม่ได้ มันหลีกเลี่ยงไม่ออกต้องพูด แต่ความเคารพนั้นอาตมาเคารพอยู่จริงๆ ทุกวันนี้อาตมาก็อาศัยหนังสือของท่านที่ท่านรวบรวมไว้เยอะ เป็นประโยชน์มากเลย หนังสือท่านนี้นะ ท่านส่งหนังสือพจนานุกรมประมวลศัพท์ประมวลธรรม 2 เล่มสำคัญของท่าน ท่านพิมพ์อยู่ในครั้งหนึ่ง ท่านพิมพ์ครั้งใหม่ตรวจสอบใหม่ท่านก็ส่งหนังสือ 2 เล่มของท่านให้อาตมาโดยเขียนหนังสือ ด้วยลายมือของท่าน ว่าด้วยความระลึกถึง แล้วก็เซ็นลายเซ็นของท่าน อาตมาเก็บไว้อย่างดี ไม่ได้ใช้นะ เก็บไว้เป็นที่บูชาเคารพ ส่วนเล่มที่ใช้นั้นเอาเล่มอื่น ซึ่งมีคนหามาให้ อาตมามีหลายเล่มของท่าน แม้แต่เล่มที่เป็นรุ่นใหม่อาตมาก็เอามาใช้ เพราะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เอามาใช้ได้หลายอย่าง นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… พ่อครูว่า…อาตมาเรียนภาษาอังกฤษมาจากมจ.วิเศษศักดิ์ ชยางกูร เรื่องนานาสังวาาส อาตมาระลึกถึง วันนี้วันที่ 7 ก็นึกถึงบ้างมันเป็นเหตุการณ์ของชีวิตซึ่งเป็นวิบากชีวิตของอาตมาจะต้องผ่าน ไม่ผ่านจะไม่จริง คำว่าไม่ผ่านจะไม่จริง ถ้าอาตมาไม่มาเจออย่างนี้ ก็ไม่จริง ต้องเจออย่างนี้ แล้วอาตมาก็ต้องแก้ไข หรือว่าจัดการให้ผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากมากเลย แต่อาตมาไม่เคยท้อ แล้วพยายามทำให้ดีที่สุด ดีที่สุด 50 ปีที่ผ่านมาไม่มีกรณีที่จะต้องถึงขั้นมาจัดการได้ อย่างมากก็แค่โต้เถียงกัน สูงสุดถึงขั้น ปฏิกโกสนา คือ คัดค้านกันอย่างเต็มที่ ซึ่งทำได้นั้นเป็นข้ออนุญาตในนานาสังวาส ในธรรมวินัยพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจน เพราะฉะนั้นจะคัดค้านกันอย่างไรว่ากันเลย คุณไม่ถูกอย่างนี้ คุณถูกอย่างนี้ก็ว่ากันได้ แต่อย่าถึงขั้นอักโกสะ แล้วถึงขั้นฟ้องร้อง อักโกสะ คือ อย่าไปถึงขั้นหยาบคาย ด่าทอ อาตมามีแต่คำที่แรงและชัดเจน ไม่ได้หยาบคาย ต้องเข้าใจคำว่าภาษา หยาบคาย กับคำว่า ดุด่าอย่างแรง นั่น 1 2 อาตมาไม่เคยไปอธิกรณ์ฟ้องร้องกัน เหมือนอย่างเถรสมาคมไปฟ้องร้องอาตมาต่อศาลฆราวาส แล้วฆราวาสจะมาตัดสินธรรมวินัยได้อย่างไร นี่ก็ผิดเพี้ยน ท่านทำเพี้ยน ไปหาหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส และอีกหลายเล่มที่อาตมาออกมาจะได้ยืนยันชัดเจนว่า ที่เราดำเนินชีวิตแล้วก็พยายามทำงานกับศาสนา อาตมาขอยืนยันว่า อย่างไรอาตมาก็ตายกับศาสนานี้แหละ ไม่ใช่ตายเพราะว่าอายุมันแก่ไปไหนไม่ได้ ไม่ใช่นะ อาตมายังหนุ่ม อย่านึกว่าอาตมาแก่ ไว้คอยดูกันอาตมาอายุ 100 ตอนนั้นจะรู้ว่าอาตมาพูดจริงหรือพูดไม่จริง ซึ่งจริงๆแล้วอายุ 100 ก็คงจะไม่เหมือนอายุ 20 30 แต่ก็คงจะต้องดูขนาดหนึ่งว่า ขนาดนี้อาตมา 87 ย่างเข้าไปพอสมควรแล้ว ยังไม่น่าเชื่อว่าอาตมาอายุ 87 ใช่มั้ย ไม่ต่างจาก 50 เสียงก็ไม่สั่น อาตมาไม่ทำเท่านั้นแหละ จะทำเล่นเต้นเหมือนหนุ่มๆคะนองเหมือนนายภูมิ มันดูไม่งาม ไม่สมควร เท่านั้นเอง สู่แดนธรรม พ่อท่านอายุยืน พ่อท่านแสดงปาฏิหาริย์ใช่ไหมครับ พ่อครูว่า…เจตนา พิสูจน์ธรรมะพุทธเจ้าว่า เราจะอายุยืนยาว 1 กัปป์เหลือเกินกว่ากัปป์ก็ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์แบบลึกลับ จะเป็นปาฏิหาริย์ด้วยเหตุปัจจัย ที่อาตมาจะยืนยันด้วยเหตุปัจจัย จนกระทั่งได้สูตร E=C(mc2 + A) เป็นสูตรที่ทำให้เกิดสัมประสิทธิ์ทั้ง รูปธรรมและนามธรรม ในอนาคตก็เหมือนกับไอน์สไตน์จะเจอ E=mc2 คนก็เอาไปใช้ทางเสียเยอะ จะเอาไปใช้ทางดีได้ก็เยอะ อันนี้เป็นการต่อยอดของสมการไอน์สไตน์ E=mc2 เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่สูงกว่าไอน์สไตน์ ไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นตัวจริง เป็นเรื่องไม่ใช่สมมติ แต่เป็นตัวจริง ในการประกาศอิสระเสรีภาพของวันที่ 6 สิงหาคม 2518 มาถึงวันที่ 7 ก็เป็นวันอิสระเสรีภาพวันนี้แหละ ที่อาตมาประกาศตัวเองแยกเป็นนานาสังวาส ตอนนั้นเขาก็ เงอะงะๆกัน วงการศาสนาก็ยังไม่รู้ว่านานาสังวาสเป็นอย่างไร แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ มันเป็นการอยู่ร่วมกันแต่มีความต่าง นานาแปลว่าแตกต่าง สังวาสแปลว่า อยู่ร่วมกัน เป็นพระธรรมวินัยที่สุดยอดแห่งอิสระเสรีภาพ ที่พระพุทธเจ้าท่านตราเป็นธรรมวินัยเป็นกฎเกณฑ์ของสัจธรรม ที่ให้โอกาสของมนุษย์สุดทางแล้ว มนุษย์ที่มันไม่รู้จะทำอย่างไรด้วยกันได้ ต่างคนต่างเข้าใจว่าต่างคนต่างยึดถือกันแล้ว ทางด้านเถรสมาคมท่านก็ยึดถืออย่างที่ท่านยึดถือ มันเปลี่ยนไม่ได้ อาตมาก็ไม่ได้คิดจะไปเปลี่ยนท่าน เพราะอาตมาเข้าใจอยู่ว่าเปลี่ยนไม่ได้ แล้วอาตมาก็ไม่คิดจะไปเป็นแบบนั้นอย่างท่าน ท่านให้ศาสนาเป็นอย่างนั้น นอกจากเปลี่ยนไม่ได้แล้วอาตมาก็ไม่อยากให้ศาสนาเป็นอย่างที่เถรสมาคม อยากให้ประชาชนเชื่อเป็นพุทธศาสนิกชนมาเป็นอย่างที่ชาวอโศกเป็น ไม่ใช่เป็นอย่างที่ชาวเถรสมาคมเป็น เพราะฉะนั้นจะเอาทางโน้นมาทางนี้ทำไม อันนั้นเลิกได้ก็ดี เลิกได้แล้วมาเป็นอย่างนี้ก็ดีนี่คือสัจจะ นานาสังวาสเป็นจุดที่ทำให้แสดงความอิสระเสรีภาพได้สูงสุด เอาผิดกันไม่ได้ถือสากันไม่ได้ เพราะถือว่ามันเป็นความสุดวิสัย ของมนุษยชาติ ไปบังคับกันไม่ได้ บังคับด้วยเหตุปัจจัย บังคับด้วยความยึดถือ หรือบังคับด้วยความรู้ ไม่ได้ เขารู้อย่างนั้น เขาเชื่ออย่างนั้น เขายึดถืออย่างนั้นจริงๆ หรือเขาตกกระไดพลอยโจนเป็นอย่างนั้น เขาเปลี่ยนแปลงมาทางนี้ไม่ได้แล้ว เช่น ขณะนี้มีพระภิกษุเถรสมาคมเข้าใจเรา แต่เขา ชาตินี้เขาจำนน เขามาไม่ได้ แต่เขาเข้าใจเรา แล้วเขาก็เอาประโยชน์จากเราได้ อาตมาก็ขออนุโมทนาที่เขาเข้าใจสัจธรรม ท่านผู้นั้นก็จะได้ประโยชน์ไป ส่วนท่านใดที่ยังมีอคติยังดึงดัน เอ็งไม่ถูกหรอกข้าถูก พูดถึงตรงนี้แล้วก็นึกถึง จูฬวิยูหสูตร โอ้โห.. พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อาตมาเห็นใจคนอ่าน จูฬวิยูหสูตรที่ 12.ข [519] เล่ม 25 ข [419] วันนี้ จึงเป็นวันที่อาตมาระลึกถึง ไม่ใช่เรื่องฟื้นฝอยหาตะเข็บ ทุกอย่างมันก็วนเวียนอย่างนี้แหละ เป็นสิ่งที่เอาไว้เตือนใจพวกเราว่า มีสิ่งที่ได้ทำสิ่งที่จริง การประกาศอิสระเสรีภาพ อาตมาไม่ได้ทำเพราะความหยิ่งผยอง ไม่ได้ทำเพราะความอวดดี ไม่ได้ทำเพราะความคะนอง พ่อท่านประกาศลาออกจากการปกครองคณะสงฆ์เถรสมาคม เมื่อวันพุธ ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ (แรม ๑๔ ค่ำ ด.๘ วันโกน) ขณะกำลังประชุมพระนวกะ ณ ศาลาวัดหนองกระทุ่ม ต.กระตีบ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งมีเจ้าคุณพระปฐมนคราภิรักษ์ (ชุณห์ กิตฺติวณฺโณ) วัดวังตะกู เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เป็นประธาน ..พระครูปราการลักษาภิบาล วัดใหม่ปีนเกลียว เจ้าคณะ อำเภอกำแพงแสน และพระครูปทุมธาดา วัดปทุมทองสุทธา-ราม เจ้าคณะตำบลกระตีบ เป็นพระเถระผู้ใหญ่ในที่ประชุมพร้อมด้วยพระสงฆ์รวม ๑๘๐ รูป พระรัก โพธิรักขิโต พร้อมด้วยสงฆ์จำนวน ๒๑ รูป ประกาศลาออกจากการปกครองในตอนบ่าย (ข้อมูลโดย พระครูสิริวรรณวิวัฒน์) นี่คือหลักฐานต่างๆ ไม่ใช่เรื่องลึกลับเป็นสิ่งที่จะต้องเป็น ต้องมี สู่แดนธรรม ..ผมขอถามแทนผู้ชมว่า นานาสังวาส พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้เป็นนานาสังวาสกันใช่ไหมครับ พ่อครูว่า…มันเป็นเรื่องสุดวิสัยจะไปห้ามอย่างไร หลักการอย่างนี้เป็นเรื่องสุดยอดไม่ใช่คนอย่างพระพุทธเจ้าตั้งหลักการนี้ไม่ได้ ไม่ใช่คนอย่างพระพุทธเจ้าไม่มีใครสามารถตั้งหลักการนานาสังวาสไม่ได้เลย แล้วก็มีหลักเกณฑ์ต่างๆนานาในการปฏิบัตินานาสังวาสอีกเยอะ ต่างคนต่างต่างกันแล้ว แต่พระพุทธเจ้าท่านประนีประนอมว่าก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละเรียกว่าสังวาสอยู่ร่วมกัน อย่าแตกกันนะ ถ้าแตกก็เป็นนิกาย อนันตริยกรรม นิกายคือไม่มีทางจะกลับเข้ามาคืนสู่กันได้อีกเลย นิกาย คือกายแตก ไมใช่กายเดียวกัน กายมีภาวะสอง ถ้านิกายแล้วไม่เป็นสอง มันรวมกันไม่ได้แล้วหนึ่งใครก็หนึ่งมันแล้ว นั่นแหละหนัก อาตมาถึงบอกว่า ใครอย่ามาว่าชาวอโศกเป็นนิกาย คุณพูดคุณบาป เพราะว่าเราเป็นนานาสังวาสไม่ใช่นิกาย เข้าใจนิยามคำว่านานาสังวาสกับคำว่านิกายเขาเข้าใจไม่ได้ หากคนใดเอานิกายมาใส่เราคนนั้นบาป นิกายเป็นการลงโทษเป็นการว่าเกินความจริงบาปนะ เป็นการพูดผิด เราเพียงนานาสังวาส ยืนยันว่าเราเป็นนานาสังวาสไม่ใช่นิกาย สู่แดนธรรมว่า..อย่างกรณีพ่อท่าน ถือว่า เป็นนานาสังวาส ถือว่าเป็นผู้น้อยลาออกจากหมู่ใหญ่ พ่อครูว่า…นั้นเป็นวิธี มี 2 อย่าง 1. ฝ่ายน้อยลาออกจากฝ่ายใหญ่ 2. ฝ่ายใหญ่ไล่ออกเรียกว่าอัปเปหิเลย หรือว่าประกาศ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธของเมืองไทยเขามีแต่ อัปเปหิ ไล่ออกจากเหมือนอย่างที่เขาว่าเรา เถรสมาคม เขาพูดตรงเลยนะ เขาบอกอโศกนั้นเถรสมาคมอัปเปหิออกไป ซึ่งเป็นคำโต คำบาป คำผิด เขาไม่ได้ อัปเปหิเรา แต่เราลาออก ขอแยกออกจากเถรสมาคมเอง ด้วยตัวเอง อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนด้วย เล่าทวนก็ได้ อาตมาพูดต่อหน้าของพระสังฆาธิการ 180 ด้วยภาษาที่ไม่ได้บันทึกไว้เป็นตัวอักษรว่าเปรียบประดุจกับอโศกนี้เป็นคณะน้อย ซึ่งทำปาท่องโก๋ขาย อาตมาว่า เถรสมาคมก็ทำปาท่องโก๋ของพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่สูตรมันผิด คนกินแล้วมันสุขภาพเสีย ท้องร่วง ท้องเสีย สูตรมันผิด เพราะฉะนั้น อาตมาเป็นผู้น้อย แต่เรายืนยันว่าสูตรของเราถูก ก็ขอเสนอสูตรอันนี้ให้ท่านก็ไม่เอา แต่ท่านก็ไม่ให้เผยแพร่ ไม่ให้ขยายความ ไม่ให้ทำอะไร ใครจะบวชก็ไม่ให้บวช คือเรียกว่า รังแก ถ้าอาตมาอยู่ด้วยก็จะถูกท่านรังแก ก็จึงขอลาออกมาปกครองตนเอง อาตมาจึงใช้ภาษาว่าจะใช้สูตรปาท่องโก๋ เลยมาขายข้างทาง ใช้คำนี้ด้วย ร้านเล็กๆขายข้างทาง ไม่ใช่ร้านใหญ่ ท่านเป็นร้านใหญ่ท่านอยู่รอดแน่ อาตมาพูดอย่างนี้จริงๆ แต่เราออกมาขอแยกมาเป็นร้านเล็กๆ ขายข้างทาง ถ้าหากสูตรของเราดี สูตรของท่านไม่ดี คนจะมานิยมกินของเรา คนจะมารับเอาของเราเอง อาตมาก็จะพาหมู่นี้ไปรอด อยู่ได้ เพราะจะมีประชาชนมารับไปใช้พอสมตัว ก็จะคงไม่ใหญ่เท่าท่าน แต่ก็จะรอดตัว แต่คนพวกนี้คือพวกที่สุขภาพดี อันนี้ไม่ได้พูดตอนนู้นน่ะ มาขยายความตอนนี้ แม้จะมีลูกค้าไม่มาก เราก็อยู่ได้ อย่างที่เป็นจริงมาถึงวันนี้แล้ว แม้จะมีลูกค้าจำนวนสู้เถรสมาคมไม่ได้ อย่างเทียบกันไม่ติดฝุ่น อโศกกับเถรสมาคม เดี๋ยวนี้มีคณะที่ศรัทธาเยอะอย่างที่เทียบกันไม่ได้ แต่อาตมาไม่มีปัญหา เข้าใจชัดเจนว่า เท่านี้อาตมาก็ว่า ถ้าท่านยังไม่มีศีล หรือท่านไม่มีขนาดที่จะมาอยู่กับพวกเราได้ อย่าเพิ่งเข้ามา ถ้าผู้ใดเห็นว่าจริงใจ เข้ามาได้ พอจะมีศีล มีภูมิ อย่างน้อยที่สุด 1. ไม่กินเนื้อสัตว์ 2. มีศีล 5 3. ไม่มีอบายมุข นี่คือพื้นฐานของกฎเกณฑ์ ถ้าคุณทำอันนี้ได้อย่างสบายใจหรือพอเป็นไป สู้ได้ คุณมา แต่ถ้าคุณมาอยู่ที่นี่ได้แล้วมารวนก็อย่ามาเลย ศีล 5 ก็ยังไม่ได้ เราไม่ไหวหรอก เอาอบายมุขยังเอามาเล่นในนี้ หรือเอาเนื้อสัตว์ เอาไก่ย่างเอามากินที่นี่ ไม่เอา เอาแค่นี้แหละเป็นต้น ต่อไป ก็คงจะมีคนที่ขอสัมภาษณ์ เอารายละเอียดจากเรื่องนี้ ในอนาคต อาตมามีหลักฐานพอจำได้เท่านี้ เมื่อจะทำเอาไปเป็นประโยชน์ขึ้นมา แต่ตอนนี้ก็ค่อยๆทำไป เท่าที่เป็นไปอย่างนี้อาตมาก็ว่ามันก็ดี ใช้ได้ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ พ่อครูว่า…เรื่องนานาสังวาส อิสระเสรีภาพสูงสุด เหตุการณ์ตอนที่เขาจะมาจับเรานั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากเลย พ่อครูว่า…เรื่องนานาสังวาส ขอขยายอีกนิด ในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรเกิดนานาสังวาส ทำไม่ได้ มันไม่มีตัวอย่าง แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ประกาศธรรมวินัยอันนี้เอาไว้ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า จนท่านปรินิพพานไปแล้วก็ไม่เกิดคดีนานาสังวาสอีกเลย จนกระทั่งมาถึงในยุค 2,500 นี่แหละ เรามาเป็นตัวนานาสังวาส แต่ที่จริงเถรสมาคมเขาก็มีนานาสังวาสเหมือนกัน คือธรรมยุตกับมหานิกาย แต่ต่างคนต่างไม่เข้าใจ ต่างคนต่างไม่ไหว ไม่เข้าใจในรายละเอียด ก็เลยไม่ได้ทำให้ถูกตรงกับวิธีการ ไม่ตรงตามระบบของพระพุทธเจ้า จะพูดต่อไปนี้มันเสี่ยงนิดนึง แต่ว่าธรรมยุตนั้น ประกาศตนเองเป็นนานาสังวาส โดยธรรมยุตนั้นอยู่ในฐานะของ พระประยูรวงศ์ ก็เลยสำเร็จผล เขาก็ไม่กล้า เท่านั้นเอง ส่วนรายละเอียดของพระธรรมวินัยนั้น ไม่ต้องพูดถึง ต้องยอมเพราะว่า เป็นพระประยูรวงศ์ เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้มันจะมีความซับซ้อนอีกเยอะ สมเด็จพระสังฆราชเจริญ สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร ก็เป็นหนึ่งในชื่อของการประกาศธรรมยุตที่จะประกาศแยกมหานิกาย กับธรรมยุต ตอนนั้นท่านอยู่ในฐานะของพระศาสนโสภณ เป็นเจ้าคุณชั้นต้น อย่างนี้เป็นต้น ตอนนั้นก็สำเร็จผลแต่ก็ดำเนินไปแยกกันเป็นนิกายไปพักใหญ่ ร่วมกันไม่ได้เลย และกรรมนั้นเกิดแล้ว ผ่านไปแล้ว อนันตริยกรรม ใครเป็นคนก่อคนแรกก็แล้วแต่ ของใครของมัน ใครเป็นตัวตั้งตัวตีก็แล้วแต่ เสร็จแล้วตอนหลังถึงเข้าใจมากขึ้น ทุกวันนี้ตอนนี้ประนอมกันอย่างมาก แต่ตอนนั้นไม่ประนีประนอมกัน แล้วก็มาทำผิดพระธรรมวินัย ตรงที่ว่า มหานิกาย กับธรรมยุต เรียกว่าเป็นคนละนิกายนะ เรียกชื่อเต็มๆโดยไม่เข้าใจคำว่านิกายเป็นคำแสลง ไม่ควรจะเอามาใส่ตัวเอง เหมือนเป็นเชื้อไม่ดี เหมือนเอาเชื้อนรกมาใส่ตนเอง มันเป็นนิกาย เพราะฉะนั้นเขาเรียกว่ามหานิกายกับธรรมยุติกนิกาย ปฏิบัติประพฤติไม่เข้ากันเลย แต่พอมาถึงทีจะมาตีๆอโศกนั้น ก็ร่วมกันมาทำสังฆกรรมอีกมันผิดพระวินัย รวมกันทำสังฆกรรมเพื่อจัดการกับอโศกก็เป็นการผิดวินัยอีก นี่คือความไม่ประสีประสากับธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า แล้วท่านรวมกันเป็นหมู่ใหญ่ เป็นแก่นๆนะ ทำกันทั้งคณะ ไม่ใช่ทำแบบปลีกย่อยขนาดเล็ก แต่เป็นคณะใหญ่ทำ หลายอย่าง ถ้าจะพูดไปแล้วเหมือนเป็นการรื้อฟื้น แต่ขอระลึกถึงกันบ้าง คือแสดงความถูก ความผิด เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าที่จะบอกว่าสิ่งที่ผิดคือสิ่งที่ผิด สิ่งที่ถูกคือสิ่งที่ถูก ฟังแล้วก็อาจจะน่าเกลียดเหมือนกับการยกตนเอาดีให้แก่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ก็มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการที่จะพูดความจริงที่จะไปกระทบ พูดดีก็ไปกระทบคนดี พูดชั่วก็ไปกระทบคนชั่ว แต่ถ้าพูดแล้วไม่กระทบใคร คุณจะบ้าหรือ คนเขาไม่ได้เป็นไม่ได้ผิดอย่างนี้ไม่ได้ดีอย่างนี้ แม้จะชั่วอย่างนี้แล้วคุณก็พูดไป ไม่กระทบใคร มันก็ไม่มีใครทำอย่างนั้นก็ไม่กระทบ แล้วจะพูดไปทำไม ต้องพูดในกรณีที่มีคนทำ คนนี้ทำดีหรือชั่ว พูดถึงประเด็นความชั่ว ก็ต้องกระทบคนชั่ว พูดถึงประเด็นความดีก็กระทบคนดี เป็นกรรมกิริยาที่เขาประพฤติจริง ถ้าไม่มีใครประพฤติ คุณจะไปพูดทำไม พูดแต่ภาษาก็ได้ คุณจะไปพูดเก่งกว่าพระพุทธเจ้า หรือเก่งอย่างไรมาเสริมข้อผิดถูกให้แก่พระพุทธเจ้า สู่แดนธรรม…วันนี้ก็เป็นวันที่ครบ 45 ปีแล้วนะครับ ครบเมื่อวานนี้ พ่อครูว่า…วันนี้ก็วันฉลอง ครบ 45 ปีในการประกาศนานาสังวาส 6 สิงหาคม 2518 เลข 45 ก็เป็นเลขอจินไตยอย่างหนึ่ง ไม่ขยายความแล้ว อาตมาถือ sms SMS วันที่ 3-5 ส.ค. 2563 _สมสมัย นันตะโภค : กราบนมัสการค่ะ ช่วงรายการสดไม่ว่างดู มาดูย้อนหลัง รู้สึกประทับใจในการจัดรายการ(โสเหล่โลกุตระออนไลน์)มากค่ะ ความเมตตาของพ่อครูที่มีต่อลูกๆทั้งใกล้และไกลอย่างทั่วถึง สาธุค่ะ _Tapanee Burakrai (ฐปะนีย์ บุราไกร) : ลูกสัมผัสความเมตตาของพ่อท่านจากเสียงหัวเราะค่า พ่อหัวเราะด้วยความเมตตาลูก ๆ เจ้าค่ะ _บัวดาว พรมเลิศ : ไม่มีครูอาจารย์ไหน ให้ปัญญาสอนให้รู้กายรู้จิตตัวเอง จนพ้นทุกข์ในชีวิตได้ ไปตามเหตุปัจจัยของเเต่ละคนค่ะ พ่อครูว่า…จริง ไม่มีใครมาพูดอย่างอาตมา อย่างที่อาตมานำมาพูด เรื่องที่อุปัชฌาย์ อาจารย์จะต้องให้กรรมฐานเป็นมูลกรรมฐานแก่พระบวชใหม่ ให้แยกกายแยกจิตให้ได้ หากคุณทำจิตให้เป็นกาย กายนั้นยังมีจิต แต่ถ้าทำจิตไม่ให้เป็นกาย คือทำจิตให้เป็นอุตุธาตุหรืออุตุธรรม ให้ทรงสภาพเป็นอุตุธาตุ พระอรหันต์สามารถทำจิตให้เป็นอุตุธาตุได้ ให้ไม่สุขไม่ทุกข์ ให้ไม่เกิดไม่ตายได้ โดยมันเป็นวัตถุไปแล้ว คือสิ่งที่ไม่มีชีวิตแล้ว หรือยังมี กึ่งมีชีวะ แต่ไม่มีเวทนา เป็นพีชะ เป็นชีวะ แต่ไม่มีเวทนา เหมือนอย่างเล็บ ผมขนเล็บฟันหนัง เล็บอยู่ตรงนี้มันก็เป็นชีวะ อาตมาก็ต้องตัดเล็บเรื่อย ไม่ตัดมันจะยาวออกมา แต่มันไม่มีเวทนา ท่านก็สอนเรื่อง ผมขนเล็บฟันหนัง 5 อย่างนี้ เป็นสิ่งที่เราจะหยิบมาเป็นอุปกรณ์การศึกษาได้ เพราะฉะนั้นเราจะรู้ว่าเมื่อไหร่มันไม่เป็น กาย แล้ว แม้มันจะเป็นชีวะ เป็นพีชะ อยู่กับเราแต่มันไม่ใช่กาย เพราะว่ากายนั้นไม่มีจิต ไม่มีเวทนาแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวด อย่างเช่น เล็บยาวออกมาคุณจะตัดออกไปมันก็ไม่เจ็บปวดอะไรแล้วนี่ มันไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความสุข ความทุกข์ คุณต้องทำ จิตใจของคุณทำได้ละเอียดกว่าธาตุข้างนอกด้วย คุณทำจิตของคุณให้เป็น พีชะ คุณก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ทำ 2 ให้เป็น 1 เป็นชีวะ แต่ถ้าทำ 2 ให้เป็น 0 เลยก็เป็นอุตุ อาตมาก็อธิบายไปหมดแล้ว ซึ่งการอธิบายสิ่งต่างๆเหล่านี้ เดาเอาไม่ได้ โมเมไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่จริงของโลกุตรธรรม ความรู้อันนี้ทำให้เป็นนิพพานได้ ทำให้หลุดพ้นจากโลกียะ เป็นการบรรลุธรรม อรหะไม่ลึกลับ บรรลุผลสูงสุดจนกระทั่งคุณเป็นพระอรหันต์ อาตมา กว่าจะอธิบายได้ขนาดนี้ไม่ใช่แค่อรหันต์ขั้นที่ 4 ที่ 5 นะ อรหันต์ขั้นที่ 4 และ 5 ต้องไปฟังจากอรหันต์รุ่นพี่ หากไม่ได้ฟังก็จ้างจะอธิบายแยกกายแยกจิตไม่ได้ อรหันต์ขั้นที่ 4 และ 5 ตัวเองก็ยังแยกยาก เพราะว่ามันต้องมีทั้งพยัญชนะและสภาวะที่ละเอียดลึกซึ้งก่อน _เมตตา โพธิสุทธิ์ : กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ อยากให้พ่อท่านอธิบายคำว่า “บุญ” กับ”กุศล” ให้ฟังอีกครั้งค่ะ พ่อครูว่า..คำว่าบุญกับกุศล นี่แหละ ก็เป็นคำสองคำ ที่ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปไม่รู้แล้ว เข้าใจคำว่า บุญ ไม่ถูกต้องเลย ก็จบเห่เลยศาสนาพุทธ บุญกับกุศล บุญ เป็นวิบัติ, กุศลเป็นสมบัติ บุญเป็นอาวุธการฆ่า เป็นพลังงานที่ทำลาย อย่างเดียว ทำลายแล้วตัวเองก็หมดไปด้วย ซึ่งอาตมาก็เปรียบเหมือนระเบิดปรมาณู ระเบิดตู้มกิเลสตายตัวมันก็สลาย ใช้งานไปแล้วก็จบ แต่มันทำงานสำเร็จคือทำลายอะไร ทำลายกิเลส เพราะฉะนั้น บุญ ต้องมีปัญญากำกับมากเพียงพอละเอียดที่จะไปฆ่าแต่กิเลส เช่นจะไปให้ตำรวจจับโจร จะต้องรู้จักโจร พวกโจรอยู่ในบ้านนี้มีร้อยคน คุณจะเผาให้คนตายไป 100 คนไม่ได้ คุณต้องจับตัวโจรมาให้ชัดเจน แล้วฆ่า ขออภัยที่พูดเหมือนโหดร้าย แต่พูดอธิบายธรรมะ ฟังดูแล้วน่าโหดร้าย ทำลายกิเลส ต้องทำลายแต่โจรนะ บุญ จะต้องมีปัญญากำกับตลอดเวลา ฌานก็ดี ปัญญาก็ดี บุญก็ดี 3 ตัวนี้เป็น 3 เส้าที่ต้องทำงานด้วยกันหมด ปุญญะไม่มีปัญญาไม่ได้ ฌานคือ พลังงานก่อนที่จะเป็นบุญ เป็นพลังงานที่ทำลาย ทำลายสำเร็จเรียกว่าบุญ เดาเอาไม่ได้ เอามาอธิบายพวกนี้ เดาเอาไม่ได้ เพราะฉะนั้น คำที่ยืนยันด้วยพยัญชนะก็คือ ปุญญปาปปริกขีโณ ผู้ที่ใช้บุญสำเร็จแล้วหมดอาสวะแล้วบุญก็ไม่มี จึงชื่อว่าเป็นผู้ที่ทั้งบุญและบาปสิ้นแล้วไม่มีบุญไม่มีบาป เป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาป อย่างนี้ก็เข้าใจไม่ได้กันแล้ว ดีที่ยังมีพยัญชนะยืนยันในพระไตรปิฎก ว่าเราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปก็ต้องรู้ ถ้าไม่รู้อย่างนี้ หากไม่เข้าใจสภาวะของบุญ ของกิเลส ของอาสวะ อาสวะหมดแล้ว เราจึงจะบอกว่าเราหมดบุญ เราหมดอาสวะแล้ว ยิ่งตอนนี้ไม่มีใครอธิบายอย่างนี้ อาตมาเอามาอธิบายเอง อาตมาเอามาจากใคร ตำราก็ไม่มีอธิบายอย่างนี้ด้วย อาตมาก็บอกว่าเอามาจากของตัวเองเอามาอธิบาย คุณฟัง คุณเข้าใจ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่มีปัญหา ถ้าคุณปฏิบัติและพิสูจน์ตามที่อาตมาพาทำ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ จรณะ 15 วิชชา 8 จิตสะอาด มาเป็น สมาหิตะ คือจิตสะอาดตั้งมั่นแล้ว มันแล้วได้ 1 2 3 กว่าจะเป็นสมาหิตะ ที่ สมบูรณ์ คุณก็ต้องทดสอบ ทำแล้วทำอีกตามเจโตปริยญาณ 16 ทำให้เกิดสมาหิตัง หากยังไม่สมาหิตังแท้ก็ไม่อนุตรจิตสมบูรณ์ อาตมาแยก สมาหิตะ อสมาหิตะ วิมุติ วิมุติ ได้ หากไม่มีสภาวะก็แยกไม่ได้หรอก เรื่องสัจธรรมพวกนี้จึงเป็นเรื่องพิสูจน์อาตมา อาตมาไม่ได้อวดดี ไม่ได้พูดใหญ่โต แต่ต้องสถาปนาสัจธรรมพระพุทธเจ้าลงไปในพุทธศาสนิกชนเท่านั้นเอง _Araya Sripairoj (อารยา ศรีไพโรจน์) : ตั้งตนให้มีจิตรับ พ่อครูพร้อมมีจิตให้ กราบคารวะพ่อครูด้วยความเคารพศรัทธายิ่ง _มิตรชัย เวยสาร : พ่อท่านเสียงชัดใสกังวานดีมากครั _ม่านพร : ไม่นิ่งนอนใจ แต่ก็ต้องวางใจเมื่อเป็นไปไม่ได้ กับการสื่อสารเทคโนฯ หินผาฯไม่เคยได้พบสายตรงสดกับพ่อครู ไม่ว่าสำมะปิ๋, โสเหล่ จะพยายามต่อไปค่ะ ยังไงก็ไม่ละเลยการฟังธรรม ขอกราบเรียนพ่อครูว่า ทุกครั้งที่ฟังธรรมได้เพิ่มสภาวะธรรมยิ่งขึ้นๆๆๆ กราบคารวะอย่างสูงค่ะ _มณฑา แก้วบำรุง : ขอไห้คนไทยมีความคิดอย่างที่พ่อครูสอน ชีวิตจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย เพราะเรารู้จักพอเพืยงและรู้จักไห้อภัยคนอื่น กราบนมัสการพ่อครูค่ะ _นภารัตน์ อิ่มรัง : กราบพ่อท่าน กราบสาธุ เวลาฟังพ่อท่านแล้วทำให้มีพลังสู้กิเลส ถ้าไม่ได้ฟังธรรมจากสมณะหรือสิกขมาตุ ไม่ค่อยมีกำลังสู้ กราบสาธุเจ้าค่ะ _อนงค์ สัจจะธนะสกุล : อยากเป็นชาวอโศกค่ะ _kusol Tang (กุศล แตง) : บ้านราชฯ เปิดบ้านหรือยังครับ พ่อครูว่า..ยังตอนนี้ยังปิดอยู่ สมณะเดินดินสรุปจบ _กิ่งธรรม : ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งซาบซึ้งคำที่พ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่า…ความรวย ความสวย เข้าใกล้ความซวยจริงๆค่ะ ยิ่งสวยก็จะยึดติดกับความสวย…เมื่อความสวยลดลงก็เป็นทุกข์ ยิ่งความรวยในยามที่อำนาจเงินเป็นใหญ่แล้วไซร้ ก็จะหลงตัวหลงตนว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง บันดาลได้ทุกสิ่ง ทำให้ย่ามใจหลงใหลทำความเลวได้ง่ายดาย…แล้วใช้เงินซื้อความถูกต้องให้แก่ตน แต่ก็มิอาจซื้อความซื่อตรงของกฎแห่งกรรมได้ นั่นคือเขาก็จะต้องทุกข์จากการกระทำของตนเอง…ทำให้จิตใจลดละความอยากสวยและอยากรวยลงได้มากๆเลยค่า….แม้ความถูกต้องก็ไม่จริง ความสุขกับความทุกข์นี่ซิจริงกว่า…ใช่ไหมค่ะพ่อท่าน.. Category: ศาสนาBy Samanasandin7 สิงหาคม 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630805_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สมาธิพุทธอันมีอานิสงส์จากการฟังธรรม NextNext post:630809_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทำจิตคนให้เป็นจิตพืชได้คือพระอรหันต์Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024