631213_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ
ดาวโหลดเอกสารที่นี่ https://docs.google.com/document/d/1iqSIFs7aGoWg9C3apaS25DqERobD08jIewklaQwDljw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ZbAMgk5xNPYQLAFssjmVpoatkK3opd64/view?usp=sharing
และยูทูปที่
อจินไตยในโควิดเมืองไทยสามารถพิชิตได้
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ที่อเมริกาติดโควิดวันละเป็นแสนคน พม่าติดวันละเป็นพัน แต่เมืองไทยไม่ค่อยติดกัน คงเป็นอจินไตย
พ่อครูว่า…เป็นอจินไตยจริงๆ คือ คิดไม่ออกคิดไม่ได้ง่ายๆ แต่ทุกอย่างมาแต่เหตุ ไม่ใช่อยู่ดีๆมาโดยไม่มีที่มาที่ไปไม่มีเหตุปัจจัย ทุกอย่างมาแต่เหตุทั้งสิ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง
สรุปง่ายๆว่า ทำไม เมืองไทยจึงไม่ติดโควิด โรคโควิดนี่ เป็นโรคที่ส่งมาจากสวรรค์ เพื่อมาปราบความไม่ดีไม่งามของมนุษย์โลก เป็นโรคที่ส่งมาปราบคนไม่ดีคนไม่ประเสริฐ ในโลกในประเทศเขาก็ดูเขาก็จัดการ แม้แต่บางประเทศ เรามองว่าประเทศด้อยพัฒนาแต่ covid ก็ไม่มีมาก ในบางประเทศ แต่ทำไมประเทศที่เจริญก้าวหน้าอันดับ 1 ของโลกเลยอย่างอเมริกา ถึงได้เกิดโรคพวกนี้อย่างมากตายเป็นเบือ เก่งทุกอย่าง ทางด้านการแพทย์ก็เก่ง ทางด้านอย่างอื่นก็เก่งทั้งนั้น แต่ทำไม? มันเป็นเรื่องที่ค้านแย้งกับความเป็นจริง เก่งนะ แต่ทำไมสู้โควิดไม่ได้ ประเทศด้อยพัฒนาต่างๆ เขาก็ไม่เกิดอะไรรุนแรง
เพราะฉะนั้น ประเทศไทยไม่ถึงกับด้อยพัฒนาทีเดียว(แต่เขาว่าด้อย) แต่อาตมาเป็นคนบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในโลกไม่ใช่พูดเล่นแต่พูดจริง แต่คนเขาเข้าใจคำว่าเจริญของความเป็นมนุษย์ในชาติซึ่งต้องประกอบด้วยวัตถุและจิต โดยเฉพาะประเทศไทยมีจิตเป็นประธานเจริญทางจิตมากที่สุดในโลก เป็นอเทวนิยม เป็นโลกุตรธรรม ประเทศเดียวในโลก
โดยเฉพาะในยุคนี้ชาวอโศกเอาโลกุตรธรรมมายืนยัน มีมรรคผลเป็นอาริยบุคคลเป็นคนอันประเสริฐเป็นคนเจริญเป็นคนศิวิไลซ์ มันไม่ใช่เป็นเรื่องมุกไม่ใช่เรื่องพูดเล่น แต่เป็นเรื่องจริงๆเลย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเกิดในยุคนี้ขณะนี้โดยเฉพาะเจ้า covid จึงเป็นเรื่องชี้บ่งของความเป็นมนุษยชาติ Covid มันยังไม่จบไม่ได้หยุดทำงานนะ ให้มันเลยไปอีกหน่อยแล้วจะรู้ แม้ว่าจะคิดวัคซีนได้ ก็คอยดูต่อไป แม้ว่าจะมีวัคซีนแล้วจะเป็นอย่างไร Covid มันจะปรับระบบอะไร มัจจุราชไร้เงาเป็นกระบวนการต่อไป
สมณะฟ้าไทว่า…วัคซีนที่ออสเตรเลีย เขาก็ว่าให้เลิกฉีด เพราะไม่มีคุณภาพดีพอ ประเทศไทยก็ดูว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่ตรงข้ามกับอเมริกา
เรามาศึกษาธรรมเป็นเรื่องโลกุตระเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ถ้าประเทศไทยเป็นอย่างนี้ต่อไปจนกระทั่ง covid หมดไปประเทศไทยจะน่าทึ่งไม่ใช่น้อย อาตมาก็สะดุดใจ ว่าทำไมคนไทยไม่ติดกันมาก แปลกใจมาก เพราะที่เชียงรายฮือฮามาก แม้แต่ในกรุงเทพก็ตามก็ไม่ระบาด คนที่ไปสัมผัสก็ไม่เป็นด้วยหรือคนไทยป้องกันดี ยิ่งเราโลกุตระ การ์ดนี้สูงลิ่วเลย การ์ดสูงกว่าเพื่อนเลยในโลก การ์ดอย่าตกก็แล้วกัน โควิดไม่กล้าแหยมเลย ทั้งปิดหมู่บ้านใส่แมสก์ ไปกรุงเทพฯกลับมาต้องมีระยะห่าง โดยเฉพาะราชธานีอโศกสตริ๊กมาก
พ่อครูว่า…พ่อครูโชว์ฝักมะขามยักษ์ให้ดู …
อะไรก็แล้วแต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับชีวิตของคนเรา คนเรามีชีวิตสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ประกอบกัน ดำรงชีวิตอยู่ไป ผู้ที่จะปฏิบัติทางจิตก็ปฏิบัติไป ผลทางจิตเจริญจนกระทั่งเป็นอรหันต์ก็ตาม ทุกวันนี้ก็ขอยืนยันว่า ในวงการศาสนาพุทธ ไม่ได้เข้าใจความเป็นอรหันต์ของศาสนาพุทธที่แท้จริงได้เลย พูดได้อย่างนั้น
เขามีแต่เดา กับมีความรู้ตามอาจารย์ที่สอนผิดเพี้ยนมา เพี้ยนจนสุดเลย สุดจนเห็นผิดเป็นถูก เพราะฉะนั้นเมื่อความเห็นที่เห็นผิดเป็นถูกแล้ว เขาจะเห็นอรหันต์เป็นอย่างไร เขาก็ต้องเห็น อระหอยเป็นอรหันต์ แน่นอน เห็นอรเหว เป็นอรหันต์แน่นอนอย่างนั้นจริงๆ
อรหันต์ตัวจริงมายืนยันก็ตาม อรหันต์ตัวจริงเหมือนกับคนสูงสุดคืนสู่สามัญ เบิกบานร่าเริงไม่มีโศกไม่มีโลภไม่มีโกรธไม่มีราคะ มีจิตอภิปโมทยังจิตตัง ถ้าคุณฟังภาษาแค่นี้นักศึกษาทางศาสนาบาลีฟังอาตมาพูด พอเข้าใจ จริงๆนะ ไม่ใช่คนมะรื่อทื่อแข็ง ดีไม่ดีตาแข็งคือ Concept ของเขา กลายเป็นความคิดสรุปผลรวมยอดของเขาว่า อรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้
ซึ่งอาตมาก็เข้าใจ Concept ของเขา ก็สงสาร เขามีConcept อย่างที่ว่า มีความคิดรวบยอดของเขา มันเป็นผลสรุปความคิดของเขาตามที่ฉลาดตามที่รู้ อาตมาว่า เขาคงจะรู้สึกถูก สรุปผลความเป็นอรหันต์ของเขาต้องเป็นอย่างนี้ ดูแล้วก็น่าสงสาร
คืออรหันต์ที่กลายเป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าเขาสอนอย่างผิดๆมาหมดเลย อรหันต์นี้พูดไม่ได้บอกใครไม่ได้ บอกแล้วเป็นเรื่อง ก็เลยมีแต่การเดา แล้วเขาก็เดาผิดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งผิดน้อยก็กลายเป็นหลายน้อย จนไม่เหลืออะไร มันก็คือกลายเป็นไม่เหลือความถูกต้องแล้ว กลายเป็นความซับซ้อนผิดมาจนซับซ้อน อะไรก็ไม่รู้ อรหันต์ของเขา
เพราะฉะนั้นเมื่อพระอรหันต์จริงๆบอกเขาจึงไม่เชื่อว่าใช่ อาตมาก็เลยอยากจะให้สติ ให้ปฏิภาณ สักนิดนึงว่า..ผู้ที่จะเป็นอรหันต์หรือไม่เป็นอรหันต์ จะรู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่าไร? ผู้ที่ไม่เป็นอรหันต์ก็น่าจะรู้จักธรรมะพระพุทธเจ้า แม้จะไม่เก่งภาษาทางศาสนา ก็น่าจะพูดเรื่องสาระของสัจธรรมธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นอาริยธรรมต่างๆ เอาพระไตรปิฎกข้อนั้นข้อนี้มา ขยายความ สัมพันธ์กัน ผู้ที่อธิบายได้ขยายความได้ดีๆ ก็น่าจะเป็นภูมิ ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ศึกษาปริยัติอย่างที่เขาเรียนแต่อธิบายได้อย่างนี้ก็น่าจะสนใจว่าทำไมอธิบายได้ อธิบายธรรมะได้อย่างหลากหลาย เอาพระไตรปิฎกมายืนยันเทียบเคียงพระสูตรนั้นพระสูตรนี้ เดี๋ยววันนี้จะเอาพระสูตรเรื่องศีลมาพูด
_ปรโต โฆษะ : พ่อเฒ่าสอนให้ปรโตโฆษะให้พวกเค้ามาฟังพ่อบ้าง ในทางกลับกันลูกชาวอโศกก็ควรนำคำสอนปรโตโฆษะไปศึกษาการปฏิบัติของเถรสมาคม & สายวัดต่างๆ แบบไม่อคติ พบว่าเค้ามีปฏิบัติแบบเดินจงกรมด้วย ซึ่งลืมตาเดิน (เค้าคงไม่หลับตาเดิน) แย้งกับที่พ่อเฒ่าบอกเค้ามีแต่นั่งหลับตา อยากให้พ่อเฒ่าช่วยอธิบาย
เพราะเดินจงกรม ก็กระทบผัสสะ สัมผัสทุกอย่าง ไม่ต่างจากชาวอโศกเดิน ปลูกผัก ทำงาน เพราะเดินจงกรมทวารทั้ง 5 รับรู้กระทบหมด อยากให้พ่อช่วยอธิบายละเอียด
พ่อครูว่า…ที่บอกว่าเดินจงกรม แต่ของชาวอโศกปลูกผักทำงาน แค่นี้พูดเองก็สอบตกแล้ว อโศก เดินธรรมดาทำงานไปนั่นมานี่ก็มีสัมผัสมีสติสัมปชัญญะปัญญารู้กับการสัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ เกิดเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ แล้วก็มีมนสิการ นาม 5 แล้วรู้จัก รูป 28 ปฏิบัติธรรมรูปกับนามสังเคราะห์กัน มีสติธรรมะวิจัย มีอิทธิบาทชัดเจน สังเคราะห์สังขารธรรมะ ซึ่งต่างกับคุณที่เดินจงกรมย่างหนอ มันเป็นสมถะทั้งหมด แต่ของชาวอโศกนั้นลืมตาเดินยังมีวิปัสสนาเป็นธรรมชาติ โดยใช้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาใช้เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นต้น อย่างนี้
ซึ่งมันมีนัยยะต่างกัน เดินจงกรมที่เขาว่าสัมผัสทุกอย่างไว้ต่างกับชาวอโศก ซึ่งมันต่างกันมากคนละขั้วเลย คนหนึ่งเดินอยู่กับโลกที่คนหนึ่งเดินอยู่ใต้บาดาลมันต่างกันคนละขั้วเลย
ที่คุณบอกว่าให้มีปรโตโฆษะ ให้ชาวอโศกไปดูเถรสมาคมบ้าง..เราก็ดูกันจนตาแฉะแล้ว เอาที่สายพระต่างๆประพฤติอยู่มาพูดด้วย จนกระทั่ง แล้วคุณบอกว่าไม่ดู ไม่ดูจะเอามาพูดได้อย่างไรไม่เห็นจะเอามาพูดได้อย่างไร บอกว่าทำไมเราว่าแต่คนอื่นเท่านี้ก็เพราะเราเห็นเราจึงว่าได้ แต่คุณมาใส่ความว่าเราไม่เห็น ไปอยู่กับธนาธรไป คือมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตัวเองไม่ดูตัวเองบ้าง
_ปรโต โฆษะ : ลูกเคยได้ยินพ่อเฒ่าบรรยายถึงไม่ชอบขึ้นศาล อย่าฟ้องร้องกัน แต่พ่อเฒ่า เอ่ยชื่อหลายคน หลายสำนัก & ข้อมูลที่อาจถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ พ่อท่านมีทนายพร้อมหรือไม่ ลูกเป็นห่วง
พ่อครูว่า…อาตมาตอนถูกคดีความ เมื่อเขาออกข่าวไป ทนายมาสมัครอาสาว่าความให้ก 50 กว่าคน จนกระทั่งเราก็ต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมา แล้วก็มีหัวหน้าคือทนายทองใบ ทองเปาด์เป็นหัวหน้า เขาก็ช่วยกันหมดทุกคนแหละ
เราไม่ชอบขึ้นศาลหรอกแต่ก็ต้องไป เขาฟ้องหนักไปตามจังหวัดต่างๆให้เราต้องทรมานไปขึ้นศาล โอ้ย ใช้เวลาไม่รู้กี่ปี ว่าความกันไปกว่าจะเสร็จ 6 ปี 6 เดือน 6 วัน จึงเสร็จเรื่อง ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆเลยตอนนี้ก็ยังหนุ่มแต่เป็นหนุ่มใหญ่หน่อยแค่นั้นเอง
ออกป่าปฏิบัติเป็นทางผิดพระพุทธเจ้าท่านว่าไว้
_ PHOHEOK Up. โพธิ์เฮียก : เคยอ่านประวัติเจอว่าพระป่ากับสายพระพุทธเจ้าคนละสายกันครับครั้งหนึ่งพระของพระพุทธเจ้าออกขอทานไปเจอพวกพระป่ามีคนใส่ทานเยอะจึงเห็นว่าพระป่าให้ศีลให้พรแด่ผู้มาใส่ทานเลยทำตามพระป่าบ้าง ชาวบ้านก็ดีใจที่พระให้ศีลให้พรได้เหมือนพระป่า จะเห็นว่าพระป่าเกิดขึ้นมาพร้อมพระพุทธเจ้าแต่ทำไม่เอาคำสอนของพระองค์มาแอบสอนครับ
พ่อครูว่า…พระป่านั้นมีอยู่เก่าก็คือพวกเดียรถีย์พวกนักบวช ภาษาไทยเรียกนักบวชว่าพระ ก็คือพวกนักบวชป่า สมณะป่าที่ปฏิบัติธรรมไปเข้าป่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ก็ถูกสังคมครอบงำว่านักบวชต้องออกป่า ก็เลยเป็นลิงลมอมข้าวพองออกป่าตามเขา ก็ไปป่า แล้วก็ไปเป็นนักบวชแล้วก็ปฏิบัติตามที่เขานำพาด้วยทุกรกิริยาต่างๆ เป็นกิริยาที่ไม่ถูกต้อง เขาแปลง่ายๆว่าทรมานทรกรรม ไม่เข้าสัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้า ก็ทำกับเขาอยู่ 6 ปี สุดท้ายอดอาหารจนกระทั่งจะเดินไม่ไหวก็เลยเลิก เลิกแล้วก็นั่งลงใช้สัญญาตรวจสอบ นั่งสงบตรวจสอบในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 นั่งตรวจสอบใต้ต้นโพธิ์ ตอนนั้นยังไม่เรียกต้นโพธิ์ ตอนนั้นเรียกว่าต้นอัสสัตถพฤกษ์ ไปนั่งใต้ต้นนั้น ระลึกชาติ ในยาม 1 ในยาม 2 ในยาม 3 ก็รู้แจ้ง
คือท่านนี้ได้รับการถูกทำนายตั้งแต่ประสูติเลยว่าผู้นี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านได้รับการทำนายมา ตั้งแต่มีพราหมณ์ 7 รูปมาทำนาย มีพราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะที่เป็นหนุ่มกว่าเพื่อน นอกนั้นเป็นพราหมณ์แก่หมด โกณฑัญญะทำนายคติเดียว เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้ครองเมืองทีเดียว
เมื่อท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจึงรู้ว่า อ๋อ ที่ 6 ปีนั้น เป็น 6 ปีที่ต้องไปใช้หนี้บาป ที่เคยไปท้วงพระพุทธเจ้าองค์กัสสปะ ยุคที่ตอนที่ท่านเป็นโชติปาละมานพ เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)(เล่ม 32 ข้อ. 392)
ไปว่าแค่นี้ ว่าจ้างก็ไม่ได้หรอกจะมานั่งใต้ต้นโพธิ์นี้ เพราะว่าสัมมาสัมโพธิญาณเป็นเรื่องยาก ไปจาบจ้วงพระพุทธเจ้าแค่นั้น เป็นวิบากกรรม 6 ปีเลย
ชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ด้วยทางนั้น ไปนั่งหลับตาออกป่าทรมานอยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่ทางปฏิบัติไม่ใช่ทางที่จะบรรลุธรรม บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)สิ้นอาสวะ แต่ว่าอาสวะของพระพุทธเจ้าเป็นอาสวะของประเภทระดับอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่แค่อาสวะระดับต้น ซึ่งมันมีหลายรอบ
คนที่ไม่รู้ก็เดา อรหันต์เดาผิดขึ้นมาเรื่อยๆ ถ่ายทอดความผิดมา จนกระทั่งถึง 2,500 กว่าปี มันผิดมาไม่รู้กี่ชั้น อรหันต์ของการเดา ซึ่งเป็น Concept ความเป็นอรหันต์ของเขานึกไม่ออกแล้วเป็นอย่างไร มันซับซ้อนเพราะเดาผิดๆ ไม่รู้ตกอยู่ใต้บาดาลถึงไหน เป็นพญาครุฑก็ไม่รู้คิดฟุ้งซ่านเอาอะไรมาผสมกับอะไร เลอะเทอะไปหมดเลย แยกไม่ออกเลยมาจากต้นอะไรผสมกันไปหมด มันก็น่าเห็นใจ
อาตมาจึงจำเป็นต้องบอกว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์ เพราะเขาจะเดาไม่ออกว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์อย่างนี้ อาตมาแสดงกายวาจาใจมีกิริยาอาการอย่างนี้ แสดงความเป็นตัวเองมาตั้งแต่ทำงานด้านนี้ ไม่ได้บอกว่าเป็นอรหันต์มาแต่ก่อน พูดว่าบรรลุธรรม แต่ไม่ได้บอกอย่างทะลุไปเลย อาตมามาพูดบอกว่าตนเองเป็นอรหันต์ในปี 2558 ไม่กี่ปีมานี้เอง 5 ปีมานี่เอง พูดออกไปชัดๆ เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ทำงานมาตั้ง 45 ปี แล้วเพิ่งมาประกาศจริงๆ แต่ก่อนบอกว่าเป็นอริยะเป็นโพธิสัตว์ เขาก็ไม่รู้เรื่องโพธิสัตว์ อาตมาก็อธิบายซ้อนอยู่แล้วว่าโพธิสัตว์จะต้องบรรลุอรหัตผลก่อน บรรลุธรรมตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ที่เป็นผล ก็เป็นโพธิสัตว์ตามลำดับ เป็นพระอรหันต์จบขั้นที่ 4 ก็เป็นโพธิสัตว์อรหันต์ขั้นที่ 4 อนุโพธิสัตว์ขั้นที่ 5 อนิยตโพธิสัตว์ขั้นที่ 6 นิยตโพธิสัตว์ขั้นที่ 7
(โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ผ่านอรหันต์มาตั้ง 3-4 ขั้น ผู้ไม่เคยได้ยินได้ฟังไม่ได้ศึกษามา ก็ฟังไม่ขึ้นเพราะเขาไม่มีลำดับอะไรมา แต่ของพระพุทธเจ้ามีลำดับขั้น ยังมีขั้นที่ 8 เป็นมหาโพธิสัตว์ ขั้นที่ 9 เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น
การพูดอย่างนี้ อาตมาไม่ได้พูดโดยไม่มีหลักฐานเหตุผลที่ไปที่มา มีหมด มีที่ไปที่มา มีเหตุมีผลมีลำดับขั้นตอน แล้วอาตมาก็แสดงความมีภูมิทางธรรมะ มีธรรมะโลกุตรธรรมอย่างไร อธิบายสาธยายตลอด ถ้าคุณติดตามฟังธรรมะด้วยดี จะเกิดพัฒนาความรู้ทางธรรมะเรียกว่า ปัญญา จะเจริญขึ้นมาได้อย่างมีปัญญา ความรู้ที่ไม่ใช่โลกุตระเขาเรียกว่า เฉกาหรือเฉโก เป็นความฉลาดแบบโลกีย์ แต่ทุกวันนี้เขาทิ้งคำนี้ไปแล้ว เพราะว่ามันเป็นความฉลาดแบบแกมโกง ในพจนานุกรมภาษาไทย ก็ยังแปลเฉโกว่าฉลาดแกมโกง แต่ในพจนานุกรมบาลีไทย เฉโก แปลว่า ความฉลาดเฉยๆ แต่ในพจนานุกรมภาษาไทย แปลว่าความฉลาดแกมโกง ฉลาดที่เป็นโลกียะไม่ใช่ฉลาดอย่างโลกุตระ หากฉลาดอย่างโลกุตระเรียกว่าเป็นปัญญาต่างกับ เฉกา
นัยยะที่ละเอียดลออตามที่อาตมาสาธยายตามลำดับจนถึงปัจจุบัน ที่คุณคนนี้ คุณโพธิ์เฮียกว่ามา จะบอกว่าพระป่าเกิดมาพร้อมกับพุทธเจ้า เขาก็เกิดมาก่อน แล้วพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเจอพระป่า แล้วท่านก็มาอธิบายชัดเจนทีหลัง เมื่อท่านเลิกจากลิงลมอมข้าวพอง เป็นตัวของท่านเองแล้ว ท่านถึงจะมาอธิบาย
ที่สำคัญคือท่านไม่เหมือนโพธิรักษ์ เพราะท่านจะมาตีทิ้งพระป่าเหมือนโพธิรักษ์ไม่ได้เลย ถ้าท่านตีทิ้งก็ไม่มีใครมารับธรรมะ ไม่มีเลย ท่านก็ต้องประนีประนอมไว้ แต่โพธิรักษ์เกิดมาในยุคที่พระพุทธเจ้าได้เกิดมาแล้วศาสนาพุทธเกิดมาจนเสื่อมแล้ว พ. ศ. 2500 กว่าปีแล้ว อาตมาจึงไม่เหมือนพระพุทธเจ้า จึงตีซัดเลย เอาพระไตรปิฎกมายืนยันเลยว่า อันนั้นมันไม่ใช่..จึงไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นอย่าเอาอาตมาไปเทียบกับพุทธเจ้าเลย คนละกาละเทศะฐานะ มันย่อมไม่เหมือนกัน ศึกษาให้ดีจะเกิดปัญญา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…เรามาฟังพ่อครูมาพูดถึงเรื่องปกติไม่ต้องเต๊ะท่า เป็นเรื่องธรรมดามาก เหมือนเป็นชีวิตของท่านปกติ เราก็เห็นลื่นไหลเป็นปกติของชีวิตท่านเลย แต่ถ้าเป็นคนอื่นพูดก็ต้องตั้งสติว่าจะพูดดีไม่พูดดี มันเป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์อยู่แล้วที่ต้องพูดเป็นเรื่องปกติ
_ ผู้ยังศึกษา เรื่องทุกข์ : ขออ้างคัมภีร์พระไตรปิฏกเล่มที่๒ พระวินัยปิฎกเล่มที่ 2 [ฉบับมหาจุฬาฯ] มหาวิภังค์ ภาค 2
-
มุสาวาทวรรค 8. ภูตาโรจนสิกขาบท ( ว่าด้วยการบอกอุตริมนุสธรรมที่มีจริง )
พระบัญญัติ [67] ก็ ภิกษุใดบอกอุตริมนุสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
พ่อครูว่า…อุปสัมบัน ท่านแปลว่าคือนักบวชแม้จะมีพฤติกรรมไม่ดีอย่างไรก็ตามก็เป็นฆอุปสัมบัน ส่วน อนุปสัมบัน ท่านแปลว่า คือฆราวาส แต่อาตมาว่า อุปสัมบันคือผู้มีภูมิธรรมพอจะพูดกันรู้เรื่อง ส่วนอนุปสัมบัน คือ มีภูมิไม่พอที่จะพูดกันรู้เรื่อง ที่จะบอกอุตริมนุสธรรม
พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีอาบัติ
ทีนี้ พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายจะทำอาบัติ(ผิดศีล)หรือไม่?
พ่อครูว่า…อันนี้ คุณคนนี้ก็ไม่เข้าใจอีกว่า พระอรหันต์องค์ใดก็ยกเว้นไม่มีอาบัติ อย่าไปถามว่าอรหันต์ จะมีอาบัติหรือไม่ แม้แต่สงฆ์ ต้องยกสติวินัยให้อรหันต์เพราะว่าพระอรหันต์ทุกองค์ จะแสดงผิด จากที่สอนกลับไปกลับมาเป็นลักษณะสิริมหามายาท่านก็สอนได้ตอนที่ท่านเห็นควร
ฉะนั้นคนที่ไม่มีปัญญาที่จะรู้ พระอรหันต์จะไม่มีอกุศลเจตนาที่จะทำผิด ไม่ว่าจะผิดศีลหรือผิดวินัยก็ตาม ท่านก็ไม่มีเจตนา ภาษาเป็นวาจาอาจจะเป็นภาษากลับกันจากที่เขาถืออยู่ แต่ท่านเห็นเหมาะควรจะต้องพูด เหมือนอย่างที่อาตมาก็พูดกับพวกคุณหลายที ที่เป็นเรื่องกลับกันแต่ทุกคนก็เข้าใจ อุปสัมบัน พูดกันจะไม่มีปัญหาเลย
ศีลย่อมยังให้ถึงอรหันต์โดยลำดับ
ดูกรอานนท์ ก็ธรรมปริยายชื่อว่า”ธรรมาทาส” ซึ่งเป็นธรรมที่มีอยู่ในพระอริยสาวกผู้ใด
ย่อมพยากรณ์ตนเองได้ว่า ตัวเราเป็นพระโสดาบันแล้ว ดังนี้นั้น เป็นไฉน?
-
เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
-
เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม
-
เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์
-
เป็นผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท
วิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฐิลูบคลำไม่ได้ เป็นไปเพื่อสมาธิ
พ่อครูว่า…ทุกวันนี้ ไปนั่งหลับตาไม่เกี่ยวกับศีลเลย ศีลเขาสอนแค่ควบคุมกายวาจาเท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย พระพุทธเจ้าสอนศีลบรรลุถึงจิตเลย
ในกิมัตถิยสูตร เล่ม 24 ข้อ 1 และ 208
กิมัตถิยสูตร
[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ศีลที่เป็นกุศลมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์
ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์ ..ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อวิปปฏิสารมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พระผู้มีพระภาค ..ดูกรอานนท์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์ ..ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปราโมทย์มีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พระผู้มีพระภาค ..ดูกรอานนท์ ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์ ..ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปีติมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พระผู้มีพระภาค ..ดูกรอานนท์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ฯ (ปัสสัทธิมีรากศัพท์มาจากการเห็น ปัสสะ เช่นตากระทบรูปเห็น หูกระทบเสียง เป็นต้น)
อานนท์ ..ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปัสสัทธิมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พระผู้มีพระภาค ..ดูกรอานนท์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ ฯ (สุขตัวนี้ยืมภาษามาเรียกเฉยๆ แต่ไปเข้าใจไปใช้อุเบกขาคือไม่สุขไม่ทุกข์ จริงๆแล้ว ความสุขจริงๆนั้นไม่มี)
อานนท์ ..ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สุขมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พระผู้มีพระภาค ..ดูกรอานนท์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ ฯ
พ่อครูว่า…ปฏิบัติศีลในจรณะ 15 และวิชชา 8 จึงจะเกิดเป็นสมาธิ สมาธิเกิดจากการสั่งสมจิตที่บริสุทธิ์สะอาดตกผลึกเป็น สมาหิโต ไม่ใช่สมาธิแบบโลกีย์ที่เขาเข้าใจกัน
อานนท์ ..ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สมาธิมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พระผู้มีพระภาค ..ดูกรอานนท์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์ ..ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ยถาภูตญาณทัสสนะมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พระผู้มีพระภาค ..ดูกรอานนท์ ยถาภูตญาณทัสสนะมีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ ฯ
พ่อครูว่า…ปฏิบัติศีลแล้วจะมีปัญญารู้แจ้งเป็นวิมุติ
อานนท์ ..ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็นิพพิทาวิราคะมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พระผู้มีพระภาค.. ดูกรอานนท์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหันต์โดยลำดับด้วยประการดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ 1
พ่อครูว่า…กุสลานิ สีลานิ อนุปุพเพนะ อรหัตตายะ ปูเรนตีติ ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ
ทำไมเขาไปหลงงมงายอยู่อย่างนั้นไม่ตื่นสักที ปลุกแล้วปลุกอีก ก็ต้องทน ไม่รู้จะทำยังไงเพราะเขายึดมั่นถือมั่น
เพราะฉะนั้นในคำว่าศีล ที่ท่านสรุปว่า กุสลานิ สีลานิ อนุปุพเพนะ อรหัตตายะ ปูเรนตีติ ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ
ก็ชัดเจน ปฏิบัติศีล จะเกิดผลทางจิตตั้งแต่ อวิปฏิสาร ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเช่นคนปฏิบัติศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ศีลข้อที่ 3
เมื่อคุณถือศีล ก็ต้องปฏิบัติสำรวมสังวรในศีล คุณจะต้องสำรวมอินทรีย์ ต้อง มีโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ นี่คือหลักปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า 3 ข้อ ในจรณะข้อที่ 2 3 4 ข้อที่ 1คือศีล ข้อที่ 2 สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ข้อที่ 3 โภชเนมัตตัญญุตา ข้อที่ 4 ชาคริยานุโยคะ
นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ที่คุณไปเรียนกันมานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ศีลต้องไปปฏิบัติสำรวมกายวาจา ส่วนสมาธิไปนั่งหลับตาเอา นั่นคือความเสื่อมของศาสนาพุทธ ทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ให้ผิดเพี้ยนไปตามสัจจะของพระเจ้า ต้องมาสอนตามจรณะ 15 ปฏิบัติธรรมไม่ผิด 3 ข้อ เมื่อเริ่มมาบวชตามพระพุทธเจ้าจะต้องเริ่มถือศีล ขอพลาดพิงแสงอรุณ 7 ฟังให้ดีนะอาตมาจะอธิบายธรรมะพิสดาร
สู่แดนธรรม…ก่อนจะไปเรื่องแสงอรุณ 7 ปัญหาของคนนี้ ยังตอบไม่ได้ชัดเจนนะครับ คือความเห็นของเขาเขาเห็นผิดแปลว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว มาบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีในตนให้ฟัง ก็จะไม่เหลือความเป็นอรหันต์เลย ที่เขาแสดงความเห็นมาครับ
การที่พระสงฆ์รูปใดก็ตาม ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ ย่อมผิดศีล เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เช่นนี้แล้วพระพุทธเจ้าทรงบอกว่า พระสงฆ์เหล่านั้นไม่ได้เป็นพระโสดาบัน (ใยต้องกล่าวไปถึงพระอรหันต์เล่า?)
อนึ่งนั้นเล่า การที่พระสงฆ์รูปใด อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ย่อมเป็นอาบัติปาราชิก
แต่ ถ้าหากอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน แต่ตนนั้นเข้าใจผิดว่าเป็นพระอรหันต์จริงๆ ก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ สำหรับหลวงตามหาบัวก็ชัดแล้ว
คำถามมีอยู่ว่า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้ประกาศตนเป็นเป็นอรหันต์แก่อนุปสัมบันหรือไม่?
ปฏิบัติศีลให้ถึงมโนปวิจาร 18
พ่อครูว่า…คนที่ไม่ได้เป็นอรหันต์บอกอุตตริมนุสสธรรมบอกไปก็ผิด ส่วนคนที่เป็นอรหันต์จะต้องรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพานของตัวเอง รู้ในกาย เวทนา จิต ธรรม โดยเฉพาะเวทนา 108
เวทนา 108 เป็นจุดสำคัญตรงที่ เคหสิตเวทนา 18 กับเนกขัมสิตเวทนา 18 เรียกว่ามโนวิจารณ์ 18 พฤติกรรมของมโน อาการของจิต 18 อย่างที่เป็นเคหสิตเวทนา เวทนาหรืออารมณ์ที่ยังมีความรู้สึกแบบโลกีย์แบบโลก
เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ารู้เวทนาในเวทนาและเรียนรู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า อย่างมีสัมมาทิฏฐิ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกกิเลสจากจิตหรือไม่ จิตมีเวทนาเป็นกิเลสหรือมีการปรุงแต่งดวยกิเลส ก็แยกกิเลสออกมาได้แล้วหาเหตุที่มันปรุงแต่งออกเป็นรสสุขรสทุกข์
ก็จับได้ว่า มีผัสสะ ก็มีตัณหาอุปาทานเป็นเหตุ เกิดมีนามรูป เกิดมาจากวิญญาณ ก็มีกิเลสมาร่วมปรุงแต่งด้วยอวิชชา พอเริ่มศึกษาก็มีวิปัสสนาญาณแยกจิตแยกกิเลสได้ สัมผัสอาการกิเลสแยกจิตแยกกิเลสได้ มันเป็นความชอบใจไม่ชอบใจ มีกามมีพยาบาท ก็ชัดเจนในตัวเหตุก็พิจารณาถึงตัวเหตุ เห็นว่าเอ็งเป็นตัวการมาเล่นงานคนโง่คนอวิชชา ขณะนี้ฉันรู้แกแล้ว มาอยู่ในบ้านฉันมานานแล้ว ฉันรื้อหมดแล้วเรือนยอดของแกหมดเลย นี่กำลังจะรื้อนะ อาตมาอธิบายมันยิ่งกว่าฉายหนังช้า 32 เฟรม ต่อวินาที ธรรมดาก็แค่ 16 เฟรมต่อวินาที หรือจะเอา 64 เฟรม เอาช้ากว่านี้ก็ได้นะ
นอกนั้นพอเราอ่านผิดอ่านเวทนา แยกตักกะ วิตักกะ สังกัปปะอออก แยกเหตุคือกิเลสในจิตเราทำให้เรา ใครเป็นเทวดาเป็นผีอยู่ จุดสำคัญต้องเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง ปัญญาอันนี้เห็นอะไรเห็นความไม่เที่ยงของจิต เห็นว่ามันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ก็คือเหตุที่ไปหลงสุข มีวิปลาส เห็นทุกข์เป็นสุข ที่จริงมันเป็นทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จัดการเหตุตรงนี้หมดก็หมด
ก็บอกเอ็งอย่ามาแหลมหน้า เอ็งเป็นตัวการเป็นเหตุแห่งทุกข์ จริงๆเอ็งไม่มีตัวไม่มีตัวตนหรอก อย่ามาหลอกเสียให้ยากเลย ปัญญาจะค่อยๆเข้าใจ กระทบมะขามนี้ มันน่ากิน เอาไปแช่อิ่มมา สวยๆโอ้โห ฉ่ำๆเลยกรอบด้วยนะเนื้อก็เยอะ ปอกเปลือกเหลือเนื้อหวานฉ่ำ มีเปรี้ยวผสมหวานอย่าบอกใครเชียว มันก็ไปใหญ่ฟุ้งไปถึงสวรรค์วิมาน
เอ็งอย่ามาหลอก ข้าเคยหลงสวรรค์ วิมานสวรรค์ไม่มีจริงหรอก มันมีแต่นรกที่ไปหลงว่ามันอร่อยนี่แหละเป็นตัวจริง อย่ามาหลอก เรารู้เหตุแห่งทุกข์แล้วรู้ว่ามันไม่จริงปัญญาจะชัดเจนเลยว่า มันเป็นสภาวะเป็นเครื่องปรุงแต่งระหว่าง ตัณหาโง่ๆ อวิชชา หากเราเกิดปัญญาเกิดวิชชาควรพิจารณาทุกทีที่สัมผัส มีโภชเนมัตตัญญุตากระทบสัมผัสสิ่งที่กินที่ใช้ตลอดเวลา
ยกตัวอย่างสิ่งที่กินคือมะขาม หรืออื่นๆ กินหมากนี่ไปถามมหาบัวดู เขาบอกว่าเป็นการรักษาโรคแต่รักษาจนตายไม่หาย ต้องกินอยู่ตลอด พูดจากลบเกลื่อนเพราะว่าตัวเองติด พูดไปอย่าหาว่าอาตมาว่ามาปรับอาบัติอาตมา มหาบัวจะถือว่าเป็นปาราชิกก็ได้ คือ ตัวเองรู้ทั้งรู้ ว่าหมากพลูเป็นของเสพติด แต่ไปโกหกเขาว่าไม่ใช่ของเสพติด โกหกทั้งๆที่รู้ ของเสพติดว่าไม่ของเสพติด แล้วตัวเองเสพติด เพราะเคยพยายามเลิกแต่เลิกไม่ไหวก็เลยมากลบเกลื่อน ว่าไม่ใช่ของเสพติด อย่างนี้เป็นต้น
เห็นแล้วอาตมาก็ว่ามันเสื่อมหนักเลยศาสนาพุทธ จนกระทั่งหลงกันถูกหลอก เป็นพระที่ไม่ใช่พระ เขาก็ไปนับถือบูชา พูดไปก็น่าสงสาร นับถือกันหมดทุกระดับ ไม่รู้จะทำยังไงเพราะไม่เข้าใจ ผู้รู้ไม่มาบอก แล้วผู้รู้ที่มาบอกอย่างอาตมาก็ไม่มีเครดิต แต่อาตมามีแต่ความจริงพูดความจริงด้วยความจริงใจ ด้วยความปรารถนาดี แต่ผู้ที่ตั้งใจฟังโดยไม่อคติ สุสูสังลภเตปัญญัง ตั้งใจฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา อาตมาอธิบายให้ละเอียดละออไปเรื่อยๆ พากเพียร
ขออธิบายในศีล จรณะ 15 เป็นเนื้อหาวิชาการ
อปันกปฏิปทา ถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ก็ผิดไปจากศาสนาพุทธ ก็แปลว่าอันนี้เป็นธรรมะที่ไม่ผิด ถ้าไม่มีก็ผิด ศีลก็โมเม สมาธิก็ไปนั่งหลับตา ก็ไม่มี 3 ข้อนี้มันก็ผิด ในจรณะไม่มีคำว่าสมาธิ เพราะเป็นอธิศีล ที่จะเจริญไปเป็น อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ
ปฏิบัติ 3 ข้อนี้จะเกิด สัทธรรม 7 ธรรมที่เป็นอาริยธรรม คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต แล้ว แล้วก็จะเกิดวิริยะ สติ ปัญญาอีก 3 ข้อเสริมหนุนกัน
สัทธรรม 7 คือธรรมของคนดีที่มีสัมมาทิฏฐิ
-
ศรัทธา (ความเชื่อมั่นอย่างสัมมาทิฏฐิ)
-
หิริ (ละอายต่อการกระทำผิด)
-
โอตตัปปะ (เกรงกลัวต่อการกระทำผิด)
-
พหูสูต (ฟังมาก รู้มาก ปฏิบัติธรรมแทงตลอด
ได้มาก)
-
วิริยารัมภะ (ปรารภความเพียร)
-
สติ (ระลึกรู้ตัวไม่เผลอใจ)
-
ปัญญา (รู้แจ้งชำแรกกิเลสได้)