ส.ค.312020ศาสนา630831_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 6 อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1x98kXNub2-wJfffOCGU5gkhKemuxkqSDzyPMCu-sNA4/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1A_mZk90jC0V0lq36YGJm_mFMS5DDHAVD/view?usp=sharing ยูทูปที่ สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่ บวร ราชธานีอโศก พ่อครูว่า … เริ่มที่ไหนก่อนดี _แซมดิน สันติอโศก…ที่สันติอโศกยังคงปิดอยู่ ในสถานการณ์ covid 19 แต่มีโรคอื่นมาแทรกด้วย คือ ชิกุงกุนญ่า เป็นกันถึง 22 คน ร้านค้าเราก็คัดกรอง โควิดอยู่ ตอนที่พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้น ศาสนาพุทธก็หมดไปแล้วไม่มี แต่ทำไมคนสมัยนั้น เมื่อมีพระพุทธเจ้าขึ้นมาก็มีความศรัทธา และมาพบกับพระพุทธเจ้าครั้งละเยอะๆก็มี ครั้ง]ละ 500 ก็มีเทียบกับปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ยังมีพระไตรปิฎกอยู่ การเทศน์ก็เทศน์ตรงตามกับพระไตรปิฎกแต่คนไม่มา หรือมาน้อย มีแต่ผู้ที่สนใจจริงๆที่จะปรับเปลี่ยนชีวิตจิตวิญญาณ และเมื่อมาแล้วก็ประพฤติปฏิบัติได้ผล ดีสำหรับทุกคนที่มา เป็นที่ประจักษ์ในสังคมโลก พ่อครูว่า…ยุคพระพุทธเจ้า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะอุบัติขึ้นมาประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้าคนก็ยอมรับ คนก็เข้ามานับถือ แต่ในยุคนี้ พุทธศาสนามีอยู่ พระไตรปิฎกก็ยังมี แต่เมื่อมีผู้ประกาศศาสนาอย่างพระโพธิสัตว์ อย่างอาตมา ก็ยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง แต่คนก็ไม่มาเพราะอะไร มันเป็นเพราะบารมีไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมา ท่านมีบารมีมาพร้อม เมื่อมีบารมีมาพร้อม คนที่จะเกิดร่วมกับยุคพระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นคนที่มีภูมิธรรมเป็นโลกุตระมาพร้อม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่จะฟังเทศน์กัณฑ์เดียวก็บรรลุ มาทีละหมู่มวลเยอะ ไปเทศน์โปรดกลุ่มนั้นกลุ่มนี้บรรลุพร้อมทีละ 500 ทีละ 1,500 อะไรอย่างนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีบารมีมาเกิดในยุคนั้นพร้อมกัน แม้แต่เป็นสหชาติก็มาเกิดร่วมกัน พระอานนท์ ม้ากัณฐกะ พระนางพิมพา เป็นสหชาติที่ต้องมาเกิดร่วมกันพร้อมกันเป็นต้น เป็นเรื่องไม่ใช่บังเอิญ เป็นเรื่องที่สั่งสมบารมีมาทุกคน เมื่อมาถึงในยุคนั้นเวลานั้นต้องมาพร้อมกัน พระพุทธเจ้ามีความพร้อมที่สุด ลักษณะพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นทุกอย่างก็จึงง่ายพร้อม ทีนี้ ยุคนี้ ผ่านมา 2,600 ปี พอมาถึงในยุคนี้ ความเสื่อมมันมีไปจนเรียกได้ว่าหมดเลยนะ อาตมาว่าหมดโลกุตรธรรมแล้ว ที่นี้อาตมาอุบัติขึ้นมา อาตมาก็ยืนยันว่าเป็นผู้นำสัจธรรมนั้นมา ที่เป็นธรรมะพุทธเจ้า เป็นโลกุตรธรรม เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ยืนยันจริง เมื่อประกาศขึ้นมา บารมีของอาตมาก็ไม่มีมาก นอกจากไม่มีบารมีแล้ว ยังมีสัมภาระวิบาก ยังมีวิบากที่ต้องรับภาระ ยืนยันพิสูจน์ความจริง เอาความรู้ เอาคำอธิบาย เอาสัจจะนี้มาขยายให้คนในยุคนี้ ที่เขาแสวงหา เขายังพอมีปัญญา เขาจะรับได้จริง เขาก็จะรับได้ จึงมีผู้รับได้บ้างมีบารมีพอจะรับได้ก็มีมาไม่เร็วช้า 50 ปีก็ได้แค่นี้ พระไตรปิฎกก็ยืนยันตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เดี๋ยวนี้ก็ยังยืนยันต่อไปอีก ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ใช้พระไตรปิฎกฉบับนี้ยืนยัน ที่มีบกพร่องก็ไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์หรอก นอกนั้นก็ใช้ได้กว่า 95 เปอร์เซ็นต์ พระไตรปิฎกฉบับนี้ เมื่อทำได้ไป 50 ปีได้แค่นี้ก็ยังไม่ค่อยได้มาก คนก็ยังไม่เชื่อว่าจริงหรือแค่นี้ คนในโลกมีตั้ง 7 พันล้าน เป็นชาวพุทธสักเท่าไหร่ จึงต้องยืนยันความเพิ่มให้มากให้อยู่ให้นานถ้าหากเป็นความจริงมันจะยิ่งเสถียร ยิ่งนานไปจะยิ่งเสถียร ถ้าหากความไม่จริงมันจะไม่เสถียร คุณจะได้เห็นได้จริงได้ชัดมากขึ้น มันจะเป็นอย่างนั้น อาตมาจึงพยายาม มันก็ย้อนแย้ง อาตมาขันธ์มันก็หมดอายุแล้ว ก็เลยพยายามลากสังขาร ปฏิสังขร ให้อยู่ยืนยาวนานไปให้ได้ พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยการใช้อิทธิบาทใช้โพชฌงค์ ให้อายุยืนยาวต่อไปได้อีก เพื่อพิสูจน์ธรรมะอันนี้อีกด้วย ทำงานด้วยพิสูจน์ยืนยันธรรมะพระพุทธเจ้าด้วย ประกาศธรรมะพระพุทธเจ้าออกไปด้วยพิสูจน์ความจริงว่า จะลากสังขารต่ออายุขัยได้อีก อย่างนี้เป็นต้น ก็ทำทุกด้าน ตอนนี้ก็ยังทำได้อยู่ก็ทำต่อไป มันก็จะเจริญขึ้นหรือมันจะเสื่อมลงก็ดูต่อว่า นี่อายุอาตมา 87 ซับซ้อน ความสดของนามธรรมสดแรงขึ้น แต่สรีระรูปขันธ์ตามไม่ทัน มันก็พยายามนะ มันก็เลยเป็นสภาวะที่ฉุดกันหน่อย อาตมาจึงเมื่อยเร็ว นามขันธ์ไปเจริญเร็วกว่ารูปขันธ์ ตอนนี้ต้องปรับตัวเองไม่ให้นามขันธ์มันไปเร็วกว่ารูปขันธ์มากเพื่อไม่ให้สูญเสียพลังงานอย่างนี้เป็นต้น นี่คือความรู้ที่อาตมาขยายให้ฟัง แล้วก็พิสูจน์กันไป ทั้งที่สุดต่ออายุขันธ์ และยืนยันพิสูจน์ทำงานเผยแพร่ประกาศ และยืนยันว่าคนในโลกนี้จะมองเห็นโลกุตรธรรมนี้เพิ่มขึ้นอีกได้ไหม เจริญขึ้นก้าวหน้าขึ้นหรือว่าเสื่อมลง แต่ถ้าที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ อาตมาเห็นว่ามันยังไม่เสื่อมนะ มันยังเจริญขึ้นก้าวหน้าขึ้นอยู่ อาตมาเห็นอย่างนั้นนะคนอื่นจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่รู้ _แซมดิน พระพุทธศาสนามีคนที่บรรลุธรรมมากมายนับจำนวนมากกว่าเม็ดกรวดในมหานที แล้วทำไมผู้ที่บรรลุมรรคผลแล้ว ไม่มาเกิดในยุคที่ลำบากอย่างนี้เยอะๆ เพื่อที่จะได้ช่วยกันไม่ให้คนลำบาก เดือดร้อนขนาดนี้ แต่กลับไม่ได้มาเกิด เลยไม่ได้ช่วยมันยังขาดโอกาสอันนี้ ทำให้ผู้มาเกิดในยุคนี้ก็เลยทำตามกิเลสของตัวเองมากมาย เบียดเบียนกันเดือดร้อน เพราะว่ามาเกิดแล้วก็ไม่ได้ทุกข์อะไรมากมายแล้ว พ่อครูว่า..ตอบไม่ต้องยาว เพราะเหตุปัจจัยของแต่ละคนหรือบารมีของแต่ละคนมันยังไม่ถ้วนยังไม่ถึง หลายคนอยาก อยากให้คนไปตามที่อยากได้ด้วย แต่ไม่ใช่พลังอยากจะดึงได้เท่ากับสิ่งที่มีจริง พลังสิ่งที่คุณมีจริงจะนำไปได้ดีกว่า คนที่อยากแต่มีแต่ อภิชัปปา เช่น คุณแซมดินกำลังจะมีความอยากล้ำหน้าในสิ่งที่ไม่เป็นจริงตอนนี้มันไม่ถ้วนรอบ ก็เป็นอภิชัปปา เพราะว่าเหตุปัจจัยมันยังไม่สมบูรณ์ยังไม่พร้อม คำตอบที่ชัดเจนที่สุด เป็นความอยาก อภิชัปปา คนอื่นก็คิดอยากอย่างคุณได้ แต่ความจริงมันไม่ใช่เหตุปัจจัยที่ครบพร้อมมันก็เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องให้เหตุปัจจัยครบพร้อม เหตุปัจจัยจะครบพร้อมก็ต้องเกิดจากเรา 1 คนนี้แหละต้องรีบทำ คนอื่นๆที่รู้ด้วยกัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือรีบทำกรรมของตัวเองให้มันเป็นโลกุตรธรรมมากขึ้นๆ มันก็จะเป็นหลักแล้วรวมกันเกิดการพัฒนา ทุกอย่างเกิดจากกรรมทั้งนั้น อย่างที่ได้เข้าใจอย่างนี้ก็ดีแล้วแต่ละคนอย่าดูดาย พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญความเนิ่นช้า ความเฉื่อย ปปัญจารามตา ท่านสรรเสริญความเร็วหรือความครบพร้อมเต็มที่ ถ้าเรื่อยๆเฉื่อยๆไม่ดี พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม มันไกลกันเลยที่ถาม _สู่แดนธรรม ผมยังเคยถามไปอย่างนี้พ่อท่านเคยตอบว่าพวกคุณยังไม่มีภูมิจะรับได้มันก็จะได้แค่นี้ ก็ต้องทำตัวเองให้สูงและลึกพอ จึงเป็นอัตราส่วนไปด้วยกันที่จะทำให้ พ่อท่านสอนธรรมะได้ พ่อครูว่า…มันต้องได้สัดส่วนพอเหมาะพอดี อาตมา _SMS วันที่ 30 ส.ค. 2563 _พันธุ์ พอเพียง : วันนี้ได้พูดคุยกับแม่บ้านว่า ถ้า ชมร.จตุจักรต่อสัญญาเช่าที่ไม่ได้ กระผมจะขอมาอยู่บ้านราชฯ แบบล่วงหน้ามาก่อน แล้วให้แม่บ้านจัดแจงเรื่องการขายที่ที่อยุธยา แล้วตามมาอยู่ด้วยกันที่บ้านราชฯ สมาชิกที่บ้านผมมี 5 คน จะมาบ้านราชฯ 3 คนครับ อีก 2 คนกำลังตัดสินใจอยู่ครับ กราบรายงานและกราบนมัสการครับ พ่อครูว่า…คุณพันธ์ุ เข้าใจชีวิต ว่ามันมีสัปปายะ 4 มันต้องมาอยู่ร่วมกันอย่างนี้ ที่นี่เปิดทางยินดีรับ แล้วตัวเองก็มันน่าจะมาได้ ก็ต้องจัดแจง นี่คือพฤติการณ์ ของมนุษยชาติที่ศึกษาแสวงหา แล้วก็เห็นทิศทางเห็นความเป็นไปได้ อย่างชาวอโศกเป็นสังคมเปิด สาธารณโภคี ทุกคนมีอิสระเสรีภาพที่จะเข้ามาร่วมเป็นมวลสมาชิกได้ แต่คุณต้องเป็นคนสำคัญ คุณจะมีภูมิถึง มีคุณสมบัติพอจะเป็นคนที่นี่ได้ไหม ถ้ามีพอ ที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าผู้มีศีลแล้วก็จงมา ก็ต้องมีคุณธรรมพอ ถ้าไม่มีคุณธรรมเลยเข้ามาไม่ได้ในถิ่นนี้ คุณจะมาอยู่ก็ไม่ได้ ที่นี่ไม่ปฏิเสธหรอก แต่คุณจะอยู่ไม่ได้เองเป็นสัจจะของมัน อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็จะมีคนเช่นนี้อยู่ ครอบครัวของคนเช่นนี้ก็จะคงจะมีหลายครอบครัวขณะนี้ ที่เขากำลังประมวลตัวเองอยู่ แล้วก็คงจะไม่พร้อมพรัก เหมือนคุณที่พูดกันรู้เรื่อง แต่ทีนี้ใครจะมาได้หรือมาไม่ได้อย่างไร ถ้าไม่มา เขาจะเอาวัตถุสมบัติก็ให้เขาไปหมดเลย ที่นี่ไม่ต้องเอาวัตถุสมบัติมาก็ได้ เอาแต่ตัวมา _ฐปะนีย์ บุราไกร : กราบพ่อท่านค่า การปฏิบัติธรรมหากว่าชาตินี้เราปฏิบัติบรรลุได้จนเป็นโสดาบัน, สกิทาคามี, อนาคามี, อรหันต์ แล้วถ้าเกิดชาติต่อไปเราจะยังคงได้ธรรมะและจะก้าวหน้าด้วยสัญญา และจะเจริญต่อไปตามชาติต่าง ๆ เป็นไปได้ไหมคะพ่อท่านคะ พ่อครูว่า…ได้ และมันมีตัวชี้บ่งคือ คุณธรรมที่คุณได้อรหัตผลถึงขั้นไหน โสดาบันก็มีแล้ว โสตาปันนะ อวินิปาตธรม นิยต สัมโพธิปรายนะ อรหันต์ก็เช่นกันต้องมี 4 ขั้นเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นคำที่ใหญ่กว่า โสตาปันนะ อวินิปาตธรม นิยต สัมโพธิปรายนะ ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนนั้นสั่งสมบารมี และเที่ยงหรือไม่ เที่ยงคือเกินครึ่งแล้ว เช่นโสตาปันนะ อวินิปาตธรรม 2 ขั้น ขั้นที่ 3 นิยตะ เที่ยง ขั้นที่ 4 อย่างไรก็ไหลไปหาที่สูง หากคุณมีภูมิถึงนิยตะ คุณมาได้แน่ แต่ถ้าไม่ถึงนิยตะ ต้องใช้พลังงานเสริม เช่น อวินิปาตธรรม ยังขึ้นลงๆคุณก็ต้องขึ้นให้ข้ามเขตเลย 50 ไป 65 ไป 75 นิยตะมันก็จะเกิดพลังงานจริงตามความเป็นจริง คุณก็จะต้องผ่านมันได้จริง ขั้นตอนเหล่านี้อธิบายไปก็คงจะไม่ยาก อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ถือว่าเป็นอุดมศึกษา อาตมาสอบเข้าขั้นอุดมศึกษาได้ โพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 ถือว่าเป็นชั้นประถม ชั้นประถม 1 2 3 4 จบเป็นพระอรหันต์ ก็จบชั้นประถม พอมาเป็นอนุโพธิสัตว์แล้วมาเป็น อนิยตโพธิสัตว์ อันนี้เป็นมัธยม คุณก็ต้องมาเพิ่มภูมิเป็นอนุโพธิสัตว์ และเป็นอนิยตโพธิสัตว์ จนข้ามขั้นอนิยตะได้ก็เข้าอุดมศึกษา เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ผ่านเข้าอุดมศึกษาได้ จากนิยตะ จึงจะเป็นมหาโพธิสัตว์แล้วไปเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องมีคุณสมบัติพวกนี้จริงๆ อย่างถูกต้องด้วย สู่แดนธรรม…ฟังถึงตรงนี้คงมีคนตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรจะรู้ว่าเราเที่ยงแท้ พ่อครูว่า..ไม่ง่าย คุณต้องรู้โดยปัจจัตตัง รู้ได้โดยภาษาพยัญชนะก่อนได้ ถ้ารู้ทางภาษาความหมายก่อนมันก็จะช่วยให้เรารู้สภาวะได้ง่ายขึ้น หากว่าภาษาบัญญัติคนก็ไม่รู้ สภาวะมาเลยมันก็ไม่ง่าย ถ้ามีทั้งสองสภาพมันก็จะช่วยกัน เพราะฉะนั้นต้องศึกษาทั้งภาษาศึกษาปริยัติทั้งปฏิบัติ ต้องมีทั้งสองส่วนเสมอ ให้ได้สัดส่วนพอดี จะได้ความเจริญตามลำดับที่น่าอัศจรรย์ไม่กระฉึกกระฉัก จะราบลื่นไปเหมือนฝั่งทะเล ผู้มีปัญญาคมก็จะปฏิบัติอย่างราบรื่นไม่กระตุกเกิดจาก อย่างเช่นพระพุทธเจ้าสายปัญญาใช้เวลาบรรลุ 20 อสงไขยกัปเศษแสนมหากัป ส่วนพระพุทธเจ้าสาย ศรัทธานั้นใช้เวลา 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนพระพุทธเจ้าสายวิริยาธิกะนั้นใช้เวลา 8-15 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป นิยตะ แต่สภาพที่เที่ยงแท้ แม้จะมีสภาพที่ ยึกยัก ก็เป็นลิงลมอมข้าวพองแม้พระพุทธเจ้าก็มีสภาพนั้น เพราะพลังงานของโลกมีฤทธิ์ครอบงำ ทำให้ตกอยู่ในอำนาจของโลกชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่เนื้อแท้มีจริงแล้วก็ดึงไม่ลงหรอก ก็จะต้องตื่นมาเป็นตัวเองจนได้ อย่างนี้เป็นต้น อย่างอาตมาก็มีลิงลมข้าวพองพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็มี ก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่าถึง 6 ปี ถูกครอบงำ สมเด็จพ่อครอบงำอยู่ตั้ง 29 ปี แม้ 29 ปีแล้วก็ยังมาถูกลิงลมข้าวพองหลงปฏิบัติผิดไปถึง 6 ปี พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ใหม่ แต่เป็นสัมมาสัมโพธิญาณเก่าทั้งนั้น แม้กระทั่งการทบทวนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 แต่ก็เป็นเตวิชโชของท่านเอง แต่คนไปเข้าใจว่าเป็นการปฏิบัติ ถ้าคนไม่มีภูมิธรรม คุณจะไปนั่งระลึกชาติอย่างไรก็ได้แต่ชาติเก่าๆที่คุณไม่บรรลุ คุณสามารถบรรลุได้เท่าไหร่ก็เท่ากับที่คุณได้บรรลุมาแล้ว การนั่งเตวิชโชไม่ได้เพิ่มอะไรขึ้นมาหรอก หากคุณยังไม่เก่งก็ระลึกได้ไม่ครบ แต่สามารถระลึกสิ่งที่คุณได้คุณมีได้บ้างแล้วก็ระลึกได้ไปเรื่อยๆ มันไม่ได้เก่งแบบพระพุทธเจ้าที่ระลึกใช้เวลาแค่ 3 ยาม เท่านั้น ขนาดพระพุทธเจ้าต้องใช้เวลาตั้ง 3 ยามถึงจะระลึกได้ แล้วยังใช้เวลาอีก 49 วันในการทบทวน อาตมาบอกไว้ก่อน ว่าอาตมายังไม่หมดของเดิมจะเอาออกมานะ _นิมนต์จิบน้ำ _ศาลีอโศก…นุ่มลึก..รายงานบรรยากาศ คุณเทียนเพชร ถาม สายเจโตจะเอาประโยชน์จากสายปัญญาได้อย่างไร สายปัญญาจะเอาประโยชน์จากสายเจโตได้อย่างไร พ่อครูว่า..สายเจโตก็ต้องคบคุ้นกับสายปัญญา คนคบคุ้นกันก็จะได้รับความรู้จากกัน ปัญญานี้รับรู้ก่อนฟังมารับมาแล้วเอาไปปฏิบัติก็จะเกิดกายวาจาใจ ใจก็คือตัว เจโต สายเจโตต้องปฏิบัติให้เกิดแม้คุณไม่มีปัญญาจะปฏิบัติให้คุณเข้าใจจะต้องมีตัวนำที่เป็นสัมมาทิฏฐิก่อน ทิฏฐิคือความเข้าใจ ปฏิบัติจนเกิดเป็นสภาวะคุณก็จะเกิดการรู้ รู้ด้วยการกำหนดรู้ พอเต็มก็จะเป็นปัญญา ทิฏฐิก็เป็นตัวนำทำให้เกิดความเข้าใจปฏิบัติให้เกิดปัญญา สรุปแล้วก็คือ คุณเจโตก็ต้องคบกับคนที่มีปัญญา คือคนที่ฉลาดมีความรู้ คุณเจโตอยากจะได้ปัญญาไปคบกับคนขายก๋วยเตี๋ยว ก็ไม่ได้ปัญญา คุณเป็นคนมีปัญญาต้องคบกับคนเจโตก็จะได้ เจโต คือ ตัวหลุดพ้น เช่น วิมุติ คือตัวหลุดพ้น วิมุตติญาณทัสสนะก็คือเป็นตัวรู้สิ่งที่หลุดพ้นอย่างนี้เป็นต้น _คนขยันจริงคือใครคะ พ่อครูว่า…เป็นความลับนะ คนขยันจริงคือ ดูความขี้เกียจของเราเอง ถ้าเห็นความขี้เกียจของเราแล้วรู้แล้วว่ามันขี้เกียจ แล้วคุณรู้สึกตัวสำนึกขึ้นนั่นแหละคือคนขยันจริง ชัดเจนไหม คุณจะไปรู้จักคนอื่นไม่จริงหรอกให้รู้ตัวเอง คุณก็ต้องดูว่าขยันคืออะไรขี้เกียจคืออะไรแล้วก็ดูที่ตัวเอง อันนี้เราขี้เกียจนี่นา ไม่ได้ ต้องแปรเปลี่ยน คุณต้องเข้าใจแล้วขยันขึ้น คุณก็ต้องขยันขึ้นอย่างนั้นแหละคือคนขยัน ขยันคืออะไร คนขยันคือใคร ฉันเอง ฉันเอง มากหรือน้อยก็อยู่ที่ตัวคุณ คุณจะไปรู้คนอื่นแทนกันก็บางคนขยันหลอกลวง บางคนขยันด้วยกิเลส อย่างนี้ไม่เข้าท่าอะไร ขยันด้วยกิเลสขยันหลอกลวง แต่เราขยันจริงๆนี่ตัวของเราเอง รู้อันนี้ให้ชัด เข้าใจชัดเจนเห็นความจริงขึ้นมา ต้องดูอาการขยัน อาการของความขี้เกียจคืออะไรแค่นี้ก็ต้องรู้แล้ว เด็กๆก็รู้แล้ว ผู้ใหญ่ถ้าไม่รู้ขยันกับขี้เกียจแค่นี้แยกไม่ออกก็คงจะปฏิบัติธรรมไปไม่ถึงไหน ไพรศีล..อยากทราบว่าเราจะแยกกายแยกจิตอย่างไร พ่อครูว่า…แยกกายแยกจิตไม่ใช่เรื่องง่าย อุปัชฌาย์ที่ดูแลลูกศิษย์ พระพุทธเจ้าจึงให้มีวินัยกำชับกำชาเลยว่าให้มีความรู้ที่มีการแยกกายแยกจิตได้ แล้วก็ต้องสอนบอกวิธีแยกกายแยกจิตให้กับสัทธิวิหาริก ต้องอธิบายอันนี้ให้ฟังเลยทีเดียวจะได้นำไปเป็นหลักในการปฏิบัติ ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ ถ้าแยกกายแยกจิตไม่ถูกต้องไม่สัมมาทิฐิ ปิดประตูเลยไม่มีทางที่จะไปนิพพาน สำคัญที่สุดเลยกายกับจิต แยกกายแยกจิตสำคัญที่สุด อธิบายให้ฟังเล็กน้อย คำว่า กาย คือสภาพ 2 และคำว่า กายต้องมีภายนอกเป็นหลัก ต้องมีเกี่ยวข้องกับภายนอกเป็นหลัก แต่กายนั้นจะไม่มีภายในไม่ได้ ต้องมี 2 เสมอ ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ทีนี้ คำว่า กายนี่ พระพุทธเจ้าท่านใช้พยัญชนะให้ทำการศึกษาว่า ถ้าสิ่งที่ไม่เป็นกายแล้วนี่ คือมันก็ขาดจากชีวะ ขาดจากเวทนา ขาดจากชีวะ สิ่งที่เป็นธาตุรูปนามหรือธาตุจิต ธาตุกาย เมื่อธาตุของคุณนี้ กลายเป็นอุตุธาตุดินน้ำไฟลม แน่นอน เมื่อนั้นมันไม่ใช่กายเด็ดขาด มันไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึก ไม่เป็นชีวะ ชัดเจนที่สุดว่านี่คือการทำให้มันเป็นอุตุได้ มันก็หมดความเป็นกาย ทีนี้ มันยังติดกับชีวิตหรือชีวะของเรา ท่านก็ให้เรียนรู้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จะเอาส่วนใดมาอธิบายก็ได้ ตรงไหนเป็นกาย ตรงไหนไม่ใช่กาย เช่นเล็บ ถ้าเล็บมันติดอยู่ที่ตัวคุณมันก็เป็นชีวะ มันมีประสาทสัมผัส มันมีเซลล์ มันมีอาหารไปเลี้ยง มันก็โต มันก็เจริญได้ แต่เล็บที่มันไม่เกี่ยวข้องกับจิตแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัส ส่วนนั้นไม่มีเวทนา เรียกว่าส่วนนั้นไม่ใช่อุตุแต่เป็นพีชะ เป็นชีวะเป็นพืชแต่ไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึก ไม่มีบาปเป็นภัย ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีรัก ไม่มีชัง เล็บของคุณยาวออกมานี้มันไม่เจ็บ มันไม่รู้สึกอะไรหรอก ที่มันเลยจากประสาทออกมามันก็จะเป็นชีวะอยู่ อาหารไปเลี้ยงมันก็ยาวไปได้ คนตายแล้วอาหารมีเลี้ยงอยู่มันก็ยังมีเล็บยาวได้ พลังงานมันยึดอยู่ คนตายแล้วไม่เน่า คนตายที่เล็บยังงอกอยู่เป็นคนที่ยึดถืออัตตาตัวกูของกูยังไม่ไปเกิด อันนี้เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก คนที่ไปบูชาเคารพอาจารย์ พระอาจารย์ที่ตายแล้วไม่เน่า เล็บก็ยังยาวผมก็ยังยาวอย่างนี้ พวกนี้โง่ด้วยกันทั้งคู่ อาจารย์ก็โง่แล้วก็สอนลูกศิษย์โง่ ก็เลยโง่ตามอาจารย์โง่ ตายไปแล้วนึกว่ายังขลัง ทั้งๆที่ตายแล้วก็ไม่รู้จักตาย ก็ยังยึดถือร่างกายตัวเองอยู่ไม่ไปไหน เป็นการยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้น พวกนี้ก็ไม่มีทางจะบรรลุอรหันต์ได้หรอก มันเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้เป็นต้น ถ้ามันแยกเป็นอุตุเป็นดินน้ำไฟลม มันก็ไม่ใช่กาย แต่ฐานที่เป็นพืช ก็เป็นฐานอาศัย มันมีชีวะอยู่ แต่เราสามารถทำให้เป็นอุตุได้เราก็ทำ ตายแล้วเราก็แยกเป็นอุตุ คุณเป็นพระอรหันต์ก็สามารถทำให้ธาตุจิตของคุณเป็นอุตุธาตุได้ แม้จะมีเศษส่วนเหลือเป็นพีชะบ้างก็น้อย พระพุทธเจ้าตรัสว่า ร่างของตถาคตเหมือนพวงมะม่วง เมื่อถูกตัดออกจากขั้วแล้ว พวงมะม่วงก็หล่นลงแตกกระจายเป็นอันไม่รวมกันอยู่ อาจจะมีลูกที่ติดพวงมะม่วงอยู่ลูก 2 ลูกก็ไม่ใช่พวงมะม่วงพวงนั้นแล้ว มันกระจายแตกออกไปกลายเป็นอุตุธาตุหมด อย่างนี้เรียกว่าทำลายจิตนิยามให้เป็นอุตุ ให้เป็นดินน้ำไฟลมได้นี่แหละคือการปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตั้งแต่ตอนเป็นๆก็ทำได้ จิตใจของเราไปติดอะไรอยู่ ติดในอบายมุขในสิ่งชั่วร้ายอะไรอยู่ เสร็จแล้วคุณก็ปฏิบัติจนจิตใจของคุณไม่เอาแล้ว ทำให้จิตตัวที่ไปติดยึดอันนี้มันตายไป จิตตัวนี้ตายเป็นอุตุธาตุ มันจะมีการติดยึด เช่นนักการเมืองขี้โกงก็ติดยึดความขี้โกง เมื่อนักการเมืองคนนี้รู้แล้วว่ามันชั่วมันไม่ดีก็ล้างจิตตัวเองออกจากการติดยึด จนจิตใจตัวเองไม่เป็นนักการเมืองขี้โกงอีก เป็นจิตใจของนักการเมืองดีจริงๆ คนนี้ก็บรรลุเป็นพีชะ หรือทำได้ถาวรเลยเป็นอรหัตตผลเลย ไม่แย่งลาภยศ ไม่ชิงลาภยศ ทำงานเพื่อประชาชน เสียสละจริงๆเลย ที่จะเคยได้ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่คุณรู้ทันแล้วคุณไม่ติดในสิ่งเหล่านี้ คุณก็ตาย จิตนิยามของคุณก็ตายจากกันนี้ กลายเป็นลาภยศสรรเสริญที่คุณเป็นอยู่นั้น นักการเมืองผู้นี้ก็เป็นนักการเมืองอรหันต์ นักการเมืองที่ไม่ติดใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ทำงานเพื่อเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พอเข้าใจไหมอันนี้ ไม่น่าจะยากนะ อย่างนี้เป็นต้น หรือเป็นพ่อค้า ก็ไม่เอาแล้วร่ำรวยขนาดนี้ เอาไปแบ่งแจกกระจายดีกว่า ก็เหมือนกันแหละ นักการเมืองพ่อค้าที่ร่ำรวย มีความรู้ความสามารถมาก ก็เหมือนกันแหละ ยากที่เขาจะวางมือ แต่เขาวางมือได้เขาเป็นอรหันต์ แยกธาตุจิตเป็นอุตุธาตุได้ อธิบายอันนี้กระจ่างขึ้นนะ _ศิลา ลุนสะแกวงษ์ : ชมทางไลน์ ที่ชลบุรีจัดเจนมากครับ _baดีชอบ ba (บาดีชอบ บา) : เป็นประชาธิปไตยทำไมถึง เนรคุณทักษิณล่ะ?? แถมยังเชียร์ลุงตู่อีก ว่าดี พ่อครูว่า…คุณคนนี้เป็นคนหลงผิด คิดว่าทักษิณเป็นคนดีเป็นประชาธิปไตย ที่จริงเราไม่ได้เนรคุณ เพราะว่าทักษิณไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้แก่อาตมาเลย (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม…ทักษิณพยายามยื่นมือเอาทุนเอาอะไรมาให้ แต่สุดท้ายก็เจอด่านแข็งของพ่อท่าน ไม่สามารถที่จะบริจาคเงินให้พ่อท่านได้ เพราะกฎเหล็กของเรา ถ้าคนไม่มาคบคุ้นมากพอ เข้ามาสัมพันธ์อยู่ 2 ครั้งก็ไม่ได้มาสร้างบุญคุณอะไร พ่อครูว่า…มีแต่เราให้ไป ครั้งหนึ่งก็ให้เรือไม้ ลำเล็กๆสลักว่าบุญนิยม อันที่ 2 ให้ กลด ที่ศีรษะอโศกให้ไป 2 อัน เป็นนิมิตบอกว่าให้เรือไปก็เลยไปลอยเท้งเต้ง น้ำท่วมโลกกระต่ายลอยคอ 2 ก็เลยได้อาศัยที่พักคือได้ กลด เป็นบ้านเคลื่อนที่ ระเหเร่ร่อนไปตามเรื่อง นี่มันเป็นนิมิตอันหนึ่งที่เขาได้ไปอย่างนั้น สรุปตรงนี้ อาตมาไม่ได้เนรคุณทักษิณ เพราะทักษิณไม่ได้มีบุญคุณอะไรกับอาตมา แล้วคุณจะไปหมายถึงว่าทักษิณเป็นเจ้าของประชาธิปไตย อาตมาต้องได้ประชาธิปไตยจากทักษิณสิ แล้วทักษิณมีประชาธิปไตยขี้หมาอะไร ทักษิณไม่มีประชาธิปไตยแต่เป็นเผด็จการที่ซับซ้อน ที่คนหลงคารมของแก ไปเป็นทาสโง่ ทักษิณไม่ใช่ตัวประชาธิปไตยเลย คุณยังไม่ตื่นเลยคุณยังหลับใหลอยู่เลย เราเชียร์ลุงตู่เพราะลุงตู่เป็นประชาธิปไตย แต่ทักษิณไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย ขออภัยให้คุณตั้งใจศึกษาให้ดีๆ _ด.ญ.พอเพียง…หนูเคยฝันว่าอยากจะจับมือหลวงปู่ แต่หนูเป็นผู้หญิงจึงจับไม่ได้ แล้วทำอย่างไรหนูจึงจะเป็นผู้ชายคะ พ่อครูว่า..อย่าไปอยากเป็นผู้ชายเลย ถ้าอยากมากๆแล้ว ร่างกายบารมีทางกายภาพมันไม่พอ มันจะกลายเป็นกะเทย อย่าไปอยากเป็นผู้ชาย แต่ให้สร้างคุณธรรมที่เป็น ปุริสภาวะ สร้างสภาพของเราให้แข็งแรง สร้างกายกรรมให้แข็งแรง สร้างวจีกรรมให้แข็งแรง สร้างมโนกรรม นี่แหละเป็นตัวทำจิตใจให้เข้มแข็งจิตใจที่แข็งแรงต่อสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ดีงาม สั่งจิตให้ถูกต้องบำรุงให้เก่งให้แข็งแรง อันนี้แหละจะนำให้เราไปสู่ปุริสภาวะ ที่จะเป็นชาย ถ้าเหตุปัจจัยทางสรีระเพียงพอ หนูก็จะเกิดมาเป็นผู้ชายได้ เหตุปัจจัยจิตวิญญาณนี่แหละเป็นประธานสิ่งทั้งปวง อรหันต์คือปุริสภาวะ แม้จะเป็นผู้หญิงแต่มีความเป็นอรหันต์ก็เป็น ปุริสภาวะ เป็นเอกบุรุษ ไม่เป็นอิตถีภาวะเป็นลีลาของผู้ชายไม่เป็นลีลาของผู้หญิง ไม่ไปจ้ำจี้จ้ำไช ไม่เป็นตัวดุ๊กดิ๊ก _ดญ.ดาวเพ็ญเพชร โควิดคือ zombie ที่กินคนใช่ไหมคะ พ่อครูว่า…จะเอาภาษาจะเรียกว่า Zombie ก็คือผี ผีดิบที่กินคน เอาภาษามาเรียกสภาพนั้น ก็ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าผีคืออะไร เรารู้ว่ามันเป็นอะไร คนที่สามารถรู้จัก covid รู้จักเชื้อโรคชนิดนี้แล้วแล้วก็จัดการเชื้อโรคชนิดนี้ได้ คนนั้นก็จับผีได้แล้วก็จัดการกับผี ให้มันหยุดทำชั่ว ให้มันหยุดมาทำร้ายกับคน ให้มันหยุดทำชั่วได้ ก็เป็นคนจัดการกับซอมบี้จัดการกับผีได้ คนในโลกพวกนักคิดนักวิจัยกำลังทำยา กำลังทำวัคซีน เพื่อที่จะมาจัดการปราบไวรัสหรือว่าตัวสัตว์น้อยสัตว์เล็กตัวนี้ให้ได้ เขากำลังทำอยู่ ถ้าคิดได้เมื่อไหร่ก็ ผีซอมบี้ covid ก็ตายแน่ เพราะฉะนั้นจะใช้ภาษาเรียกว่า Covid เป็นผีซอมบี้ก็ได้ _ในปางฝัน…จุดเปลี่ยนในชีวิตของพ่อครู จากโลกียะ สู่โลกุตระคืออะไรคะ ใครคือต้นแบบในทางธรรม พ่อครูว่า…ใครเป็นต้นแบบ ทำไมถึงมีจุดเปลี่ยน เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน 1 ใครเป็นต้นแบบ ตอบ..ไม่มี หาต้นแบบไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นต้นแบบของอาตมาก็คือของตัวเอง ที่มีมาแล้วตั้งแต่ปางก่อน ชาติก่อนๆมาถึงชาตินี้ก็มีมา พอถึงเวลาแล้วนึกได้ ก็เข้าประเด็นที่ 2 ทำไมถึงเปลี่ยนมา ที่ต้องเปลี่ยนมาเพราะ บารมีของหลวงปู่ มันมีพร้อมที่จะต้องมาเป็นเช่นนี้แล้ว มันต้องเป็นเช่นนี้เป็นตถตา เมื่อถึงเวลา อย่างหลวงปู่ทำงานอยู่ทางโลก ก็มีหาชื่อเสียงลาภยศอะไรก็มี ก็ทำได้ไม่ได้เสื่อมอะไร แต่เสร็จแล้วก็รู้สึกว่า มันก็เป็นจริงตามตถตา มันก็รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วอยู่อย่างนี้ มันบอกไม่ถูกเหมือนกัน มันรู้ได้ด้วยตัวเองว่าอย่างนั้นมันไม่ใช่ การไปเอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมันไม่ใช่ มันก็ไป คือ ถ้าเล่าจะยาว หลวงปู่ก็นึกเราจะไปอะไร ก็รู้้แต่ว่ามาทางธรรมจะต้องรู้เรื่องจิต ก็เลยแสวงหาว่าใครหนอพอจะรู้เรื่องจิต ใครจะอธิบายจิตให้เราได้ วันหนึ่งเข้าไปพบสมาคมค้นคว้าทางจิต วิทยาศาสตร์ที่วัดมกุฏ เจอหมอจรูญ หมอประพันธ์ ที่เล่นบทบาทค้นคว้าทางจิตเป็นวิทยาศาสตร์ หลวงปู่ก็สนใจเข้าไปศึกษา เขาก็พาให้ทำการสะกดจิตไปนั่งสมาธิ ก็ไปกับเขา ก็พาไปดูนั่งสมาธิ การไปนั่งสมาธิมันก็เป็นทางจิตเหมือนกัน ที่นี้ก็มีเพื่อนคนนึง คบกันในการทำรายการโทรทัศน์ร่วมกัน คนนั้นเขาเล่นไสยศาสตร์ ทุกวันนี้เขาก็ยังเล่นไสยศาสตร์อยู่ เขายังจมอยู่กับไสยศาสตร์ เข้าทรงมีความรู้แบบไสยศาสตร์ต่างๆนานา มีความรู้ทางจิตอย่างรู้อันนั้นอันนี้ เราก็รู้สึกว่าจิตอย่างนี้ก็มีความสามารถ ก็ไปกับเขา ก็ไปพบกับอาจารย์ทางไสยศาสตร์ อาตมาก็เลยเข้าไปทางไสยศาสตร์ ก็เลยกำลังเดินทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมอ กลางวันก็ไปทางพวกไสยศาสตร์ ชีวิตเลยไม่ได้นอนไม่หลับเลย กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นไฟ ไม่ได้หลับได้นอนเลย ไปสนใจศึกษา ก็ไปศึกษาทั้ง 2 ด้าน ไปเป็นอาจารย์ทางไสยศาสตร์อยู่ 8 ปี ทางวิทยาศาสตร์รู้ได้ง่ายแต่ตื้น ทางไสยศาสตร์นี้ลึกแต่รู้ได้ยาก มืดด้วย ก็เลยรู้สึกว่าไม่เข้าท่า วิทยาศาสตร์ให้ความรู้ให้คำตอบได้บ้าง ไสยศาสตร์ก็ให้คำตอบได้บ้าง แล้วทำยังไงจะรู้ ก็มีอยู่วันนึง ก็ไปพบวิทยาศาสตร์เขาสะกดจิต ก็ให้ระลึกถึงชาติก่อน คนที่ถูกสะกดจิตเป็นฝรั่งชื่อนายโคลแมน สะกดจิตถอยลงไป อายุน้อยลงก็จะเป็นเสียงเด็กๆลงไปเรื่อยๆ คนที่สะกดจิต แล้วก่อนที่จะให้รู้ ก่อนที่จะเข้าไปในครรภ์เป็นอะไรมา นายโคลแมนก็ข้ามชาติไม่ได้ เพราะเขาเป็นฝรั่งเป็นเทวนิยม ก็ตอบไม่ได้ อาตมาก็บอกว่ามันได้อย่างนี้เหรอ มันข้ามชาติไปจากชาตินี้ได้ด้วยหรือ อาตมาก็เลยได้คิดว่ามันต้องมีการข้ามชาติ้ได้ ก็เลยสนใจทางสะกดจิต แล้วพยายามฝึกสะกดจิต ว่าข้ามชาติได้อย่างไร มาทางไสยศาสตร์ก็ข้ามชาติไม่ได้ ได้แต่เพ้อๆเป็นนิรมานกาย ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกพวกกายคืออะไร ก็เลยคิดว่าทำไงจะได้ ก็เลยไปเอาหนังสือธรรมะ ไปเอาหนังสืออภิธรรมมาอ่าน เขาบอกว่าเป็นยอดของความรู้ทางจิต เราก็อ่าน อ่านไปก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เราก็ว่าไปอ่านอย่างนี้แล้วมันจะรู้ได้อย่างไร ก็ได้คิดกับตัวเองอีก ลองปฏิบัติสิ และปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติก็ขึ้นมาเอง ข้อปฏิบัติ เขาสอนไว้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ถึงศีล สมาธิ ปัญญา ใครก็รู้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าใช้ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ปฏิบัติศีลสิ เราก็เริ่มปฏิบัติศีลไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ จนกระทั่งไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่เอาแล้วเงินทองทรัพย์ศฤงคารต่างๆนานา มันก็ชัดเจนเพราะมีบารมี มันก็ง่ายสิ ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาก็ง่ายศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ก็ไวประเดี๋ยวเดียว จนกระทั่งศีล 8 ศีล 10 ก็ไม่ยากอะไร ทิ้งสมบัติเข้าให้ ศีล 10 ก็เลิกละโลกียเข้าให้ ปื้ดๆๆ มาเลย จิต พระพุทธเจ้าก็เข้าทรงมาเลย ปึ้ด หรือจิตโพธิรักษ์เขาก็มาเข้าทรงในตัวเอง เราก็รู้ว่าตัวเองคือใครเท่านั้นก็ไม่เอาแล้วทางโลกีย์ ก็เลิก เราก็มองไปในสังคมศาสนาพุทธ แล้วจะไปบวชกับใครวะ ใครจะเป็นอุปัชฌาย์เราได้โว้ย ตอนนั้นรู้ตัวว่ามีคุณธรรมมีธรรมะแล้ว ก็ดูไปว่าคนอื่นที่เป็นนักบวชเป็นครูบาอาจารย์ไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า สำนักต่างๆ เราบวชเองไม่ได้ก็ต้องไปมีอุปัชฌาย์ แต่หาอุปัชฌาย์ก็ไม่ได้ ก็ให้คนที่เป็นแม่บ้านไปหาที่ คนใช้นั่นแหละ ให้ไปหาที่ สักสองไร่ ที่มีต้นไม้เยอะๆ เขาก็ไปถามที่ตลาดว่าคุณผู้ชายอยากได้ที่สัก 2 ไร่ เขาก็บอกสเปคไป ก็มีแม่ค้าเพื่อนเขาก็บอกว่า ก็จะไปซื้อทำไมเล่า ที่อย่างที่พูดนี้ วัดอโศการามไปเลย มีที่เยอะแยะ เข้าไปอยู่ได้ไปปลูกกุฏิอยู่ได้เลยว่าอย่างนั้น แม่บ้านก็มาบอก เราก็ไปดูวัดอโศการาม ก็ว่าดี เอาที่นี่แหละ อาตมาก็เอาเลยก็ตกลง ก็เข้ามาวัดมาหาเจ้าอาวาส อุปัชฌาย์องค์แรกแหละ สุดท้ายท่านได้ตำแหน่งพระเทพวรคุณ ตอนที่อาตมาเข้าไป ท่านเป็นชั้นราชอยู่ ก็บอกว่า ถ้าผมจะมาอยู่ที่นี่มาปลูกกุฏิอยู่ที่นี่ ที่นี่ยืนยันได้ไหมว่าพระจะไม่มายุ่งกับผม ท่านก็หัวเราะ บอกว่าพระจะไปยุ่งกับคุณทำไม คุณอย่าไปยุ่งกับพระก็แล้วกัน มีอย่างที่ไหนพระจะไปยุ่งกับฆราวาส มีแตฆราวาสจะไปยุ่งวุ่นวายกับพระ เราก็ไปจองที่เข้าไปในป่าแสม ลึกเข้าไปประมาณ 50 เมตร เจาะสะพานยาวเข้าไปในป่าแสม ทั้งฝ่ายหญิงก็ปลูกกุฏิ เป็นแม่บ้านคอยอุปัฏฐาก คอยดูแล อาตมาก็ให้เขาใช้เงินโอนให้เขาเป็นคนดูแลเงิน อาตมาเป็นอนาคาริก ก็เป็นนายรัก รักพงษ์ ไปอยู่ตรงนั้น เจ้าคุณเขาก็ถามว่าอย่างนี้ทำไมไม่บวชเสียเล่า ออกมาถึงขนาดนี้แล้วสงบเรียบร้อยไม่ได้วุ่นวายกับทางโลก ทำไมไม่บวชเสีย ก็บอกว่าไม่บวช ดูไปอย่างน้อย 10 ปีไปก่อน ท่านก็หัวเราะคิดว่าเราคงอวดดี อยู่ไปอยู่ไปไม่ถึง 10 ปี ก็มีเหตุการณ์อีกเยอะ นุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อคอกลมขึ้นไปโกนหัวเท้าก็ไม่ใส่ถุงเท้าเดินขึ้นไป เดินไปที่วัดมหาธาตุ วัดธาตุทองขึ้นไปบรรยาย ไปพูดกับคนใส่เสื้อนอกขึ้นเวที เราใส่เสื้อคอกลม เขาก็ว่าบ้าหรือเปล่าจะไปฟังอะไรมันไม่ครบพร้อม เราก็คิดว่าแต่คนอื่นเพราะพูดเขาก็ฟัง คนใส่เสื้อนอกพูดก็ฟัง แต่เราพูดเขาก็ไม่ฟัง เขาก็ฟังเหมือนคนบ้าพูด ก็คนมันติดในสมมุติ อาตมาก็เลยรู้ว่าคนมันติดในสมมุติ ตอนนั้นก็เลยจะบวช เอาจีวรมาแล้วก็แล้วกัน เขาก็ซ้อนอีกว่าเรา ว่าบวชเพราะจะมาหลอกลวง ที่จริงมันซ้อน สิริมหามายา เรามีสภาวะยิ่งกว่าภิกษุแล้วก็เอารูปนอกมาใส่ ก็เลยบอกเจ้าอาวาสบอกว่าผมจะมาบวชแล้ว ก็เลยได้บวชขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้นก็เป็นสมณะโพธิรักษ์ ตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสก็ดูเรียบร้อยสงบเดินสุขุมไม่มองหน้า ตั้งแต่เป็นฆราวาส เมื่อมาบวชเข้าได้จีวร จากนุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อคอกลมเดินสุขุมเขาเรียกว่าบ้า ตอนเป็นฆราวาส แต่พอเปลี่ยนมาใส่ชุดจีวรเดินสุขุมแบบนั้นคนกราบเป็นทางเลย คำตอบคือ ตัวเองต้องเป็นตัวอย่างคนอื่น ไม่มีใครเป็นไอดอลไม่มีใครเป็นครูอาจารย์ แต่เราต้องมาเป็นครูอาจารย์ อันนี้ฟังแล้วมันน่าหมั่นไส้แต่สัจจะมันเป็นอย่างนั้น _อ.หมอเขียว…วันที่ 29 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา มีคณาจารย์ นศ.ปริญญาเอก สาขาศาสตร์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาดูงาน วิถีชีวิตชุมชนแบบเศรษฐกิจพอเพียง แบบวิถีพุทธ เมื่อดูงานเสร็จท่านก็ได้แสดงความคิดเห็น ว่า จากทฤษฎีที่เรียนกันในสถาบันการศึกษา ท่านก็ได้พบกับความจริงของเศรษฐกิจพอเพียงและวิถีพุทธ ที่ของเรานี้ และก็เห็นว่า ท่านจะนำไปประยุกต์ใช้ในการช่วยเหลือสังคมต่อไป และจะนำนักศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท มาศึกษาแบบนี้ และอีกประเด็นเป็นคำถาม ในพระไตรปิฎกเล่ม 21 ข้อ 70 ธรรมิกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าถ้าผู้นำมีคุณธรรมจะทำให้ผู้ที่ตามมีคุณธรรมตามไปด้วย และจะทำให้เกิดดวงดาวดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ไล่ไปถึงสภาพสิ่งแวดล้อมลมฟ้าอากาศดีไปด้วย รวมไปถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ ก็จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วย เมื่อผู้คนรับประทานเข้าไปก็จะแข็งแรงอายุยืน แต่ถ้าผู้นำไม่มีคุณธรรม ทำให้ผู้ตามไม่มีคุณธรรม รวมถึงสิ่งแวดล้อมก็จะเสียไปด้วย ไปจนถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารก็จะสุกไม่พร้อมกัน คนรับประทานไปก็จะเจ็บป่วย นี่เป็นเนื้อหาในธรรมิกสูตร โดยย่อ สัมพันธ์กับภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกตอนนี้ พ่อครูว่า…ที่พูดมานั้นเป็นสภาพสภาวะต่างๆเอามารวมกันอย่างย่อๆ ทั้งชีวิตมนุษย์พืชพันธุ์ธัญญาหาร ทั้งสิ่งที่เกิดทางคุณธรรมหรือเกิดโทษ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์ เป็นสำคัญเป็นตัวกลาง มีพฤติกรรมที่เป็นโทษมันก็จะก่อให้มันเกิดทุกอย่าง ทางพืชพันธุ์ธัญญาหารและชีวิตมนุษย์ทั้งสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ดวงดาวพระอาทิตย์อะไรก็แล้วแต่ มันจะเป็นผลกระทบ ถ้าทุกอย่างเป็นอิทับปัจจยตา ทุกอย่างเชื่อมกันหมด ในมหาจักรวาลไม่มีอะไรที่จะขาดจากกัน เขียนเส้นรูปให้ดูไม่ไหว ทุกอย่าง เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว อย่างนี้เป็นต้น อันใดอันหนึ่งเปลี่ยนแปลงกระทบ โดยเฉพาะอันที่เปลี่ยนแปลงนั้นเป็นตัวที่มีฤทธิ์มาก ก็จะกระทบกระเทือนไปกับอย่างอื่นไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เช่น Big bang เกิด ทุกอย่างมันกระจายเกิดอะไรอีกนานเยอะแยะ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ใครก็แล้วแต่ ที่ยิ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจมีฤทธิ์สูงๆ เป็นชั้นบน เคลื่อนตัวอะไรต่างๆนานาเคลื่อนไหว ก็จะทำให้เกิดการเคลื่อนตามเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ขยายไปมาก เพราะฉะนั้นถ้าเป็นมุมที่ดี มันก็จะดีกระจายไป แต่ถ้ามุมที่ชั่วมันก็จะชั่วกระจายไป เพราะฉะนั้นเราจึงเลือกที่จะอยู่ในโลก หรือจักรวาล ที่เป็นจักรวาลดี จักรวาลที่ร้อนที่ร้ายแรงก็ห่างไป เราอยู่แต่จักรวาลที่อยู่ที่ดี แล้วจักรวาลที่จะมารวมกันอยู่กันอย่างเย็นอบอุ่นหรืออบอุ่นแล้วเย็น มีประโยชน์เข้าหากัน ระยะเวลามันนาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะสัมพันธ์กันเป็นสิ่งที่ดีก็จะอยู่ร่วมกันเป็นประโยชน์แก่กันยาวนาน กาละ มันตอบยาก เราสามารถที่จะทำ กาละอย่างอาตมาสามารถยืดกาละให้ตนก็ทำได้ เราจะยืดองค์ประกอบที่เราอยู่ร่วมกัน ในมวลนี้ จะรักษาให้ชีวิตทั้งมวลให้ยืดยาวหรือให้เจริญขึ้น มันก็ ทำได้ถ้าเรามีพลังงานพอ มีความร่วมมือกันพอ มีความรู้ความสามารถมากพอ ก็ทำได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงที่มันเป็นสภาวะ ที่มันมีความรู้แล้วก็สามารถที่จะปฏิบัติพิสูจน์ได้ อาตมาพูดไปแล้วก็ยังรู้สึกว่าอธิบายไม่ค่อยเก่ง อธิบายได้ประมาณนี้ ที่จริงมันมีละเอียดกว่านี้อีกเยอะ คิดว่าก็คงพอฟังรู้เรื่องสำหรับผู้ที่มีปฏิภาณช่วยอาตมา มีปฏิภาณฉลาด อาตมาพูดแค่นี้คุณก็เข้าใจได้เองในตัวได้ _เยอรมัน..โยธกา…จะปฏิบัติใจอย่างไร ลูกถึงจะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนให้เข้าถึงจิตวิญญาณได้จริงๆ พ่อครูว่า…ก็ต้องพยายามใช้ปัญญา ใช้ปฏิภาณอย่างดีทำความเข้าใจให้ดีๆว่า คนที่เป็นคนขี้เบ่ง เป็นคนกระด้างกับคนสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนนี้ ภาษาพอได้อย่างนี้ คนขี้เบ่งขี้ข่มกระด้าง กับคนอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็นึกถึงสภาพความจริง ว่าอาการสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนกับ อาการขี้เบ่งขี้ข่ม มันต่างกัน เราก็ต้องรู้ความจริงว่า ความขี้เบ่งขี้ข่ม มันดีกว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนสุภาพใช่ไหม ? ..ไม่ใช่ คุณก็รู้ แล้วคุณก็ดูว่าอาการที่คุณปฏิบัติอย่าง ขี้ข่มขี้เบ่งกระด้าง มันเป็นอาการอย่างไรคุณเป็นหรือเปล่า แล้วอาการที่อ่อนน้อมถ่อมตนยอมแพ้ ยอมรับใช้มันเป็นอย่างไร คุณก็ทำอย่างที่ว่ามันดี ถ้าคุณเห็นว่า ขี้เบ่งขี้ข่มกระด้างดี คุณก็ไปทำอย่างนั้น แต่ถ้าคุณเห็นว่าสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนมันดี คุณก็มาทำอันนี้ พอเข้าใจอาการมันออกหรือไม่ ถ้าทำได้ก็จบ สู่แดนธรรม…ขอเสริมว่าให้ไปเจริญศรัทธาด้วยการมองหาบุคคลที่เป็นตัวอย่างคนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน พ่อครูว่า..อันนั้นได้ด้วย สู่แดนธรรม…สำหรับวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ Category: ศาสนาBy Samanasandin31 สิงหาคม 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630830_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ประชาธิปไตยแนวใหม่ที่ใครๆก็ไล่ไม่ทันNextNext post:630902_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทย เจริญไปอย่างจันทร์โอชาRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024