ก.ย.42020ศาสนา630904_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยดีที่สุดต้อง“โลกุตระ” ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ki9G9VXMIT_eUjGMRR94ctHWS7YvcplBUPgWTCaAJ90/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1jLDEwuz1igmCPxiATOfCZnqkZmoqC_mz/view?usp=sharing และยูทูปที่ สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 ที่บวรราชธานี วันเวลาผ่านไปเร็วขึ้น การติดเชื้อ โควิด ก็พุ่งขึ้นตามไปด้วย ตอนนี้ทั่วโลก 26.4 ล้านคน แต่ที่ต้องระมัดระวังมากขึ้น ประเทศอินเดียติดเชื้อมากต่อวันเป็นอันดับ 1 บังคลาเทศก็รับผลกระทบ พม่าก็อยู่ติดกันก็เลยติดเชื้อพุ่งขึ้นกว่า 200 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ไทยก็มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทย รายแรก เป็นนักโทษแรกรับที่เรือนจำ แต่ก็ยังหาไม่ได้ว่า นักโทษคนนี้ไปติดเชื้อมาจากไหน ทำให้เกิดความวุ่นวายไปหมด แต่ก็ยังมีแนวโน้มที่ดี คือ ผู้ที่เสี่ยงยังไม่พบผลติดเชื้อเป็นบวก หากเกิดการระบาดรอบ 2 จะเกิดความลำบากกันมาก ทั้งเศรษฐกิจก็ไม่ดีด้วย พวกเราก็ควรจะเพิ่มความระมัดระวัง โควิดมานี่ก็อาจดีก็ได้ เพราะโควิดมาก่อนที่คนจะชุมนุมกันในวันที่ 19 ที่จะถึงนี้ อาจจะทำให้บ้านเมืองสงบขึ้นก็ได้ พ่อครูว่า…บอกไว้ก่อนตอนนี้อาตมาจะพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยเป็นซีรีย์เลย เป็นเรื่องยาว ดูต่อไปเรื่อยๆ อาตมาทำ SMS วันที่ 2 – 3 ก.ย. 2563 _ตุลย์ ใยแก้ว : น้อมกราบนมัสการพ่อท่าน ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ และญาติธรรมด้วยความเคารพยิ่ง วันนี้(2 ก.ย.) ลูกเริ่มเข้าใจในสังโยชน์ 3 ขึ้นมาบ้างแล้ว ลูกกราบขอบพระคุณยิ่ง พ่อครูว่า…สังโยชน์ 3 มี 1 พ้นสักกายทิฏฐิ 2 พ้นวิจกิจฉา 3 พ้นสีลัพพตปรามาส ผู้ที่พ้นสังโยชน์ 3 คือพระโสดาบัน มีความเห็น ความรู้ ความเข้าใจขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ใช่ความรู้จบ เป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นแต่มันหลุดพ้นในเรื่องที่ไม่เข้าเรื่อง มันเป็นความรู้ที่เข้ากระแส เข้าไปสู่ภาวะนี้ซ้อนลงไป รู้จักขึ้นมา ชัดจะโอ้โห แต่ก่อนนี้ ถ้าเราเป็นฝรั่งกินพริกไม่ค่อยเป็น แต่ตอนนี้มาเจอรสของพริกเข้าก็ชัดเจนดีแฮะๆ ต้องหาพริกรสเผ็ดๆนี้มากินแล้ว คล้ายๆอย่างนั้น แล้วพ้นอะไร สักกะ แปลว่าของตน กายแปลว่าภาวะรูปนามภาวะสอง คำว่า กาย มีความลึกซึ้งซับซ้อนมาก คำว่า กายกับคำว่าเทวะก็แปลว่า 2 กายมีหนึ่งเดียวไม่ได้ เป็นภาวะนอกภาวะในคู่กัน โดยเฉพาะการต้องมี กายกับจิต มีโลกียะโลกุตระ รูปกับนามเป็นต้น สองนี้ อธิบายได้ทุกอย่างในโลก จับคู่อธิบายแล้วจะขยายไปเป็นอิทัปปัจจยตา เป็นปฏิจจสมุปบาท มันจะมีเหตุปัจจัยต่อเนื่องยาวไป เริ่มต้นคนไม่เข้าใจคำว่ากายคำเดียว เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด หากเข้าใจกายผิด เช่น คนไทยเข้าใจคำว่ากาย เป็นเพียงวัตถุ ภายนอก ไม่เกี่ยวกับจิตเลย นี่กลัดกระดุมผิดเม็ดแรกเลย ก็ไปหมด มันบานเป็นปากกรวย ห่างไกลจากวิเวกเลยหมดทางที่จะบรรลุเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่เริ่มต้นเข้าใจว่ากาย คือภาวะสองคือรูปกับนาม กาย คือ จิต มโน วิญญาณ หากไม่เข้าใจคำว่ากายคือแค่วัตถุภายนอก คนนี้ปิดประตูบรรลุนิพพานได้ พ้นวิจิกิจฉา คือ พ้นความสงสัย คลางแคลงใจในเรื่องของกายนี่แหละ แต่ก่อนเรานึกไม่ออก ตีไม่แตก ตอนนี้ตีออกแล้วพ้นสงสัย แต่ไม่ใช่พ้นล่วงหมดเลย วิจิกิจฉามีอีกยาวเยอะ รู้อันนี้ รู้แล้วสงสัยอันต่อไป มีอีกเยอะแยะ แล้ว พ้นสีลัพพตปรมาส คือ มีศีล มีวิธีการ มีหลักวิธีปฏิบัติที่จะเป็นหลักการ ศีล แปลว่าหลักเกณฑ์หลักการ เอามาปฏิบัติ รู้หลักการ รู้หลักเกณฑ์ว่าจะประพฤติอย่างนี้ รู้ดีแล้วนะ พ้น แต่ไม่ทำสักที ไม่ปฏิบัติสักที เหมือนตำรวจไปจับโจร รู้นะว่าโจร แต่เล่นหัวกับโจร ไม่จัดการกับโจร กินข้าวต้มกุ๊ยร่วมกับโจร ลูบๆคลำๆ เหลาะแหละไม่ปราบโจรสักที มีวิธีการที่จะปฏิบัติแล้วแต่ไม่ทำสักที แต่ถ้าไม่รู้จักเลยก็ไม่รู้จะทำยังไง ตอนนี้รู้จักวิธีทำแล้ว จะเอาไว้ทำไมกิเลส เอาไว้ให้มันลาม ลามยิ่งกว่าอะไร เขาเรียกว่าอะไรนะ ขี้กลาก _ตุ้ม พรทิพย์ : กราบนมัสการพ่อครูค่ะ อยากถามว่าการที่เรามีความคิดที่ไม่กว้างเพื่อผู้อื่น เช่น ไม่เป็นสายเอื้อผู้อื่น ไม่มองว่าผู้อื่นเดือดร้อนอะไร เราก็มุ่งปฏิบัติแต่ส่วนของเรา ใช้แรงงานในการช่วยงาน แต่ไม่เคยขนขวายหาสิ่งของอะไรไปให้หมู่ อย่างนี้ถือว่าเป็นกิเลสตัวไม่เอาภาระ หรือเปล่าคะ พ่อครูว่า…ก็คุณก็พอรู้แล้ว ถ้าทำได้ก็ควรทำ อย่างที่คุณยกตัวอย่าง แต่ก็อย่าทำเสียจนมากหนัก ขวนขวายให้คนอื่น รู้จักกาละ เวลา แรงงานที่ควรให้ ควรสร้าง _ชาญณรงค์ จินดาธรรม : กราบนมัสการแทบเท้าพ่อท่านครับ อยากเรียนถามว่า พ่อท่านเคยเทศน์ไว้ว่า”คนปฏิบัติธรรมเอาจริงจะบรรลุโสดาบันน์ทุกคน แต่จะไม่บรรลุในชาตินี้ทุกคน” เนื้อหามีพลความประมาณนี้ครับ ผมจึงอยากเรียนถามพ่อท่านว่า ปฏิบัติธรรมให้เข้มข้นแค่ไหนจึงจะบรรลุโสดาบันน์ในชาตินี้แน่ๆ(แบบบรรลุ100%) ผมไม่อยากรอถึงชาติหน้าหรือชาติไหน ๆ เพราะวัฏฏสงสารช่างยาวนานและแสนจะน่ากลัวครับ(ความรู้สึกนี้เป็น”อภิชัปปา”หรือไม่ครับ?) กราบนมัสการด้วยความเคารพยิ่งครับ พ่อครูว่า…ดีเข้าใจอย่างนี้ดี ความรู้สึกนี้ก็ไม่เชิงอภิชัปปา คือตัณหาล้ำหน้า แต่ต้องการสิ่งที่ควรได้เบื้องต้นคือ ต้องการบรรลุพระโสดาบันเป็นข้อต้น เพิ่งเริ่มต้น ไม่ใช่ว่าคุณอยากได้อรหันต์เลย ยังไม่ได้เริ่มต้นเป็นพระโสดาบันจะเอาพระอรหันต์แล้ว อย่างนี้เป็นต้น ตอนนี้คุณก็เริ่มต้นถูกอยู่ แต่มันมีแรงอยากได้มากเท่านั้นเอง ก็ทำตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้เริ่มต้นอื่นเลย คือ คุณมาเร่ิมต้น ศีลข้อที่ 1 เป็นต้น ศีลข้อที่ 2 ศีลข้อที่ 3 ศีล 3 ข้อนี้ เป็นหลักการครอบคลุม ข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ ข้อที่ 3 เกี่ยวกับกามคุณ 5 มาเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้มีผัสสะเป็นปัจจัยและมันเกิดกิเลส สัมผัสกับสัตว์แล้วเกิดกิเลส รัก หรือชัง ชอบไม่ชอบ สัมผัสกับของก็เกิดชอบหรือไม่ชอบเหมือนกัน แต่จะเอา จะเอาอย่างไร ทุจริตหรือสุจริต ถ้าคุณชอบแล้วคุณสุจริตคุณก็เอาก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุณชอบ คุณจะเอาแบบไม่สุจริต อันนี้แหละ เป็นสิ่งของนี่แหละ คือ สิ่งของกับพืชมันไม่มีวิบาก ไม่มีการโต้ตอบแก่กันและกัน ส่วนสัตว์นั้นมีวิบากแก่กันและกัน มีผลกระทบกัน ความชอบไม่ชอบเดี๋ยวก็เกิดปฏิกิริยา ส่วนสิ่งของกับพืช คุณเป็นผู้ที่เป็นตัวจิตนิยาม พืชกับของกับวัตถุมันไม่มีอะไรขึ้นไปกระทบ มันก็เหมือนกับตบมือข้างเดียว คุณคนเดียว แต่เป็นวิบากหรือไม่เป็นวิบาก ก็เป็นของคุณคนเดียว คุณจะเห็นแต่จิต จะยึดติดหรือไม่ก็คุณคนเดียว เพราะฉะนั้นมันต้องเกี่ยวข้องกัน ของกับวัตถุมันต้องเกี่ยวข้อง มันต้องสัมพันธ์ มันต้องทำงานร่วมกัน มันต้องอาศัย คุณไม่อาศัยพืชไม่ได้ คนไม่อาศัยวัตถุไม่ได้ ก็เอาแต่เพียงว่า อย่าไปทุจริตก็แล้วกัน เอาให้สุดต้องอาศัยให้ดีอย่างดี แต่ต้องอาศัยไปตราบเท่าที่คุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณต้องอาศัยพืช แต่สัตว์นั้นคุณต้องมีระยะที่จะสัมผัสมีปฏิกิริยาอะไรต่อกัน มันจะมีมาก แต่พืชกับวัตถุนั้นมันไม่เกี่ยว คุณคนเดียวมันไม่ใช่ 2 แต่สัตว์มันเป็น 2 ไม่คุณก็อีกที่เป็นคู่จะเป็นสัตว์หรือเป็นคนก็แล้วแต่ คู่นี้มีนิยาม อย่างนี้เป็นต้น ที่คือนัยละเอียดที่เราจะต้องศึกษาไปเรื่อยๆ สรุป โสดาบัน คุณเรียนรู้เรื่องกาย เรื่องสองสภาวะกายมีสอง เอาแต่แค่ศีลข้อ 1 ให้รู้ก่อน ข้อเดียวก็ได้ สัมผัสตั้งศีลขึ้นมาว่า เราเกี่ยวข้องเอาตั้งแต่คน คุณสัมผัสกับใครก็แล้วแต่ก็เกิดจิตรัก หรือเกิดจิตชัง คุณอ่านจิตให้ออก หากอ่านออกแล้วรู้ มันรักมากหรือรักน้อย ชังมากหรือชังน้อย ใหม่ๆ น้อยๆมันอาจยังไม่รู้ แต่ก็เท่าที่คุณจะรู้ทัน รักมากรักน้อย โดยเฉพาะรักอย่างกาม รักอย่างราคะ คุณรู้ให้ได้ ถ้าคุณเริ่มรู้ว่าอันนี้คือกิเลสที่คุณจัดการ คุณทำเรื่องนี้ คุณเริ่มจะมีญาณปัญญาที่รู้ปรมัตถ์ รู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้อาการนี้เรียกว่า รู้ตัวกิเลสตัวตัณหาตัวราคะ ตัวนี้ไม่ดี มันจะดียังไงก็ไม่เอาให้มันอยู่กลางๆ ให้มีแต่ความเกื้อกูลกันไม่ใช่ว่ากามจะต้องมาใกล้ชิด มาสัมผัสเสียดสี มาเสพรสอีก _ນາງເກດມະນີ ສູກສະຫວັນ : ຄຶດຮອດບ້ານລາດ นางเกตุมณี สุขสวรรค์ : คิดถึงบ้านราชฯ _สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ ดิฉันใส่บาตรตอนเช้าจะตั้งจิตอธิษฐานก่อนใส่บาตรว่า ขอให้ข้าพเจ้าพบแสงสว่างในชีวิต ให้มีดวงตาเห็นธรรม ดิฉันขอแบบนี้เป็นการขอแลกเปลี่ยนไหมคะ และใส่บาตรแล้วควรอธิษฐานอย่างไร กราบนมัสการด้วยความเคารพยิ่งค่ะ พ่อครูว่า…เอาอย่างนี้ก่อนก็ได้ ขอจะไปนิพพาน ขอให้ได้นิพพาน เป็นตัวบัญญัติไว้ก่อนก็ได้ แต่ตั้งใจที่จะเดินทางทิศนี้ ตั้งใจเราสร้างจิตใจมั่นใจทำอย่างนี้ แล้วคุณพยายามทำความเฉลียวฉลาดให้เกิด ที่คุณจะมาเอาทิศทางนี้ มาเอานิพพาน มันคืออย่างไร มันดีอย่างไร ละเอียดลงไปหน่อยก็คือ อ๋อ จะเอา อย่างนี้ก็คือคุณจะต้องรู้กิเลส กิเลสมันมี 2 อย่าง กิเลส กาม กับ กิเลส อัตตา กิเลส เสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทางทวารนอก ภายนอกกับกิเลสบำเรอใจ ใจคุณต้องการอย่างใดๆนอกจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส จะเอาให้ได้ดั่งใจ นี่แหละคือกิเลส รู้อันนี้ให้ได้ ใส่บาตรทีไรก็เรียนรู้อันนี้ ขอให้มีดวงตามีแสงสว่างก็ให้รู้อันนี้ขอให้เข้าใจอันนี้ จะบอกว่าแลกเปลี่ยน คุณทำกุศลใส่บาตรแต่อ่านจิตเป็น ทำจิตของคุณให้เป็นโลกุตระได้ ใส่บาตรนี้เป็นกุศล ใส่วัตถุ เช่นอีก คุณใส่บาตรให้อะไรไปแล้ว แต่คุณต้องการได้โลกียะ ก็เป็นโลกียะ ก็เป็นกุศลสภาพมีมากมีน้อย หมุนเวียนเป็นสมบัติผลัดกันชม ทดแทนกันไปอยู่อย่างนี้ แต่คุณต้องรู้ว่าจิตของคนนี้ไม่อยากได้อะไรแล้วนะมาตอบแทน อันนี้แหละเป็นโลกุตระ ให้ไปแล้วเราก็ไม่ต้องการอะไรตอบแทนอันนี้ไม่ง่ายเลยเป็นเรื่องยากที่จะทำจิตได้ แต่คุณทำได้แล้วก็พยายามฝึก ให้แล้วตัด 0 ตัด 0 ไปเรื่อยๆ ทำเป็นแล้วก็ทำให้บ่อย ทำให้ชำนาญ คุณก็จะเร็ว คุณจะหมดอัตตาเร็ว หมดตัวกูของกูเร็ว อันนี้เป็นเรื่องของอัตตา ไม่ใช่เรื่องกาม _หมอก ตอนเช้า : ลึกซึ้งจริง ๆ นับถือ ๆ พ่อครูว่า…พูดมาด้วยภาษาไม่ใช่คำประชดคำเสียดสีอะไรสุดยอดเป็นอย่างนี้จริงๆ _ดี-เด่น ขนมไทยลูกชุบ : เผด็จการในคราบประธิปไตยแบบตบตาคนก็ไม่เนียนแล้ว พ่อครูเคยบอกว่าความจริงสิ่งที่ถูกต้องยังไงก็ชนะ ลูกขอบอกว่ายังไงวันนั้นก็จะมาถึงอย่างแน่นอน พ่อครูว่า…อาตมาไปส่งเสริมนายกประยุทธ์ ก็อาจจะไม่ตรงกับที่เขาคิดก็ได้ ก็พิสูจน์กันไป _เทพ คงถาวร : บทสวดชาวอโศกมีความสงบ เรียบร้อยและมีมนต์ขลัง เกิดผลต่อสติในขณะนั้น ๆ มากกว่าโดยทั่ว ๆ ไป..! พ่อครูว่า…ของเราสวดมนต์ไม่มีความผิดแม้แต่ รสสระ ทีฆสระ ไม่ลากเสียงยาวเกิน ทำให้พอเหมาะ รสสระ เสียงสั่นก็ออกเสียงสระ ทีฆสระ เสียงยาวก็ออกเสียงยาวและไม่มีทำนอง และตรงกับสรภัญญะ สร คือ สระ ภัญญะคือคำกล่าวก็ออกเสียงให้ตรงกับสระ นี่คือผู้รู้จะเร่งกล่าวสาธยายอะไรออกมาก็ตาม จะสวดก็ตาม การสวดคือเอามาพูดเป็นเหมือนๆกันเท่ากับที่ท่องจำไม่ได้ คนที่จำคำของพระพุทธเจ้ามาพูดออกมาได้เหมือนกับพระพุทธเจ้าทุกอย่างคือการสวด แต่คนที่เอามาบรรยายคือจำได้ด้วย อาจจะไม่ถึงกับคำต่อคำ แต่ไม่ผิดจากเนื้อหา อธิบายได้ สังวัธยาย _ทนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล : พล.อ ประยุทธดีที่สุดแล้วในยุคนี้..ถึงแม้อาจจะไม่ดีพร้อมทุกอย่าง..เพราะใจของพวกเราเอาแต่ใจของตนเอง พอไม่ได้ตามต้องการก็บอกไม่ชอบไม่ดี.. ท่านประยุทธไม่สามารถทำตามใจคนไทยทุกคนได้.. ที่น่ากลัวมากที่สุดคือนายกที่ชอบสร้างภาพ เบื้องหน้าสวยหรู เบื้องหลังโกงบ้านโกงเมือง มีปัญหาตามมา..ต้องทำรัฐประหาร..บ้านเมืองวุ่นวายเสียเลือดเนื้อและชีวิต…. พ่อครูว่า…อะไรก็ทำตามใจคนทั้งหมดไม่ได้หรอก แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทำไม่ได้ มันซ้อนมากเลย คำว่ารัฐประหารคำเดียวนี้ เราข้ามผ่านรัฐประหารแบบโลกีย์ที่ต้องใช้อำนาจอาวุธมารัฐประหารอันนี้ concept เดิม แต่ทีนี้ ที่เราทำประหารมา 4-5 รัฐบาล ประชาชนนี่แหละทำรัฐประหาร แต่เขาไม่เชื่อว่าเป็นไปได้อย่างไร มือเปล่าประชาชนจะไปสู้กับปืนระเบิดได้อย่างไร อย่างทักษิณก็สั่งคนใต้อำนาจเขามาทำ แต่เขาก็สู้พลังของประชาชนไม่ได้ พลังประชาชนเอาอะไรไปรบ เอาความจริงกับความสงบ และความไม่รุนแรง บอกไปเลยว่าอย่างนี้ผิดอย่างนี้ถูก เอ็งผิดอย่างไร แล้วเราก็ได้แต่บอกความจริง ไม่รุนแรงไม่มีอาวุธตรงกับกฎหมายโลกเลย ประชาชนประท้วงหรือปฏิวัติก็ตาม โดยสงบไม่มีอาวุธ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดกฎทั่วโลกของประชาธิปไตย ประชาชนที่ปฏิวัติชเราไม่ผิดกฎหมายโลก ไม่ผิดกฎหมายสากล รบด้วยมือเปล่าไม่มีอาวุธ สงบเรียบร้อยทุกอย่างไม่ทำร้ายตอบเลยมีแต่คุณทำร้ายมา แล้วมันชนะเพราะพลังความถูกต้อง พลังความจริงของมวลประชาชนที่มีมากพอ คุณแทรกเข้ามาไม่ได้ ความผิดความไม่ถูกต้องของคุณ คุณจะแรงขนาดไหน มันก็แทรกมาในหมู่ชนนี้ ประเทศนี้แทรกเข้ามาไม่ได้คือถึงจะต้องไปอยู่นอกประเทศ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ ส.เดินดินว่า…พวกนักวิชาการก็คิดเช่นนี้ว่าเป็นคราบเผด็จการในประชาธิปไตย พ่อครูว่า…ยังมีคนเข้าใจว่าพลเอกประยุทธ์สร้างภาพ ถ้าหากรัฐประหารที่ทำมาเป็นการประหารด้วยอำนาจอาวุธด้วยความรุนแรงมีความเสียเลือดเนื้อ ฟังให้ดีตรงนี้ไม่ใช่เรื่อง ข่ม แต่ให้เกิดมีปัญญา ยอมแพ้ในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามจะต้องชนะ ไม่ใช่เอาชนะด้วยอำนาจบาตรใหญ่ อาวุธยุทธภัณฑ์ อำนาจความแรงทางรูปธรรม ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องความถูกต้องความดีงาม เป็นนามธรรมล้วนๆ คนต้องยอมให้ความถูกต้องชนะ คนไทยจึงเป็นคนที่มีภูมิธรรมชั้นสูง คนที่เป็นประชาชนคนไทยมีความเข้าใจแล้วมารวมกันเป็นมวลมหาศาล จากน้อยจนกระทั่งเพิ่มขึ้น เพิ่มจนกระทั่งสุดท้าย มีจำนวนหลายล้านคน ก่อเป็นรูปเป็นร่าง เขาก็บอกว่าอันนี้มันสามารถเรียกกำลังพล รวมคะแนนเสียงของประชาชนได้มากจริงๆ สุดท้ายก็ต้องแพ้ มันก็แพ้ไปตั้งแต่รัฐบาลเรื่อยๆที่เราทำไป รายละเอียดเหล่านี้ รัฐศาสตร์จะต้องศึกษาอย่างสำคัญ เพราะว่ามันเป็นสุดยอดของความเป็นประชาธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตยโลกุตระจริงๆ เดี๋ยวจะได้เข้าเรื่อง ประชาธิปไตยดีที่สุดต้องโลกุตระ _Mittee มิตตี : กราบเรียนถามพ่อครูครับว่า เคยได้ฟังพ่อครูได้สอนไว้ว่า เราต้องยอมเป็นผู้เแพ้ แต่เราไม่ยอมผิด การที่เรายอมเป็นผู้แพ้ ต่างจากเรายอมเป็นผู้ผิด หรือไม่ อย่างไรครับ แล้วเราควรเป็นผู้ยอมแพ้หรือเราควรยอมเป็นผู้ผิด อันไหนดีกว่าครับ…เพราะบางที เขาก็ว่าเราผิด …เราตรวจดูก็พบว่า เราก็ทำผิดไปจากที่เขากำหนดหมาย แล้วเราให้เหตุผลไปก็ไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ อาจเกิดการทะเลาะกันหากเราให้เหตุผลต่อไป เราก็เลยยอมแพ้ ก็คือเรายอมให้เขาว่าเราผิดก็ได้ เราทำกาย วาจา ใจอย่างนี้ คือยอมผิด อย่างนี้จะขัดแย้งกับคำสอนของพ่อครูหรือไม่ครับ กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงครับ พ่อครูว่า…เห็นทีต้องให้คุณไป พยายามพิจารณาว่าความผิดกับความแพ้มันเป็นสภาวะธรรมอย่างไร คุณต้องไปอ่านเอง อาตมาอธิบายให้คุณไม่ได้ คุณต้องไปอ่านจากสภาวะจริงเสมอ เกิดพฤติกรรมจริง ของมนุษย์ เหตุการณ์นี้มันก็มีสองแน่นอน เหตุการณ์นี้คนหนึ่งผิดคนหนึ่งแพ้ ไอ้ผิดกับไอ้แพ้ อะไรคืออะไร ควรจะอะไรเป็นอะไร สองคนนี้ ไอ้ผิดกับไอ้แพ้ มันคืออะไร เอาเนื้อหาแท้ๆ อาตมาก็ขอสรุปว่า เราไม่ผิด เรายืนยันแต่ความไม่ผิด ใครจะว่ายึดมั่นถือมั่นอย่างไรก็ตาม เรายืนหยัดยึดมั่นถือมั่นก็ได้ ความถูก เราไม่เอาความผิด แม้ว่าเราจะแพ้ แพ้ก็แพ้อยู่ในความถูก ทีนี้ ความจริง ถูกกับผิดนี้ มันมี 2 อย่าง 1.ถูกตามสมมุติ 2.ถูกตามปรมัตถ์ เราเอาปรมัตถ์เป็นหลัก ปรมัตถ์คือความไม่มีตัวตนเสียสละทุกอย่างให้คุณหมดเลย ก็คือแพ้ทุกอย่างเลย สัจจะความหมดตัวตนคือความถูกต้องที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น จะแพ้ก็ได้ให้คุณชนะไปเถิด คุณก็ได้เอาชนะ แต่คุณชนะนั้นคุณก็ได้อย่างที่เป็นอัตตาตัวตน ตอนนี้เราไม่มีอัตตาตัวตน เป็นโลกุตระ ก็จบตรงนี้ก็แล้วกัน ไม่รู้จะอธิบายยังไงเดี๋ยวสับสน เรื่องที่ยิ่งใหญ่ก็คืออันนี้ หากเข้าใจไม่ชัดเจนไม่แม่น คุณก็จะสับสนสลับไปสลับมายุ่งเลย เสร็จแล้วคุณก็ไปเข้าข้างนั้นเข้าข้างนี้เลยไม่ยืนหยัดในความถูกต้อง ฝ่ายที่ถูกต้องเสมอ เพราะปัญญาหรือความเฉลียวฉลาดไม่ชัดเจนในสิ่งที่ถูกต้อง เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน _ครูแยม :กราบเรียนถามพ่อครูว่า ถ้าเทียบกับความรัก 10 มิติ ผู้ที่จะมีความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง จะต้องจัดอยู่ในความรักมิติที่ 9 ขึ้นไปใช่หรือไม่คะ พ่อครูว่า…ไม่สูงถึงขนาดนั้นหรอก ในมิติที่ 7 ก็เริ่มแล้ว ถ้ามิติที่ 8 ก็แข็งแรง ถ้ามิติที่ 7 ก็เริ่ม เป็นประชาธิปไตยเป็นผู้ที่มีลักษณะความรักมิติที่ 7 นี้คือ เป็นเทวนิยม ในปรมาตมัน เทวนิยมนี้เขาก็มีความรู้ เขาก็มีความจริงของเขาอยู่เหมือนกันว่า เขารักมวลชนหมดทั้งหมดเลย แต่เขารักนี้เขายังเป็นตัว อยู่นะ เขารักมวลชนหมดเลย แต่เขาเป็นคนช่วยเขาเป็นคนยิ่งใหญ่ แล้วเขายอมช่วยๆๆ ผู้อื่นหมดเลย แต่เขาก็ยังเป็นหนึ่ง อยู่เลย พวกประชาธิปไตยของนักปรัชญา เพลโต โสเครติส เป็นประชาธิปไตยแบบ เทวนิยมแบบแนวระนาบ ยังไม่เกิดหมุนรอบ และก็ไม่รู้จักซ้ายขวา ยังแค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยเทวนิยมหรือประชาธิปไตยขาเดียว ประชาธิปไตยของศาสนาที่ยังไม่เป็นพุทธ ยังไม่เป็นอารยะนิยม ก็ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ตรงนั้น ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในประชาธิปไตยขาเดียว ที่จริงน่าจะเรียกว่าประชาธิปไตยตาเดียว กับประชาธิปไตย 2 ตา ประชาธิปไตยตาเดียวก็เห็นแค่มิติของตาเดียว แต่ถ้าหากเขามี 2 ตา เขาจะเห็น 3 มิติ 4 มิติไปได้ แต่ถ้ามีอยู่ตาเดียวจะเห็นแค่มิติ 1 กับ 2 คนตาเดียวจะเห็นเพียงแนวระนาบจะไม่เห็นแนว 3 มิติ 4 มิติ เขาจะเห็นไม่รู้ถ้วนรอบ เขามีตาเดียวไม่เห็นรอบถ้วนเท่ากับตา 2 ตา เป็นประชาธิปไตยที่รู้ไม่รอบถ้วน _การฟังธรรมเมื่อวาน เรื่องประชาธิปไตยดีมากค่ะ เพราะถ้าเป็นแต่ก่อน พอได้ยินว่าจะเทศน์เรื่องนี้ เรื่องประชาธิปไตยก็จะนึกในใจว่าไม่ชอบไม่ค่อยอยากฟัง อยากฟังพระสูตร แต่เมื่อวานฟังแล้วเข้าใจเลยว่า ประชาธิปไตยก็คือต้องมาปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยากตรงที่จะใช้ภาษาสื่อความหมายอย่างไรให้คนทั้งโลกรู้ โดยไม่รู้สึกว่านี่คือคำสอนของพุทธ พ่อท่านย้ำหลายครั้งว่าสิ่งที่ดีเลิศที่สุดในโลกนี้คือพุทธ คือคำสอนในพุทธศาสนาเท่านั้น คำตอบอยู่ตรงนี้ จุดเด่นของประชาธิปไตยคือสิ่งที่ทุกคนเรียกร้อง อิสระเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้เป็นผลของกรรมทั้งสิ้น ทั้ง 3 ภาพนี้(เป็นของฝรั่งเศส)เป็นผลของกรรมทั้งสิ้น ถ้าเชื่อผลของกรรม ทุกคนจะได้สิ่งสูงสุดเท่าๆกัน โดยอิสระจากสิ่งทั้งปวงในโลก และถ้าสามารถเข้าถึงจุดหมายปลายทางของพุทธศาสนา ทุกคนจะอยู่เหนือโลก ได้ยิ่งกว่า อิสระเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ดิฉันเห็นความยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนามากขึ้นมากขึ้น และเข้าใจสิ่งที่พ่อท่านพาทำ มากขึ้นมากขึ้นตามสติปัญญาที่มี และเห็นใจพ่อท่านว่าเป็นเรื่องยากมาก ที่จะฝืนใจคน ให้เข้าใจในเรื่องที่เหมือนยานอนหลับหรือยาขมหม้อใหญ่ เพราะว่าสังคมส่วนใหญ่ปฏิเสธศาสนา ทำอย่างไรเขาจะหันมาดู มาทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้และเขาจะได้สิ่งที่เรียกร้องคือประชาธิปไตย พ่อครูว่า…ก็ขอขยายความ ซึ่งเป็นความรู้ที่สากล แต่ของศาสนาพุทธที่อาตมาเอาบัญญัติ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติสิ่งเหล่านี้ ว่าประชาธิปไตย อาตมาบัญญัติ ก็ไม่ได้เรียกประชาธิปไตยตรงๆหรอก อาตมาบัญญัติเอาไว้ในสรรค่าสร้างคน คือ บรมภาวะสุดประเสริฐที่คนควรได้อธิปไตย อิสรเสรีภาพ (Independent) มีอิสรภาพพ้นอำนาจกิเลส . ภราดรภาพ (Fraternity) มีภาวะแห่งรักกว้างออกไปดุจดั่งญาติ สันติภาพ (Peace) มีภาวะสงบแท้ ไม่มีตัวเหตุเบียดเบียน สมรรถภาพ (Efficiency) มีความสามารถสรรสร้างประโยชน์สุข บูรณภาพ (Integrity) ปรับปรุงพัฒนาให้เจริญ ให้เต็มบริบูรณ์ สงบที่มีอิทธิฤทธิ์มากแต่ไม่ทำร้ายใคร ไม่รุนแรง สงบแล้วสยบผู้อื่นได้ โดยไม่มีความรุนแรงเลย เป็นความสงบที่สยบความรุนแรงได้ โดยที่ความรุนแรงยอมให้ความสงบสยบเอา สมรรถภาพเป็นพลังงานที่มีประจำตัว สมรรถภาพกับบูรณภาพ สมรรถภาพเป็น static บูรณภาพเป็น Dynamic สมรรถภาพเป็นตัวตั้ง มีพลังงานความรู้ความสามารถ บูรณะภาพนี้เสริมพัฒนาขึ้น ไม่ให้ตกต่ำ ไม่ให้เสื่อม ไม่ให้ลด 2 อันสุดท้าย ใน 5 ภาพนี้ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ สังคมไหนมีก็คือสังคมที่มีประชาธิปไตย จะมีรังสีของสุนทรียภาพและ สุญญภาพ รังสีแห่งความน่าชื่นชมสุนทรียภาพ ชวนชม สุญญภาพ คือสิ่งที่หมดที่จะมีภัยมีพิษ อะไร ไม่มีตัวตนสุญญภาพ ไม่มีพิษภัย มีแต่คุณภาพที่จะมีประโยชน์ ไม่มีพิษภัยมีแต่คุณค่าประโยชน์ พูดแบบนี้เหมือนความเพ้อฝัน เหมือนกับความเป็นสิ่งที่สวยงาม มองโลกสวย ใช้วาทกรรมหรูหรา มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่พูดนี้ แต่ขอยืนยันว่าเป็นไปได้และเราได้ปฏิบัติมาจริงแล้วด้วย เอาเถอะน่าอาตมาพูดนี้เหมือนการรื้อฟื้นเอาดีใส่ตัว เพราะเราได้ไปร่วมทำมา เราไม่ได้เป็นตัวใหญ่ ถ้าเราไปเป็นตัวหลักที่ยืนยันสัจจะ เป็นตัวเล็กๆที่ยืนยันท่ามกลางสนามรบใหญ่ คนมองไม่เห็นตัวด้วยซ้ำไป อย่างเช่นอาตมานี้คนตาดีถึงจะเห็นว่ามีโพธิรักษ์อยู่ในนั้น เขาก็จะเห็นหมู่ใหญ่ เห็นกองทัพของ กปปส. ของสุเทพ เทือกสุบรรณ เห็นพันธมิตรของ สนธิ ลิ้มทองกุล แต่เขาไม่เห็นโพธิรักษ์หรอก พูดเมื่อไหร่เขาก็ต้องพูดถึงพวกนี้แหละโดยเฉพาะของ กปปส. ของสุเทพ มาเป็นมวลนับล้านที่ออกมา เกิดจากพลังงานทางจิตที่เขาเห็นร่วมกัน ทำสิ่งร่วมกันเป็นมวลใหญ่ เป็นรูปโชว์ที่เต็ม ตัวที่เล็กก็ถูกลบไปเลย ตัวใหญ่เขาก็เห็นได้ชัดธรรมดา อาตมาไม่ได้สงสัย แต่ที่พูดนี้ไม่ได้รื้อฟื้นจะเอาดีใส่ตัว แต่เราเองร่วมกับอันนี้อยู่เรารู้ เพราะว่าอาตมาจำได้แม่นว่า อาตมาพาออกไปตั้งแต่ พ.ศ. 2549 ไปปักหลักที่สนามหลวง พาไหว้พระสวดมนต์ไปทางวัดพระแก้วก่อนเลย ทำงานตั้งแต่บัดนั้นมา กลับมาพักยกหลายยกและออกไปใหม่ อันนี้อาตมาจำไม่ได้หมดแต่มีหลักฐาน เหลือเวลาอีกน้อยเดียว หมด sms ก่อน เริ่มต้น ประชาธิปไตยดีที่สุดต้อง“โลกุตระ” (๗) รัฐศาสตร์ขั้นเทพนี้ “โลกุตระ” ใหญ่“กฎมณเฑียร”ประ- สิทธิ์สร้าง กับใหญ่“ปุ๊บ”ก้าวกระ- โดดปั๊บ ลัดเลย โม้..“เพื่อประชา”อ้าง เท็จแท้ปลอมจริง พระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ไม่ว่าของไทยหรือของชาติไหน เป็นผู้ที่ดูแลประชาชนทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่ละองค์จะดูแลประชาชนอย่างมีพระจริยวัตรอย่างไร ถ้าหากพระจริยวัตรนั้น ใช้ศัพท์พื้นๆ ว่าท่านช่วยประชาชนหรือรับใช้ประชาชน พูดให้ชัด ทำงานกับประชาชนช่วยประชาชน หรือไม่ช่วยได้แต่พูด ดูได้แต่ว่าไปเอาหน้าแล้วก็เสวยสุขไป นี่เป็นการเปรียบเทียบให้ชัดเจน พระเจ้าแผ่นดินก็มีลักษณะต่างกันอย่างนั้น ถ้าหากพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นผู้ที่ เป็นผู้ที่เลี้ยงดูประชาชนเหมือนลูก ช่วยเหลือประชาชนด้วยพระทัยเต็มเลย ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเลย ซึ่งเป็นความจริงที่แสดงออก เช่น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทุกประเทศจำนน ท่านทำมา 70 ปี เป็นผู้ที่ครองราชย์นานที่สุด Best Record ไปแล้วนะ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ครองราชย์ยาวนานที่สุดในบรรดาพระเจ้าแผ่นดินในโลก ยังไม่มีใครทำลายสถิติ ก็ต้องยอมรับกันทั้งโลก จึงต้องได้รับคำยกย่องว่า king of king อย่างนี้เป็นต้น ประเทศไทยมีของจริงอันนี้ เพราะมันเป็นยุคสมัย 2500 ปีมานี้ จะมีพระธรรมิกราชมาอุบัติ เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ในธรรม ท่านไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย ท่านเป็นผู้ที่เสียสละ เสียเปรียบ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราเสียนั่นแหละคือเราได้ …อะไรต่างๆนานา นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน…การรับใช้ของในหลวงเป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก ต่างประเทศดูว่าคนไทยทั้งประเทศเป็นลูกของในหลวง เป็นครอบครัวประเทศไทย ประชาธิปไตยดีที่สุดต้อง“โลกุตระ” (๑) ดีสุดของระบอบแท้ คือใด เป็น“ประชาธิปไตย” เลิศหล้า ซึ่งประกอบเงื่อนไข หลายหลัก ต้องไม่ต่ำกว่า“ห้า” นั่นแล้จึงจริง (๒) สำคัญยิ่ง“หนึ่ง”นั้น มีกษัตริย์ “สอง”ประมุขคู่รัฐ ชาติเชื้อ “สาม”พระจริยวัตร สืบสันต-ติวงค์แฮ “สี่”ทศพิธราชธรรมเกื้อ ราษฎร์พ้นภัยผอง (๓) สองขา..รัฐศาสตร์พร้อม อธิปไตย “ห้า”ขาดขาหนึ่งใด วิ่นแท้ “ประชาราชสมาศัย” นาม-รูป “หก”เฮย ครบ“เลือด,วิญญาณ”แล้ จึ่งถ้วนการเมือง (๔) เฟื่องประชาธิปัตย์แข้(แค่) หนึ่งขา โดย“เลือก”ประธานา- ธิปติได้ เป็นใหญ่ปุ๊บขึ้นมา คัดสุ่ม เอาเลย แล้วใหญ่ในรัฐไซร้ ยิ่งผู้ใดเทียม (๕) ไม่เจียมเลยนั้นแค่ “วิธีการ” ใช่“กฎมณเฑียรบาล” สืบสร้าง “ทศพิธราชธรรม”ขาน ก็บ่ ได้..ฮา สร้างรักปกปักอ้าง ราษฎร์เอื้อมีฤา (๖) “สองขา”คือทั้ง“เลือด- วิญญาณ” ก่อกษัตริย์ขึ้นบริหาร ทวิไท้ ต่างจากท่านประธาน อธิปติ มากแล ใหญ่“ปุ๊บ”แต่ล้วนไร้ ชาติเชื้อ“กรรมพันธุ์” (๗) รัฐศาสตร์ขั้นเทพนี้ “โลกุตระ” ใหญ่“กฎมณเฑียร”ประ- สิทธิ์สร้าง กับใหญ่“ปุ๊บ”ก้าวกระ- โดดปั๊บ ลัดเลย โม้..“เพื่อประชา”อ้าง เท็จแท้ปลอมจริง “สไมย์ จำปาแพง” ๑ ก.ค. ๒๕๖๐ [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ ๓๒๔ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐] สู่แดนธรรม..สมัยผมเป็น นศ. ก็มีความคิดไปตามบทวิจารณ์ของคุณจิตร ภูมิศักดิ์ เขาเขียนว่าถ้าไปเกิดเป็นกษัตริย์แล้วก็ได้มาเป็นผู้บริหาร เขาถือว่าไม่เสมอภาค ก็เลยไม่เห็นด้วย ถ้าว่ามีโอกาสไปเกิดในราชวงศ์ ถึงจะได้ศักดินาอย่างนั้น ถ้าหากว่าเขายังอยู่ พ่อท่านจะพูดกับเขาว่าอย่างไร พ่อครูว่า..ก็บอกว่าดูสิ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านใช้ศักดินาที่ไหน ท่านรับใช้ประชาชน คุณไปทั่วประเทศเท่าท่านไหม คุณจิตร ภูมิศักดิ์ ไปมาเท่าไหร่ ทำไปทั่วประเทศเท่าท่านไหม คุณทำได้มากเท่าท่านไหม นี่คือความจริง เอาความจริงที่เป็นจริง ฟีโนมีนอน ปรากฏการณ์เกิดจริงเป็นจริงอันนั้นแหละมายืนยัน สู่แดนธรรม. พ่อครูว่า..จิตร ภูมิศักดิ์ ก็ดีเป็นก้าวที่พัฒนาขึ้นมาขั้นหนึ่ง จากที่เป็นเรื่องของศักดินามากทุนนิยมจัดขึ้น มาตอนนี้ก็ระดับนึงใช้ได้ แต่สูงกว่าที่จิตร ภูมิศักดิ์ ทำนั้นมีอีก อย่างพวกเราทำ ขออภัยไม่ได้ไปยกตัวข่ม จิตร ภูมิศักดิ์ อาตมาใช้นามปากกาว่า จิตร เหมือนกันนะ สมณะเดินดิน สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin4 กันยายน 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:หนังสือรวมเปิดยุคบุญนิยม (เล่ม ๑) เป็นการรวบรวมเนื้อหาจากคอลัมน์“เปิดยุคบุญนิยม” โดยเก่าสมัย ใหม่เสมอ (สมณะโพธิรักษ์)NextNext post:630906_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทยนิยมคือไฉนRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024