ส.ค.92020ศาสนา630809_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทำจิตคนให้เป็นจิตพืชได้คือพระอรหันต์ อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1dDx9YNaY0_bmaLac1iKHWiDZaKpVeRzxQt8Ax-bJL3k/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1H5PXtTXTM9JuVRDNlDPOTUvKvc5F3o_-/view?usp=sharing และยูทูปที่ สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ในประเทศไทยก็กำลังเตรียมการป้องกันการระบาดของเชื้อโควิครอบ 2 ซึ่งต่างประเทศหนักมากโดยเฉพาะอเมริกาแต่เขาก็ไม่นิยมการใส่หน้ากากอนามัย แต่เมืองไทยเป็นเมืองที่ตระหนักถึงการใส่หน้ากากอนามัยกันอย่างมาก ทำให้ปลอดจากการติดเชื้อในประเทศมาเป็นเวลาหลายเดือน พ่อครูว่า…SMS วันที่ 6 ส.ค. 2563 _เพาะพุทธ จันทเสฏโฐ : บทโคลงของพ่อท่าน ท่านฟ้าไทอ่านผิด เควลน คือ คนเลว ในบทโคลงฝนตกมาชะขี้ หมูไหล ชอบคำของท่านฟ้าไทที่ว่าพุทธศาสนาสรรเสริญคำตำหนิ พ่อครูว่า…บทกวีนี้ เป็นคำผวนทั้งนั้น แต่ถูกตามผังของบทกวีทั้งหมดเลย เพลงจอมโจรบัณฑิต หมายเลข ๖ ฝกต๋นมีชะข้า ไหมหลู หมบตะเหล็นเฉ่นหมู ท่านบั้ว เควลนเข่วคนลู ใลเหญ่ว ด๊อนเหรือดแท่นทั้งควั้ว ห่ายร้าเลืองมง ฝนตกมาชะขี้ หมูไหล เหม็นตลบฉู่เหม็น ทั่วบ้าน คนเลวขู่คนเลว เลวใหญ่ เดือดร้อนทั่วทั้งแคว้น ห่าร้ายลงเมือง เชื้อโรค (ความเลว) ที่ได้ปุ๋ย มันก็จะแพร่ขยาย เหมือนขี้หมู พอได้ฝนตกชะ ก็หลากไหล คละคลุ้ง ฉะนั้น แล้วก็ระบาดฟุ้ง เน่าเหม็น ระบือตลบอบ ฉาวโฉ่กันไป ทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อ “ความเลว” ได้แพร่ไป และ กลืนคน ให้เป็น “คนเลว” กันมากหน้าขึ้นถ้วนทั่ว จนได้ที่แล้ว “คนเลว” ก็จะพยายามช่วย “คนเลว” ปกป้อง “คนเลว” กันเป็นธรรมดา และขู่ “คนเลว” ไม่ให้ไปช่วย “คนดี” ไม่ให้ไปสนใจ “ความดี” ขู่ “คนเลว” บีบบังคับ “คนเลว” ให้จำใจเลว อยู่อย่างเดิม ไม่ให้นอกคอก ขู่ “คนเลว” ให้อยู่ในขอบเขต อาณาจักรแห่ง “ความกลัว” และ “ความโง่” นี้คือ “ความเลวใหญ่” (ไลเหญ่ว) ความเดือดร้อนทั่ว ทั้งบ้านทั้งเมือง จึงได้ทับถมทวียิ่งๆ ขึ้น เป็นห่าร้ายลงเมือง และ โรคห่าที่ร้ายสุด ทั้งหนักที่สุดในบ้านเมือง ขณะนี้ ก็คือ… “บัณฑิต” หรือ “ผู้ทำการทำงาน” ให้แก่ประชาชน (สังคม) ให้แก่บ้านเมือง ทั้งหลาย “ไม่ซื่อสัตย์” หรือ เป็น “โจร” ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว มีครบ ทั้งโจรน้อย หรือ โจรขนาดกลาง หรือ โจรขนาดใหญ่ ตามขนาดของกิเลส มันระบาดร้าย ลงเมือง จนเป็นห่าแล้ว พ่อครูว่า…เป็นกวีของโบราณเขา ซึ่งท่านเพาะพุทธก็เอามาอ่านซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ความเป็นจริงของสังคมจะต้องมีทั้งเศษขยะมีทั้งขี้ ทั้งเนื้อ และมีของที่เป็นยอดเอาสาระไปใช้ได้ ก็เป็นธรรมดาที่มีความเป็นจริงในตัวเองและแสดงออกมาในสังคม คนที่รับคนที่รู้ ก็กลั่นกรองเลือกเฟ้นเอา คำที่ว่า พุทธศาสนาสรรเสริญคำตำหนิ ท่านเพาะพุทธก็ชอบ เป็นประเด็นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างหนักเลย คำสรรเสริญไม่เคยทำให้ใครเจริญ มีแต่จะหลงตัว คำตำหนิ มีค่าที่สุดในชีวิต ด้วยความเป็นมนุษย์ ถ้าใครรู้จักคุณค่าของการตำหนิแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้มากหลายพระสูตร แม้แต่ที่บอกว่าเราจะตำหนิเธอแล้วตำหนิเธออีกเหมือนช่างปั้นหม้อ ที่จะนวดดินที่ยังเปียกๆอยู่ยังไม่หยุดหย่อน ซึ่งเป็นสุดยอดในเรื่องคำตำหนิ เพราะฉะนั้นอาตมาจึง ที่จริงจะว่าไปแล้วอาตมาก็เหมือนคนไม่รู้ตัว แต่ทำตรงตามสัจธรรม อาตมาเคยเขียนเพลงอริยะ เพลงชีวิตเพลงแห่งความซ้ำซากเพลงไท มีหลายหมายเลข อันนี้เพลงอริยะหมายเลข 10 ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้น หรือ เป็นคนที่น่านับถือเคารพได้นั้น ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ชี้ยืนยัน “ความถูกต้อง” ให้ใคร ๆ รู้ ได้หลากหลาย แล้ว ๆ เล่า ๆ นั้นดอก ! แต่… เพราะข้าพเจ้าน้อมรับ “ความผิดพลาด” และ มีการแก้ไขในแต่ละครั้ง แต่ละคราว ของข้าพเจ้า จาก ทั้งผู้หวังดี และ ทั้งศัตรูผู้หวังร้ายแท้ ๆ นั่นต่างหาก. ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๖ สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่าเอาตัวเองเป็นสิ่งยืนยันใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ใช่ เราไม่ได้เจตนา แต่ความจริงมันต้องเป็นอย่างนั้น _Focus Tan : สม.กล้าข้ามฝัน เป็นผู้ออกไอเดีย โต๊ะแบ่งปัน / คนอ่อนแอให้อภัยคนไม่เป็น _Paphada Jeenmaroeng (ประภาดา. จีนมะเรือง) : ชอบท่านสิกขมาตุและสมณะถักบุญบรรยายธรรมะย่อยได้ละเอียด. ฟังแล้วได้ประโยชน์มากเจ้าค่ะ พ่อครูว่า…คนที่ฟังธรรมพวกเรา ไม่ว่าอาตมาแสดง ไม่ว่าจะเป็นพวกเรา ไม่ว่าสมณะ สิกขมาตุ แม้แต่ชาวอโศกฆราวาสก็ตาม ฟังแล้วรู้สึกว่ามันเป็นสาระ มีคุณค่าดี เออ อันนี้ก็น่าอนุโมทนา เห็นว่าอันนี้ควรจะให้เวลา แรงงาน ทุนรอน แก่สิ่งเหล่านี้ แทนที่จะเอาเวลาไปฟังเขาร้องเต้นแร้งเต้นกาตีกัน ไม่เข้าเรื่องเข้าราวเหน็ดเหนื่อย แย่งลูกฟุตบอลลูกเดียวกัน 22 คนอยู่ในสนามอย่างนี้เป็นต้น แทนที่จะเสียเวลาอย่างนั้นเอาเวลามาทำอย่างนี้ดีกว่า จะไปดูฟุตบอลชิงแชมป์โลก แต่เอาเวลามาฟังธรรม อาตมาว่า มันส่อ มันบอกถึงคน ที่รู้ว่าอะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญที่จะเอาเวลาทุนรอนแรงงานมาให้แก่อะไร อันนี้มันชี้ให้เห็นสาระของมนุษย์ว่า มีปัญญาหรือไม่มีปัญญา SMS วันที่ 7-8 ส.ค. 2563 _มุ่ง ตรงธรรม : ยิ่งฟังก็ยิ่งสนุก ยิ่งติดตามฟังธรรมที่พ่อครูเทศก็ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งรู้ลึกซึ้งก็ยิ่งทราบซึ้งในธรรมที่พ่อครูแสดงครับ พ่อครูว่า…อาตมาว่ามีมากนะ คนที่ฟังแล้วยิ่งงง ยิ่งวุ่นยิ่งปวดหัว ก็มี แต่ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจนี่ เป็นคนที่มีฐานจิต มีฐานปัญญาที่รับได้ เพราะอาตมาเจตนาให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เป็นธรรมะลึกซึ้งที่ดีขึ้นหรือขั้นละเอียดลออมากยิ่งขึ้น แต่คุณยิ่งฟังยิ่งเข้าใจมันก็ยิ่งตรง สู่แดนธรรมว่า..พ่อครูเคยบอกว่าถ้าฟังธรรมไม่ขึ้นแปลว่าเป็นอเวไนยโลกุตระ การอธิษฐานแบบเทวะกับอเทวนิยม _ตุลย์ ใยแก้ว : น้อมกราบนมัสการพ่อท่าน ท่านเดินดิน ด้วยความเคารพยิ่ง ลูกขอกราบเรียนถาม ว่าการที่ไหว้พระเสร็จ ลูกจะบอกว่าขอให้พ่อท่าน ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ ญาติธรรมทุกท่านมีอายุ 100 ปีขึ้นทุกครั้ง นี่เป็นเรียกว่าอธิษฐาน หรือเป็นแบบเทวะ กราบขอบพระคุณยิ่ง พ่อครูว่า…ถามอันนี้ อาตมาก็ใช้เป็นตัวปุจฉา วิสัชนาให้ฟัง เราจะบอกว่าอธิษฐาน ตั้งจิตแบบนั้น อธิษฐาน แปลว่า การตั้งจิต อย่างคุณคนนี้ที่ว่ามา มันเป็นความปรารถนาเป็นเจตนาของผู้ที่ตั้งจิตนั้น ทีนี้ การตั้งจิตเพื่อตัวเอง หรือตั้งจิตเพื่อผู้อื่น หรือตั้งจิตเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ฟังก็คงเข้าใจดีนะ ว่าตั้งจิต จะอธิษฐาน เพื่อตัวเองและนัยเพื่อตัวเองคืออย่างไร เพื่อตัวเองจะได้รวยในลาภยศสรรเสริญสุข และรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมาด้วยโลกีย์ หรือให้เจริญ ด้วยการลดกิเลส ลดละหน่ายคลาย มันมีนัยที่เป็นคู่เสมอ ที่บอกได้ว่า การตั้งจิตอธิษฐานนั้นๆ เป็นการตั้งจิตเพื่อประโยชน์ตนเองหรือเพื่อผู้อื่น หรือเป็นความรู้ที่แสดงถึงภูมิของผู้นั้นหรือไม่ เพราะฉะนั้นคุณถามมาว่าเป็นแบบเทวะหรือเปล่า ประเด็นคำว่าเทวะ ก็คงหมายถึงเทวนิยมกับอเทวนิยม มันก็มีนัยยะสำคัญ ถ้าเป็นการทำการตั้งจิตแบบเทวนิยม ก็จะเป็นการตั้งจิตแล้วขออ้อนวอน ให้พระเจ้าช่วย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล ขอให้พลังงานลึกลับ พลังงานศักดิ์สิทธิ์พิเศษมาช่วยอย่างนี้ อย่างนั้นก็เป็นอธิษฐานตั้งจิตแบบเทวนิยม ซึ่งศาสนาพุทธ เห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องเปล่าดาย แสดงถึงความไม่ฉลาดของคน ที่จริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ มันสูญเปล่า ทำให้เราหลงผิดว่ามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีภพชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันไม่มีหรอกสิ่งเหล่านี้ มีแต่กรรม การกระทำของเรา ของศาสนาพุทธเลย ที่บอกว่ากรรมกับ God ของศาสนาเทวนิยม แต่ว่าศาสนาพุทธนั้นไม่พึ่งGod มีแต่พึ่งกรรม ชาวพุทธเองก็ตามที่หลงติดในเรื่องของเทวะ อธิษฐานอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เป็นจริง เขาเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา สู่แดนธรรม…อย่างมีลูกศิษย์ที่เชื่อว่าดื่มน้ำปัสสาวะของอาจารย์จะหายป่วยเป็นเทวนิยมหรือไม่ พ่อครูว่า…เป็นเทวนิยม น้ำปัสสาวะนั้นไม่ใช่ยา แต่เป็นความคิด ความเชื่อถือ ว่าจะมีฤทธิ์เป็นยา ทำให้หายได้ก็เท่านั้นเอง แม้แต่พวกเราก็ยังเป็น ขอน้ำปัสสาวะอาตมาไป เวลาไม่สบายก็ยังมี อย่างนี้เป็นต้น พวกเรานี้ก็ยังเป็นกัน มันเป็นเรื่องซับซ้อนเป็นเรื่องของความเข้าใจด้วยปัญญาของคน เพราะฉะนั้นก็อย่าไปตีทิ้งเสียทีเดียว มันเป็นผล มีผลทีเดียว คือผลนี่นะ ท่านเรียกในภาษาทางวิทยาศาสตร์หรือทางแพทย์เป็น psychosis เป็นโรคทางจิตต้องใช้จิตวิทยาในการรักษา ผู้ที่มีปัญญามีความสามารถรู้จิตวิทยาต่างๆจึงรักษาคน แล้วการแพทย์ก็รู้ว่า คนเราป่วยถ้ามีจิตวิญญาณไม่ดี มันก็เจ็บหนักขึ้น ถ้าคนจิตใจดีจะไม่เจ็บหนัก เขาถึงบอกว่าโรคจะมี 2 ส่วน ส่วนที่เป็นเชื้อโรคจริงๆประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ เชื้อโรคทางจิตประมาณ 60% ทางแพทย์เขาว่าอย่างนั้นเลย ทางจิตมันจะหนักกว่า แต่ถ้าจิตใจดีนี้ โรค 40 เปอร์เซ็นต์ไม่ต้องรักษาหรอก จิตใจ 60% มันจะรักษาเอง ดูแลรักษาง่ายหายง่าย แต่ถ้ามีโรคจิต psychosis เป็นโรคทางจิตมากจะรักษายาก ผู้รู้ก็ต้องช่วยผู้ที่ไม่รู้ _Chaisit Jitviriya (ชัยสิทธิ จิตวิริยะ) : สิงหาคม 18 ครบ 45 ปีที่สันติอโศกถูกขับออกจากมหาเถรสมาคม ไม่ร่วมสังฆกรรม เรียกนานาสังฆวาส ได้ตรับฟังชัดเจนดีขึ้น เมื่อ 45 ปีก่อนผมรู้สึกสะท้อนสะเทือนใจถึงการแตกแยกแห่งพุทธศาสน์ของไทย มาถึงวันนี้ได้กระจ่างขึ้น ขอขอบคุณพ่อท่าน สาธุ พ่อครูว่า…ที่อาตมาประพฤติมา ในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 ที่บอกว่า สันติอโศกถูกขับออกจากเถรสมาคม อย่างขณะที่อาตมาประกาศอันนี้ต่อหน้า สงฆ์ 180 รูป ต่อหน้าพระสังฆาทิการ ที่วัดหนองกระทุ่ม เรียกว่าเป็นการประกาศเป็นทางการ ตามธรรมวินัย เป็นการประกาศขอแยกนานาสังวาส ประกาศต่อหน้าอย่างเรียบร้อย 45 ปีผ่านมาในวันนั้น ไม่ใช่อาตมาถูกมหาเถรสมาคมขับออก แต่อาตมาทำเอง อาตมาไม่อยากอยู่ร่วม กับการปกครองบริหารดูแล อาตมาขอแยกมาจัดการเองเป็นคณะอโศก กล่าวให้ชัดเจนเลยว่า เป็นการทำนานาสังวาสอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า สามารถทำได้ คณะเล็กคณะน้อย สามารถขอทำนานาสังวาสได้หรือคณะใหญ่จะขอแยกให้คณะน้อยเป็นนานาสังวาสก็ได้ เช่น พระพุทธเจ้าให้คณะของพระเทวทัตเป็นนานาสังวาสกับคณะของพระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น ท่านไม่ได้แยกเป็นนิกายกับพระเทวทัต แต่ท่านประกาศนานาสังวาส เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากแต่เข้าใจกันไม่ได้ การทำนิกาย เป็นเรื่องมหาอเวจี แน่นอนพระพุทธเจ้าไม่ทำ ท่านทำแค่นานาสังวาสก็พอแล้ว สำหรับคนคนนั้นเขาก็เป็นอย่างนั้นไป สำหรับที่เถรสมาคมจะมาทำนี้ก็ทำเกินทำผิดพระธรรมวินัย พูดไปแล้วก็ยิ่งเห็นความไม่ประสีประสาในเรื่องศาสนาพุทธตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าของเถรสมาคม วันที่ 6 ประกาศ วันที่ 7 ก็เป็นวันอิสระเสรีภาพ ก็ออกมา ตอนนั้นยังไม่มีคำว่านานาสังวาส และอาตมาบอกตรงๆว่าตอนนั้นก็ยังไม่รู้จักเรื่องนานาสังวาส แต่เป็นสัจธรรมที่จะต้องเป็นจริงในโลก จะต้องเกิดจริงอันนี้ขึ้นมา มันจึงเป็นเรื่องความจริง ไม่ได้ดูตำรามาก่อนเลย เป็นความจริง เป็นของติดตัวมาแล้วเราทำ แล้วอาตมาไม่ได้ทำผิดพระธรรมวินัยเลย ถูกหมดเลย ไปตรวจสอบตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ แต่ทีนี้เวลาเถรสมาคมมาทำให้มันออกนอกเรื่องทำผิด คณะปูรกะ ผิดวิธีการตามพระธรรมวินัย อาตมาประกาศตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518 เจ้าคณะอำเภออยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยก็ได้รับสิ่งที่อาตมาเซ็นชื่อให้ไปด้วย ท่านก็เอาไปให้เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดก็ส่งตรงไปถึงเถรสมาคมก็เป็นที่รับรู้ในขณะนั้น ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2518 เราก็เป็นนานาสังวาสมาตลอด อยู่กันด้วยราบรื่นดีนะ ต่างคนต่างก็ปฏิบัติ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อยู่กันอย่างเรียบร้อยต่างคนต่างทำ เพราะความเห็นต่างกัน เหตุคือ 1. ศีลไม่เสมอกัน 2. การประพฤติต่างกัน 3. การอธิบายขยายความอุเทส คำอธิบายธรรมดาต่างๆไม่ตรงกัน มันเป็นสัจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเข้ากันไม่ได้แล้วจึงเลิกที่ต้องมาเถียงกัน ต่างคนต่างทำ แล้วก็ให้พุทธศาสนิกชนฟังความสองข้าง ฟังแล้ว คุณเห็นว่าฝ่ายใดเป็นธรมวาที ฟังแล้วเห็นว่าการพูดอันนี้ถูกต้อง คุณก็เลือกเอา เป็นสิทธิเสรีภาพของคุณ เท่านั้นเองจบแล้ว มันห้ามไม่ได้ มันเป็นความเห็นต่าง ก็ยึดกันไป มันเป็นธรรมชาติที่มันจะต้องเป็นเช่นนั้น ไปบังคับกันได้อย่างไร สู่แดนธรรม…เหมือนครอบครัวก็อยู่กันในบ้านร่วมกันแต่ไม่ได้ทำอะไรร่วมกัน พ่อครูว่า…ผลที่จะเกิดเป็นเรื่องวิบากกรรม ของใครของมัน มันจะเกิดโดยสัจจะเพราะกรรมเป็นอันทำของใครของมัน มันจะออกผลของมันเอง คนนี้ผิดสัจจะก็จะออกผลอย่างนั้น คนนี้ถูกสัจจะก็จะออกผลอย่างนั้น ส.ฟ้าไท พระพุทธเจ้าให้ฟังทั้งสองฝ่ายและเลือกเอา พ่อครูว่า…คุณจะเห็นว่า ฝ่ายนี้พูดมาอย่างไรก็เอาหมด ฝ่ายนี้พูดมาก็ไม่เอาหมดอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของคุณเป็นเรื่องส่วนตัวไปด้วยสิทธิ บังคับกันไม่ได้ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ ส.ฟ้าไท..เป็นประชาธิปไตยที่สุดในโลก สู่แดนธรรม …ผมเห็นพระสูตรบางพระสูตร ฝ่ายใดถูกต้องคนก็นับถือใส่บาตรให้ ฝ่ายไหนไม่ถูกต้องก็ถูกคว่ำบาตร พ่อครูว่า…เขาจะวิจารณ์เราก็ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ต้องติเตียนกัน บอกกัน สังคมใดไม่มีการติเตือนกันเป็นสังคมไม่มีการเอาภาระเป็นสังคมเลว คำสรรเสริญพระพุทธเจ้าก็บอกแล้วมันไม่ใช่เรื่องดี ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นเรื่องไม่พาให้เจริญอะไรได้ คำสรรเสริญไม่ทำให้ละกิเลส บอกว่าเป็นคำต่ำทรามเป็นคำเลวร้ายเป็นของน้อย คำลามกด้วยซ้ำ คำสรรเสริญ ซึ่งฟังแล้วคนเขาเข้าใจคนละเรื่องกับที่พุทธเจ้าตรัสไว้เลย มันคนละโลก คนละเรื่องเลย ถ้าเรารู้จักสาระประโยชน์ ต่อสิ่งที่เราจะใช้ เราจะใช้สรรเสริญหรือจะใช้คำตำหนิ ชาตินี้อาตมาชมบ้างตำหนิบ้าง อย่างที่ท่านว่า นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ชมคนที่ควรชม ตำหนิคนที่ควรตำหนิ จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของความแตกต่าง ไม่ใช่เรื่องของความแตกแยก อาตมาชี้ความถูกความผิด อันนี้เป็นเรื่องสัจธรรมไม่ใช่เรื่องแตกแยกแต่เป็นเรื่องแตกต่าง การแตกต่างก็เป็นเรื่องธรรมะ การชี้ถูกชี้ผิดก็เป็นสัจธรรมเป็นธรรมะยิ่งกว่าการชี้ความแตกต่าง การบอกความแตกต่างของเพียงแต่ให้รู้ว่ามันมี 2 อย่างแตกต่าง แล้วความแตกต่างนี่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ถ้าใครอ่าน จูฬวิยูหสูตร แล้ว จะเห็นความยิ่งใหญ่ว่า สัจจะมีหนึ่งเดียว สัจจะที่ 2 ไม่มี พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมา ทราบชัดอยู่ จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมกล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กัน จะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอันเป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ พ่อครูว่า…ผู้มีปัญญารู้แล้วจึงเป็นผู้มีความบริสุทธิ์และตั้งอยู่ในความวินิจฉัยทิฐิ และร่าเริงอยู่ วินิจฉัยเองว่าอันไหนเป็นอย่างไร ผู้ใดมีภูมิปัญญาบริสุทธิ์จะรู้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ใครไม่รู้ว่าร่าเริงเป็นอย่างไรก็ดูที่ โพธิรักษ์ ตำหนิก็ยังร่าเริง บางทีร้องเพลงไปด้วยตำหนิไปด้วย กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่นกล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่งและมัวเมาเพราะมานะ มีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์ ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็น ผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไป ชนเหล่านั้นผิดพลาด และไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจด เดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่า เดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตน เดียรถีย์ ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมาก เชื่อมั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนัก- แน่นในลัทธิของตน จะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่า เดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียว เดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิตศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละการวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาท ในโลก ฉะนี้แล ฯ จบจูฬวิยูหสูตรที่ ๑๒ พ่อครูว่า..อาตมาชัดเจนในตัวเองว่าไม่เคยไปหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับใคร ทักไลน์มาหาเรื่องวิวาทกับอาตมาไปอธิกรณ์ อาตมาก็ยอม แล้วทำไมต้องขึ้นศาลไม่รู้กี่จังหวัด ก็ยอมไม่ไปว่าไม่เป็นอะไรเขา เขาถือว่าเขาใหญ่ เราก็ยอม แล้วอาตมาจำเป็นจะต้องบอกสิ่งที่เป็นสิ่งที่ถูกเป็นการอธิบายธรรมะ การอธิบายธรรมะต้องตำหนิในสิ่งที่ผิดยกย่องสิ่งที่ถูกอาตมาก็ต้องพูด เขาจะทำกับอาตมาอย่างไรอาตมาก็ยอมให้ทำ สู่แดนธรรมว่า…เขาจะต้องมองว่าเพราะท่านจะต้องไม่ตำหนิเขาว่าท่านจึงจะยอม พ่อครู่า…คนที่บอกว่าผู้ที่ไม่ตำหนิก็เลยเป็นคนดี อันนี้เป็นคนโง่ ก็ไม่มีปัญญาจะตำหนิใคร คนที่จะตำหนิคนต้องมีปัญญาต้องมีความรู้ ว่าจะตำหนิอะไร แล้วต้องมีความเมตตากรุณา อาตมามีจิตใจที่เมตตากรุณาสงสารเขา พูดไปอยู่บ่อย ยกตัวอย่างไปนั่งหลับตาทำไม ถล่มไปอ้างอิงบอกทุกอย่าง โดยเฉพาะที่อาตมาบอกว่า…(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ส.ฟ้าไท…พ่อครูอธิบายการยอม เวลาเขามาจับ เราก็ยอมเขาแต่เขากลัวพวกเราลุกฮือสู้ทำร้าย แต่เปล่าเลยไม่มี พ่อครูว่า..ไม่มีเลยในเสี้ยวแห่งผงธุลีของความคิดที่จะไปวิวาททะเลาะ เอาเรื่องเอาราว มีแต่ยอมและตั้งใจพูดถึงเรื่องถูกเรื่องผิดเรื่องสัจจะ ตั้งใจทำซึ่งเขาห้ามไม่ได้หรอกอาตมาต้องทำ อาตมาต้องทำอันนี้ อาตมารู้ตัวดีจะห้ามอย่างไรอาตมาก็ต้องทำ และอาตมาก็ไม่ไปทำที่อื่นอาตมาทำในประเทศไทย อาตมาจะไม่หนีไปดูไบหนีไปอเมริกาหนีไปเขมรจะไม่หนีไปไหน อาตมาไม่มีภัยอะไร อาตมาไม่ไป จะจับเข้าคุกก็ไปสอนในคุกออกมาจากคุกเมื่อไหร่ก็สอน ดีว่าไม่ได้เข้าคุก เขาว่าอาตมาผิดแต่อาตมาไม่ได้เป็นคนผิดอาตมาเป็นคนแพ้เท่านั้นเอง อาตมาไม่ได้ผิด ก็ยอม เลยต้องถูกลงโทษรอลงอาญา 2 ปีก็ยอมไปจนจบเรื่อง จบแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ส.ฟ้าไท..สื่อมวลชนชาวอโศกก็เงียบ สู่แดนธรรม..วันที่จะมาจับเขาเตรียมรถปอเต็กตึ้งมาด้วย ส.ฟ้าไท…คนเขาจะมาจับหัวหน้าก็ต้องระวังคนลุกฮือ ไปจับครูบาอาจารย์เขาคนเขาถือสามากและก็คิดว่าครูบาอาจารย์ไม่ผิดมันก็จะยิ่งหนัก.. สู่แดนธรรม..มีญาติธรรม เตรียมตัวมาดูว่าสมณะจะวิ่งหนีหรือไม่ มาดูก็เลยกลายเป็นญาติธรรมเลย พ่อครูว่า..เยอะตำรวจก็มี พันตำรวจโทสะอาดเป็นผู้มาตรวจสอบ หนักเข้าก็มาเป็นชาวอโศกจนกระทั่งทุกวันนี้ อายุเกือบ 90 แล้วแก่กว่าอาตมา 1 ปี เราไม่เสียดสีเราตำหนิตรงๆ การเสียดสีมีเชิงอคติ และมีเชิงอิตถีภาวะบ้าง อะไรต่างๆนานา เสียดสี มันมีอกุศลเจตสิกประกอบในการพูดเสียดสี เพื่อหนำใจด้วย มีรายละเอียดของอกุศลเจตสิกต่างๆแต่อาตมาบอกตรงๆว่าความจริงใจ และจะห้ามไม่ให้อาตมาตำหนิไม่ได้เพราะว่าศาสนามันเสื่อมจริงๆ มันผิดเอามากๆ เมื่ออาตมาไม่ตำหนิ มันไม่รู้จะทำอะไร ไม่ได้ จะไปพูดชม ขออภัยก็ต้องพูดชมแต่พวกตัวเอง เพราะพวกตัวเองมันถูก อาตมาเกรงใจจริงๆ คนที่ควรชมก็มีน้อย แต่จะให้ไปชมพวกเดียรถีย์ออกป่าเขาถ้ำ อาตมาทำไม่ได้ อันนี้เข้าใจยาก แม้แต่พระบ้านพระเถรสมาคมก็ยังเข้าใจว่าปฏิบัติต้องออกป่านั่งหลับตา เขาเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เขาก็พลอยเข้าใจผิดไปด้วย แต่เขาไม่รู้ว่าตัวว่าตัวเองผิดนะ พวกที่เป็นพระบ้านแล้วพยายามศึกษาอยู่ในเมืองใช้สติปัฏฐาน แบบฝึกวิปัสสนาอะไรพวกนี้ ตามประสาพวกเขาวิปัสสนาหรือสติปัฏฐานเขาก็ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง ก็ยังเข้าใจสติปัฏฐาน 4 พิจารณากายในกาย กายคืออะไรเขาก็ยังไม่รู้เรื่องว่ากายคืออะไร นี่คือความผิดไม่เหลือเลยในศาสนา สังโยชน์ข้อแรกเลย สักกายทิฏฐิ ให้เห็นความเป็นกาย เขาก็เห็นความเป็นกายไม่ได้ กายต้องมีทั้งจิตและภายนอก ต้องพิจารณามูลกรรมฐาน 5 ประเด็นสำคัญเลย ถ้าเข้าใจไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่มีทางเป็นอรหันต์ แยกให้ได้เมื่อใดไม่ใช่กาย ไมใช่ชีวะ เมื่อนั้นเป็นอุตุนิยาม ถ้าคุณแยกสภาวะทุกอย่างที่เป็นสังขารธรรมมันเป็นสังขารโลกวัตถุ เป็นนิวเคลียส ก็เป็นได้ นั่นเป็นอุตุ หากเราทำจิตเป็นอุตุเลย นี่คือแยกธาตุจิตเป็นอุตุ นี่คือนิพพานได้ ขณะที่มีชีวะยังไม่ตาย เราก็แยกได้ให้จิตมันไม่มีความทุกข์ ไม่เป็นเวทนา ไม่เป็นวิญญาณ ก็แยกให้เป็นพีชธาตุ แยกกายให้เป็นพีชธาตุ หากเข้าใจกายเป็นสอง แยกไม่ได้ คุณทำไม่ได้ เราจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร ที่พูดนี่เป็นความรู้ของพระอรหันต์นะ พีชะก็ขั้นอรหันต์ ถ้าทำ จิต แยกธาตุตัวเองเป็น ทุกชาติได้เลย หลังจากตายไปแล้ว กายสเภทาปรัมรณาก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้เลย ต้องดูความเป็นชีวะ ความเป็นพืช ทำให้มันเป็นหนึ่งได้ คนกินพืชไม่กินสัตว์ มันไม่มีเวทนาหรอก ไม่มีความรักผูกพัน ไม่มีความพยาบาท ไม่มีเวรภัย กินพืชก็ปลอดภัย คนกินมังสวิรัติจะรู้รายละเอียดพวกนี้ สู่แดนธรรม…ธรรมชาติของตา ท่านพระสารีบุตรว่า ธรรมชาติของตามีความยินดีเพลิดเพลินในรูป มีตัณหามีอุปาทานในรูป พระอรหันต์เป็นได้เพราะมาสังวรในเรื่องรูป เมื่อจิตใจเป็น พีชะ คือไม่มีความสุขความทุกข์ ไม่มีความยินดีในรูป ใช่มั้ยครับ พ่อครูว่า..ใช่ มีลักษณะหนึ่งเท่านั้น เอกสโมสรณา ท่านให้พิจารณาเวทนาในเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 ทำให้ความทุกข์ความสุขไม่มี ให้กลายเป็นหนึ่ง ไม่มีทุกข์ไม่สุข แต่ก็รู้ชีวะรู้ความเป็นชีวะคือมีชีวิตอยู่แต่ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ดูดไม่ผลัก ไม่บาปไม่บุญ จิตน้ันก็อาศัยอยู่ด้วยความเป็นชีวะในจิต จิตนี้เป็นอรหันต์ เป็นอุเบกขาบริสุทธิ์จากกิเลสเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา สมบูรณ์แบบ สู่แดนธรรม…พีชะไม่มีอารมณ์สุขทุกข์ พ่อครูว่า…ไม่มีบาปไม่มีเวรไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ถ้าเป็นจิตนิยามเป็นคน ก็สร้างพลังงานเป็นฌาน เป็นบุญ กำจัดกิเลสหมดแล้ว จิตก็เป็นจิตอุเบกขาถาวร สู่แดนธรรม…หากญาติธรรมที่สังวร จนจิตไม่มีความทุกข์ความสุขแล้ว ก็ใกล้นิพพาน พ่อครูว่า…ศาสนาพุทธมีสาระคือ นิพพาน ถ้าผู้ใดไม่ได้ปฏิบัติมีนิพพาน ศาสนาพุทธไม่มีนิพพาน ก็อาศัยศาสนาเพียงเท่านั้น ไปอาศัยศาสนาโลกีย์ที่ไหนก็ได้ ดีไม่ดีไปอาศัยศาสนาเทวนิยม เขายังจะเคร่งทำให้คุณดีขึ้นด้วย แต่มาอยู่ในศาสนาพุทธทำไสยศาสตร์วิชาเละเทะเลย สู่แดนธรรม…ตรงกับญานพระโสดาบัน ทำให้หลุดพ้นได้บ้างแล้ว ก็ทำเหตุปัจจัยอื่นขึ้นไปอีก พ่อครูว่า..ก็ทำเหตุปัจจัยเพิ่มขึ้น เป็นพระสกิทาคามี จนกระทั่ง ภาคกามภพภายนอก สะอาดบริสุทธิ์ กระทบสัมผัสอย่างไรก็มีอุตรจิต อยู่เหนือกามโลก ไม่ใช่กามโรคนะ แต่เป็นโลกแห่งกามภพ ราคะ อยู่เหนือ มันก็มีในโลก รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มันก็มีอยู่ในโลก แต่ผู้ที่หลุดพ้นแล้วไม่มีกิเลส ที่จะต้องไปเป็นทาส ไม่มีกิเลส ที่เกิดจากเหตุปัจจัยของวัตถุสมบัติในโลกกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในโลกไม่มี ก็เป็นอนาคามีภูมิ ของตนเองก็ทำกับตัวเองทั้งนั้น เพียงใดจะเอามาใช้ก็เหมือนพืชพีชะ เอามาใช้ประโยชน์ ก็ไม่มีอารมณ์สุขทุกข์ ไม่มีอารมณ์ชอบชัง นอกจากที่ตัวเองจะทำงานส่วนตัวไป สู่แดนธรรมว่า..มีพวกที่เข้าใจพวกเราผิดว่า นิพพานแล้วทำไมยังปรุงแต่งได้อีก พ่อครูว่า…ยิ่งปรุงแต่งเก่ง ยิ่งเป็นกายปุญญตา จิตปาคุญญตา ทั้ง เวทนาสัญญาสังขาร ยิ่งปรุงแต่งได้คล่องแคล่ว เป็นมุทุภูตธาตุ มันจะขัดแย้งกับความคิดของเขา เพราะเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังอย่างนี้ ของเขาจะเป็นสมถะนิ่งหยุดไป เขาจะไม่เข้าใจในเรื่องมันยิ่งเกิดปฏิภาณปัญญาไหวพริบ ยิ่งเกิดความรอบรู้ จิตใจก็นิ่งเหมือนกับลูกข่าง ยิ่งเร็วยิ่งนิ่ง นี่คือมุทุธาตุ คือลูกข่างที่ยิ่งนิ่งยิ่งเร็ว ยิ่งนิ่งเหมือนไม่ขยับเลย นิ่งแล้วอยู่จุดสุดยอดของความ smoothเลย ตรงข้ามกับมิจฉาทิฏฐิ ที่เป็นจิตสงบที่จิตใจแข็งทื่อช้า แต่ไม่ใช่เลย มันกลับจะยิ่งเร็วยิ่งปราดเปรียวแคล่วคล่อง เป็นเรื่องเข้าใจยาก และเป็นเรื่องเดาไม่ได้ด้วย แล้วก็ไม่มีใครพูดอธิบายด้วย _Channarong Jindatham (ชาญณรงค์ จินดาธรรม) : ผมรักพวกคุณจัง พี่น้องชาวอโศก _กูรู สู่แดนธรรม คำใดมีที่มา สภาวะมีที่ไป นิพพานเป็นเช่นใด ฤาอยู่ไกลจากผองชน ฤาเป็นเช่นของห่าง อันเวิ้งว้างไร้เหตุผล หรือคู่ปัญญาคน พิสูจน์ได้พิเศษฤา นิพพ์เป็นวิทยา- ศาสตร์ศึกษาในอุ้งมือ รู้หยุด รู้ยั้งยื้อ รู้พ้นลือเพราะรู้จริง มิใช่สิ่งลี้ลับ คณานับหลงหลับดิ่ง หยุดเกิดนั่นแหละจริง เกิดเมื่อใดมีแต่ดี พ่อครูว่า…ใช้ได้ ซับซ้อน อยากจะขอเสริมตรงที่ว่า มิใช่สิ่งลี้ลับ คณานับหลงหลับดิ่ง ไม่ใช่ศาสนาลี้ลับ ไม่ใช่ศาสนาหลงดับดิ่ง ไม่ใช่ศาสนาลึกลับ พุทธเป็นศาสนาจะกระจ่างรู้แจ้งครบ ด้วยจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก เป็นการรู้อย่างนี้เลย การรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าหรือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า การบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่การบรรลุธรรมอยู่ในภพ ดับหลับตามืด ไม่มีแสงสว่างนั่นไม่ใช่ของพุทธเลย ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้บรรลุธรรมในขณะมีแสงสว่าง มีดวงตาเปิด มีจักษุญาณปัญญาวิชชาอาโลก อาโลก แปลว่า แสงสว่าง นี่เป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยอย่างนี้ ยิ่งลูกศิษย์ลูกหาคนอื่นก็ต้องอาศัยอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง ชาคริยานุโยคะ ให้พากเพียรทำตนเองให้ตื่น อย่าไปทำตนเองให้หลับหรี่ ขณะที่คุณเองลืมตา จิตใจของคุณก็ไม่ตื่นเต็ม ไม่มีสติตื่นเต็มอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ชาคริยา ของคุณต้องมีสติตื่นเต็ม แม้กระทั่งลืมตา เพราะฉะนั้นยิ่งไปปิดแสง พยายามไม่ให้ตาเห็น จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รับรส หูไม่ได้ยิน คนนี้ยิ่งออกไกลจากสิ่งไปติดยึด จมดิ่งอยู่ในถ้ำ ออกนอกศาสนาพุทธ อย่างไม่รู้จะว่าอย่างไร นี่เป็นการอ้างอิงจากพระไตรปิฎกนะ แต่พวกคุณทำไมหลงดำดิ่ง เข้าใจธรรมะโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ สู่แดนธรรม…ผมออกไปบอกกับเพื่อนว่าอรหันต์ก็คือพืช เพื่อนบอกว่า อะไรวะ พ่อครูว่า..อรหันต์คือพืช อันนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจนเลยว่า ถ้าคุณไม่รู้จัก พีชธาตุ อุตุธาตุ จิตธาตุ กรรมนิยาม ธรรมนิยาม โดยเฉพาะไม่รู้จักจิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยาม แล้วทำให้จิตใจมีโยนิโสมนสิการ ทำให้จิตใจเกิดสภาวะ มีอาการเป็นลักษณะของมันเลย ให้เป็นอุตุธาตุ ให้มีอาการอารมณ์ มีความรู้สึกอย่างนั้นเลย เช่น อารมณ์อุเบกขา อารมณ์เฉยๆ มันไม่ใช่แค่คนเข้าใจเพียงตรรกะแล้วจะทำเฉยๆกลางๆแยกเป็น 2 อย่างมันไม่ใช่ อารมณ์กลางกลาง อารมณ์เฉยๆ คืออารมณ์มันไม่สุขไม่ทุกข์ คุณจะต้องดูอาการของความไม่สุขไม่ทุกข์ หรือ อาการมันไม่มีกามไม่มีอัตตา คุณจะต้องรู้สภาวะของจิตที่มันยังมีส่วนของ กาม หยาบ กลาง ละเอียด จนกระทั่งหมด กาม เข้ามาในเรื่องของภพ รูปภพ อรูปภพ ที่เหลือ ไปจนกระทั่งหมดอัตตา นี่คือสภาพของอุเบกขา มันหมดสิ้นทั้งกามทั้งอัตตา บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งสองข้างหมดความเป็น อันตา ไม่มีข้างในเลยไม่มีดูดไม่มีผลัก ไม่มีสภาพ 2 ไม่มีกาม ไม่มีอัตตา เป็นสภาพหนึ่งหรือศูนย์ หนึ่ง คือสภาพนั้นที่ยังมีเป็นอัตถิ ไม่มี นั้นคืออะไรที่ต้องดูว่าอะไรที่ทำให้ไม่มี ท่านจึงสอนในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 243 เรื่องความมีกับความไม่มี อยู่กับโลกจิตก็มีสังขาร ความเป็นนิโรธ หรือ สมุทัยมันไม่มีแล้ว จิตใจของคุณแม้กระทั่งอยู่ในโลก คุณก็มีนิโรธ คุณไม่มีแล้ว สมุทัย อย่างหยาบ กลาง ละเอียด คุณก็ไม่มีแล้วคุณถึงจะรู้อันนี้คือความมี และความไม่มี แล้วก็จะรู้ว่า ที่บอกว่า พระไตรปิฎกล. 16 ข. [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ) คุณยังมีชีวิตอยู่ ยังมีกระทบสัมผัสรู้อยู่ แต่ต้องรู้ถึงความไม่มีที่มี อะไร คือกิเลสเศษธุลีอะไรไม่มีในจิตใจเรา คุณถึงจะรู้ทั้งหมดถึงความมีและความไม่มี นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ ส.ฟ้าไท…หากไม่มีสภาวะก็มึนเลยในสิ่งที่พ่อครูพูด สู่แดนธรรม… พ่อครูว่า…สรุปแล้วก็คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา ท่านสอนให้ไม่มีกิเลสตัณหาอุปาทาน ไม่ใช่ความไม่มีอะไรเลย ความเป็นชีวิตก็ไม่มี ความเป็นร่างกายก็ไม่มี ความรู้โลกก็ไม่มี ความเป็นสรรพสิ่งอะไรก็ไม่มีมันมืดไปหมดมันโต่งไปหมด..มันไม่ใช่ ให้รู้ว่าสิ่งที่มีนั้นคือกิเลสตัณหาอุปาทาน นั่นละ อันนี้คือ เจตนาของศาสนาพุทธ อ่านรู้กิเลสตั้งแต่หยาบ กลาง จนละเอียดให้ได้ ให้หมดเกลี้ยง จบกิจแล้ว สู่แดนธรรม…ในระดับที่ยังมีทิฏฐิกันอยู่ในเรื่องรูป อรูป สิ่งที่เราพูดกันคือ มานะทิฏฐิ คืออรูป หากออกจากตรงนี้ไม่ได้ก็ทะเลาะกัน คือไม่ได้ยึดกับฝ่ายดับหรือเกิด แต่พร้อมไปได้กับทุกฝ่าย รู้ว่ามันเป็นไปตามปฏิจจสมุปบาท พ่อครูว่า…เจ้าทิฏฐิ บาลีว่าอย่างไร? อาตมาเห็นใจตัวเอง..ยากจริงหนอ คืออาตมาทำงานอธิบายบรรยายธรรมะ อาตมาเข้าใจทั้งความมีและความไม่มี เข้าใจสภาวะ 2 ในโลกที่คุณเองคุณเป็นคนที่ยังไม่ตาย พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ตาย พระโพธิสัตว์ตั้งแต่ระดับ 5 ขึ้นไปเป็นอรหันต์ขึ้นไปหรือระดับ 4 ขึ้นไป เป็นพระอรหันต์แล้ว จะรู้จักคำว่าเทวธัมมา ธรรมะ 2 มันมีทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นสภาพ 2 เป็นธรรมะ 2 ทั้งนั้น ก็เพราะว่าในความเป็นคนมันมีจิต กับ กาย กาย กับ จิต ในสัตว์ที่เป็นชีวะ ศาสนาพุทธที่จะต้องเข้าใจคำว่าการให้ได้ว่า เมื่อใดไม่เป็นกาย และไม่เป็นกายในเมื่อนั้นเป็นอุตุธาตุไปแล้ว เมื่อใดไม่เป็นกายแต่ยังไม่เป็นอุตุธาตุ เป็นพีชธาตุ ในชีวิตในร่างกายเรานี่แหละ แม้แต่จิตก็เป็นพีชะ มันละเอียดไปจนถึง หากคุณเข้าใจถึงความไม่รับรู้สึกเวทนา ไม่มีความรู้สึกเลย ไม่รับความเจ็บปวด กระทบเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร เอาไฟมาจี้ก็เฉย คือดับเวทนาด้วยวิธีสมถะ ยังทำได้เลย แต่มันเป็นเรื่องเกินธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ฝืน ทุกรกิริยา เกินไป ทีนี้เมื่อไม่มีกาย เป็นอุตุธาตุ แม้ไม่มีกายเป็นพีชธาตุ ทีนี้มีกายเป็นจิตธาตุหรือจิตนิยาม ต้องรู้คำนี้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณแยกกายไม่เป็นเลย เมื่อใดไม่เป็นกาย เมื่อใดไม่เป็นกาย แต่ยังเป็น พีชธาตุ เมื่อใดไม่เป็นกายเลยแน่นอน เป็นจิตนิยาม แล้วก็อยู่กับกาย ไม่เป็นกายแต่อยู่กับกาย โดยไม่ได้รังแครังคัดความเป็นกายความเป็นสอง คุณเป็นรูปนามความเป็นกลางความเป็นจิต แต่กายกับจิตนั้น เป็นกายที่สมบูรณ์แบบแล้ว เป็นกายที่ไม่มีกิเลสแล้ว เป็นจิตที่ไม่มีกิเลสแล้ว ทั้งกายทั้งจิต แต่อยู่ในภาวะของกายก็รู้ อยู่ในภาวะของจิตก็รู้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มีสภาวะจริง และทำสภาวะนั้นได้จริงๆ นี่คืออรหันต์ คนมาถามว่า ทำไมอาตมาประกาศว่าตัวเองเป็นอรหันต์ อาตมารู้ได้อย่างไร ก็อธิบายอยู่นี่แหละ ที่อธิบายคือความรู้ของอาตมาทั้งนั้น แล้วตรงกับพระพุทธเจ้ามั้ย มาเปิดตำราพระไตรปิฎก อ้างอิงกินกันเลย ว่าอาตมาอธิบายผิดจากพระไตรปิฎกหรือไม่ ในชีวิตที่อาตมาเกิดมานี้ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามากลับมาสถาปนาลงไป ในวงการศาสนาพุทธ ที่มันได้เสื่อมโลกุตรธรรมไม่เหลือแล้ว ไม่ได้พูดใส่ความนะ แต่ท่านจะไม่ยอมรับหรอก ขออภัย เพราะท่านไม่มีปัญญารู้ว่า ที่อาตมาพูดนี้ถูก แล้วท่านจะยึดสิ่งที่ผิดอยู่แล้วท่านไม่รู้ตัวแล้วจะหลงยึดอย่างนี้ไป แต่ถ้าผู้ใดเกิดฟังอาตมาแล้วฉุกคิดขึ้นมา ได้สติ ว่าเราหลงผิดมานานเชียวหรือ โพธิรักษ์มาพูด มันเข้าท่าเว้ย ถ้าผู้ที่เกิดจิตใจอย่างนี้อาตมาอนุโมทนา สาธุ เออ..ดี ซึ่งอาตมาก็ทำ ถ้าจะว่าหวังก็หวัง หวังจะเกิดขึ้นอย่างนี้แหละในคนชาวพุทธ เพื่อจะได้เกิดลักษณะที่เป็นลักษณะนี้แหละ คือ อัญญธาตุ คือธาตุ โลกุตรธรรม ถ้าคุณกิดอัญญธาตุ คุณจะเป็นโกณฑัญญะเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ พระอัญญาโกณฑัญญะได้เกิดเป็นพระโสดาบันแล้ว พระพุทธเจ้าท่านหยั่งรู้จิตของคนได้ ขออภัยอาตมาไม้ได้ยกตนเท่าพระพุทธเจ้า แต่อาตมาเอาธรรมะพุทธเจ้ามาพูด เมื่ออาตมาพูดอธิบายธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า คุณฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่าเข้าท่าชัดเจน เมื่อนั้น อัญญธาตุเกิด ขออนุโมทนาสาธุด้วยอย่างยิ่งเลยใครเกิดอย่างนี้ แต่ถ้าใครฟังหรือยังต้านยังขัดแย้ง ก็ขอแสดงความสงสาร จริงๆ อาตมาสงสารคุณอย่างยิ่งเลยที่ไม่รู้จะทำอย่างไร คุณจะดักดานกันไปอีกนานเท่าไหร่ ขออภัยไม่ได้ว่าไม่ได้ด่าคุณหรอก แต่มันน่าสงสาร อาตมาถึงไม่หมดคามหวัง ทำงานแล้วมีผู้ฟังที่เข้าใจอย่างพวกคุณมาได้ คนที่ไม่ได้ก็เริ่มมีมาเรื่อยๆที่ได้ อาตมาจึงไม่ยอมตายง่ายๆ พยายามดันสุรัง ไม่ได้ดันทุรังนะ นี่พูดเรื่องจริงนะ นับวันจะมีเรื่องอะไรลึกซึ้งที่ออกมาพูดให้ฟังอีก ทุกวันนี้อาตมานอนหัวถึงหมอนก็จะเป็นการชุมนุมกับเทวดา meeting ทุกวันทุกเวลา ยิ่งแตะพระไตรปิฎกแต่ละเล่ม มันสุดยอดมันละเอียด เป็นธรรมรสที่เลิศกว่ารสใดๆ ยิ่งกว่ารสทุเรียน ลำไย ตำส้มแซบ มันเป็นรสที่ควรรับ ไม่เหมือนรสที่ดูคนเตะบอล ดูคนเต้นแรงเต้นกา สมณะฟ้าไท… Category: ศาสนาBy Samanasandin9 สิงหาคม 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630807_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ นานาสังวาสอโศกประกาศแยกตัวจากเถรสมาคมNextNext post:630810_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 3Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024