630902_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทย เจริญไปอย่างจันทร์โอชา
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1CBLyYoC0qobvHQgnESpqgNMM-cQc9G_BPmBzEhkikcg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/13qAOirYsoxhizjpO2eHZRvWZMfcbOq4X/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/2Gv3nlr-Uhk
สมณะฟ้าไท..วันนี้เป็นวันพุธที่ 2 กันยายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีข่าวลูกสาวนายกฯตู่ออกมาชี้แจงว่าเหตุที่ไม่มีรูปอะไรออกทางอินเทอร์เน็ตเลยเพราะว่าตัวเองไม่ต้องการจะใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นลูกนายกรัฐมนตรี พวกเราเองอยู่กับพ่อครู พ่อครูเทศน์สอนเกือบทุกวัน ท่านเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มีเป้าหมายช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์และจะเจริญไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เราเป็นลูกโพธิสัตว์ ก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 5 ไล่ไป
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 31 ส.ค. -1 ก.ย. 2563
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · เด็กชาวอโศกน่ารักมากครับ / ต้นแบบพ่อครูคือพระพุทธเจ้าครับ ผิดถูกขออภัยครับ
ไสยศาสตร์ และรสอร่อยไม่มีจริง
_เมตตา โพธิสุทธิ์ · พ่อครูคะ ไสยศาสตร์มีจริงหรอคะ เมื่อก่อนดิฉันไม่เชื่อ คิดว่าเป็นเรื่องหลอกลวง
พ่อครูว่า…อย่างนี้ อาตมาถามคืนไป คุณว่า คำโกหกนี้มีไหม มี มีคนโกหกอยู่ แต่คำโกหกเป็นความจริงหรือไม่จริง…ไม่จริง
ไสยศาสตร์ก็มีอยู่จริงสำหรับคนที่ติดยึดก็ปล่อยให้เขามีไป แต่คนที่สามารถรู้แจ้งแทงทะลุ ว่าไสยศาสตร์ก็คืออุปาทาน อุปาทานก็มีจริงด้วย อย่างของอร่อยนี้คุณติดของอร่อยเช่นอันนี้ส้มโอมันมีรสอร่อย นั่นก็คืออุปาทานของคุณ จนกว่าคุณจะศึกษาฝึกฝนจนกระทั่งรสอร่อยมันไม่มีจริง รสของส้มโอมันก็เป็นรสส้มโอ ใครกินก็มีรสเดียวกันเป็นสัจจะเดียวกัน แต่ที่อร่อยหรือไม่อร่อย นี่ชอบไม่ชอบ นี้มันเป็นของปลอม หากทำให้ของปลอมหายไปหมดก็เหลือแต่ของจริงอันเดียว
เพราะฉะนั้นไสยศาสตร์มีจริง แปลว่าไสยศาสตร์ไม่จริงกว่า แต่คุณยังไปติดยึดไสยศาสตร์คุณก็ติดไป คุณยังไปติดรสอร่อยอยู่ก็ยังติดไป คนที่หมดแล้วก็ไม่มีแล้วก็จบ ก็สบายเบาว่างกว่าที่คุณจะต้องไปแสวงหาคุณจะต้องไปเสียเวลาอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องได้ คุณไม่ต้องมีแล้ว ก็ว่างสบายเบา ไม่ต้องมีอะไรหนักเลย ใช่ไหม มันก็ไม่ง่ายนะ
_Somkiat Prom สมเกียรติ พรหม · กราบนมัสการท่านครับ คนไม่มีบุญวาสนา ไม่สามารถเห็นธรรม แม้เห็นก็ไม่เข้าใจ แม้เข้าใจก็ปฏิบัติไม่ได้ แม้ปฏิบัติได้ก็ชั่วคราว ก็ต้องเพียรฟังธรรม พ่อท่าน สมณะ สิกขมาตุ และชาวอโศก ต่อไปและต่อไป ด้วยยินดี ศรัทธา สาธุครับ
พ่อครูว่า…ใช่ อย่างที่คนเขาไม่เห็นอาตมา อาตมาเป็นโพธิสัตว์แต่เขาไม่เห็น แม้แต่เขาเห็นเขาก็ไม่เข้าใจ แม้จะเข้าใจแต่เขาก็จะไม่ปฏิบัติตามได้ ถึงแม้ปฏิบัติตามก็ปฏิบัติตามได้ชั่วคราว มีหลายชั้น
ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งผู้แพ้
_ชมรมถ่ายภาพ ดิจิตอล ภาคใต้ · รัฐบาล คสช ดีหรือท่าน / ท่านคิดอย่างไร รัฐบาล คสช นี้เอื้อต่อบางศาสนา รุกใส่ศาสนาพุทธอย่างผิดปกติ
พ่อครูว่า…คนนี้เขาก็มีมุมมองของเขาอย่างนี้เนาะ ที่เห็นก็เห็นจริงว่า รัฐบาลนี้ก็ดี ดีกว่ารัฐบาลที่เคยมีมา จนอาตมาบอกว่าใน 29 รัฐบาลที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ดีที่สุดเดี๋ยวนี้ก็ยังดี แม้จะมีเรื่องราวที่ตีรวน มีเรื่องราวอะไรอีกเยอะแยะก็ตาม มันก็เป็นธรรมชาติของคน ที่มีกิเลส แย่งอำนาจ ยังหลงตนเองว่าเก่ง ว่าดีกว่า เข้ามาเป็นนายกแล้วจะดีกว่านายกคนนี้ มันก็เป็นธรรมชาติของกิเลสของคน เป็นธรรมดา เราก็ทำไป ตามหลักเกณฑ์ของประชาธิปไตยมันมีอยู่แล้ว ก็ดำเนินไปไม่มีปัญหาอะไร
ทีนี้คนๆนี้มองว่า คสช.นี้เอื้อต่อบางศาสนา รุกใส่ศาสนาพุทธอย่างผิดปกติ อันนี้ซับซ้อนลึกซึ้ง ผู้ที่มีมารยาท ผู้ที่เป็นผู้ดี จะมาดุลูกของเราแต่จะเอื้อต่อลูกคนอื่น คนนี้ว่ามาก็ถูก ก็จะมาว่ามาดุลูกเรา แต่ลูกคนอื่นก็จะเอื้อเขาก็ถูกแล้ว โดยเฉพาะยิ่งคำว่าศาสนา เราจะไปรุกทำไมศาสนาอื่น ต้องเอื้อเขา เราก็รุกศาสนาเรานี่แหละ
เช่น เราเองไปรังเกียจเดียดฉันท์ข่มเบ่งทำอะไรให้ศาสนาอื่นเขากระเทือนหรือว่าไม่ดีไม่งาม ก็อย่าเลย ขอตอบตัวจบ ศาสนาพุทธนั้นคือศาสนาแห่งผู้แพ้ อาตมานี่เป็นพุทธ เป็นผู้แพ้มาตลอดจึงอยู่ได้สบาย เราเป็นผู้แพ้นะ แพ้ชนะเป็นโลกียะ แต่เราอยู่ในฐานของความถูกต้องความจริงตามภูมิธรรมของเรา
ภูมิธรรมของเรา เราเห็นว่าอันนี้แหละถูก คนที่เขามาขจัดเราก็ต้องเห็นต่างจากเราใช่ไหม ถ้าเราแน่ใจว่าอันนี้ถูกก็ยืนยันของเรา เราจะแพ้อย่างไรเราก็ยืนอยู่กับถูกนี่แหละ เขาจะชนะอย่างไรก็ชนะไปแต่เขาผิด คุณยิ่งทำไปมากคุณก็ทำผิดไปมากๆ เราทำถูก คุณจะมา กดข่มห้ามกั้นเราไม่ให้เราทำถูก แต่เราทำถูก มันเสียตรงไหน? มันยิ่งทำให้ผิด เขานี่แหละยิ่งผิดยิ่งบาปร้ายเสียหายเพราะมาต้านกั้นความถูกทำไม นี่คือความสิริมหามายาว่า เขาไม่มีไหวพริบเพียงพอ
1.เขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองผิด 2. แม้จะรู้ตัวแต่ก็ไม่ยอมผิด 3. เอาเถอะ แม้จะผิดจะถูกอย่างไร ข้าก็จะต้องทำอย่างนี้ เพราะไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มีที่ยืน เขาก็ต้องทำ อัตตาของเขาไม่ยอม ที่จะหลบไปเลยแพ้ไปเลย เขาไม่มีที่ยืนเขาก็ไม่เอา เหมือนกับทักษิณ
สู่แดนธรรม..เรื่องศาสนาอื่นมารุกรานไม่ต้องเป็นห่วงครับ เขาไม่ถึงเนื้อได้
พ่อครูว่า..เรามีเนื้อแท้เป็นสูญเลย ตรงที่ไม่มีตัวตนเลย รับใช้เพื่อคุณ เสียสละเพื่อคุณให้คุณไปหมดเลย แล้วคุณจะมาเอาอะไรจากเราอีก หือ? ถามหน่อย เห็นไหม มันสุดแห่งที่สุดเลยนะ มันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว มีแต่ดีอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วมันหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นความไม่มีตัวตน ความเสียสละ ความมีปัญญา ยิ่งรู้ชัดเจนว่าอะไรคืออะไรจบเลย มันไม่มีเปลี่ยนแปลง มันไม่มีสับสน ไม่มีเหลาะแหละอะไรเลย มันเปรี้ยงๆตรงๆอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นคุณคนนี้มองดีๆ ศึกษาดีๆ
จะบอกว่าวิธีการรุกใส่ศาสนาพุทธแต่เอื้อต่อศาสนาอื่น มันก็ไม่ผิด มารุกใส่สิ ให้เราอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ก็เกื้อกูลเสียสละแท้ให้ได้ ใครจะชนะก็เอาไปเลยก็ไม่เป็นไรไม่เป็น
จัดการวิบากมีแต่ต้องทำไปตามลำดับ
_นภารัตน์ อิ่มรัง · น้อมก้มกราบพ่อท่านเคารพพ่อท่านสูงสุด..เคารพพ่อท่านด้วยจิตวิญญาณ.เคยปฏิบัติธรรมแล้วตกร่วง.ตอนนี้จะกลับมาภาระเยอะมากทำไมวิบากเยอะ.
พ่อครูว่า..ทำไมเยอะ เพราะคุณสั่งสมมาเยอะ ถ้าไม่มีมันไม่มาหรอก สัจจะไม่มานั่งหลอกลวงทำสิ่งไม่ดีไม่ถูกต้องหรอก สัจจะของวิบากจะมาตามธรรม
หากภาระมาเยอะ ก็เอาอันไหนที่ปลดภาระได้ก่อนก็ทำก่อน เรียงลำดับให้ดี จะจัดการไปตามลำดับ ไม่มีอะไรดีกว่านี้หรอก ขณะที่คุณเผชิญ ภาระอะไรบ้าง จัดลำดับให้ได้ก่อน แล้วมันก็จะจบไปๆ อย่าไปท้อแท้ เรื่องกรรมวิบากอย่าท้อแท้ เป็นแต่เพียงเราผลัดผ่อนไปก่อน เหมือนกับที่จะซื้อเรือดำน้ำก็ผลัดไปก่อน เราก็ต้องรู้จักกาละเวลาเหตุแวดล้อมอะไรทุกอย่าง น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง อย่างนี้เป็นต้น
หากสัจจะมีหนึ่งเดียวจะไม่แย้งกันเลย
_Narisa Sakonthawat นริสสา สากลธวัช: ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเมตตาต่อกันเเละกัน มีความกตัญญู มีความเป็นอัตลักษณ์ของไทยๆ น่าภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย / คนไทยรับข่าวสารไม่ตรงกัน ทั้งๆที่อยู่ในประเทศเดียวกัน
พ่อครูว่า..คนไทยรับข่าวสารตรงกัน แต่จิตที่เป็น Concept ของแต่ละคนมันมีทิฐิมันมีความเห็น มีความยึดถือความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน มันก็ต้องขัดแย้งกันมันเป็นสัจจะ สัจจะมันมีแยกแตกกันก็เป็นไปได้ เป็นธรรมดา เรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็สุดวิสัยก็จบท่านถึงสรุป ว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว เรื่องอื่นไม่ต้องเอามาพูดเลย มันขัดแย้งกันได้หมด มันเป็นโลกจินตา มันแย้งกันได้หมด เพราะฉะนั้นสัจจะมีหนึ่งเดียวคือเรื่องของนิพพาน คือการหมดกิเลส กิเลสของคุณหรือของใครก็เหมือนกันหมด เหมือนของตัวเองเป็นตัวร้ายให้ตัวร้ายนี่หมดจบสูญ อันนี้นั่นแหละตรงกันหมดเลยนี่ จึงเป็นสัจจะมีสัจจะอันนี้อันเดียว สัจจะอันนี้อันเดียวที่สุด พิสูจน์พิสูจน์ให้ได้สูงสุดเป็นพระอรหันต์จบเลย อย่างอื่นไม่ถือเป็นสัจจะ อย่างอื่นเป็นหมื่นเป็นพันเป็นแสน สัจจะมีหนึ่งเดียว
_Boonyakorn Pattanasattaporn บุญญกร พัฒนสถาพร · นายกฯท่านมีศีลห้า ประเทศไปได้สวย
พ่อครูว่า..ถูกต้องเลย ผู้ที่บริหารปกครองที่มีทศพิธราชธรรม มีศีล 5 เป็นหลัก ไปรอด
_มิตรชัย เวยสาร · ขอหนังสือครับ มิตรชัย เวยสาร รพ.พังโคน อ.พังโคน จ.สกลนคร 47160
_Darunee Intanil ดารุณี อินทนิล · อยากได้หนังสือที่พ่อครูชูให้ดูในรายการ โสเหล่โลกุตระ เมื่อวันจันทร์ ต้องทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า..บอกชื่อที่อยู่มา ดังนี้
……ผู้ที่มีความประสงค์ จะรับหนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 1 แจกฟรี กรุณาติดต่อที่ ใบแก้ว ชาวหินฟ้า โทร. 086 486 7868 หรือท่านที่สะดวกทางไลน์ กรุณาแจ้ง ชื่อ – ที่อยู่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ ที่ชัดเจน ได้ที่ ไลน์ ไอดี : 086 486 7868
นิวรณ์ 7 หรือ นิวรณ์ 5 อย่าติดยึดเพียงภาษา
_น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพและเทิดทูนบูชายิ่งค่ะ
ขอเรียนถามดังนี้ค่ะ
1.ในหนังสือสัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์ภาค 4 หน้า 118 ย่อหน้าที่ 3 “อรติ” เป็นนิวรณ์ข้อที่ 7 เป็นอันตรายแก่ตัว “พระอนาคามี”และโลก เพราะอาการไม่ชอบใจนี้ไม่ก่อให้เกิดการสร้างสรรอุปการะเกื้อกูล จึงเป็นอันตราย….
อยากทราบว่า นิวรณ์มีกี่ข้อกันแน่คะ เพราะเท่าที่ทราบมีเพียง 5 ข้อ? และอาการ “อรตินี้ ใช้กับพระอนาคามีเท่านั้นหรือคะ ส่วนปฏิฆะใช้กับพระโสดาบันหรือเปล่าคะ?
พ่อครูว่า..ได้ ปฏิฆะก็หยาบอยู่สำหรับพระโสดาบัน อรติ มันละเอียดขึ้นก็ใช้กับอนาคามี ถ้าคุณเข้าใจอาการคุณไม่ติดในบัญญัติภาษา ก็เอาสภาวะเป็นหลัก ถ้าคุณไปติดอยู่ที่บัญญัติภาษา คุณก็จะเถียงกันไม่จบ คนหลงติดบัญญัติภาษา จะไม่บรรลุธรรมได้ง่ายๆเพราะติดในภาษา อย่างที่ในสังคมศาสนาพุทธเรียนกันหัวผุหัวพัง เปรียญธรรม 9 เป็นดร.อะไรต่างๆนานาเยอะเลย ติดภาษา ไม่เข้าถึงสภาวะธรรม น่าสงสาร
เอาสภาวะธรรมก่อน ส่วนบัญญัติภาษานั้นมันเกิดที่หลังสภาวะ หลายอาจารย์ก็สลับกัน เมื่อยิ่งเป็นความรู้ที่ละเอียดเป็นสิริมหามายา ยิ่งสลับกันใหญ่ ในยุคหนึ่งแบบนี้ถูก อีกยุคหนึ่งแบบนี้ก็ถูก ตามกาละเทศะฐานะตามยุคสมัยที่จะเปลี่ยนไป คุณก็ต้องใช้ให้ถูก มันเอาอะไรเที่ยงไม่ได้ องค์ประกอบต่างกัน บริบทต่างกัน กาละเทศะฐานะต่างกัน อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นต้องมุ่งเข้าหาสภาวะ อย่าไปติดใจพยัญชนะว่าอย่างนี้ แล้วก็ หมวดธรรมคนนั้นคนนี้ยิ่งหนักใหญ่เลย พอบอกว่านิวรณ์ 7 ไม่มีหรอก มีแต่นิวรณ์ 5 แล้ว นิวรณ์ 7 ไม่ใช่ แต่สภาวะของคุณที่ไม่ชอบใจมีอยู่หรือไม่ คุณแยก ลิงคะ ปฏิฆะกับอรติออก แม้จะไม่ใช้พยัญชนะแต่สภาวะมันต่างกัน แล้วอ่านอาการมันออก ลักษณะมันไม่โล่งใจไม่ชอบใจมันยังมีอยู่อารมณ์ได้อยู่ คุณก็ทำได้ ถ้าไปหลงติดในพยัญชนะจะนาน……นานแล้วที่หลงพะวงมิหน่าย ถ้าไปหลงติดพยัญชนะ
-
อยากทราบที่มาของการตั้งชื่อ “บ้านร่ม”ของพ่อครูสมัยเป็นฆาราวาสน่ะค่ะ มีเหตุจูงใจอย่างไรคะ ?
พ่อครูว่า..อยากรู้อะไรกันนักกันหนา ไปไล่ที่มาของบ้าน เอ้า บำบัดความอยากรู้นะ ก็ถ้าเกิดว่าเราจะมีบ้านที่ร่มเย็นก็น่าจะดีกว่ามีบ้านที่ร้อนเร่าเท่านั้นเองไม่ยาก อาตมาเคยตั้งชื่อบ้านไว้ 2 ชื่อ สร้างบ้านไปหลังนึง หลังนั้นได้มาไม่ได้สร้างเอง ได้มาจากการเคหะเขาไปจัดสรรเราก็ไปจองมา เพราะเราไม่มีทุนมาก เราก็ไปขอซื้อจากรัฐบาล และยังผ่อนส่งอีกนะ ก็ได้มา ก็ตั้งชื่อว่าบ้านร่ม เสร็จแล้วก็ตั้งใจว่าจะต้องมีบ้านเป็นของตัวเองสร้างเองเป็นแบบไทย ซื้อโมเดลไว้เรียบร้อยเป็นแบบไทย เป็นเรือนไทย ตั้งชื่ออีกว่าเรือนรัก เป็นบ้านร่มเรือนรัก บ้านมีชานบ้านมา ด้านล่างก็เป็นสระน้ำใส เพ้อฝัน เสร็จแล้วออกมาบวชก็เลยไม่ได้สร้าง ก็ให้น้องสาวไป ตั้งแต่บัดโน้นจนถึงบัดนี้
ความรู้โลกจินตาไม่ต้องเสียเวลากับมัน
-
คำว่า “รุ้ง” ในทางธรรมะมีความหมายว่าอย่างไรคะ?
พ่อครูว่า..ก็เป็นแสงสีในท้องฟ้าเรียกว่ารุ้ง ก็บอกว่ารุ้งกินน้ำก็ชัดหน่อย เขาเรียกกันนะ ก็คืออันนี้ ภาษาไทยคำว่ารุ้งก็มีอันนี้ไม่เห็นมีอย่างอื่นมันก็มีอยู่ 7 สี จะถามว่า รุ้งมีความหมายในทางธรรมอย่างไร รุ้งนั้นมี 7 สี สีทั้ง 7 นี้ผู้ที่เรียนศิลปะมาก็จะรู้ดี มีสเปกตรัม แสงมันสะท้อนไปในปริซึมออกมาเป็น 7 สี ผู้เรียนเรื่องศิลปะก็จะไล่เรียงสีไป ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เอามาผสมสี จากแม่สีคือ เหลือง น้ำเงิน แดง ก็จะได้ 7 สี แล้วยังมีเฉดต่างๆแยกไปอีกเยอะ แม่สี 7 สีเป็นรุ้ง ก็แสดงถึงความหลากหลายเอาสีเป็นตัวตั้งในการรู้ เพราะฉะนั้นในอากาศในแสง คุณเอาสี 7 สี เขียนใส่แบบ หมุนรวมกันเลย เสร็จแล้วคุณหมุนให้เร็วเลยนะมันจะกลายเป็นสีขาว จะไม่เห็นสีอะไรเลยจะเป็นสีขาวหมดเลย หายไปหมดไม่เห็นสีอะไร เรื่องโลกจินตา อยากรู้มากก็จะรู้ไปเรื่อยๆไปอีกนานไม่จบ เอานิพพานดีกว่า อย่าไปเอาโลกจินตาเลย ไปอยากรู้อะไรเล็กอะไรน้อยอีกมาก อาตมาก็ไม่เก่ง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…ที่บ้านราชฯมีคนมาปลูกบ้าน แต่คนไม่ค่อยมาอยู่กัน
ทำเหตุปัจจัยอย่างใดจึงไม่เจ็บป่วยตลอดชีวิต
-
หากตั้งจิตว่าจะพยายามทำตนให้เป็นคนสุดยอด(เอตทัคคะ) ในเรื่องความไม่เจ็บป่วยเลยตลอดชีวิต พ่อครูพอจะมีหลักเกณฑ์หรือแนวทางปฏิบัติให้บ้างไหมคะ?
ขอรบกวนถามแค่นี้ก่อนนะคะ
ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะในความเมตตากรุณาอันหาที่เปรียบมิได้
“ NEO PROGRESS ”
พ่อครูว่า..ที่จะให้ไม่เจ็บป่วยเลยอาตมาก็ไม่เก่ง เพราะตัวเองก็ทำไม่ได้ ก็ต้องใช้ปฏิภาณตอบเท่านั้นแหละ ถ้าจะไม่ให้เจ็บป่วยเลย คุณก็จะต้องพยายามพากเพียรสะสมเหตุปัจจัยทั้งด้านสสาร พลังงานและจิตวิญญาณ ให้มันได้สมดุล ความเจ็บป่วยหรือการทำให้เกิดความไม่สมดุล ท่านตรัสว่าอวัยวะเจ้าการ มันไม่สมดุล มันบอกว่า ส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่องมันก็จะเกิดความไม่สมดุล หากว่ามันมีความสมดุลมันก็ไปได้คล่องตัวมันก็ไม่เจ็บป่วย ถ้ามีอะไรบกพร่องขึ้นมาเราก็เรียนรู้อย่าให้มันบกพร่อง ไม่บกพร่องอะไร ยิ่งทางการแพทย์ทางการโภชนา เขาก็เรียนมาเยอะ ทางสรีระ ส่วนทางจิตนั้นเรียนให้จบ มันจะมาในรูปไหน ลักษณะไหนเราก็ทำให้ 0 ได้หมด ไม่ทุกข์ไม่สุข มันจะมาแรงมาร้ายอย่างไรก็เฉยสบาย รู้ความจริงตามความเป็นจริง เราไม่ได้เป็นผู้ทำสิ่งเลวสิ่งร้ายก็พอแล้ว แต่ถ้าเราเป็นคนทำสิ่งร้ายคุณนั่นแหละเป็นตัวเหตุเป็นตัวการให้หยุดทำ ถ้าคุณไม่ได้ทำแต่คนอื่นเขาทำ คุณจะไปห้ามเขาได้อย่างไร คนอื่น วิบากใครก็ของใคร เขามาทำกับเราซะอีกมันก็เป็นวิบากของคุณ แม้แต่ชาติปางก่อนก็อาจทำมาแล้ว ถ้าอยู่ดีๆคนเราไม่มีเลยแล้ววิบากใหม่แล้วมันจะทำอะไรได้ ต้องมีเหตุมีปัจจัย อาจจะเป็นเหตุปัจจัยปัจจุบันนี้เลยได้ และคนที่ติดใจในเหตุปัจจัย เช่น มองอะไรวะ เราก็ว่ามองไม่ได้หรือ ก็สายตาเราผ่านพบ นิดหน่อยก็โอ้โห จะไม่ให้ผ่านสายตาหรือก็เป็น Invisible Man สิ ใครก็ไม่เห็นคุณ แต่คุณมีตัวอยู่ เราก็ต้องเห็นให้เห็นผ่านก็ไม่ได้ ทำไมถือตัวถือตนขนาดนั้น
5 ภาพแห่งความเป็นประชาธิปไตย
วันนี้อยากจะพูดเรื่องประชาธิปไตย นายกฯตู่ พลเอกประยุทธ์สมชื่อจริงๆรบไม่ถอย แล้วรบแล้วก็ได้รสดีเป็นรสโอชา โอชาดีด้วยนะ ไม่ใช่ตะวันโอชา แต่นี่ จันทร์โอชา ดี รบแล้วก็ได้รับรสโอชา ได้รับรสสบาย ระดับพระจันทร์ไม่ใช่ระดับตะวัน แสงจันทร์นวลสบายไม่ร้อนได้ความสว่างไสวดี อธิบายจากพยัญชนะไปสู่สภาวะที่เป็นนามธรรมลึกซึ้ง
ในยุคนี้อาตมาว่า ตอนนี้นายกประยุทธ์อายุเท่าไหร่แล้ว เอาน่าเป็นไปอีกสัก 10 ปี วางรากฐานให้ดีๆ เอาคำของพันตำรวจตรีประชา พูนวิวัฒน์ ก็แล้วกันเขาบอกว่า ทนอีกนิดเถอะน่า เขามีนิยายเรื่องหนึ่งชื่อว่า ทนอีกนิดเถอะน่า นิยายเขาบรรทัดละ 8 บาทนะ ข้อเขียนของประชา พูนวิวัฒน์ บรรทัดละ 8 บาทนะ
ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่นิจจัง แต่เป็นอนิจจัง ที่ตั้งอยู่บนฐานของ Status Quo คือสถานที่ที่ทรงอยู่ในปัจจุบันนั้นขณะนั้น แล้วอะไรเป็นเครื่องชี้บ่งความเป็นประชาธิปไตย คือ
-
อิสรเสรีภาพ 2.ภราดรภาพ 3. สันติภาพ 4. สมรรถภาพ 5. บูรณภาพ
5 ภาพนี่แหละ ซึ่งมีปรากฏการณ์ของการเสียสละถ้วนทั่วของสังคม เกิดพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ที่มีพฤติการณ์จริงดังกล่าวนี้ ยืนยันได้ นี่คือความเป็นประชาธิปไตย
อาจจะเป็นนิยามที่ยาวหน่อย ซึ่งองค์รวมของคำพูดคำอธิบายเมื่อกี้นี้ นิยามไปแล้ว องค์รวมของความจริงดังที่พูดไปเมื่อกี้นี้ สังคมไทย ประเทศไทยทุกวันนี้ มีจริงเป็นจริง เป็น status quo เมืองไทยเป็นตอนนี้
สู่แดนธรรม…ทำไมอิสรเสรีภาพต้องเป็นตัวแรกด้วยครับ
พ่อครูว่า…จำหมวดธรรมไว้สองอย่าง วรรณะ 9 กับสาราณียธรรม 6 สองอย่างนี้เป็นแก่นแท้เนื้อแท้ของมนุษยชาติ วรรณะ 9 นี้เป็นคุณธรรมส่วนตัว สาราณียธรรม 6 เป็นคุณธรรมส่วนรวม ถ้ามี 2 อย่างนี้ นี่แหละคือสุดยอดแห่งประชาธิปไตย
ในองค์รวม มีคุณสมบัติของสมาชิกสังคมนี้ ต่างก็มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วจะมี Concept เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความคิดองค์รวมจุดศูนย์รวมเป็นนิพพาน เป็นความไม่มีกิเลส เป็นความหมดตัวหมดตน เป็นต้น นี่คือทิฏฐิสามัญญตา แล้วก็มีหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ศีลสามัญตา เพื่อไปสู่ทิฏฐิ แล้วมี status quo จริงๆคือลาภที่ได้โดยธรรม เป็นสาธารณะ มาดูของจริงได้ที่ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชน มีสาราณียธรรม 6 นี้ เพราะคนในชุมชนชาวอโศกแต่ละคน สมาชิกแต่ละคน มีวรรณะ 9 มากบ้างน้อยบ้าง สมบูรณ์บ้างไม่สมบูรณ์บ้าง มีแน่นอน มากน้อยแล้วแต่
เพราะฉะนั้นคุณสมบัติของความเป็นจริงที่จะเกิดเป็นประชาธิปไตย จึงไม่ได้ตั้งอยู่โดยอะไรลอยๆ เลื่อนไปเลื่อนมาไม่มีหลักอะไร ไม่มีสิ่งอธิบายยืนยันไม่ใช่ แต่มียืนยันมีธรรมะยืนยัน เลย ว่าเมตตาคืออะไร ทางกาย ทางวาจา ทางมโน คุณธรรมที่เรียกว่าเมตตาคืออะไรและพฤติกรรมของความมีเมตตามีไหม จะเห็นได้ทางกายวาจาใจ คุณมาอ่านตรวจสอบให้คะแนนเลยว่า คนเหล่านี้มีพฤติกรรมจริงอย่างนี้หรือไม่ มีจริงคุณก็ให้คะแนน ถ้าไม่มีจริง คุณก็ใช้ปฏิภาณปัญญาของคุณว่ากันไป แต่ถ้าไม่ตามมันตรงกับสัจธรรมมันต้องมีแน่นอน มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนแล้วคือศีลสามัญญตา ของพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้หมดแล้วไม่ต้องไปบัญญัติเองเลย ทิฏฐิสามัญญตาจุดสุดยอดคือหมดกิเลสนิพพาน เป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่ได้เป็นเจ้าเป็นนายและไม่ได้รับจ้าง รับจ้างกับรับใช้ต่างกัน ประชาธิปไตย ของอเมริกาที่เป็นสาธารณสุข โดย Shop ความขยันมีความสามารถต่างคนก็ต่างทำงาน ผลผลิต ความรู้และแจกความรู้คำพูดคำบรรยายภาษามีความรู้และแจกเป็นภาษาเขียน ทุกวันนี้ผมเขียนลงไปในแผ่นกระจายกันไปให้รู้สึก การรับจ้างนั้นต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน แต่รับใช้ไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน แต่เป็นผู้ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลจริง นี่คือคุณสมบัติ คุณธรรม คุณวิเศษเลยของประชาธิปไตย
ทีนี้มาเข้า status quo ที่เป็น ลาภธัมมิกา เป็นสาธารณะ เรามีความขยัน มีสมรรถภาพทำงานแล้วมีผลผลิต ตั้งแต่ผลผลิตการสร้างความรู้แล้วเอาไปแจก จนกระทั่งถึงคำพูด คำบรรยายภาษามีความรู้ สมัยนี้ก็เขียนแล้วก็แจกจ่ายกันไปให้รับรู้เป็นสื่อให้รู้กันได้ คุณก็แจกเป็นสมบัติ แจกเป็นของให้กันได้ไม่ต้องซื้อต้องขาย ให้ เป็นสิ่งดีไม่มีสิ่งเลวร้ายมีแต่สิ่งยอดทั้งนั้นที่ให้ไป สิ่งไม่ดีเราไม่ให้ เราให้แต่ของดีกันจริงๆมันเป็นจริงของจิตใจนะ มีเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น สิ่งที่ไม่ดีเราไม่ให้เลยแล้วเราก็ไม่ทำสิ่งไม่ดีขึ้นมาด้วยหยุดเลยเลิกเลย
พ่อครูว่า…อิสรเสรีภาพของฮิปปี้ ของอันธพาล หมดกิเลส กับอิสรเสรีภาพของสัจธรรม
อิสระเสรีภาพของสัจธรรมคือผู้นั้นหมดตัวตน ผู้นั้นหมดกิเลส ไม่มีอะไรจะเป็นของตนเพื่อตน ไม่มีเลย ประชาธิปไตยนี้ข้อสุดท้ายที่อาตมาเขียนเอาไว้ ตั้งแต่ออกไปถนนราชดำเนิน ทั้งนั้นนะไม่ใช่เพื่อตัวเรา ไม่ใช่เพื่อครอบครัว ไม่ใช่เพื่อหมู่พวก ไม่ใช่เพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อประชาชน
ข้อ 10 ของนิยามประชาธิปไตย ที่อาตมานิยามไว้คือ งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยไม่ใช่งานเพื่อตัวเราเพื่อครอบครัวเพื่อหมู่พวกเพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาชนทั้งมวล เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเองพ้นไปจากครอบครัวพ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจากพรรคของตน
ผู้จะมีความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยโดยความหมายที่อาตมาพูดนี้หรือยัง เมื่อรู้ความหมายแล้วคุณเป็นจริงจิตใจของคุณเป็นจริงอย่างนี้ได้หรือไม่ มากน้อยเท่าไหร่คุณก็เป็นประชาธิปไตย ถ้ามีมากเท่าไหร่ก็เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเท่านั้น ถ้ามีน้อยก็เป็นประชาธิปไตยน้อยถ้ามีครบมีสมบูรณ์เป็นประชาธิปไตยเต็มสมบูรณ์
คำว่าอิสรเสรีภาพคือไม่เหลือตัวตน มันมีแต่เพื่อผู้อื่นหมดเลย แล้วไม่ใช่คนงอมืองอเท้า ไม่ใช่คนขี้เกียจขี้คร้านหมดสมรรถภาพ แต่มีด้วย จึงมีพลังงานเอาไปรับใช้ทำงานเพื่อผู้อื่นซึ่งเป็นคนผู้ประเสริฐ ทั้งพูดและทำไม่ใช่ดูดายงอมืองอเท้า คนอย่างนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่นิจจัง แต่เป็นอนิจจัง ที่ตั้งอยู่บนฐานของ Status Quo คือสถานที่ที่ทรงอยู่ในปัจจุบันนั้นขณะนั้น แล้วอะไรเป็นเครื่องชี้บ่งความเป็นประชาธิปไตย คือ
-
อิสรเสรีภาพ 2.ภราดรภาพ 3. สันติภาพ 4. สมรรถภาพ 5. บูรณภาพ
5 ภาพนี่แหละ ซึ่งมีปรากฏการณ์ของการเสียสละถ้วนทั่วของสังคม เกิดพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ที่มีพฤติการณ์จริงดังกล่าวนี้ ยืนยันได้ นี่คือความเป็นประชาธิปไตย
ทุกคนรู้ว่าเสียสละเป็นเรื่องดีไม่มีใครเถียงหรอก แต่เป็นแต่เพียงว่าเราจะสละได้หมดเนื้อหมดตัวไม่มีกั๊ก ใครเสียสละได้หมดเนื้อหมดตัวสุดยอด สรุปลงแล้วพระพุทธเจ้าขยายความสูงไว้ว่าก็มาเรียนรู้ที่ตนเองสร้างมาสร้างตนเองให้มีคุณสมบัติ 9 อธิบายไปแล้วนะ หมดเนื้อหมดตัวนี้หมายถึงว่าแม้คุณจะตาย คุณจะต้องตายชีวิตจะต้องตายเสียสละชีวิตให้ได้เลยนั่นแหละสุดยอด เพราะฉะนั้นคนที่มีจิตอย่างนี้ แล้วทำได้จริงอย่างนี้นี่แหละสุดยอดประชาธิปไตย ทำเพื่อมวลมนุษยชาติประโยชน์เพื่อความสุขรับใช้ โลกานุกัมปายะ
สรุปรวมแล้ว พระพุทธเจ้าขยายความไว้ว่า ก็มาเรียนรู้ที่ตัวเอง ต้องมาสร้างตัวเองให้มีคุณสมบัติ 9 หลัก 9 ข้อ
สรุปรวมที่สาธารณโภคี สาธารณโภคีคือสมบัติเป็นของกลางหมดเลยไม่ยึดเป็นของตัวตนและก็ใช้กับกองกลาง เท่าที่เราจะมีสิทธิ์หรือเท่าที่เขาจะให้ใช้ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา เขาให้ใช้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ต้องไปยึดถือ ถ้าเราทำได้จริงดีจริงเขาก็ให้เบิก ถ้าเขารู้ว่าคุณไม่ได้เอาไปเสียหาย โดยเฉพาะไม่ได้ไปบำเรอตนใครจะไปหวงไว้ คุณเอาไปใช้ก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้นเลย แล้วคุณทำได้อย่างไม่เสียของด้วยใครก็ต้องให้ทำ
ทีนี้ วรรณะ 9 นี้แหละ เป็นเครื่องชี้บ่งถึงมนุษย์แต่ละคน
วรรณะ 9
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
-
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
-
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
-
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙
-
ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
จิตแม้สะอาดแล้ว ก็ต้องรู้จักสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ที่เหมาะสม มันไม่เที่ยงต้องจัดสรรไปตลอดให้ตรงกับ status quo นั้นๆ
ทำตามหลักธูตะมีศีลต้นๆจนถึงอธิศีล คุณทำได้เคร่งครัด ก็เป็นปกติ ไม่โต่งอะไร
อาการที่ได้กาย วาจา ใจ คนที่มีภูมิปัญญาจะเห็นว่าน่าเลื่อมใส
ที่สุดยอดคือยอดขยันไม่สะสม 9 คุณสมบัติอันนี้ ผู้ที่ทำได้เท่าไหร่เป็นยอดนักประชาธิปไตยจริงๆเท่านั้น
พระพุทธเจ้าเรียนรู้แค่เรื่องคนกับสังคม ให้คนดีที่สุด ให้สังคมดีที่สุด นี่คือเทวะของคู่ตัวเรากับสังคม โลกกับอัตตา มีที่สุดจบไปเลย นี่สุดยอด
ผ่านมา 2,500 กว่าปีมานี้ ตั้งแต่อาตมาเริ่มปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง มา 50 ปีก็ได้เท่านี้ แต่มันเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ ดูเหมือนทำไมคุยตัวใหญ่โต จริงๆไม่ได้คุยตัวใหญ่โต แต่อาจจะมาคุยสัจธรรมที่วิเศษใหญ่โตของพระพุทธเจ้า ที่พูดนี่พูดถึงทฤษฎีพระพุทธเจ้าและพวกเราก็มายืนยันพิสูจน์ทฤษฎีพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งยืนยันอ้างอิงได้ ให้แก่อาตมาต่างหาก ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ไม่ได้เป็นหมัน ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้แต่มันของจริง คนในยุคทุนนิยมสามานย์ ยิ่งกว่าในยุคเจงกิสข่านหรืออเล็กซานเดอร์มหาราช เดี๋ยวนี้เขี้ยวเล็บมันร้ายกาจ มีเหลี่ยมเยอะ มันยิ่งกว่ายุคโน้น
ก็เป็นความจริงตามความเป็นจริงสัมผัสได้ก็จะเห็นจริงรู้จริงเหมือนกันอย่างนี้
_สู่แดนธรรม…ทำไมจะรู้ว่าสิ่งที่สร้างที่สอนให้เจริญยิ่งกว่านี้ พ่อท่านตอบว่ามันได้หยั่งรากลงแล้ว มีแต่จะเจริญไปอย่างตถตา
พ่อครูว่า…มันหยั่งรากลงแล้ว เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า อาตมาได้เอาเชื้อนี้มาเพาะขึ้นได้จริงๆ แล้วก็ได้ขึ้นมาจริงๆ เจริญเป็น จันทเสฏโฐ ต่อไปก็สักวันหนึ่งก็จะพัฒนาเป็นจันทร์โอชา อร่อยจังเลย อาตมาใช้พยัญชนะเหล่านี้สื่อสารสภาวะ ไม่ใช่พูดชุ่ยๆ ไม่ใช่พูดเล่นสนุกนะ แต่เป็นเรื่องจริงอย่างนี้จริงๆ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_สู่แดนธรรม…คุณใบแก้วแจ้งว่า ไลน์ใช้ไม่ได้แล้ว ให้ใช้เบอร์โทรศัพท์แทน
พ่อครูว่า…อาตมาเขียนกวี เรื่องประชาธิปไตยที่ปกหนังสือเราคิดอะไรหลายบทมาก
ประชาธิปไตยกับเศรษฐศาสตร์เกี่ยวข้องกันและเกี่ยวข้องกับสังคมด้วยมันแยกกันไม่ได้ ซึ่งมันเป็นความรู้ที่จะปฏิสัมพันธ์กันไป มันเป็นความจริงแล้วก็จะเป็นความรู้ที่สัมพัทธ์
ถ้าจะให้ดีต้องมาศึกษาและปฏิบัติจะได้ที่ตนเอง เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ อธิบายยังไงก็ไม่ละเอียดได้เท่ากับตนเองรู้ หยั่งไปถึงสัจจะเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าแล้วเราจะไม่ต้องเชื่อใคร รู้อันนี้แล้วไม่ต้องเชื่อใครเลย แม้แต่พระพุทธเจ้า แม้แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่ ใช่ก็ได้ แต่แม้ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็ตาม แต่จะตรงกันหมดของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตรงกันหมด แล้วแต่จะเก็บรายละเอียดของพระพุทธเจ้ามาได้ครบไหม แต่ไม่มีใครจะรู้ได้เกินกว่าพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้านี้สุดหมดครบแล้ว
จริงๆเป็นเรื่องท้าทาย เป็นเครื่องยืนยันว่าความเป็นจริงของคนกับสังคมดีที่สุดแล้วก็คือตามทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้านี่แหละ ในความเป็นคนกับความเป็นสังคม 2 อย่าง คนก็คือส่วนตัว สังคมก็คือองค์รวม และก็มีคุณสมบัติ คุณวิเศษ ของคนและสังคมร่วมกันอยู่ได้อย่างตรงกันหมดเลย มันไปด้วยกันหมด
ในสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องปากเปล่า ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งเพ้อเจ้อ แต่มันเป็นความจริงที่ยืนยันได้ ปฏิบัติได้ แล้วประเสริฐจริงๆ จะเรียกว่าสูง จนกระทั่งสูงเกินกว่าสุข คือความหมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีความเป็นโลกธรรม เป็นโลกุตระธรรมสมบูรณ์ไม่มีภาวะสองเลย
คนที่ยึดมั่นในเทวนิยมจะมี 2 แต่โง่ ขออภัยที่ใช้ความเป็นจริง แล้วก็โง่ไปยึด 2 หลงว่าเป็นหนึ่งมันก็ผิดแล้วนี่ ไม่ยอมให้แยกด้วย อย่าแตะนะ ใครอย่ามาแยก 2 ข้า นี่ 2 ยิ่งใหญ่ใครอย่าแตะ พระเจ้า สุด commander สุดนักเผด็จการแล้ว แตะไม่ได้ ก้มหน้าก้มตาทำตาม อย่างเดียว จึงเป็นเรื่องของความเป็นนายเป็นทาส ไม่มีอิสระเสรีภาพสมบูรณ์ ของพระพุทธเจ้านั้น ทุกอย่างทุกคน อยู่ที่กรรม อยู่ที่การสั่งสมบารมี ได้หมดสูงสุดเท่าที่คนจะทำได้ พระพุทธเจ้ายืนยันว่าปฏิบัติให้ได้อย่างท่านสิ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สูงสุดเหมือนกันนั่นแหละ คุณจะไม่ไปแย้งอะไรอีกเลย คนที่ไปจบเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็จะไม่ขัดแย้งอะไรเลย ขนาดไม่จบอย่างอาตมายังไม่ขัดแย้งแล้ว คุณที่แย้งอยู่คือคนโง่ ไม่รู้ ก็แย้งไป พอคนรู้ในระดับขั้นหนึ่งก็จะไม่ขัดแย้งเลย มันสุดยอดเต็มเรื่องอิสระเสรีภาพ ทุกคนมีอิสระที่จะสูงสุดได้ มีสิทธิ์ที่จะสูงได้ แต่ของพระเจ้าใครก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ไหนก็ยังไม่รู้เลย แล้วก็ เที่ยงตายตัว ด้วยคำสอนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วยนะจะเป็น ยุคสมัยกาละเทศะฐานะองค์ประกอบอย่างไรก็เอาอันเดียวนี้เท่านั้น เรียกว่า อันเดียวตีกินหมดเลย อย่างอื่นแย้งไม่ได้ ทั้งๆที่ทุกอย่างมันไม่เที่ยง
คำว่าเที่ยงกับคำว่าไม่เที่ยงนี้ สุดยอดเลย หากคนยึดถือเที่ยงนี้ แคบ เล็ก ไปไม่ออก แก้ไม่ได้ พัฒนาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ที่เป็นความยึดมั่นถือมั่น ส่วนความไม่เที่ยงนั้นปรับไปตามเหตุปัจจัย ทุกอย่างเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย กาลเทศะฐานะ ไม่ได้อยู่กับที่เลย คุณจะทำให้เวลาหรือกาละ มันอยู่กับที่ได้ไหม ไม่ได้ ไม่อยู่กับที่หรอก ตลอดเอกภพมันหมุนเวียนไป มันเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่ไม่เคลื่อนเลย แต่มันรวมกันอยู่ได้เป็นหนึ่ง แน่น แต่มันเคลื่อน
2 อย่างนี้พูดด้วยพยัญชนะและภาษา Static กับ Dynamic มันแยกกันไม่ได้ แน่นกับเคลื่อนแยกกันไม่ได้ คุณเป็นได้ทั้งสองอย่างนี้จบเลย คุณเป็นไม่ได้เลยสัก 2 อย่าง ไปแบบ Static คุณก็บอกว่าไม่ใช่ ไปอยู่กับฝ่ายเคลื่อน Dynamic คุณก็บอกว่าไม่ใช่ ก็ใช่สิ มันต้องเป็นคนละอย่าง แต่ถ้าคุณมีทั้ง 2 อย่างแล้วจะเอายังไงกับเขาก็ได้ คุณจะเอาเคลื่อนก็ได้ คุณจะเอาหยุดก็ได้ เพราะมันมีจริงทั้ง 2 อย่าง แยกไม่ได้ แต่เราสิไม่ไปยึดมั่นถือมั่น คุณจะเอาเคลื่อนก็เคลื่อน คุณจะเอาหยุดเราก็หยุดกับคุณได้
สัจจะมีหนึ่งเดียวคือความจริงที่ตรงกัน และท่านก็นิยามลงไปให้ชัดเจนเลยว่า หนึ่งเดียวนั้นมันไม่มีอะไรนอกจากอริยสัจ 4 คือนิพพาน นอกจากนั้นจะแย้งกันหมด แต่ถ้าผู้ใดเรียนรู้เวทนา ความสุขความทุกข์ เพราะฉะนั้นคุณเรียนรู้เวทนานี้ให้หมดความสุขความทุกข์ยิ่งใหญ่นะ คนเราไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์ คุณก็ไม่เดือดร้อนอะไรเลย แล้วก็ไม่อยากได้อะไรเลย ความสุขก็ไม่ได้อยากได้ ความทุกข์คุณก็ไม่ได้เดือดร้อน คุณก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ คุณก็ไปได้หมด คุณจะไปกับความทุกข์คุณก็ไม่ทุกข์ คุณจะไปกับความสุขมันก็ไม่สุข ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นก็อนุโลมปฏิโลมไปด้วย มีตัวปัญญาเป็นตัวกำกับ
ปัญญาอยู่เหนือ ปัญญารู้รอบ ปัญญารู้ครอบ ปัญญามันมีทั้งปฏิภาณทั้งปัญญามีทั้งปฏิภาณคือ คนที่เขายึดถือของเขาอย่างนี้ คุณยังไม่จบหรอก แต่เขายึดมั่นถือมั่น ตัวเขาว่าสูงเราก็ยอม แต่เรามีความฉลาดที่จะทำให้เขา เปลี่ยนแปลงได้ คลายความยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่บางคนอาจจะยึดมั่นถือมั่นจนเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยเราก็ไม่เป็นไร เราก็อยู่กันอย่างนานาสังวาส คุณก็ทำอย่างหนึ่ง เราก็ทำอย่างหนึ่งก็จบ คุณก็ทำของคุณไปสิ สิ่งที่ทำคือกรรมวิบาก เท่านั้นเองไม่มีปัญหา
ขอทวนอีกนิดนึง การเมืองที่อาตมานิยามไว้10 ข้อ
การเมืองใหม่ 10 ข้อที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆกำกับอย่างนี้ไว้ด้วย ตั้งแต่ออกไปร่วมชุมนุมร่วมประท้วงตั้งแต่พศ. 2549
-
งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล มีปัญญา
-
นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
-
นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น)
-
นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว
-
นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
-
นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน .
-
งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ .
-
นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ ๔) . .
-
นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม (นักการเมืองต้องเป็นอาริยบุคคลหรือเป็นอรหันต์)
-
งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยไม่ใช่งานเพื่อตัวเราเพื่อครอบครัวเพื่อหมู่พวกเพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาชนทั้งมวลเพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเองพ้นไปจากครอบครัวพ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจากพรรคของตน