630816_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ การเมืองอย่างไรเป็นประชาธิปไตยแท้
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1HlK98drO2vix3S8REXEvV_aIw_j4T1l5l2BojxYmOl8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1G-spzSJfxpIrcDBx29GHteoiMT-GoV4-/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://www.youtube.com/watch?v=bZYnTHEQ9fo&feature=youtu.be
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2563 ที่อุบลราชธานี
พ่อครูว่า…เรามาโอภาปราศรัยกับ sms
_แก้วตะวัน พวงบุปผา : น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ จากวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์สำคัญที่เป็นมงคลต่อประเทศไทยและสังคมชาวพุทธ คือ
-
เป็นวันแม่แห่งชาติ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรัก เทิดทูน บูชา กตัญญูรู้คุณ
-
พ่อครูได้รับรางวัลสาขาสันติภาพจากประเทศเกาหลีใต้ ในวันแม่แห่งชาตินี้ด้วย ซึ่งลูกอโศกทุกคนยกให้พ่อครูเป็นแม่ทางจิตวิญญาณ ให้กำเนิดลูกๆทางจิตวิญญาณนับเป็นพันเป็นหมื่น ดำรงชีวิตสุขสงบสันติแต่สมบูรณ์ไปด้วยความขยันและสมรรถนะ
3.ชาวอโศกเป็นที่ยอมรับของสังคมภายนอกแล้ว ไม่ใช่ประเทศไทยแต่ดังไกลถึงต่างประเทศ เรียกเป็นภาษาสมัยนี้ว่าโกอินเตอร์แล้ว เรียนถามพ่อครูว่า เราจะตั้งรับอย่างไรดีถ้าคนกรูเกรียวเข้ามาหาสันติภาพเป็นที่พึ่งในอโศกคะ…กราบนมัสการขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…จะตั้งรับอย่างไรก็มาก่อนเถอะ เขาก็ยังไม่ฉลาดจะรู้ถึงรายละเอียดของสันติภาพ แต่ก่อนนี้ตั้งไว้ สันติภาพจะมีองค์ประกอบถึง 5 กระบวนการ
อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
และ 5 ภาพนี้ จะมี สุนทรียภาพ กับ สุญญภาพ เป็นคู่เทวะ เป็นคู่หูที่เป็นแก่นแทรกเสริม ร่วมจัดการ เป็นจุดสุดท้ายในความเป็นคน จุดสุดท้ายที่สูงสุดจะต้องมี 2
ความเป็นคน เป็นจิตนิยาม มันเรียก 1 ไม่ได้ ถ้าทำตัวเป็น1 อยู่เป็น1 จะไม่เกิดการสังเคราะห์สังขารไม่เกิดประโยชนเกิดทุกข์เกิดโทษอะไรปลอดภัยที่สุด 1 นี่
ถ้ามันไปรุกรานใคร ก็เกิด ถ้าไปรักใครก็เกิด 2 ถ้าไม่ไปรักใครไม่ไปทำร้ายใครมันก็เป็น 1 เป็นตัวของมันอันเดียวไม่เกิดปฏิกิริยาอะไร เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งที่เป็นหนึ่ง เป็นจิต เป็นธาตุรู้ที่เป็นอัตตาตัวเรา เราก็จะรู้สึก ในห้วงคิด จินตนาการของเรา มันจะเป็นไปจะบ้าแค่ไหนไม่บ้าแค่ไหนก็ไม่วุ่นวายกับใคร นอกจากมันจะสั่งสม ใส่ในสัญญาความจำ สะสมได้เรื่องดีก็เป็นดี สะสมความคิดไม่ได้เรื่องมันก็เละเทะ เสียพลังงานไม่เข้าท่าเปล่าๆ อะไรไปเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นคนที่รู้แล้วก็ไม่เอาไม่คิดฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดไปในเรื่องที่เรารู้ว่าเป็นเรื่องกิเลสก็ไม่เอา คิดแล้วมันก็จะต้อง กรรมเป็นอันทำแม้จะเป็นมโนกรรม ทำให้เกิดความทุกข์ แต่มันไม่บอกคุณ ถ้าหากอาตมาไม่บอกก็ไม่ชัดเจน อาตมาบอกก็จะรู้ขึ้นมาบ้างก็ชัดเจนขึ้น
เพราะฉะนั้นคนที่ห้ามความคิดไม่ให้คิด เพราะเขารู้ว่ามันเป็นโทษ เพราะเขาไม่รู้รายละเอียดที่จะทำได้ดียิ่งกว่านั้น เพราะฉะนั้นชาวนักปฏิบัติธรรมสาย บื้อทื่อ ก็เลยหยุดคิด ให้นั่งเฉยๆ บื้อ ใครว่าอะไรก็เฉยๆๆ ทำได้ มันก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ก็อยู่กับ 1 ตัวเดียว ไม่ตอบโต้อะไรก็สบาย ก็อยู่กับหนึ่งนี้ไม่ตอบโต้อะไร ใครจะอย่างไรก็ตาม มันก็เท่ากับหินก้อนหนึ่ง มันไม่ตอบโต้อะไรใคร แม้แต่พืชมันก็ไม่ตอบโต้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ในระดับพืชก็ยังไม่ตอบโต้ยังไม่เป็นภัยอะไรกับใคร แต่ถ้าเป็นจิต ตอบโต้นะ จิต ตั้งแต่เซลล์เดียวมันก็ตอบโต้มันสู้ได้ มันก็เอาตายเลยนะ
สู่แดนธรรม..สันติภาพเป็นภาวะที่ใครๆก็แย่งชิงไม่ได้เพราะเป็นสภาวะที่ต้องสงบต้องหยุดต้องทำเองที่ตัวเอง
พ่อครูว่า..ใช่ความสงบที่อธิบายเป็น 1 อย่างนี้ไม่มีใครแย่งของใครได้ แต่สันติภาพของพระพุทธเจ้าไม่ใช่แค่ 1 นะมันเป็น 2 นอกจาก 2 แล้วยังมีเหตุปัจจัยที่เป็นอิทัปปัจจยตา เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนอย่างเป็นระบบลึกซึ้งซับซ้อนเป็นพลังงานรวมมาให้แก่ แกน1 ยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นนอกจากจะเป็นอิสระเสรี เป็นภราดร ที่มีมวลมารวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันเป็นเชื้อเดียวกันเป็นกลุ่มเดียวกันเป็นพี่เป็นน้องเดียวกันแล้วสนิทสนมกันอย่างไม่มีภัยต่อกันแล้ว มันยังรวมกันเป็นพลังงานรวมสร้างสมรรถภาพ สร้างบูรณภาพขึ้นไปอีก ไม่มีจบง่ายๆ
แม้ถึงขนาดขั้นสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว สมรรถภาพก็ยังไม่จบ บูรณภาพก็ยังไม่จบ อย่างนั้นก็สร้างไปได้เยอะมาก สร้างไปก็เกินก็เฟ้อไปอีก ขนาดที่ท่านมีแล้ว กระจายให้แก่คนเอาไปใช้ก็ยังใช้ไม่หมดแล้ว ใช้ไม่ทันท่านแล้ว ห่างท่านเยอะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่มีใครไล่ทันหรอก ห่าง มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะไล่พระพุทธเจ้าทัน มันไม่มี ห่างจนเชื่อมั่นเชื่อได้เลยว่าไม่มีใครที่จะมีสิทธิ์ ในกัป ไม่รู้กี่กัปนี้
สมณะฟ้าไท…ขนาดพ่อครูเป็นโพธิสัตว์ ระดับ 7 ก็ไม่มีใครไล่ทัน
พ่อครูว่า…อาตมาก็มองตัวเองเป็นจริงอย่างที่ท่านฟ้าไทเข้าใจหรือไม่ มันเป็นจริงไหมว่าอาตมาเป็นอย่างนี้ แต่ทำไมเขาไม่รู้นะ เขาก็รู้แต่ทำไมเขาไม่รู้อย่างที่เราบอก เราอธิบายสาธยายจนแย่ เหนื่อย ทำงานมา 50 กว่าปีแล้ว ทำไมเขาไม่รู้นะ เขาก็ฉลาด ทำไมเขาไม่รู้ เราก็ทบทวนไอ้ที่เรารู้มันดีจริงหรือเปล่า อาตมาว่าก็ไม่มีอะไรจะตรวจสอบนอกจากพระไตรปิฎก ตรวจสอบมันก็ตรง ก็พระไตรปิฎกคำเดียวกัน ประโยคเดียวกัน วลีเดียวกัน
กายเป็นต้น บุญเป็นต้น สมาธิก็คงเข้าใจได้ง่ายกว่า กายก็ยากกว่า บุญก็ยาก ทำไมเขาเข้าใจอย่างเราไม่ได้ เอามาอธิบายให้พวกคุณฟัง กาย มันเป็นอย่างนี้นะ บุญมันเป็นอย่างนี้นะก็เข้าใจกัน กายก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองที่มีคุณสมบัติสำคัญ แต่มันไม่มีฤทธิ์มาก แต่ว่าบุญมีฤทธิ์มากเพราะมันมีฤทธิ์ฆ่ากิเลส เพราะว่าบุญมันมีปัญญาในตัวของมันเอง มันแยกกันไม่ได้ ปัญญานี้มันมารวมกันตั้งแต่ฌาน
บุญนี่เป็นตัวยิ่งใหญ่ตัวสุดท้าย ถ้าเป็นระเบิดปรมาณูก็เป็นระเบิดปรมาณูคุณภาพขั้นสุดท้าย เมื่อระเบิดตูมแล้วมันก็หาย ไม่มีพลังงานที่เหลืออยู่เลย ถ้าระเบิดปรมาณูระเบิดแสดงอำนาจสูงสุดจบ พลังอำนาจที่ใหญ่สูงสุดนั้นมันไม่เหลือ หมดหายไปแล้ว ก็เหลือแต่พลังงานความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหลืออยู่ ตกค้างอยู่ ดีไม่ดีก็ยังเป็นพิษเป็นภัยต่อมนุษย์อยู่กับร่างกายมนุษย์ได้เป็นกัมมันตภาพรังสีอะไรพวกนี้อย่างนี้เป็นต้น
สัจจะของพระพุทธเจ้ามีความหลากหลายที่จะเอาไปใช้ ทุกวันนี้คนมีความรู้พลังงานทางวัตถุ เอามาสร้างสิ่งที่มนุษย์อาศัย ตั้งแต่สร้างเป็นปัจจัย 4 สร้างบริขาร บริขาร 7 เดี๋ยวนี้มีบริขารเป็นล้านแล้ว แต่พวกเราใช้ไม่ถึงล้านหรอก แต่คนข้างนอกล้านก็ไม่พอ เขาจะต้องเอาอีก พวกเรามีความขยันก็เอามาทำ ส่วนพวกขี้เกียจก็เอาแค่เอาตัวรอด
คำว่า สันติภาพ นี้จึงไม่ใช่ง่ายๆ จะต้องทำความเข้าใจกันไปให้ดีๆ ซับซ้อนลึกซึ้งมาก สันติภาพเป็นสภาพ Static ไม่ใช่ Dynamic ลึกซึ้งมาก องค์ประกอบอื่นเป็น Dynamic พวกอิสระ เสรีภาพ ภราดรภาพ บูรณภาพ แต่สันติภาพเป็น Static
คนที่พอรู้จักชาวอโศกก็น่าจะเป็นแสน แต่ไม่สนใจก็มีเยอะพวกคนที่เห็นว่าบ้าบอ ดีไม่ดีเขาเห็นว่าเป็นพวกที่มาทำลายไม่ใช่แปลกเท่านั้น แต่ว่าเป็นลัทธิทำลาย แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะพวกเราแข็งแรง เขาก็ทำลายอะไรเราไม่ได้มาจัดการอะไรเราก็ไม่ได้ ลึกๆถ้าเขามีปัญญา เฉลียวฉลาดก็จะรู้ว่าก็มันไม่ได้ทำลายอะไรโลก แต่บ้าๆบอๆ ก็ปล่อยมันเถอะช่างมันเถอะเขาก็เลยปล่อยเราไว้เราก็ทำไป เขาปล่อยไว้ก็ดีแล้ว ส่วนใครจะมาปราบปรามมันก็น้อยลงแล้ว เพราะว่าเราเองเราทำงาน ยิ่งมีการประพฤตินานไปคนจะรู้มากยิ่งขึ้นว่าเราไม่ใช่เป็นตัวร้าย จะรู้มากขึ้นเรื่อยๆจริงๆ ไม่ต้องกลัวว่าศัตรูจะเกิดขึ้นอีก ศัตรูจะไม่เกิดขึ้นอีก มีแต่ผู้ที่เข้าใจเพิ่มขึ้น แต่มิตรที่จะเข้ามาสนิทสนมนั้นก็คงจะต้องรอ เขาไม่รู้ชัดเจนได้เร็วนักหรือมากนัก ต้องนานไปหน่อย
ของเรามีทรัพย์คือสมรรถนะและความขยัน อาจจะชำนาญและเก่งหลายด้านด้วยนะในคนคนหนึ่ง แต่มันทำได้ทีละอย่างทีละด้าน ทำได้เหมือนกันแต่ไม่ดี ต้องทำทีละด้าน เหมือนกับสุนทรภู่บอกว่า รู้แต่เพียงอย่างเดียวแต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล
ทรัพย์ของมนุษย์คือสมรรถนะและความขยัน อาตมาว่าอันนี้เป็นของอาตมานะ ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ไหมอันนี้ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าอาตมาเองเป็นผู้ที่เข้าใจเองว่าอันนี้เป็นทรัพย์ที่แท้ของมนุษย์ สมรรถนะหรือความสามารถ กับความขยัน มันเป็นนามธรรมอยู่ที่จิตวิญญาณเรา ขยันทำเมื่อไรก็เกิดผลที่จิตเราก็จะมีปัญญากำกับเราไม่ไปทำสิ่งที่เป็นอกุศลสิ่งที่ไม่ดีงามเราไม่ทำ เพราะฉะนั้นทำเมื่อไหร่ก็มีแต่ยังกุศลให้ถึงพร้อม(กุสลัสสูปสัมปทา) ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วพระพุทธเจ้าระบุไว้ชัดเจน คนนี้รับรองได้ กรรมที่ทำต่อไปจะเกิดก็มีแต่กรรมดี เราไม่ทำกรรมร้ายเด็ดขาดเลย เป็นหลักประกันยืนยันได้เลย ถึงจะเป็นของจริง แต่ถ้าคุณยังทำร้ายได้อยู่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ พระอรหันต์จะไม่ทำ ขนาดพระโสดาบันก็ไม่ทำแล้วอนาคามีรับรองว่าภายนอกไม่ทำร้ายใคร ยิ่งเป็นพระอรหันต์ เป็นตัวรับรอง ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ทำอะไรบางทีเหมือนจะไปทำร้ายเขา
อย่างพวกเราไปทำอะไร ไปลงสนามรบปฏิวัติรัฐบาล โอ้โห งานใหญ่นะไม่ใช่งานเล็ก ปักหลักเลย เป็นปีเลยนะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยรวมแล้วเป็นปี รวมหลายช่วงเพราะหลายรัฐบาล รวมแล้วก็เป็นปี ไปนอนอยู่กลางถนน เราไม่ได้ออกป่าไม่ใช่สนามรบในป่า ใช้อาวุธคือความสงบ ใช้อาวุธคือความจริง มีความจริงกับความสงบเป็น 2 อาวุธใหญ่ ความจริงมีเท่าไหร่ก็ไขความจริงออกมา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆ หมดๆ ความจริงมันก็ชนะความไม่จริง เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่
แล้วความสงบนี้มันชนะความรุนแรง อันนี้มันเป็นปาฏิหาริย์ เป็นสิริมหามายา เป็นความซับซ้อน ที่มันพูดเล่นลิ้นหรือเปล่า.. เอาความสงบสยบความรุนแรง ผู้ที่มีอำนาจเป็นความรุนแรงไปสงบเขาได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ สิ่งอย่างนี้แหละเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ของโลก ซึ่งเกิดในจิตมนุษย์ เพราะฉะนั้นเป็นกลุ่มมนุษย์ดีที่ทำได้ ถ้าเราไปปฏิวัติรัฐประหารอย่างนี้ในสังคมคน ทึ่มๆโง่ๆบ้าๆบอๆ พวกเราตายหมด พวกมันจะมากกว่า สังคมคนที่ยังโง่มากๆ นี่แสดงว่าประเทศไทยฉลาด ส่วนใหญ่เข้าใจมาเข้าร่วม ไม่มีปฏิกิริยากับพวกเราเท่าไหร่ ก็มีแต่ผู้ที่เป็นศัตรูตรงๆมาทำร้ายเรา ซึ่งก็ทำร้าย เขาจะทำร้ายจริงๆได้ยิ่งกว่านี้ ระเบิดเขาก็ยิง ปืนเขาก็ยิง แต่มันก็เป็นเรื่องซับซ้อนลึกลับ มันเหมือนลึกลับ แต่มันมาจากเหตุปัจจัย
คือพลังงานพิเศษที่เป็นกำแพงไร้สภาพกั้นอยู่ ให้เขาทำได้เท่านี้ อันนี้ก็ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไรอธิบายว่ามันเป็นบารมี ซึ่งบารมีอันนี้ บุคลาธิษฐาน พระพุทธเจ้าทรงดำเนิน แต่องคุลีมาลวิ่งไล่ ไล่อย่างไรก็ไม่ทัน ท่านก็ทรงพระดำเนินไม่ได้ทรงพระวิ่ง
เพราะฉะนั้นกำแพงไร้สภาพที่เรามองไม่เห็นนี้ มันจะมี คนวิ่งแต่เราเดิน ต่อให้วิ่งอย่างไร ๆ ก็ไม่ทัน เห็นความลึกซึ้งซับซ้อนของนามธรรมที่ยิ่งใหญ่ มันคิดไม่ได้เป็นเรื่อง อจินไตย คิดไม่ออกหรอก จะมาพูดด้วยหลักวิทยาศาสตร์ มันจะยาวเลย เป็นภาวะของพลังงาน คุณเห็นด้วยตาว่าท่านเดิน แต่ ก้าว ที่ท่านเดินนี้ท่านเดินข้ามมหาสมุทร มันจะมีความพิเศษ เหมือนกับหนังจีนที่เขาทำ
แต่คนเห็นนี่จะเห็นเท่านี้ แต่ความเป็นฤทธิ์อำนาจ ปาฏิหาริย์มันยิ่งไปกว่านั้น อธิบายไปหานามธรรมจะง่ายกว่า อย่างเช่นความคิด มันก็ความคิดเหมือนกันคุณกับอาตมาก็ความคิดเหมือนกัน 2 + 2 เป็น 4 … 4 + 4 เป็น 8 เหมือนกันทุกคน แต่ที่ทำไมท่านบวกได้เร็วบวกได้มาก ท่าน + 2 แล้วก็ไปเป็นหมื่นแล้ว เราเพิ่งจะบวกได้ 8 ได้ 10 แต่ท่านไปเป็นหมื่น เห็นไหม มันมีทั้งความเร็วทั้งความคล่อง ทั้งสิ่งที่ซับซ้อน บวกลบคูณหารกันอยู่ในนั้นอย่างคิดไม่ออก เราทำไม่ทัน อย่างนี้เป็นต้น
ก็เพิ่งเริ่มต้นไม่มีปัญหาอะไรหรอก พวกเราหลายคนสะดุด ว่าทำไมให้ต่างประเทศเห็นคนไทยทำไมไม่มีใครฉลาดเห็น ความสำคัญอันนี้ ว่าเป็นผู้ที่สร้างสันติภาพจนต้องมาให้รางวัล แล้วสันติภาพนี้เป็นสิ่งที่เกิดมาให้แก่โลก แล้วคนไทยมีคนฉลาดเยอะแยะแต่ทำไมไม่เห็น
นิมนต์จิบน้ำ
ส.ฟ้าไท…จิตวิญญาณพระโพธิสัตว์เมื่อเกิดขึ้นมาจะมีผลต่อองค์รวมทั้งหมด
พ่อครูว่า…มีอันหนึ่งอาตมาได้พระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์ ที่พระปฐมเจดีย์ ตอนบิณฑบาตกลับพอดี ก็มีผู้หญิงมาใส่บาตร เขาก็เอาเงินมาใส่ เราก็คืนเงินเขา แล้วเขาก็บอกว่าเจอแล้ว แค่นั้นเขาก็รู้แล้ว เขาเอาเงินใส่บาตรเราก็เอาคืนไป เราก็ทำอย่างจริงใจของเราไม่ได้ทำเล่นลิเก เมื่อเราคืนเขาก็สะดุด เขาก็บอกว่าเจอแล้ว เจออะไร? เสร็จแล้วเขาก็ควักออกจากกระเป๋าหิ้วของเขา เป็นกล่องพลาสติกใส่ทอง เขาว่าเขาเก็บไว้รอให้คนสำคัญ
เราก็ยังไม่เปิดดู เราก็ไม่รู้ว่าเป็นทองคำ เป็นแหวนเพชรอะไรหรือเปล่า อยู่กลางถนน จะไปดูมันก็ไม่งาม ถ้าเป็นลูกระเบิดก็ระเบิดใส่เรา พอมาถึงที่แล้วก็เปิดดู โอ้โห พระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์ มีภาพถ่ายไว้ก่อนจะบรรจุ พอมาถึงที่สนามใต้ต้นมะขามใหญ่ พอนั่งสักประเดี๋ยว 1-2 ชั่วโมง แผ่นดินไหว มันไม่เป๊ะเลยทีเดียว เอาเล่าไป อันนี้ความจริงก็เล่าสู่ฟังเท่านั้นเอง
_กราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุและเจริญธรรมญาติธรรมทุกท่านค่ะ
พอโควิดซาลงคนไทยก็เริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ตอนนี้ข้อเรียกร้องชัดเจนว่า คิดจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเดียว โดยมีนักการเมืองที่คิดการใหญ่หนุนหลัง อีกทั้งมีอาจารย์ 110 ท่านสนับสนุน เป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษาและสถาบันครอบครัว …ยังโชคดีของประเทศไทยที่มีผู้บริหารประเทศที่ชื่อว่านายกประยุทธ์ รู้สึกอุ่นใจและเชื่อมั่นว่าประเทศไทยไปรอดแน่นอนค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาก็เชื่อมั่นเหมือนกัน ใครจะหวั่นไหวก็ห้ามไม่ได้ อาตมาเชื่อ ไม่มีปัญหาอะไร ประชาธิปไตยคืออะไรเป็นการใดคืออำนาจหรือพลังฤทธิ์เดชติดแรกเป็นพลังอำนาจอันที่เป็นเดชเป็นแดงของประชาชนประชาธิปไตยประชาธิปไตยคืออะไรคือของประชาชนอย่างไร แต่มันก็จะเกิดคลื่น
ประชาธิปไตยคืออะไร ประชาธิปไตยอย่างไร?
ประชาธิปไตยคือ อำนาจหรือพลังหรือฤทธิ์เดช ฤทธิ์แรง ของประชาชน
คืออย่างไร? อำนาจของประชาชนก็คือ อำนาจที่มีฤทธิ์มีแรงของประชาชนรวมกัน แล้วไปแสดงอำนาจนั้น แล้วอำนาจนั้นเรียกว่าชนะ ไม่แพ้นะ ถ้าแพ้ไม่ใช่ประชาธิปไตย
แต่อำนาจชนะนั้น ถ้าชนะด้วยความรุนแรง ด้วยหอก ด้วยปืน ด้วยระเบิด เขาเรียกว่า ประชาธิปไตยเก๊ จึงชื่อว่าใช้อำนาจเผด็จการแรง ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย ฟังดูดีๆนะ ตัวนี้เป็นตัวไขความ
แล้วรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เป็นรัฐบาลอย่างไร?
ประชาธิปไตยจริงๆแล้วคือความเป็นอำนาจของประชาชนที่เป็นอำนาจที่ดี อำนาจที่ไม่รุนแรง อำนาจที่สงบเรียบร้อย อำนาจที่เสียสละ อำนาจที่ถึงขั้น เขาฆ่า ก็ไม่ตอบโต้ ไม่อาฆาต นี่ถึงขนาดนั้นเลย จิตจริงไม่อาฆาตไม่ตอบโต้เลย
เพราะฉะนั้นในการปฏิวัติ หรือรัฐประหารที่เมืองไทย ประชาชนได้ทำมาแล้วตั้งแต่ปฏิวัติรัฐบาลทักษิณ ปฏิวัติรัฐบาลสมัคร ปฏิวัติรัฐบาลสมชาย ปฏิวัติรัฐบาลอภิสิทธิ์ ปฏิวัติรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ทำหมด และเป็นแกนหลักด้วย แกนหลักของเราไม่ได้อยู่นิ่งหรอก เดี๋ยวก็มีมากเดี๋ยวก็เหลือน้อย แต่อยู่เป็นแกนเลย ก็พวกเรานี่แหละเป็นแกน เดี๋ยวก็เหลือน้อยเดี๋ยวมาก มากจนกระทั่งเป็นล้านหลายล้าน ถึงเวลาน้อยก็เหลือน้อย ถ้าหากมีอีกเราก็ออกไปประท้วงอีก ไปประท้วงแต่ละครั้งใช้ความสงบสยบชนะเท่านั้น ที่ตายนั้นไม่ใช่พวกเราเลยที่จะใช้ความรุนแรงก็ใช้อาวุธ ที่ตายนั้นเป็นพวกที่เป็นรัฐบาลเลวร้ายเป็นคณะของรัฐบาลเลวร้ายทั้งนั้น พวกของรัฐบาลเลวร้ายทั้งนั้น ที่ทำให้คนตายขึ้นมา
ทีนี้พอสงบจบ พอชนะเสร็จ ยังไม่สะเด็ดทีเดียว อำนาจรัฐบาลทักษิณก็ใช้นอมินีตั้งแต่สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ใช้อำนาจตัวแทนมาตลอด เราก็ต้องออกไปแสดงการปฏิวัติโดยประชาชน ทุกรัฐบาล ชนะ แต่มันไม่สะเด็ดน้ำ ก็เลยยังไม่มีตัวรับไม้ตัวสุดท้ายที่จะทำ เมื่อถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อำนาจของทักษิณขาด ให้นิวัฒน์ ธำรงบุญทรงไพศาล เป็นคนรับหน้าเสื่อแต่อำนาจทางนิตินัยนั้นเขาขาดไปแล้วด้วย เพราะประชาชนปฏิวัติเสร็จเรียบร้อย เป็นสิ่งใหม่เป็นหัวเจาะ เป็นประเทศแรกที่ได้ประชาธิปไตยที่สะอาดบริบูรณ์ ซึ่งเป็นอำนาจของประชาชน ทำการปฏิวัติด้วย บุญญาวุธ เพื่อความสงบด้วยความจริงเป็นอาวุธใหญ่ เอาความจริงมายืนยันจนกระทั่งยอมจำนน กับความสงบที่ไม่ไปทำร้ายตอบเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก คนที่มีปัญญาถึงจะพอเข้าใจ อำนาจนี้คนมีปัญญาก็จะรับรู้ว่าเป็นอย่างนี้เหรอ อำนาจของความสงบมีฤทธิ์เดชขนาดนี้เชียวหรือ เป็นฤทธิ์เดชความจริงจะเอาชนะความไม่จริงได้ขนาดนี้เลย ความจริงเอาชนะความไม่จริงได้อย่างนี้เชียวหรือ เพราะเป็นประเทศที่มีในหลวงเป็นประธาน เพราะฉะนั้นสงครามนี้ การปฏิวัตินี้ นี่คือความสำคัญของในหลวง
แน่นอนในหลวงเข้าข้างประชาชน ประชาชนเข้าข้างในหลวง ผู้ที่ปฏิวัติไป คุณจะใช้อำนาจของทักษิณ คนก็ดูว่าเขาจะตั้งตัวเป็นกษัตริย์หรือประธานาธิบดี ทักษิณชนะไม่รู้ว่าจะตั้งระบอบไหน ยังไม่มีใครรู้ แต่มาถึงวันนี้ก็บอกได้ว่าเกิดไม่ได้แล้ว
สรุป การปฏิวัติอันนี้ นักศึกษาประชาธิปไตยจะศึกษาวิจัย จะทบทวนความจริงอันเป็นฟีโนมีนอน ตั้งแต่พศ. 2549 ถึง 2557 ผู้มารับไม้ต่อก็เป็น คสช.ทำตามหน้าที่ไม่ได้เอาระเบิดเอาอาวุธออกมาปฏิวัติ ก็แค่บอกว่าผมขอยึดอำนาจ ไม่ได้ใช้อำนาจทหาร แต่ว่ามันติดที่ตัวพลเอกประยุทธ์เคยมีอำนาจเป็นผบ.ทบ. แต่ไม่ได้ใช้อำนาจนั้นมายึด มันก็ยากนะ เป็นสิริมหามายา เลยไม่ยอมรับเป็นสากล
ผู้ที่เจริญแล้วก็จะรู้ว่า การชนะสงครามที่รบด้วยปุญญาวุธ มันยิ่งกว่าการใช้อำนาจอาวุธทหารสมัยเจงกิสข่านหรืออเล็กซานเดอร์ มันตกยุคแล้ว คนมันเจริญมากเลย คนเราไม่ต้องทำร้ายกันหรอก เอาความจริงออกมา เอาความเจริญความประเสริฐของมนุษย์มาเป็นเครื่องชี้บ่งยืนยันว่าเป็นผู้ชนะเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ควรจะยกไว้ ไม่ใช่ไปใช้อำนาจบาตรใหญ่ อำนาจความรุนแรงแบบสัตว์เดรัจฉานอย่างนั้นที่ใช้เขี้ยวใช้งาใช้กำลังข่มขี่ กดดันกัน มันไม่ใช่ เอาสัจจะความจริง เอาความดี ความเสียสละ ความเอื้อเฟื้อเจือจานเกื้อกูล เลี้ยงดูช่วยเหลือ เอาอำนาจพรหมธรรม อันนี้สิยิ่งใหญ่ ผู้มีอำนาจเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นคนที่รักมนุษยชาติ อธิบายไปก็คืออำนาจพระเจ้านั่นแหละ เขาก็เข้าใจ พระเจ้าเป็นผู้ดีสูงสุด แล้วนี่คนจริงๆแสดงบทบาทได้จริง ส่วนพระเจ้าไม่เคยเห็นแสดงบทบาทเลย ประวัติศาสตร์ของศาสดาของแต่ละศาสนา ศาสดาแต่ละศาสนาก็เสียสละเหมือนกัน มีการรบราฆ่าฟัน มีการฆ่าแกงกัน มีการทำร้ายกันขนาดไหน สุดท้ายตัวพระศาสดาเองเสียสละพระองค์เอง จึงยิ่งใหญ่ เหมือนศาสนาคริสต์ นอกนั้นก็รองลงไปมีผู้ช่วยอะไรไปตามแต่ แต่ก็มีคำสอน มีความรู้ มีทฤษฎีที่จะทำให้ประชาชนเป็นอยู่เจริญ ประเสริฐดี ก็ต้องมีความรู้ความจริงอันนั้น ในทุกพระศาสดา ถ้าไม่มีก็เป็นศาสดาไม่ได้
อาตมาสะสมความถูกต้องความดีจะไปเป็นศาสดาในอนาคต ซึ่งอาตมาก็เดินตามแนวศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนศาสดาที่เป็นเทวนิยมนั้นอาตมาไม่พูดดีกว่า อย่างนั้นอาตมาเข้าใจผ่านพ้นมา ไม่เอาเสียเวลา เพราะว่ามาอย่างนี้มันอีกรอบนึงเลย มันเหนือชั้นกว่าอย่างโน้น มาเอาอย่างนี้ดีกว่า อาตมาก็พามาทำ แม้แต่ในชาตินี้ก็พาให้เห็นว่าเรารบด้วยความสงบด้วยมือเปล่า รบด้วยการเสียสละ ตายเป็นตาย โดยไม่ตอบโต้เลย
เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว ประชาชนแสดงอธิปไตยชนะแล้ว แล้วพลเอกประยุทธ์เข้ามารับไม้ต่อ มารับไม้ เชื่อมต่อจากประชาชน แล้วก็ทำหน้าที่ต่อไป เป็นผู้บริหาร และก็บริหารเข้าตาประชาชนด้วย จนกระทั่ง อยู่ไปตั้งแต่ยังไม่มีการเลือกตั้ง เขาก็ตราไว้ ว่าเป็นเผด็จการทหารตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้ง เพราะเขาเข้าใจว่าการเลือกตั้งนี่คือประชาธิปไตย ซึ่งพวกประชาธิปไตยขาเดียวมีความรู้ตื้นๆ เขาก็บอกว่าประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง เพราะมันแสดงพฤติกรรมประชาชนมาแสดงความเห็นมาหย่อนบัตร เอาคะแนนมานับใครชนะ บอกว่านี่ไงเสียงของประชาชนตั้ง เป็นอำนาจประชาชนตั้งผู้นี้ ถ้าไม่มีประชาชนไปเลือกตั้งเขาก็บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเขาเข้าใจแค่ตื้นๆอย่างนี้ ไม่ไปดูที่พฤติกรรมจริง
นักประชาธิปไตยที่ชนะเลือกตั้งและบริหาร คุณภาพคุณสมบัติคุณธรรม สารัตถะแท้ๆในการบริหารคุณเนี่ย มันเข้าข่ายอีกหลายประการเลย มันเป็นการบริหารแบบ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้ความขี้โลภ สะสม ได้ประโยชน์ทุนรอน ฉันจะต้องใหญ่ต้องรวยต้องเป็นหนึ่งเหมือนกับโดนัลด์ทรัมป์พูดดีและประชาธิปไตยอย่างนั้นนะมันตกยุคแล้ว ไม่ ไม่เอาแล้ว มีเงินมากกว่าก็ไม่ต้องอยากได้ อย่างในหลวง ร.9 ตรัสไว้ชัด มาจนไม่ต้องไปแข่งเลยแค่นั้นยางหลังยางหน้ารั่ว ทรัพย์สินเงินทองมาเป็นของตัวของตน หรือแม้แต่เป็นประชาธิปไตยที่เห็นแก่ประเทศชาติของตนเท่านั้น ประเทศชาติของตัวเองต้องใหญ่ต้องรวยต้องเป็นที่หนึ่ง เหมือนกับที่โดนัลด์ ทรัมป์พูดนี่แหละ ประชาธิปไตยอย่างนั้นมันตกยุคแล้ว ไม่เอาแล้ว จะมีเงินมากกว่าก็ไม่ต้อง
อย่างในหลวง ร.9 ตรัสไว้ชัด มาจนๆนี่แหละ ไม่ไปแข่งอย่างนั้น ก็มันจะเสื่อมอย่างถอยหลังน่ากลัว เพราะฉะนั้นแม้แต่เงินไม่เอามากกว่าเขา ยิ่งมีปืนยิ่งมีอาวุธยุทธภัณฑ์ยิ่งไม่เอา แต่ในหลวงไม่ทรงตรัสเรื่องนี้เท่านั้นเอง
สรุปเข้าเป้าอีกทีว่า พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่นักเผด็จการ ไม่ได้เอาอำนาจทหารมาปฏิวัติ แต่ประชาชนปฏิวัติ พลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อ ขอยืนยัน การปฏิวัตินี้เป็นการปฏิวัติของประชาชน ไปศึกษากันเถอะ นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายเอ๋ย
ประชาชนจะไปเข้าใจอย่างไร ทักษิณเขามีอำนาจมีด มีปืน มีระเบิด แต่อำนาจประชาชนเขาไม่ได้ก็จะไม่เข้าข้างเขา แต่เขาหลงตัวว่าเขามีกำลังประชาชนมาก เขาก็ขี้โม้ว่าพวกเขามาก แต่ประชาชนมือเปล่า แต่พวกคนมีอำนาจทางรัฐบาล ฆ่าคนก็ได้ ฆ่าพวกกบฏไม่มีความผิดด้วย แต่ของไทยมันเป็นกบฏไม่ได้ มันไม่ใช่กบฏ มันเป็นผู้ชนะไง ผู้แพ้ถึงเป็นกบฏ ในประเทศไทยก็เมตตา ให้คุณอยู่ข้างนอกตายเอง ถ้าไม่ใช่พุทธศาสนาไม่เหลือแน่ เหมือนอย่างคิมจองอึน แม้แต่พี่ชายก็ถูกฆ่า ถูกตามฆ่า นี่คือหลักฐานที่อาตมาไม่ได้พูดลอยลมแต่เป็นจิตมนุษย์เท่านั้นที่ทำ แต่เมืองไทยไม่ทำ เมืองไทย ถึงบอกว่ามีความกรุณา มีความปรานี มีความยิ่งใหญ่
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…พ่อครูว่าทำแบบยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ
พ่อครูว่า…มีหลักฐาน โบรชัวร์ ป้าย คนไทยน้อมใจร่วมถวายฎีกา ไปถวายก็ไม่ได้รับอะไรกลับมา ป้ายเวทีเรามี สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น
ไม่มุ่งแพ้ชนะ – ไม่รุนแรง – ไม่หยาบคาย
เพื่อยกระดับการต่อสู้ขึ้นสู่…“วิถีอาริยชน”
-
ปรัชญาการชุมนุม ได้แก่ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น
-
ยุทธวิธีการชุมนุม (รูปแบบการชุมนุม)
-
สุภาพ สงบ และเรียบร้อย
-
ไม่มีความรุนแรง
-
เสนอ ความรู้ และ ความจริง
-
ไม่หยาบ
-
ไม่ผิด
กล่าวคำแรง เสียงดัง เท่าใดก็ได้
เป้าหมายของการชุมนุม
-
ไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่ มีปริมาณการแสดงออกเป็นประชาธิปไตย
-
แสดงคุณภาพของความเป็น ประชาธิปไตย (จิตที่มีธรรมะ)
-
เพื่อมาแสดงสิทธิ์ร่วมชุมนุม ยืนยันอำนาจอธิปไตยของมวลประชาชน
-
ไม่มุ่งหมายชนะหรือแพ้ ให้ความรู้ความจริงเป็นตัวตัดสิน
-
เอาวิถีชีวิตความเป็นสาธารณโภคีมาแสดง(มีทรัพย์สินเป็นของส่วนกลางให้ทุกคนต่างร่วมกินร่วมใช้ได้)
ก็ทำให้ประชาชนคนไทยลึกๆในจิตว่าอันนี้คือความถูกต้อง อันนี้คือความดีงามและ อันนี้คือประชาธิปไตย ไม่มีความรู้เป็นภาษาพยัญชนะบัญญัติ แต่ลึกๆมันรู้ว่าอย่างนี้แหละใช่ จะเรียกว่าอะไร ประชาธิปไตย มันยังไม่มีภาษาอย่างนี้ เป็นแค่ ปฏิฆสัมผัสโส ยังไม่ใช่อธิวจนสัมผัสโส ยังไม่มีชื่อเรียก มันเป็นสภาวะปฏิฆสัมผัสโส มันเป็น Action Reaction ที่เกิดผลให้เห็นว่าอย่างนี้แหละ ปฏิฆสัมผัสโสเท่านั้นเอง
ส่วนการแพ้ชนะมาวิจัยกันอีกที ว่าการชนะนั้น คนดีหรือคนชั่วชนะ ซึ่งปัจจุบันก็ตอบได้ว่าคนดีชนะ
ส่วนเรื่องของสาธารณโภคี ขอสารภาพว่ายังอธิบายให้กว้างขวางออกไปไม่ได้ เราเอาชีวิตของสาธารณโภคีไปแสดง พอจะจำได้ไหมว่าเราพยายามจะสร้างโครงสร้างขึ้นที่สวนลุมพินี จะทำให้เป็นสังคมสาธารณโภคี มีความเป็นอยู่ กินอยู่หลับนอนในนั้นเลย แล้วอยู่ในนั้นเป็นสนามรบหมดเลย ทั้งคนแก่ คนเฒ่า เด็กเล็ก อยู่ในนั้นหมดเลย ซึ่งเป็นการสร้างโมเดลของสาธารณโภคีขึ้นให้ดู เราไม่เรี่ยราย แต่มีคนบริจาคมา เสร็จแล้วแล้วก็กระจายเลี้ยงดูกัน เกื้อกูลกัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือทุกอย่าง แล้วแต่ความรู้ความสามารถ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่มีอะไรเป็นเรื่องลึกลับ ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีมากมายอะไร ก็อาจอาจจะมีเครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยีบ้าง ในการสื่อสารเท่านั้นเอง เป็นเรื่องใหญ่ อย่างอื่นไม่ค่อยมี ยิ่งจะใช้เป็นอาวุธยุทธภัณฑ์เทคโนโลยีรุนแรงที่ต้องไปปราบไม่มีเลย มีคนแอบมาทำระเบิดปิงปองแทรกก็ถูกจับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง นี่เป็นเป้าหมายการชุมนุม
เราใช้คำว่า Neo protest อาตมาก็เป็นคนใช้คำศัพท์นี้ ตอนนั้นยังเลือกเลยว่าจะใช้คำว่า New หรือ Neo แต่อาตมาใช้คำว่า Neo protest ทั้งแผ่นนี้ อาตมาบัญญัติทั้งนั้น
NEO PROTEST
ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงคราวนี้ จะไม่ยั่วยุไม่ทำให้เกิดความรุนแรง เหมือนคานธีท่านใช้สัตยาเคราะห์แบบนี้
จนกระทั่งกอบกู้ประเทศชาติได้เรามุ่งเอาความจริงกับความรู้ออกมาตีแผ่เปิดเผยเป็นหลัก เอาความจริงความถูกต้องที่เป็นหลักฐานแท้ว่ามันจริงอย่างงั้น ไม่จริงอย่างงี้ ก็จะถูกเอามาเปิดเผยให้มากๆ หมดๆ
นี่คือยุทธศาสตร์ใหญ่ของเรา ที่จะยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆหมดๆ
เราก็จะได้เป็นคนมีความรู้ ทำอะไรอย่างอาริยชน เป็นคนศิวิไลซ์ ซึ่งไม่ใช่คนเถื่อนๆที่เอาแต่เรี่ยวแรงมาฆ่าแกงกัน คนผู้ประเสริฐแล้ว ถ้าจะชนะกันก็ชนะกันด้วยความถูกต้อง หรือความจริง ผู้ใดมีความถูกต้อง มีความจริง นี่คือหลักฐานการเมืองใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยแทบแท้ 10 ประการที่อาตมาบัญญัติไว้ 10 ข้อเขียนป้ายตั้งไว้ที่กลางสนามนั่นแหละอยู่ที่เป็นที่จะอยู่กับเรามาเข้าพิพิธภัณฑ์ไว้ก็ดี ดอนเมืองใหม่อุดรอธิบายมีเวลาอีก 3 นาทีขอโทษทีแล้วกัน กว่าก็ชนะตามสัจธรรม ซึ่งจะมีทั้งตุลาการภิวัฒน์ และประชาภิวัฒน์เป็นผู้ตัดสิน ในสังคมประชาธิปไตยนั้น ประชาชนแต่ละคนมีอำนาจ(อธิปไตย)ของตนเต็มๆ หนึ่งคนหนึ่งเสียง ร้อยคนก็ร้อยเสียง หมื่นคนก็หมื่นเสียง ล้านคนก็ล้านเสียง เป็นตัวจริง เห็นกันชัดๆเลย อันนี้แหละเป็นเรื่องประชาธิปไตย ที่ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอธิปไตยออกมาแสดงตัวให้ปรากฏ ประชาชนท่านใดที่เห็นด้วย ก็ขอให้ออกมาชุมนุมกัน ขอให้มาแสดงคะแนนเสียงความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเราจะมีแผนก ลงทะเบียนกรุณามาบอกชื่อบอกหลักฐานด้วย เราจะได้บันทีกลงไว้ เพื่ออภิวัฒน์ประชาธิปไตยไทย ให้เจริญรุ่งเรือง
การเมืองใหม่ที่เป็น ประชาธิปไตยแท้ๆ 10 ประการ ที่ก็ยังไม่มีเวลาจะอธิบายมากขึ้นก็แอบไว้ก่อนตามนั้น และต้องสอนหรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน ประชาชนชาวไทยต้องใช้ใจขนขวายเรียนรู้
-
งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล มีปัญญา
-
นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
-
นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น)
-
นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว
-
นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
-
นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน
-
งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ
-
นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)
-
นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม(นักการเมืองต้องเป็นอาริยบุคคลหรือเป็นอรหันต์)
-
งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยไม่ใช่งานเพื่อตัวเราเพื่อครอบครัวเพื่อหมู่พวกเพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาชนทั้งมวลเพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเองพ้นไปจากครอบครัวพ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจากพรรคของตน