ส.ค.242020ศาสนา630824_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 5 อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1VpKBQd2zWE3ScZFcIiYyMnaTHDAEmpYCxt1CgT-UYLM/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/12JJzIR7g0QjGBN-ovwsj3Jg4lX5jvkUV/view?usp=sharing ยูทูปที่ สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูว่า …วันนี้ปัญหาแห้งมีน้อย ผีหลอกมีสามระดับ _ลานนาอโศก…ดญ.พอเพียง…เมื่อวันจันทร์ที่แล้วหนูถามคำถามหลวงปู่ว่าทำอย่างไรต้องเสียสละหนูทำได้แล้วค่ะ แต่อย่างหนึ่งที่หนูทำไม่ได้คือหนูกลัวผี รุ่นพี่บอกหนูว่า ระวังผีดึงขา หนูก็กลัว หนูจะทำอย่างไรจึงไม่กลัวผีคะ พ่อครูว่า…คำว่าผีนี่นะ ฟังดีๆ ผี คนที่เข้าใจว่าผีคือสิ่งที่เป็นรูปร่าง หลอกๆ เจอแล้วก็แลบลิ้นปลิ้นตา แยกเขี้ยวเป็นตัวตนรูปร่างเหมือนคน เป็นรูปร่างน่ากลัวตาโปนสยายผม อะไรพวกนั้น รูปร่างแปลกๆ คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น ฟังหลวงปู่ดีๆ สิ่งเหล่านั้นมันคือผีหลอก มันหลอก มันไม่มี ความจริงไม่มีหรอก คนที่นึกว่ามันเห็นอย่างนั้น นึกว่ามันมีอย่างนั้น เขาไม่เคยเจอ คนที่มาพูดอย่างนั้นเขาก็ได้ยินพูดกันมาเอาไปสร้างหนังสร้างละครอะไรหลอกกันมา มันเป็นความหลอก เอ้าทีนี้ มีคนเขาเห็นจริงๆ ตาเขาเห็นเลย ไอ้สิ่งที่เห็นนี่แหละเป็นเรื่องของความรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ ความจริงก็คือความไม่จริง ตาเราหลอกตัวเอง เราสร้างตัวนั้นขึ้นมาเอง เห็นเองเป็นเองมีเอง ไอ้สิ่งที่เห็นที่มีที่เป็นนั้นมันไม่มีของจริงแต่เราเห็น เพราะเราหลอกตัวเองได้ ทางหมอทางแพทย์ วิทยาศาสตร์ เขาก็รู้ว่านี่เป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง โรคประสาทหลอน ได้ยินเสียง แต่มันไม่มีเสียง มันไม่มีรูปแต่เห็นรูป โรคประสาทหลอน ภาษาพระเขาเรียกว่า อุปาทาน หรือมโนมยอัตตา เป็นรูปที่สำเร็จขึ้นด้วยจิต จิตมันปั้นขึ้นสำเร็จด้วยจิตได้จริง อย่างนี้เข้าใจง่าย ทีนี้เข้าใจยากขึ้นนิดนึง เพราะมันละเอียด แต่จะชัดขึ้น เช่นว่า เรากินขนม อร่อย ไอ้รสอร่อยนั่นล่ะ ผีหลอก รสอร่อยมันไม่มี แต่คนหลอกมานานหลายพันชาติแล้ว หลอกว่ามันมีก็เลยไปเชื่อ ก็ติดมาไม่รู้กี่ล้านชาติ รสอร่อยนี่แหละมันหลอก ผู้ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าได้สำเร็จ มันหายไปเลย ขนมอันนี้เคยกินอร่อย กินอีกมันก็เป็นรสอันนั้น มันเป็นรสจริงๆของมัน ขนมอันนี้มันเป็นรสอันนี้ อาจจะใส่เกลือนิดหน่อยเค็มนิดนิด อาจจะใส่เปรี้ยวหน่อยๆก็แล้วแต่ มันก็จะมีรสนั้น เป็นแป้งเป็นน้ำตาลก็มีรสอย่างแป้งอย่างน้ำตาล จะเป็นรสอะไรใส่เข้าไปก็เป็นรสของอันนั้น ตามความเป็นจริง แต่อร่อยนั้นเป็นความหลอกนั่นแหละคือผีหลอก สู่แดนธรรม..แสดงว่าความชอบหรือความกลัวนี้เราสร้างขึ้นมาเองใช่ไหม พ่อครูว่า…ความชอบความชังความรักดูดดื่มก็สร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น ดูดดึงผูกพันสร้างมาเองทั้งนั้นผีหลอก ผู้ที่รู้แล้วเป็นพระอรหันต์แล้วจะเห็นได้ว่า โอ้โห ผีหลอกมันหลอกเก่งจริงๆ หลอกคนทั้งโลก พลเมืองโลก 7,000 ล้าน จะถูกหลอกอยู่ประมาณ 8,000 ล้าน มั้ง ก็ยังไม่เกิดมาอีก เกิดมาอีกก็ถูกหลอกอยู่นั่นแหละ ไม่ง่าย ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะไม่รู้ความจริงอันนี้ จะไม่สามารถที่จะล้างความหลอกอันนี้ออกไปจากจิตได้เลย คนที่สามารถศึกษาของพระพุทธเจ้าแล้วสามารถล้างความหลอกนี่ออกไปได้นั่นแหละคือพระอรหันต์ _เพ็ญ…หนูชอบวาดรูปแต่ว่าเท่าไหร่ก็วาดไม่สวยสักที หนูอยากวาดรูปให้สวยค่ะ หลวงปู่วาดรูปเป็นไหมคะ พ่อครูว่า…เป็น หลวงปู่เรียนมาด้วยแต่ตอนนี้ไม่ได้วาด ไม่ได้ฝึกมือไม่ได้ซ้อมวาดอะไรไม่เป็นเลย แต่ก่อนนี้ก็ฝึกก็เรียนมา เรียนมาตั้ง 5 ปี ออกมาแล้วก็ไม่ค่อยได้ทำ หลวงปู่มาทำอื่นมากกว่า จบออกมาแล้วก็มาทำงาน สอนธรรมะนี่แหละเยอะมาก อยากจะให้มันสวยก็ต้องฝึกฝนเอา อยากจะให้ดีก็ฝึกบ่อยๆฝึกไปเรื่อยๆมันก็จะดีขึ้นได้จริงๆ ฝึกเอา _ขลุ่ย…หลวงปู่สร้างสมาธิเพื่อจัดสร้างพระโพธิสัตว์ระดับขั้นต้นพระโสดาบันหรือเปล่าครับ พ่อครูว่า…หมดนั่นแหละ ได้เป็นโพธิสัตว์ระดับโสดาบันก็เอา สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ได้เลยก็เอา ไม่ได้เอาแค่พระโสดาบันหรอก อยากได้เป็นโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์เป็นโพธิสัตว์ไปเลยนั่นแหละ สมัครไหมล่ะ ตั้งใจเอา ควรสมัครนั่นแหละ _ในปางฝัน…ตอนที่มีคดีสันติอโศกมีคนถามพ่อครูว่า ขณะนี้พระโพธิรักษ์ สึกแล้วหรือยัง แล้วพ่อท่านก็ตอบว่าไม่ขอตอบใดๆ ก็เลยอยากจะถามพ่อครูว่า ตอนนั้นพ่อครูคิดเช่นไรถึงตอบคำถามนี้และคิดได้ขณะนั้นเลยหรือว่าอย่างไรคะท่าน พ่อครูว่า..คิดได้ตอนนั้นเลย อัตโนมัติตอนนั้น ไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้คิดว่าจะตอบอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะถามอะไรด้วย เขาถามวันนี้มาก็ตอบไปตามปฏิภาณตัวเองทันที ตอบอย่างนั้น คิดได้อย่างไร? อันนี้ลึกซึ้ง ตอบได้ว่า คิดได้ว่าคิดอย่างพระโพธิสัตว์ เลยตอบออกมาอย่างพระโพธิสัตว์ตอบ _สู่แดนธรรม…เป็นวิสัยโพธิสัตว์ก็ตอบตามภูมิไปทันทีเลยใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วอาตมาตอบคำถามธรรมะก็จะตอบไปตามปฏิภาณทันทีเลย เป็นวิธีแปลกใหม่คนก็ชอบ ไม่ใช่เรื่องเล่นลิเกเล่นละคร แต่เป็นเรื่องใหม่ที่แปลกใหม่ แต่ว่าก็เป็นสาระที่เป็นภาษาที่บอกเนื้อหาสาระอีกแบบนึง เช่นมาจนดีกว่ามารวยเป็นต้น ไม่ต้องไปติดรสชาติแบบนั้นดีกว่า คนทั่วไปเขาไม่เป็นอย่างนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่หลวงปู่พูด คนทั่วไปเป็นอย่างที่เขาติดกันส่วนใหญ่เลยอยู่ในโลกีย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มาเป็นอย่างนี้จึงมาเป็นเรื่องใหม่เป็นเรื่องพิเศษ เรียกว่า อุตระ คือเหนือโลก เหนือความเป็นจริงที่ชาวโลกจะเป็นได้ง่ายๆแต่มันเป็นแล้วมันเป็นความประเสริฐ ไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องวอรี่ไม่ต้องดิ้นรนอะไร สารพัดที่จะเป็นความละเอียดของความประเสริฐขึ้นมา ไม่ต้องดิ้นรนเดือดร้อนแย่งชิงมันดีกว่า คนที่มีปฏิภาณปัญญาจะเข้าใจ แต่คนที่ไม่มีสติปัญญาก็จะบอกว่าไม่อยากเป็นแบบนั้น อย่างที่เขาว่า ถ้าถูกด่าอย่างนี้ไม่โกรธก็ไม่ใช่คนแล้ว เราก็ถูกด่าแล้วเราไม่โกรธเราก็ไม่ใช่คนก็ใช่ เราเหนือกว่าคน สูงกว่าคน มันเลิศคน เป็นคนเหนือคนอีกชั้นหนึ่งแล้ว พูดไปก็จะหาว่าอวดอีก _สมณะบินบน…ไม่ว่าจะถูกบังคับให้กล่าวคำเขาบีบบังคับให้กล่าวว่าสึก แต่ใจไม่ได้สึกก็ไม่ถือว่าสึก กฎหมายข้อนี้ก็ขัดแย้งกับธรรมวินัยด้วย ในรัฐธรรมนูญก็บอกไว้ว่า กฎหมายใดที่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัย กฎหมายนั้นถือว่าเป็นเรื่องโมฆะ _มีพวกเรา มีข่าวช่วยประกาศให้…ผู้ประสงค์จะรับหนังสือ ตอนนี้มีหนังสือใหม่เอี่ยม มาถึงสดๆใหม่ๆอุ่นๆจากเตา ราคาบุญนิยม 0 บาท เล่ม รวมเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 1 เสร็จแล้วใหม่ๆออกมา แสดงความประสงค์แจกฟรี ติดต่อที่คุณใบแก้ว ชาวหินฟ้าโทร. 086 486 7868 # หรือท่านที่สะดวกทางไลน์ กรุณาแจ้ง ชื่อ – ที่อยู่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ ที่ชัดเจน ได้ที่ ไลน์ ไอดี 086 486 7868 (#) สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก หนังสือพิมพ์ “เราคิดอะไร” ทางกอง บก. กำลังทยอยจัดส่งค่ะ (#)สำหรับบวร และชุมชนชาวอโศก กรุณาแจ้งยอดการรับหนังสือด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ จากคณะผู้รับใช้ สนพ.กลั่นแก่น โสดาบันเลือกไม่เกิดอีกไม่ได้ _จากปอย ลูกศีรษะอโศก ขอเรียนถามค่ะ ทำไมนางวิสาขาท่านจึงมีสิทธิ์ที่จะไม่เกิดก็ได้ เพราะท่านเป็นโสดาบัน พ่อท่านเคยบอกว่าผู้ที่เลือกเกิดได้หรือไม่เกิดก็ได้ คือ พระอนาคามี และพระอรหันต์ เท่านั้น เมตตาตอบด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่ง พ่อครูว่า…โสดาบันนั้นยังเลือกเกิดหรือไม่เกิดไม่ได้ ยังจะต้องเกิดอีก จะเลือกไม่เกิดอีกไม่ได้ ผู้ที่จิตบรรลุถึงอนาคามีขึ้นไปแล้ว คำว่าจะไม่เกิดอีกหรือจะไม่เกิดมามีร่างกายดินน้ำไฟลม เป็นคนที่มีร่างกายดินน้ำไฟลมอีก อนาคามีมีสิทธิ์ที่จะไม่เกิดอีกได้ แต่ก็ต้องอยู่ไปในภพของจิต อนาคามีก็มีตั้ง 5 แบบ 5 อย่าง ไม่ขอลงรายละเอียด แต่สามารถสลายอัตภาพในสภาพอนาคามีไม่ต้องกลับมาเกิดอีกได้ ส่วนพระอรหันต์ไม่กลับมาเกิดอีกได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือเป็นพระอรหันต์ ไม่มาเกิดได้ และจะกลับมาเกิดก็ได้ ส่วนพระอนาคามีไม่ต้องห่วง จะกลับมาเกิดอีกก็ได้อยู่แล้ว แม้ว่าอยากจะดับไปเลยก็ยังไม่ได้ แต่จะมาเกิดอีกได้ โพธิสัตว์ระดับสกิทาคามี อนาคามีจะวนเวียนมาเกิดอีกอยู่แล้ว _กราบนมัสการพ่อท่านสุดบูชายิ่ง จาก สมใจค่ะ มาตา แม่ สิริมหามายา เป็นแม่ ทำแต่กรรมดีอย่างเดียวไม่ทำชั่วทั้งปวง ลูกเข้าใจถูกไหมคะ พ่อครูว่า…สิริมหามายาไม่ทำชั่วทำแต่ดี ถูกแล้ว สิริมหามายาที่เป็นตัวตน เกิดมาก็มีชีวิตทำแต่ดีและมีชีวิตอยู่ก็จะไม่ยาวยืน มีลูกที่เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่คือสิทธัตถะ ภาษาว่าสิทธัตถะ เนื้อหาก็คือเกิดจากพระนางสิริมหามายาโดยสภาวะ ชื่ออาจจะไม่ใช่นางสิริมหามายาเหมือนกับเจ้าชายสิทธัตถะเหมือนอย่างพระสมณโคดม แต่สภาวะจะเป็นสิริมหามายาทั้งนั้น คือแม่พระพุทธเจ้า ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าและ 7 วันจะต้องตายเป็นต้น ซึ่งมันเป็นสภาวะที่อธิบายไม่ง่าย มันจะสอดคล้องกับสภาวะจริงที่มีรูปนาม ไม่ต้องใช้คำตอบ แต่มันต้องอาศัยรูปนามในโลก รูปนามในสัตว์โลกมนุษยชาติซึ่งมันเป็นความจริงยืนยันความจริง ก็อธิบายไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน _สู่แดนธรรม ..วันนี้ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน พ่อครูตอบคำถามอย่างรวดเร็วตามความจริงที่มีปฏิภาณ พวกเราที่เป็นลูกๆก็มีสิ่งที่สะสม เก็บเล็กผสมน้อยที่เป็นปัญญาทางธรรมก็ต้องมีอยู่บ้าง _หมอเขียว ใจเพชร…ช่วงโควิดทั่วโลกเดือดร้อน แต่ชาวบุญนิยมไม่เดือดร้อน ตอนนี้ เศรษฐกิจโลกมีแนวคิดไปทางร่ำรวย แต่คนที่ร่ำรวยตอนนี้ที่เขาเคยร่ำรวยมาที่สุดแล้วหลายคนก็พังพินาศไป ตรงกันข้ามกับเศรษฐกิจบุญนิยมไม่รวย แต่ด้วยการพึ่งพาตนเองในปัจจัย 4 และการแบ่งปัน ยิ่งมีการพึ่งตนเองที่มีการแบ่งปันเราก็ยิ่งไม่รวย แต่ชีวิตของเรากับมีความเป็นอยู่อย่างมั่นคงมีกินมีใช้ในสิ่งจำเป็นต่อชีวิต พ่อครูมีข้อคิดเห็นต่อประเด็นนี้อย่างไรครับ พ่อครูว่า…มีความเห็นอย่างที่คุณเห็นแต่อาตมาอธิบายยังไม่เก่ง เท่าที่มีปฏิภาณพูดได้มันเป็นความพิเศษของมนุษยชาติของสังคมองค์รวมที่อยู่ร่วมกัน ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเกื้อกูลกันมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างมีเมตตากันจริงๆ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไม่เดือดร้อน ด้วยสาราณียธรรม 6 เรามีอย่างนั้นจริงๆ สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ มีการยืนยันพฤติกรรมของมนุษยชาติที่คนจะสัมผัสได้ คนจะอ่านออกได้ Covid มันจะยิ่งนานไป พฤติกรรมพฤติการณ์ของชาวอโศกเราจะยิ่งปรากฏ คนจะยิ่งเห็นชัดเจนจะเข้าใจว่าพวกนี้มีพฤติกรรมอย่างนี้ แล้วเขาก็จะเกิดข้อเปรียบเทียบว่าอันอื่นๆที่มันไม่เหมือนชาวอโศก จะเดือดร้อนดิ้นรนเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ชาวอโศกก็ไม่เป็นแปลงเป็นต้น มันจะให้ความเข้าใจที่มีข้อเปรียบเทียบความจริง ที่เป็นปรากฏการณ์จริงเป็นฟีโนมีน่า จริงๆ ปรากฏการณ์ยืนยันอันนี้ให้สังคมได้เห็น เพราะฉะนั้นอธิบายมันก็คงไม่ดีเท่ากับต้องอาศัยเวลา แล้วให้ปรากฏการณ์นี้มันบอกแก่ผู้ที่เขาพบเอง เห็นเอง สัมผัสเอง ผู้ที่สนใจตามศึกษาก็จะได้ประโยชน์จะได้รู้ความจริงเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น โควิดมันยิ่งนาน ยิ่งอโศกจะเป็นที่รู้จักต่อไปได้จริงๆ ขอให้รักษาการ์ดไว้ให้ดี อย่าให้ตกชาวอโศกทั้งหลาย ทำให้เจริญมากยิ่งขึ้นสร้างสรรมากขึ้น ไม่ต้องสร้างสรรอะไรมาก ให้สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ต้องสงสัยอะไรมากเลย พืชพันธุ์ธัญญาหารใครคิดไม่ออกจะทำอย่างไร หรือว่าเข้าใจแล้ว แม่ว่าจะไปรับทางอุตสาหกรรมอยู่ ถ้าหากเลิกได้วางได้ก็มาเลย มาทางพืชพันธุ์ธัญญาหารมาทางกสิกรรม ถ้าไม่มีที่ดินจะจำเป็นทำอุตสาหกรรมบ้างก็เอาเถอะ แต่ถ้าใครมีที่ดินแล้วก็ให้ทำที่ดิน ไม่มีที่ดินก็ทำกระถางคอนโดอย่างที่อาตมาว่าทำมันรอบชายคาเลย เอาสัก 10 ชั้น ลง 10 อย่าง แล้วก็เรียงกันไปรดน้ำง่ายดี รดแต่ข้างบนข้างล่างไม่ต้องรดเลย แล้วจะมีพืชที่ปลูกในกระถางนี่แหละ _ตอนนี้มีข่าว นร.นศ.ปลดแอก เขาเรียกร้องสันติภาพ มีแต่ทิศทางไม่ได้ลดละกิเลสเลย มีแต่ทิศทางเอาแต่ใจตัวเอง ต่อให้เรียกร้องได้ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ เห็นเหตุการณ์อย่างนี้แล้วก็นึกถึงนักเรียนจำนวนมากของเขา ถ้าเขาทำแบบอโศก ทำแบบวิชชาราม แบบสัมมาสิกขา เอามาทำกิจการงานที่สัมมาที่เป็นประโยชน์ ปฏิบัติศีลธรรมไปด้วย เอาองค์ความรู้เหล่านั้นมาทำเป็นวิชาการ ผมว่าประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองนะครับ เพราะนักเรียนไปโรงเรียนทุกวัน หากบริหารจัดการให้ดีจะสุดยอด พ่อครูมีความเห็นอย่างไรครับ พ่อครู…เห็นเป็นพฤติกรรมสังคมเท่านั้นเอง ที่วูบวาบ flash mob เป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวเท่านั้นเองเป็นสัจจะชนิดหนึ่ง ก็ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจอะไร มันบอกอะไรเราอย่างนึงมันบอกว่าเราอย่าประมาท เราต้องพยายามสร้างความดีสร้างความจริงที่เราทำให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้นแหละ อันนี้ชนะ อันเป็นส่วนวูบวาบ เป็นพวกเห่อตามยุคสมัย เด็กๆก็วูบวาบไปอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงไม่ใช่เรื่องถาวรอะไร คล้ายๆกับเด็กวัยรุ่น ก็จะมีอารมณ์ชนิดหนึ่งที่เขาเรียกว่าป๊อปปี้เลิฟ คล้ายๆกัน อันนี้คือเขาเรียกว่า ป๊อบปี้ หมาน้อยเห่าบ๊องๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดมันมีมาแล้วตั้งแต่ไหนแต่ไร มันเป็นธรรมดาธรรมชาติไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจอะไรหรอก ก็ปล่อยเขาไป เป็นแต่เพียงว่าไม่ประมาท อย่าไปรุนแรงอย่าไปทำอะไร เขาจะมีวัยวุฒิและมีปัญญาค่อยๆรู้ไปเอง อย่างน้อยที่สุดเขาโตไปเขาจะเข้าใจขึ้นเองได้ แม้ว่าก็จะยังไม่โตก็เกิดปฏิภาณเข้าใจได้เองได้ เพราะมันไม่ใช่สัจจะเที่ยงแท้ มันเป็นเพียงอุปาทานหมู่น้อย ไม่ใช่อุปาทานหมู่ใหญ่ แต่อย่าประมาท เราเกรงแต่เราไม่กลัวเอาแค่นั้นก็ได้ ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่ต้องเกิดต้องเป็น ด้วยสัจจะของมันไม่ใช่ตัวถาวร ไม่ใช่ตัวแกนตัวหลักมันเป็นตัวข้างเคียง มันเป็นผลข้างเคียง มันไม่ใช่ตัวสัจจะแท้ เป็นไซด์ไลน์ เป็น by Product เท่านั้นเอง _คินภา…ศีล เป็นอะไร? พ่อครูว่า..ตอบ ฟังดีๆ ศีลคือหลักที่แข็งแรงคงมั่น มาจากรากศัพท์คือศิลา ศิลาแปลว่าแท่งหิน หินแข็ง เป็นแท่งที่คงมั่นเป็นหลักที่จะให้คนอาศัย ให้คนยึดถือ เอาไปใช้ปฏิบัติ เป็นหลักที่จะให้คนศึกษา เช่น ศีลข้อที่ 1 ท่านบอกว่า อย่าฆ่าสัตว์ ศีลเป็นหลักของชีวิตอย่างนี้หรือเป็นคนต้องไม่ฆ่าสัตว์ คือเราก็ต้องทำให้ได้มันเป็นสิ่งประเสริฐ การฆ่าไม่ดี การฆ่าสัตว์ไม่ดี ไม่ต้องไปโหดร้ายกับสัตว์ ต้องเมตตาสัตว์ แล้วมันก็จะเสริมขึ้นไปจากศีลข้อที่ 1 จะต้องเกื้อกูลเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย นี่เป็นรายละเอียดดังนี้เป็นต้น สรุปแล้ว ศีล ก็คือหลักที่จะเอามาใช้ปฏิบัติ ศีลนี่คือสิ่งที่ไม่ให้ทำ ท่านห้ามอะไร เป็นสิ่งที่ควรเว้นขาดควรให้เลิกให้ละให้เว้นให้ขาด เราก็เรียนรู้ แล้วก็ทำตามปฏิบัติตามความหมายแก่ศีลแต่ละข้อ ศีลข้อที่ 2 อย่าไปทุจริต อย่าไปขี้โกง อย่าไปทำชั่ว อย่าไปเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายข้างนอกของเรา มันจะต้องศึกษาลึกซึ้งเข้าไปอีก ที่อธิบายไปทางตาก็สวย ฟังเสียงก็ไพเราะ ฟังหูก็เสียงเพราะ รสทางลิ้นก็อร่อยทั้งสัมผัสก็เย็นร้อนอ่อนแข็ง ชอบใจ ไม่ชอบใจ อย่างนี้เป็นต้น เรารู้ว่าอะไรเป็นทีก็เลิกทีพวกนี้ได้ก็เป็นคนเจริญ เป็นผู้ที่อยู่เหนือผี เหนือมาร เหนือซาตาน เป็นผู้ที่สูงส่ง _ศาลีอโศก…นุ่มลึก…ไม่มีอะไรจะซักถาม ขอเล่าบรรยากาศ ที่ร้านค้าก็มีการรักษากฎระเบียบได้ดี พ่อครูว่า…ของเราของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจขายสดงดเชื่อเบื่อทวงปวดท้อง _ใสกลางเพ็ญ…หลวงปู่คะ สุญญาณู แปลว่าอะไรคะ พ่อครูว่า…สุญญาณูหรือสูญญาณู เป็นคำที่หลวงปู่บัญญัติขึ้นมาเองตั้งแต่เขียนหนังสือออกมาใหม่ๆ ตั้งแต่ยังไม่เป็นหนังสือเล่มเลย เป็นโพธิรักษ์เพ้อ สุญญาณูหมายถึงสิ่งที่เล็กที่สุดยิ่งกว่า อณู หรืออณูที่เป็น 0 ก็ต้องแปล อณู หมายถึงอะไร เป็นความว่างๆเปล่าๆที่เล็ก เล็กยิ่งกว่าความว่างๆเปล่าๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน จำภาษานี้ไปแล้วค่อยๆตามสภาวะไป เราจะเรียกความว่างของอากาศว่าสุญญาณูก่อนก็ได้ แต่ชั้นอากาศยังมีแก๊สต่างๆ ตามเข้าไปในความละเอียดอีกก็มีช่องว่างของอากาศ เล็กกว่านั้นเป็นพลังงานความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างนี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ซ้อนเป็นรูปและนามของทุกอย่างในโลกนี้ทั้งพลังงานและศาสนา _โลกุตระคืออะไรคะหลวงปู่ ? พ่อครูว่า…โลกุตระคืออะไร ฟังดีๆ สิ่งที่เรียกว่าโลกะ หรือโลก ส่วนโลกุตระ มีคำสองคำ คือโลก กับอุตระ สองคำรวมกันอ่านว่าโลกุตระ ก็มีความหมายขยายความเพิ่มขึ้น คำว่าโลก หมายถึง ความหมุนเวียน วนเวียน ความยังวนไมรู้จักจบ ตราบที่ยังมีเอกภพมหาจักรวาล จักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ มีเนบิวลากาแล็กซี่ มีดวงดาวหมู่กลุ่มจักรวาลใหญ่ กลุ่มของจักรวาลน้อย ที่จะแตกออกมากำเนิดออกมาเป็นดวงดาวที่เล็กลงไปอีกเป็นล้านๆๆๆดวง ก็เรียกว่าโลก มันจะหมุนเวียนไปตามวงวนที่จะมีแกนกลางดึงดูด ดูดสิ่งที่เป็นบริวารเอาไว้ ถ้าสิ่งที่เป็นแกนกลางมีความใหญ่ก็จะดูดสิ่งเล็กๆไว้มากขึ้นมากขึ้น ก็จะมีแรงเหวี่ยง ถ้าหากเหวี่ยงออกไปก็จะเข้าไปสู่หมู่ย่อยอีก เป็นจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ซ้อนลงไป จักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ก็ไม่ใช่เป็นตัวของตัวเอง ก็จะมีแรงดึงดูดหมุนเวียนจะไม่ชนกัน สิ่งที่จะชนกันคือส่วนที่ไม่อยู่ในวงโคจรอะไร เรียกว่าอุกกาบาต อุกกาบาตไม่ได้ตกในวงโคจรของอะไร สะเปะสะปะ ไปชนอะไรเข้าก็ถูกอันนั้นดูดเข้าไปในโลกลูกไหนในวงอะไร ก็จะถูกดึงดูดไปในวงนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของอันนั้นได้ ส่วนอะไรที่ไม่ถูกดูดก็จะชนไปเรื่อยๆ ก็เหมือนกับเสียงพวกที่เห่า บ๊องๆ นี่ เป็นอุกกาบาตไม่ได้เป็นแกนอะไร สรุปว่าโลกคือสิ่งที่หมุนวนอยู่ตลอดกาล ตราบใดยังมีสิ่งที่ยังไม่สูญหายไปในเอกภพ เอกภพไม่หายไปไหนได้ มันจะเกิดแล้วก็หมุนเวียน เอกภพจะอยู่ในรูปร่างลักษณะวงใหญ่ดูดดึงกันอยู่เป็นวงใหญ่ แล้ววงใหญ่นี้ก็จะเล็กลง เล็กลงประมาณหนึ่ง ก็ควบแน่น เข้มข้นแล้วก็จะโตขึ้น โตขึ้นไปถึงขนาดสุดของมัน แล้วก็จะเล็กลง ไปอีกขนาดหนึ่งแล้วก็จะโตขึ้น อยู่อย่างนี้นิรันดร แล้วภายในมันก็จะซับซ้อนหมุนเวียนซ้อนโลก ซ้อนโลก โลกซ้อนโลก จนกระทั่งถึงวงจรพลังงานซ้อนเล็ก ที่เป็นพลังงานไม่มีชีวะ แล้วก็จะมีชีวะเกิดเข้าไปในโลกแต่ละโลกอีกที โลกก็จะมีชีวิตเริ่มต้นที่จากชีวะที่เรียกว่าพืช แล้วก็ไปเป็นจิตเรียกว่า พีชนิยามแล้วเป็นจิตนิยาม แล้วขยายขึ้นเป็นพืชมีอารมณ์อย่างไร มีหน้าที่อย่างไร กับขยายความไปถึงจิตนิยาม มีหน้าที่อย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร มีธาตุความรู้สึก ในพืชยังไม่มีความรู้สึก สุข ทุกข์ มีแต่ธาตุรู้ที่เป็นตัวเองแล้วพยายามรักษาตัวเองให้รอด ถ้าไม่รอดก็สลายไป แต่ว่าจิตนิยามไม่ใช่แค่รักษาตัวเองเท่านั้น แต่ยังทำร้ายผู้อื่นเพื่อชนะเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่อีก นี่ก็คือความวิจิตรพิสดารของสิ่งที่มีอยู่ในโลกในมหาจักรวาล หลวงปู่เรียนทางวิทยาศาสตร์น้อยเรียนทางธรรมะมากจึงมีความรู้พวกนี้ _สว่างแสงบุญ บุญสุข..ลูกอ่านสัจจะชีวิต ภาค 4 โพธิรักษ์โพธิกิจจบแล้ว ได้ประจักษ์ความจริงว่าด้วยบทเพลงอริยะหมายเลข 9 จากบทเพลงนั้น ลูกได้ประจักษ์ด้วยสายตาเมื่อครั้งชุมนุมที่ถนนพิษณุโลกข้างทำเนียบรัฐบาล พ่อครูได้ประกาศศาสนาพุทธท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักทั้งฟ้าร้องฟ้าแลบน่ากลัวมาก ลูกและเพื่อนๆที่นั่งอยู่หน้าเวที ภายใต้เสื้อกันฝนและร่ม ได้เห็นฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อพ่อครูไม่หวั่นไหวในการประกาศศาสนาครั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมีสามฤดูเกิดขึ้นภายใน 1 สัปดาห์เท่านั้น คือ 1. ฤดูร้อน ร้อนจัดมา 2 วัน 2. ฤดูฝน ฝนตกกระหน่ำอย่างหนักอยู่ 2 วัน 3. ฤดูหนาว หนาวจัดขนาด 17 องศา ต้นไม้ที่ประดับหน้าเวที เป็นต้นวาสนาต้นเล็กต้นใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมทุกต้น นี่คือลูกได้ประจักษ์ด้วยสายตาในการประกาศศาสนาพุทธแท้ๆของพ่อครูมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริง พ่อครูว่า..ก็เป็นจริงเป็นสิ่งที่พิเศษเกิดขึ้นพูดไปก็เอาเถอะ คุณเห็น คนอื่นเขาไม่เห็นไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่คุณเห็นคุณเชื่อคุณเข้าใจก็เป็นอย่างคุณก็เป็นเรื่องของความเข้าใจของคุณ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ค่อยๆเป็นไปค่อยๆเข้าใจเขาจะเชื่อถือหรือไม่เชื่อถือมันเป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดลออที่จะเป็นไป _อ๋อย บริงโซ…อ๋อยอยู่สบายดีค่ะ มีเวลาก็ได้ทบทวนธรรมะ อยากถามพ่อครูเรื่องการกำหนดรูปนาม 4 คือ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ก็ไปตามฟังที่พ่อครูสาธยายไว้ก็พอเข้าใจ แต่มีความเห็นว่า คำว่า อาการ ลิงค นิมิต จะจัดในกลุ่มเดียวกันได้คือเราสามารถบ่งบอกความแตกต่างของอาการกิเลส เพศของกิเลสและอาจเป็นขนาด ปริมาณความเข้มข้นของกิเลส ส่วนคำว่าอุเทศ ทำไมมาอยูในกลุ่มนี้ อุเทสมีความสำคัญอย่างไรในการกำหนดนามรูป พ่อครูว่า…อุเทส คือคำอธิบายขยายความ ยกหัวข้อ เช่น ยกหัวข้อคำว่า อาการมาขยายความ ยกหัวข้อคำว่า ลิงค ขึ้นมาอธิบาย ยกหัวข้อคำว่านิมิตขึ้นมาอธิบาย เป็นต้น หรือยกคำว่ารูปมาอธิบายหรือเวทนาสัญญาสังขาร ที่เป็นหัวข้อหรืออาจจะเป็นคำ อาจจะเป็นวลีอาจจะเป็นประโยค ขึ้นมาอธิบาย นั่นดีกว่า อุเทศ อีกคำคือนิเทศขึ้นมายกหัวข้อมาอธิบาย อธิบายไปเรื่อยๆไม่ยกเป็นประโยคหรือวลีอะไรขึ้นมาจะอธิบายเนื้อหาความเข้าใจที่สำคัญกันที่เกี่ยวข้องกัน ที่จะพยายามเอามาทำให้เห็นว่า มันเป็นอย่างนี้อย่างนี้ให้เข้าใจได้ นิแปลว่าไม่ คือไม่มีหัวข้อ ส่วนอุเทศ ก็คือยกหัวข้อ _อ๋อย…หากเราจะกำหนดนามรูปต้องอธิบายอาการของกิเลสในจิตของเราออกมาเป็นคำพูดได้ใช่ไหมคะ พ่อครูว่า..สำหรับคนที่มีภูมิรู้เข้าใจแล้วก็ทำได้ เราเข้าใจก่อนได้แต่พูดอธิบายยังไม่ได้ก็มี ผู้ที่จะอธิบายได้ แต่อธิบายได้แต่เพียงพยัญชนะภาษาแต่ไม่หยั่งไปถึงสภาวะจริง ก็มีพวกนี้จะผิดพลาดได้ง่าย ไม่เป็นสภาวะที่แท้ _อ๋อย..หากเรารู้ว่ามันแตกต่างกัน โทสะกับโลภะ เรารู้ว่าแตกต่าง แต่เราอธิบายไม่ได้คือเราแยกแยะรูปนามไม่ได้หรือคะ พ่อครูว่า..แยกได้ มีสภาวะพอรู้ ยังไม่รู้พยัญชนะ สายศรัทธาเ จโต แต่ยังไม่รู้ภาษาแต่มีสภาวะในตัวเองมีจึงอธิบายได้ไม่ค่อยเก่ง พวกสายศรัทธาสายเจโต สายปัญญาบางทีมันก็ไม่ใช่สายปัญญาแต่มันเป็นเฉโก มีความรู้ทางภาษาเยอะอธิบายเก่ง ผู้ที่อธิบายเป็นปัญญานั้นผิดบ้างถูกบ้างก็มีเยอะเพราะมันมีภาษาเยอะ แต่สายเจโต จะอธิบายไม่ค่อยเก่ง แต่ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้วจะอธิบายได้อย่างสัมมาทิฐิ แต่หากสายเจโตที่อธิบายเก่งแต่ไม่สัมมาทิฐิผิดก็อย่างมหาบัว อธิบายเก่งแต่ผิด นัย ละเอียดซับซ้อนตอนนี้มันมีอีกเยอะ ขออภัยที่่หยิบมหาบัวมาเป็นตัวอย่างประกอบการอธิบายไม่ใช่ลบหลู่ การศึกษา พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้ไปตามลำดับ อย่าไปตรรกะรู้มากก่อน ให้ทำตามศีลเป็นหลักไปแล้วจะเป็น แกน เป็นความรู้ เป็นเนื้อหาแท้ เป็นตัวที่จะทำให้เข้าใจอะไรอย่างอื่นได้เร็วได้ดี พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความรู้ของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ เรียบราบไม่โกรกชัน เหมือนฝั่งทะเลราบเรียบไม่ขรุขระ เป็นความมหัศจรรย์ข้อแรกเลยนะ ปหาราทสูตร อย่าไปตะกละรีบร้อนอธิบายหรืออยากได้เร็วๆ ปฏิบัติไปจะได้สภาวะแท้กับบัญญัติภาษาไปตามลำดับ _สู่แดนธรรม..ผมก็เคยสงสัยว่า การรู้รูปรู้นาม ก็รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ก็เลยสงสัย พ่อครูว่า..อุเทศ คือ ยกหัวข้อมาอธิบายต่างจาก นิเทศ ที่ไม่ได้ยกหัวข้ออธิบายเท่านั้นเอง _สู่แดนธรรม..ผมก็ได้คำตอบแก่ตัวเอง สามข้อแรก คือเรารู้ได้เอง อาการ ลิงค นิมิต รู้ได้ด้วยตนเองแต่สังคมพุทธ ต้องมีมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี พ่อครูว่า..ต้องได้ฟังจากสัตบุรุษผู้ที่อยู่ในฐานะครู ยิ่งได้ฟังจากพระพุทธเจ้าก็ยิ่งดี เป็นผู้ที่สัมมาทิฐิแล้ว แต่ผู้ที่ไม่สัมมาทิฐิเราก็ควรจะฟังเพื่อจะได้มีข้อเปรียบเทียบจะได้ชัดเจน เรื่องเดียวกันมี 2 อย่างก็ชัดเจน เราก็อย่าไปปฏิเสธ ถ้าไม่มีอะไร อุปมาแล้วก็คือ ความจบกับความโง่ ไม่เปรียบเทียบก็จะโง่ดักดาน แต่อีกคนไม่ปฏิเสธการเปรียบเทียบแต่เขาไม่ต้องเปรียบเทียบแล้วเขาจบ _สู่แดนธรรม..เมื่อเราสูงขึ้น ก็ต้องใช้อุเทศ ให้เขารู้ได้ พ่อครูว่า..หากไม่มีอุเทศ ไม่มีการสื่อสารกันจะไม่มีการรู้กันได้จะบอกว่าส่งจิตบอกกันพวกนี้เป็นได้เหมือนกัน แต่มันจะเป็นได้นี้มันยากมากเลย มันเลยไม่ไปถึงไหนได้ไม่กี่คน ตายไปก็สืบทอดกันไม่ได้ไม่มีการสืบทอดต่อกันเลย จะสืบสายต่อกันได้ต้องมีคำอธิบายคำพูดมีภาษาสื่อ ที่เราพูดถึงอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหานิทานสูตร เป็นหัวใจศาสนาเลยเป็นสิ่งสำคัญ มี ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 เขาบอกว่าอริยสัจ 4 เป็นหัวใจของศาสนาพุทธก็ใช่ แต่อันนี้จะไปถึงเวทนาเลย _มาจาก ดช.ธัมมะ…ถามว่าผีในโลงนี้มีจริงไหมครับ? พ่อครูว่า…ในโลงนั้นมีผีหลอกไม่ใช่ผีจริง มีซากศพซากคนตาย เป็นดินน้ำไฟลม ผีนี่คือไม่ใช่ซากศพ ซากศพนั้นเป็นวัตถุเป็นร่างกาย แต่ผีนี้เป็นนามธรรม เป็นจิตวิญญาณ ซากศพไม่ใช่ผี ซากศพเป็นดินน้ำไฟลมธรรมดา ตายแล้วไม่มีพลังงานเดินเองไม่ได้ไม่มีพลังงานขับเคลื่อน ใครจะยกไปไหนใครจะทำอะไรก็ทำเองไม่ได้กระดิกตัวเองไม่ได้ ถามว่าผีในโลงมีไหม ไม่มี ผีนอกตัวคนไม่มี ผีจริงๆอยู่ในตัวคน ผีนอกตัวคนเป็นผีหลอกทั้งนั้น ผีนอกตัวคนเป็นผีหลอกทั้งนั้น และผีหลอกจริงๆอยู่ในตัวคน อยู่ในตัวเรานี่แหละ เราหลอกตัวเอง หรือคนอื่นหลอกเรา ผีอยู่ในตัวคน คนไหนหลอกเรา ผีก็อยู่ในตัวเขา ถ้าอยู่ในตัวเรา เราก็มีผีอยู่ในตัวเรา _ดินดอกพุทธ… _ธัมมะ…หลวงปู่ครับ หลวงปู่สร้างน้ำตกเองใช่ไหมครับ พ่อครูว่า..ใช่ หลวงปู่สร้างเองแต่หลวงปู่ไม่ได้สร้างเอง เป็นความคิดหลวงปู่ให้สร้าง หลวงปู่เองไม่ได้ลงมือไปเอาดินเอาเหล็กเอาอะไรต่ออะไรมาสร้างหรอก เรามีคนช่วยสร้าง สร้างน้ำตก สร้างภูเขา สร้างอะไรพวกนี้ หลวงปู่ยกหินช่วย _สู่แดนธรรม.. คำว่า เดียรถีย์บางพวกมีใจชั่ว ย่อมติเตียนอย่างเดียว มีความว่า เดียรถีย์เหล่านั้น มีหัวใจชั่ว คือ มีใจอันโทษประทุษร้าย มีใจผิด มีใจผิดเฉพาะ มีใจอันโทสะมากระทบ มีใจอันโทสะมากระทบเฉพาะ มีใจอาฆาต มีใจอาฆาตเฉพาะแล้ว ย่อมติเตียน คือ เข้าไปติเตียนพระผู้มีพระภาค และภิกษุสงฆ์ ด้วยคำไม่จริง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เดียรถีย์บางพวกมีใจชั่วย่อมติเตียนอย่างเดียว _ในพรหมวิหาร 4 เขามองว่าเป็นโลกียะกับโลกุตระก็ได้ เมตตา กรุณา เป็นโลกียะ มุทิตาเป็นโลกุตระ เป็นวิภวตัณหา อุเบกขาเป็นการกลับวิภวตัณหาเป็นโลกุตระ ความคิดเช่นนี้ถูกหรือไม่ พ่อครูว่า…ผิด ความเมตตานั้นเป็นโลกียะหรือเป็นโลกุตระก็ได้ พรหมวิหาร 4 อย่างมิจฉาทิฏฐิหรือแบบสัมมาทิฏฐิก็ได้ พรหมวิหาร 4 อย่างมิจฉาทิฏฐิคือเข้าใจว่า เขาก็ใช้ว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั้นเป็นเพียงความคิด เช่นเขาบอกว่าเมตตา ปรารถนาให้คนอื่นพ้นทุกข์ กรุณาคือปรารถนาให้คนอื่นได้พบความสุข มุทิตาคือยินดีที่เขาพ้นทุกข์ อุเบกขาคือความวางเฉย เขาอธิบายไว้เช่นนี้มันก็เป็นแบบโลกีย์ มันไม่มีความสัมพันธ์กันทั้ง 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นความสัมพันธ์กันทั้ง 4 ไม่ได้แยกกัน แต่เขาไปแยก นอกจากแยกแล้วไปเข้าใจว่า 1. ต้องการให้เขาพ้นทุกข์คือเมตตา 2. ต้องการให้เขาพบความสุขคือกรุณา ที่จริงแล้วการพบความสุขนั่นคือโลกีย์ ของโลกุตระนั้นต้องพ้นความทุกข์ความสุข มุทิตาคือยินดีกับที่เขาพ้นทุกข์ ส่วนอุเบกขาก็เป็นอุเบกขาอย่างโลกีย์ก็ได้สะกดจิตก็ได้กดข่มเอา เป็นสมถะวิธีอย่างหนึ่ง อย่างนี้คือพรหมวิหารของโลกียะ แต่ของโลกุตระนั้น เมตตาคือ มีจิตต้องการให้เขาพ้นทุกข์ ลงมือช่วยเหลือเขาคือกรุณา กรุณามาจากรากศัพท์ว่า กรณะ แปลว่ากระทำ ลงมือทำเลย ช่วยทำจนเขาพ้นทุกข์ หรือพ้นสุขด้วย นี่คือโลกุตรธรรม แต่พ้นทุกข์แล้ว ยังเหลือความสุขอยู่ก็เป็นขั้นตอน แต่จะไม่เป็นความสุขที่เหมือนกับโลกีย์ทีเดียว แต่เป็นความสุขที่เล็กละเอียดลง เป็นสุขความสงบได้เหมือนกัน แต่ถ้ายังมีความสุขความทุกข์ก็ยังมีโลกียะอยู่ ยังเป็นอุปกิเลส สรุปแล้วของโลกุตระนั้น จะพ้นความทุกข์ความสุขเมื่อช่วยให้เขาพ้นความทุกข์ความสุขได้แล้วก็รู้ว่าเขาพ้น จิตที่เรียกว่ามุทิตาคืออนุโมทนาสาธุยินดีด้วย ก็เป็นแต่เพียงความเข้าใจความรู้ ช่วยให้เขาพ้นความทุกข์ความสุขได้แล้วก็เป็นหน้าที่ของเราก็ดีแล้ว เราก็รับรู้ว่าเขาพ้นแล้ว ก็จบ จบก็ปล่อย ไม่ต้องไปยึดถือว่านี่เป็นบุญคุณนี่เป็นฝีมือเรา ที่เราจะต้องมารับการตอบแทนจากเขาอะไรไม่ต้องมีสาเปกโข ตัดอุเบกขาตัดปล่อยว่าง นี่คือ พรหมวิหารโลกุตระ พรหมสี่หน้านี้จึงอยู่ในองค์เดียวกันไม่ได้แยกกันคนละองค์ ดีไม่ดีพร้อมทั้ง 4 องค์ก็ทะเลาะกันเลย _ความเป็นเอตทัคคะของอาริยสาวกได้มาอย่างไร?(ต้องมีการอธิษฐานจิตและสั่งสมมาเป็นเวลานานใช่หรือไม่) พ่อครูว่า..ใช่ ต้องตั้งจิตสั่งสมจึงจะได้ กว่าจะได้เอตทัคคะ หมายความว่าเป็นความชำนาญพิเศษเฉพาะเรื่อง แต่บางท่านก็หลายเรื่องอย่างเช่นพระอานนท์มีความชำนาญหลายเรื่อง เอตทัคคะคือเป็นความชำนาญพิเศษเป็นสิ่งพิเศษของพระอริยสาวก ได้อย่างไร ต้องเห็นว่าอย่างนี้เราชอบแล้วก็สั่งสมเหตุปัจจัยในความรู้ความสามารถความเก่งความพิเศษนี้ ให้มันมากจนเด่น เป็นเอตทัคคะ สมัยพระพุทธเจ้ามีองค์ที่เด่นกว่าคนอื่นเลย ทำไมบางองค์จึงมีการเลือกความเป็นเลิศในเรื่องเล็กน้อยไม่มีความเด่นอะไร เช่นพระทัพพมัลลบุตร เป็นเลิศในด้านการจัดแจงเสนาสนะ พระกกุณฐานเถระ เป็นผู้เลิศในทางรับสลากก่อน ก็เป็นผู้ที่ชอบอย่างนั้น ชำนาญอย่างนั้นแม้จะเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องเด่นเลย เป็นผู้รับสลากก่อน ก็คือเป็นผู้เสนอหน้าก็ไม่ค่อยงามเท่าไหร่ แม้แต่เอตทัคคะในการกล่าวคำหยาบคือพระปิลินทวัจฉะ เรียกคนอื่นว่าไอ้ถ่อย มีเหตุปัจจัยตั้งแต่ปางบรรพ์ สั่งสมมาของแต่ละคนก็จะเป็นวาสนาซึ่งแก้ได้ยาก พระมหากัสสปะก็มีวาสนาในการติดป่า หลายองค์ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม เพื่อจะอธิบายว่าเด่นในทางที่เรียกว่า จริงๆมันเป็นเชิง ตีเหมือนกันแต่ก็เด่นพิเศษกว่าใคร เพราะแม้แต่เรื่องเล็กน้อยคนก็หลงติดมาได้ ทั้งที่ไม่ค่อยดีก็ไปติดมาได้ก็เป็นเรื่องที่ให้ศึกษา ในยุคพระพุทธเจ้ามี 80องค์ มีนัยบางอย่างว่าไม่ควรไปติดสิ่งนั้นก็ได้ _ทำไมในคำสอนพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้าถึงมีคำสอนที่เน้นไปทางที่เป็นสมถะด้วย พ่อครูว่า..ให้คนได้ศึกษา มีคนที่อาศัยต้องอาศัยสมมุติอันนี้ ผู้ที่เข้าใจแล้วไม่มีปัญหา ก็จะใช้สมมุตินั้นได้ อย่างเช่นอาตมา อย่างเราพูดกับเด็กเราก็พูดอย่างที่เด็กเขาพอจะอาศัยอันนี้เข้าใจ ถ้าไม่อาศัยอันนี้เด็กมันไม่มีที่จับที่เข้าใจที่ยึดถือ มันก็ไม่รู้เรื่องหรอกเพราะมันไม่อยู่ในฐานะเขาภูมิของเขาที่จะรู้ ต้องให้เขาได้รู้ตามขั้นตอน ไม่งั้นต่อไม่ติดไปไม่ออก _หลวงปู่คะ โลกียะคืออะไร? พ่อครูว่า..ฝากไว้ก่อนโอฬาร โลกียะคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังไม่พ้นอวิชชาคือโลกียะ จบ Category: ศาสนาBy Samanasandin24 สิงหาคม 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630823_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เศรษฐศาสตร์แบบผู้รับใช้จะทำให้ไทยเป็นมหาอำนาจNextNext post:630826_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เจาะลึกอุปาทานสุขทุกข์คือกระดาษแผ่นเดียวกันRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024