631129_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าความเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า
ดาวโหลดเอกสารที่นี่ https://docs.google.com/document/d/18bvc8Hvbsl78K4Z6W-MyVjNNn-KREZFg-prcuH0i45Q/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1hgeMk6TSzaaKW6h4MU7nFxln2jbnnAK-/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/72mVctmwxVk
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก รายการนี้พ่อครูจะได้มาแจกแจงสัจธรรม ถ้าพวกคณะปลดแอกได้มาฟังก็น่าจะได้บรรลุธรรม แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นะ
วันที่ 5 ธันวาคมที่จะถึงนี้ก็เป็นเวลาที่สำคัญที่พวกเราจะได้ทำหน้าที่แสดงความกตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในหลวงรัชกาลที่ 9
ความหลงหรือโมหะ 5 ประการ
พ่อครูว่า…พวกเรารู้สาระเห็นความสำคัญในสาระเห็นสาระเป็นสาระ เอาเวลาทุนรอนแรงงานมาให้มาเสียสละ เอามาให้แต่สิ่งที่เราเห็นว่าอันนั้นคือสาระ ก็เป็นคนที่รู้จักสาระในสาระสำคัญในสาระ อาตมาก็ย้ำก็พูด ใครจะว่าอาตมาหลงธรรมะก็ไม่เป็นไร เราก็ต้องดูว่าคำว่า “หลง” หมายความว่าอะไร คำว่า “หลง” ก็คือยังไม่ชัดเจน มันยังหลงๆเลอะๆ ยังไม่ถูกตรงไม่ถูกต้อง ดีไม่ดีก็หลงผิด ความหลงนี่มีมากเหลี่ยม อาตมาจัดไว้ โมหะ 5 (ความหลง 5 อาการ)
-
หลงผิด (เห็นดีว่าชั่ว เห็นชั่วว่าดี) เช่น เห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นดี เห็นขาวเป็นดำ เห็นดำเป็นขาว เห็นสุขเป็นทุกข์ เห็นทุกข์เป็นสุข เป็นต้น
-
หลงลืม (สติกำหนดรู้ไม่ได้) อาตมาดึงเอาสิ่งที่ตัวเองมีธรรมะอยู่แล้ว เอามาใช้ให้เหมาะสมกับกาละ มีที่ไม่เหมาะสมกับกาละก็มี ก็ไม่ใช้
-
หลงใหล (คลั่งไคล้) ทั้งที่ตาก็ไม่บอดแต่ถูกเขาครอบงำให้ไปทำผิดอันนี้เสียหาย
-
หลงเหลือ (โมหะยังไม่สิ้นเกลี้ยง) มันยังไม่ครบยังไม่สิ้นยังไม่เกลี้ยง ยังหลงเหลืออยู่บ้างก็เก็บเศษที่เหลือ ควรจะทำให้มันชัดเจนอย่าให้มันหลงให้มันตรงให้มันแท้จริงให้มันถูกต้อง อย่าไปเป็นความหลงโมหะ
-
หลงตัว (หลงดี มีมานะยึดดีในตนเอง) อันนี้อาการร้าย หลงตัวเอง หลงหลงตน ตัวเองชั่วก็นึกว่าตัวเองดี ตัวเองผิดก็นึกว่าตัวเองถูกอะไรอย่างนี้เป็นต้น ตัวเองขี้เหร่ก็นึกว่าตัวเองสวย แม้ตัวเองสวยก็หลงว่าตัวเองขี้เหร่ ก็หลงตัวได้ แต่ก็คงหาได้น้อยตัวเองสวยลงว่าตัวเองขี้เหร่ แต่ตัวเองขี้เหร่แล้วหลงว่าตัวเองสวยนี่มีเยอะนะ ตัวเองจนหลงว่าตัวเองรวย หลงไปหลงมา ตัวเองผิดก็นึกว่าตัวเองถูก
_ลูกหมาน้อย …หนูเป็นคนรุ่งที่มาฟังธรรมของหลวงปู่ค่ะ หลายคนบอกว่าการมาเป็นคนอโศกต้องใช้ภาชนะส่วนตัว หนูรู้สึกว่าคนอโศกเป็นคนล้ำสมัยมากค่ะ หนูก็เลยเอาเป็นตัวอย่าง เวลาเดินทางก็จะนำแก้วน้ำส่วนตัว ภาชนะใส่อาหารส่วนตัว นำติดตัวไปทุกครั้งตามที่หลวงปู่สอนไว้ค่ะ วันที่ 3 นี้ขอให้ชาวอโศกนำภาชนะส่วนตัวไปด้วยนะคะ เพื่อลดภาระ
พ่อครูว่า…ชาวอโศกล้ำหน้าชาวไทยกว่า 40-50 ปีเลย อีก 30 ปีคนไทยทั้งหลายจะตามอโศกมาได้บ้างสักแค่ไหน แต่พวกที่ตามมามีก็มี แต่มันไม่ง่ายสรุปแล้วมันไม่ง่าย
สาระสำคัญแท้ของชีวิตคืออะไร
_ชายพงไพร บุนิตระกูลพุทธ : คนทุกวันนี้เอาเงินเป็นพระเจ้า เลยปลูกอยู่ปลูกกินไม่เป็นครับ…ทุกอย่างซื้ออย่างเดียวครับ
พ่อครูว่า…ปลูกอยู่ปลูกกินนี่แหละ เป็นคนเจริญเป็นคนล้ำยุคเป็นคนนำหน้ามนุษย์ในโลก มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช อาตมาว่า จะไปทำอะไรก็แล้วแต่ ผู้ที่เห็นสาระสำคัญว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลกแล้วก็มาจัดการกับอาหาร ที่จริงอาหารมี 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
กวฬิงการาหารนี่แหละเป็นที่หนึ่ง คนขาดอาหารไม่ตายทันทีก็ชะลอไปได้สักกี่วัน ก็ตายแน่ๆ ต่อมาผัสสาหาร เป็นสิ่งที่เราต้อง ผัสสะ กับสิ่งต่างๆ ถ้าคุณไม่รู้เท่าทัน ผัสสะ ไม่ได้เรียนรู้เท่าทันเวทนา คุณก็จะเกิดเวทนา ที่พูดนี้ศึกษาเวทนามันจะเป็นอารมณ์ความรู้สึก ให้คุณได้เรียนรู้ถ้าคุณไม่เรียนรู้ไม่จัดการกับเวทนา ให้เป็นเวทนาที่ไม่มีพิษภัยให้เป็นเวทนาที่อาศัย เป็นเวทนาที่ไม่มีตัณหา
ตัณหาคือมีเจตนา ซึ่งต่อจากอาหารข้อที่ 2 เป็นข้อที่ 3 คือ มโนสัญเจตนาหาร เจตนาทางกาม ทางภพ ทางวิภพ
เจตนาที่จะต้อง ยังให้เกิดกามให้เกิดกามไม่รู้จบดีไม่ดีให้มันบานปลายให้มันงอกงามไพบูลย์ไปอีก หนักหนาสาหัสเลยต้องเรียนรู้แล้วเลิก หมดกามแล้ว หรือกามลดลง ลดแม้แต่รูปภพ อรูปภพ ข้างในที่เหลือก็ลดลงๆๆ พอหมดกามภพ เหลือรูป อรูป ก็ลดรูป
รูปก็คืออันนั้นแหละตอนแรก กาม แต่เป็นกามที่เหลือน้อยจนเป็น รูป เป็นกามภายในเราไม่เรียกว่ากาม แต่เรียกว่า ราคะ ก็คือ กามราค เหลือกามที่ทยอยจัดการคือ รูป
ราคะ คือ กิเลสที่อยากได้มาเสพมาติดมาอร่อย มาชิม มาเป็นรสโลกีย์รสอร่อย อัสสาทะ ก็ลดลงๆ จนอาการ จะอร่อยไม่อร่อยไม่่มี เหลืออีก เป็น รูป อรูป ก็ไม่ให้มี จนเฉยครึ่งๆกลางๆรู้ความๆเป็นจริงของรส รสนี่มันรวมไว้หมดเลยนะ รสทางตาคือรูปสวย เสียงคือ คือเสียงไพเราะไม่ไพเราะ รสทางกลิ่น รสทางลิ้น ก็ลงไปหมดอร่อยไม่อร่อยตามสัจจะ รสหวานรสเผ็ดรสอะไรของคุณก็เป็นจริงตามนั้น ส่วนชอบก็อร่อยไม่ชอบก็ไม่อร่อย
รสทางสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง รสทางใจปั้นเองเสพเอง เป็นอารมณ์เพ้อพกเป็นฝันฟุ้งซ่านไป นับไม่ถ้วนเลยอันนี้ พวกนี้ ยิ่งยาก ลำบาก นั่งก็ฝันเพ้อไป เสร็จแล้วก็เอามาปั้นเอามาหลอกคนอื่นให้มาหลงตาม บางทีเอามาปั้นสร้าง เอาวัตถุมาปั้นตามฝันเอามาพูดให้คนอื่นเขาเชื่อให้คนอื่นเขาหลงคิดตาม หลงเพ้อพกคิดตามนี่แหละ มันมีได้สารพัดสารเพ มันมีได้นานัปการ
อันนี้สมมุติว่าสวยที่จริงแล้วมันไม่มีหรอกสวยไม่สวย มันก็มีสภาพของมันตามนั้นแต่คนไปสมมุติเอง อันนี้มันฐานะสูงอันนี้มันฐานะต่ำมันไม่มี มันจะอยู่สูงก็สูงมันจะอยู่ต่ำก็ต่ำ ก็พูดยกเอาเอง แล้วก็แบกกัน ยอมรับกัน แล้วก็ยึดถือกัน ก็ลำบากหนักหนาสาหัสตามที่สมมติยึดถือกันแย่งกันอยากเป็นอยากได้อะไรสูง อันไหนสวย อันไหนเลอเลิศก็ต้องเอาอย่างนั้นตามสมมุติกันไป เหน็ดเหนื่อยกันไป
คนที่รู้สาระแล้วอะไรที่จะต้องอาศัย ให้ชีวิตร่างกายยังอยู่ ขันธ์มันต้องการธาตุ ให้เหมาะสม ร่างกายสบายแข็งแรง ทำงานได้ดี นอกนั้นก็เป็นเครื่องประกอบไป คนนั้นก็ไม่เป็นภาระมากภาระหนัก
เงิน เป็นพระเจ้านี้ก็คือมันเอาไปซื้อได้สารพัด คนก็เลยหลง มันเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่คนยอมรับกัน คุณต้องการมาก ก็ต้องใช้มันมาก คุณไม่ต้องการมากคุณก็ไม่ต้องใช้เงินมาก ยิ่งคุณไม่ต้องการมากแล้วคุณก็สร้างเองได้ คุณก็ไม่ต้องไปวุ่นวายกับเงินเลย ยิ่งเรามารวมกัน ช่วยกันสร้างสิ่งที่เป็นสาระที่กินที่ใช้ เช่นอาหารก็ทำกันพอกินพอใช้ประกอบกับเครื่องใช้ที่เป็นบริขารบ้างก็มีพออาศัย เราก็มีพอ เราก็ไม่ได้เหนื่อยไม่เป็นหมาหอบแดดเหมือนอย่างข้างนอกเขา
นี่ก็ขยายความไปทางนี้ ใครเห็นดีได้ดีต่อเชิญ
_วินัส ศิลาสุวรรณ์ : กราบนมัสการครับ ผมจะตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพ่อท่านตามลำดับ จะไม่คิดฟุ้งซ่านไร้สาระเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้วครับ ขอบพระคุณพ่อท่านที่เมตตาตักเตือนผมครับ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ต้องตักเตือนไปตามที่เห็นควรนะ
การให้ขนมเด็กไม่ได้แปลว่ารักเด็กแต่ทำให้เด็กรักก็ได้
_เดชา อำพร : เห็นด้วยกับท่านฟ้าไท คนที่ให้ขนมเด็กซึ่งเป็นเด็กที่ไม่ได้ขาดแคลนอะไร นั้นไม่ใช่แปลว่ารักเด็ก แต่แปลว่าอยากให้เด็กรัก ตัวตนเราผู้ให้ขนมเด็กก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น
สมัยหนึ่ง ผู้เข้าประกวดนางงาม มักชอบแสดงออกว่ารักเด็ก จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ว่าเป็นนางงามต้องแสดงออกว่ารักเด็ก นั่นก็คือการแสดงความเป็น”อิตถีภาวะ”นั่นเอง
อีกประการคือ การแสดงความเอ็นดูเด็ก(ชื่นชมว่าน่ารัก)เกินกว่าเหตุ เป็นเรื่องของจริตอิตถีเพศ เป็นจิตวิทยาที่ยังมีจิตเสน่หาทางเพศ หรือจะสังเคราะห์เข้ากับเมถุนสังโยคก็ยังได้(รวมถึงการแสดงความเอ็นดูต่อสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก,ที่มีขนปุกปุย ก็ใช่ด้วย)
พ่อครูว่า…จริงๆมันเหตุปัจจัยในตัวของมันเอง ให้สิ่งที่เขาชอบเขาก็ชอบเรา ข้อสำคัญอย่าไปให้สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยแล้วเอาไปชอบสิ่งที่เป็นพิษภัย ขนมบางอย่างก็เป็นพิษภัยได้ เดี๋ยวเด็กติดขนมที่มันหวานจัด ที่มันมีอะไรที่มันติดง่ายแล้ว มันมีพิษภัยในตัวมันเองหนักอะไรยังงี้ ก็อย่าไปให้ อาตมาเห็นเด็กของเรา ก็กินข้าวเปล่า ตุ้ยๆๆ กินข้าวกับผักก็เคี้ยวกับผักไปสบายๆ เห็นแล้วอบอุ่นใจกับเด็กๆเขาจริงๆ ดีหนอ ให้ได้อย่างนี้จนโตจนอย่าไปถูกหลอกเลยสบาย ซึ่งมันได้ธาตุอาหารครบแล้วในสิ่งที่กิน ไม่ต้องเลือก รสนั้นรสนี้ รู้ว่าผู้ใหญ่ก็เอาสาระให้มากินแหละ ไม่เอาสิ่งที่เป็นพิษภัยไร้สาระมาให้กินหรอก หรือแม้แต่คนปรารถนาดีต่อกัน นอกจากจะปรารถนาร้ายเอาสิ่งที่เป็นพิษภัยใส่กลับมาก็อีกอย่าง คนที่อยู่ด้วยกันปรารถนาดีต่อกันก็สบายอบอุ่นเหมือนอย่างพวกเราสบาย
_ กราบนมัสการ พ่อเฒ่า สมณะ สิกขมาตุ …ตั้งแต่โยมเขียนจม.เมื่อ 2 วันที่แล้ว โยมรู้สึก สติ กลับคืนมาเช้าตี3 ตื่นมาออกกำลังกาย(ปกติ นอนซม) ทำกิจส่วนตัวอย่างสงบไม่ทุรนทุราย เหมือนที่ผ่านมา
โอหนอ (!) แค่พลิกฝ่ามือนิดเดียว ความคิดต่างๆ เปลี่ยนแปลงหมด
คนที่ได้ปฏิบัติธรรม มีบุญแท้หนอ โยมเข้าใจชัดมากขึ้น บุญ คือการเผากิเลส เผาให้หมดไป
โอ….! ยากแท้หนอ แม้รู้จักทางนี้แล้ว ก็ยังหลงทางได้ น่ากลัว ๆๆ มากๆๆ
เข้าใจแล้วว่า ทำไมพระโพธิสัตว์กวนอิมจึงปฏิญาณช่วยสัตว์โลก เพราะสัตว์โลกน่าสงสาร”ในสงสารวัฏนี้” คน วังวน หลงวน
กราบที่โยมมีโอกาส ได้พบได้ปฏิบัติ ได้เห็นทาง เข้าใจแล้วว่าให้ มี พระพุทธเป็นที่พึ่ง มี พระธรรมเป็นที่พึ่ง มี พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
พ่อครูว่า…ฉายาพ่อเฒ่า ฟังแล้วก็รู้สึกดีนะ เท่ดี ฟังดูแก่ อาตมาก็จะได้พยายามพากเพียรอย่าให้แก่ให้หนุ่ม สรีระร่างกายหนุ่มแต่อายุมากขึ้น ความแก่เฒ่าก็เป็นไปตามเวลาอายุ แต่แท้จริงตัวเองทำได้ไม่เฒ่าไม่แก่ตามที่ควรจะเป็น พ่อเฒ่า หมายถึงผู้คงแก่เรียนก็ได้
SMS วันที่ 27 – 28 ก.พ. 2563
_ชายพงไพร บุนิตระกูลพุทธ : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพยิ่ง ลูกฟังการตอบคำถามในรายการพุทธศาสนาตามภูมิวันนี้ ที่แชร์นี้ (วันที่ 27/11) ทำให้ลูกรู้ว่าพ่อท่านกำลังขยายความธรรมมะขึ้นสู่ก้นหอยที่อยู่สุดยอดลึกซึ้งมากยิ่งนัก ทำให้ลูกได้ทราบว่าการปฏิบัติให้เกิดสภาวะเท่านั้นจึงจะตามธรรมมะของพ่อท่านได้ทัน ตั้งแต่ลูกได้พบธรรมมะอันวิเศษที่พ่อท่านมาแสดง
มาเป็น 20 ปีแล้วพึ่งรู้ว่าธรรมมะของพระพุทธเจ้ายิ่งฟังยิ่งลึกไม่สงสัยในใดๆในโลกแล้ว ลูกกราบนิมนต์พ่อท่านอยู่ต่อถึงอายุ 150 ปี เพื่อที่จะตามฟังพ่อท่านให้เกิดสภาวะที่แท้จริงในจิตให้พ้นทุกข์พ้นความสงสัยและจะพยายามทำสภาวะให้เกิดขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปในวงจรตามพ่อท่านไปตลอดกาลเจ้าค่ากราบนมัสการด้วยความเคารพยิ่งเจ้าค่า
กายต่างกันสัญญาต่างกันในสัตตาวาส 9 หมายถึงอะไร
_ตุ๊ก อัศวิน : น้อมกราบ นมสก(นมัสการ) พ่อครูที่เคารพยิ่ง เจ้าค่ะขอโอกาสแสดงความเข้าใจในสัตตาวาส 9 ข้อ 1 และ 2 ดังนี้
สัตตาวาสข้อ 1 : กายต่าง/สัญญาต่าง กายต่างหมายเอารูป/นาม เช่น ชาย/หญิง เชื้อชาติ เด็ก/ผู้ใหญ่วรรณะ ซึ่งมีต่างกันไปตามวิบากแห่งตนสัญญาต่างหมายถึง สมมุติสัจจะซึ่งต่างก็สมมติเอาตามกิเลสของตัว
สัตตาวาสข้อ 2 : กายต่าง/สัญญาอย่างเดียวกันกายต่าง..มีความหมายเดียวกับข้อ 1 สัญญาอย่างเดียวกัน หมายถึง ปรมัติสัจจะ ซึ่งสัจจะมีเพียงหนึ่งเดียว
หมายเอาตามข้างต้นนี้..ใช่ไหมเจ้าค่ะ/น้อมกราบขอบพระคุณยิ่งเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…กายต่างกัน กายหมายความว่าภายนอก ต้องมีภายนอก ไม่มีภายนอกไม่ชื่อว่ากาย และต้องมีภายใน กายต้องมีคู่ กายไม่มีเดี่ยว กายต้องคู่ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ศาสนาพุทธเข้าใจคำว่ากายนี้หมายถึงเดี่ยวๆ คือวัตถุอย่างเดียว ไม่มีจิตร่วม นี่แหละ สุญโญเลย ปฏิบัติธรรมไปไม่ออกเลย ฟังไว้ดีๆเลย พวกที่เข้าใจคำว่ากาย กายะ ซึ่งเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 สักกาย ถ้ามีความเห็นอ่าน สักกายของตนให้ได้ อย่าไปอ่านของคนอื่น ของคนอื่นไม่รู้จริงหรอกต้องอ่านของตนเอง
แล้วกายต้องเป็นสภาพ 2 แล้วต้องมีภายนอกร่วมด้วยกับภายใน ถ้าไปถึงในจริงๆ ท่านเรียกมโน หรือว่า มนารมณ์(อารมณ์ที่ภายใน) และทางกายเขาเรียก โผฏฐัพพารมณ์(โผฏฐัพ คือ ภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกาย) กายต้องมีโผฏฐัพพะ ส่วนมนะ ไม่ต้องมีภายนอกได้เลย
ทีนี้ กายต่างกัน องค์รวมของ 2 อย่าง รูปกับนาม ภายนอกภายใน แล้วไปข้างในก็มีสัญญาต่างกันอีก คำว่าต่างนี่คือ คนหนึ่งเป็นโลกีย์คนหนึ่งเป็นโลกุตระ
ไม่ว่ากายต่างกัน โลกียก็เข้าใจว่ากายคืออีกอย่างหนึ่ง เช่น โลกียเข้าใจว่ากายคือหนึ่งเดียวไม่มี 2 อันนี้ก็ต่างกัน โลกุตระต้องมี 2
สัญญาการกำหนดรู้เป็นเรื่องของจิต จิตมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้ จิตเอาตัวสัญญาเจตสิกที่มีหน้าที่กำหนดรู้และจดจำ สัญญานั้นทำงานมาก แต่คนไม่รู้ เป็นหน้าที่ของจิตตัวสัญญานี่ ทำงานอย่างโง่ๆส่วนมากยังเป็นอวิชชาก็โง่ทั้งนั้น ทำงานอย่างฉลาดขึ้นมาชัดเจนฉลาดแบบปัญญา ฉลาดแบบเฉโก ก็โง่อีกแบบ ทุกวันนี้เขาก็ยังเข้าใจยากอยู่
สัญญาคือกำหนด ทำธาตุรู้ที่เป็นความรู้ ทำความรู้กับกาย กำหนดรู้ทั้งภายนอกภายใน สัญญากำหนดรู้แต่ภายในนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์เป็นสิ่งที่ยังไม่ครบความจริง เพราะฉะนั้นหลับตาปฏิบัติมีแต่สัญญาภายใน มันไม่ครบความจริง คุณปฏิบัติอย่างไรก็พิการ วิปลาส นั่งหลับตาปฏิบัติธรรม กายมีวิปลาส ไม่ครบไม่เต็ม ไม่ได้ ไม่บรรลุรู้สุดยอด จะได้ก็เป็นการปั้นเอามาหลอกตัวเอง นิรมาณกาย เป็นสัมโภคกาย ต่างคนต่างตาบอดเป็นอทิสมานกาย ไม่เห็นจริงของใครของมัน แต่ก็พูดกันรู้เรื่อง ร่วมรู้ร่วมกันเป็นสัมโภคกาย แต่เป็นการสร้างขึ้นมาอย่างไม่มีสิ่งยืนยันพิสูจน์ได้อย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าจึงไม่เอา แต่คนมันทำ มันหลอกกันว่า เดี๋ยวจะมีพาดพิงถึงฤาษีลิงดำ เป็นคนสร้าง หลอกคนให้หลงเลอะ แล้วก็มีคนมาทำทานสร้างวิมานอะไรของท่านไปต่างๆนานา
สรุปแล้ว เมื่อเข้าใจองค์ประกอบนอกใน รูปนามที่ต่างกัน กายกำหนดก็ต่างกันอีก มันก็เลยสลับเอาอะไรมาผสมส่วน ยิ่งกว่าม้านิลมังกร มีหัวเป็นม้ามีหน้าเป็นมังกรมีเขาเป็นควาย เขาเป็นกวาง คือเป็นแบบพิลึก ตามประสาของสุนทรภู่ แกก็สร้างนิรมาณกายขึ้นมาหลอกกันไป ปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาเป็นม้ามังกรว่าอย่างนั้น เอามังกรมาผสมกับม้า เรียกว่าม้านิลมังกร
อาตมาว่าถ้ามีอย่างพระอภัยเป่าปี่ดีและมีเมียเยอะอย่างนี้แย่เลยมนุษยชาติคือมีแต่ขี้ยาเป่าปี แล้วก็ยกย่องสุนทรภู่ก็ต้องขออภัย เป็นพื้นฐานทางวรรณกรรมจินตนาการที่มีความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา จะบอกว่ามีเนื้อหาสาระของปรัชญาที่เป็นไปในทางดีก็มีบ้าง คือเอาสิ่งที่ดีกับไม่ดีมาคู่กันเพื่อให้รู้ว่า สิ่งไม่ดีไม่น่านับถือ มีอะไร ก็ให้เลือกเอาสิ่งที่ดีตามประสาของสุนทรภู่ขี้เหล้า
เป็นนิรมาณกายคือเนรมิตเป็นของไม่มีในโลกสมมุติขึ้นมา ซึ่งเป็นของที่ไม่มีขึ้นจริงในโลก และมีคนร่วมหลงสมมุติขึ้นมาด้วย เป็นสัมโภคกาย คนชนิดนี้คือคนตาบอด คืออาทิสมาณกายต่างไม่รู้ไม่เห็นความจริงกันทั้งคู่หรือกี่คนก็แล้วแต่ร่วมกัน ที่เป็นหลงเป็น สัมโภคกายร่วมกัน สมมุติกันตรงกันเป๊ะเลย แต่ว่าต่างคนต่างตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ บอกว่าสนุกด้วยกันเลยนะ ตาบอดหนังก็ใบ้อีก แต่รู้เรื่องนะพูดคุยกันขโมงโฉงเฉง นางเอกสวยจังพระเอกเก่งจัง ไปกันใหญ่เลย ตาบอดไม่เห็นรูปเห็นภาพ เสียงก็ไม่มีด้วย แต่พากันสุขสนุกกันใหญ่เลย เป็นพวกโมเมคุยกันต่างคนต่างโมเมคุยกันเหมือนเด็กๆ คุยกันแต่รู้เรื่องกันนะสนุกแบบเด็กๆ เด็กๆยังจะดีกว่าคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้
สรุปแล้วมันก็เป็นเรื่องเลอะเทอะไม่ตรงไม่จริงอะไรเลย ต่างคนต่างสมมุติไปได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าหากกายต่างกันสัญญาต่างกัน จะสมมุติเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่เป็นสารพัดต่างคนต่างสมมติไม่ตรงกันหรอก เทวดาก็ต่างคนต่างสมมติดังมีจินตนาการไปต่างคนต่างคิดอยู่ในภพของตนเอง เป็นของตัวเองนะ แต่พูดกันเหมือนกับคุยกันเรื่องเดียวกัน แต่พวกนี้มันถึงทะเลาะกัน คิดตรงกันก็คุยกันอย่างดี ถ้าไม่ตรงกันก็จะทะเลาะกัน ส่วนมากก็จะทะเลาะกันเพราะว่ามันไม่ตรงกัน กายต่างกันสัญญาต่างกัน เห็นมนุษย์ก็ต่างกัน เห็นเทวดาก็ต่างกัน เห็นพระพรหมก็ต่างกัน เทวดามารพรหมก็ต่างกัน แม้เทวดาก็ไม่เหมือนกัน มนุษย์ก็ไม่เหมือนกัน พรหมก็ไม่เหมือนกันต่างคนเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านของแต่ละคน นี่คือกายต่างกันสัญญาต่างกัน
พอเริ่มต้นมีจุดเหมือนกัน กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน อันที่ 2 เป็นสัตตาวาสข้อที่ 2 กายต่างกันมีความหมายเดียวกับข้อที่ 1 สัญญาอย่างเดียวกัน หมายถึงปรมัตถ์
เขามีจุดหมายสัญญากำหนดหมายที่ว่าอย่างเดียวกันก็คือจุดหมายว่าไม่มี นิวรณ์ 5 กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกันในข้อที่ 2 เพราะฉะนั้นมิจฉาทิฏฐิก็ตามพวกนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นต้น เขาก็ไม่มีอารมณ์นิวรณ์ 5 ไม่มีกาม ไม่มีพยาบาท ไม่มีถีนมิทธะ ไม่มีอุทธัจจกุกกุจจะไม่มีสงสัย เขาก็ได้ความไม่มีนิวรณ์ แม้จะเป็นวิธีแบบสมถะแบบสะกด เขาก็ไม่มีนิวรณ์
ของพระพุทธเจ้าลืมตาปฏิบัติก็ไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน จึงเป็นปฐมฌานเหมือนกัน เป็นฌานที่ไม่มีนิวรณ์ ก็เป็นสัญญาที่ตรงกัน นี่คือจุดหมายสำคัญของสัตตาวาส หรือวิญญาณฐีติข้อที่ 1 และ 2
_บ่อวิน ห้าห้อง กิเลทคืออะไร / ถ้าเรียนบาลี คาถาชินบัญชรแปลไทยว่าอะไรครับ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ตอบไม่ได้เพราะไม่ใช่กิเลสแบบ ส.เสือสะกด กิละ + เอทะ หมายถึงอะไร ถ้ากิเลส คือ กิล คือ ดังได้ยินได้สดับมา เอสะคืออย่างนั้นๆ ดังได้ยินมาว่าอย่างนี้อร่อย ก็ยึดถือตามเขา
มีคำว่า กิเลทนะ แปลว่า ความเปียกชื้น ก็แปลตามที่เขาว่า เปิดตำราตอบ
จริงๆแล้วคาถาชินบัญชร คือมีคนแต่งเอาภาษาบาลีมาแต่ง เอาชื่อพระอรหันต์มาเรียงกันแล้วท่อง ชินะ แปลว่าผู้ชนะ บัญชร แปลว่าหน้าต่าง คือหน้าต่างของผู้ชนะ
ก็ถือว่า จะให้ ป้องกันคุ้มครองพาให้เจริญงอกงามอะไรก็ว่ากันไป โดยจุดสำคัญที่จะได้ควรจะได้ก็แค่ว่า คนก็นิยมชมชอบพระอรหันต์ พระอรหันต์ที่เอามาเรียงร้อยต่างๆ ไม่รู้อรหันต์จริง อรหันต์เก๊ก็ไม่รู้ จริงๆก็คือหลวงพ่อโต เป็นผู้เอามาเรียบเรียง มีเก่ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา หลวงพ่อโตก็เอามาเรียบเรียงกันให้ท่อง ก็เชื่อว่าเหมือนกับการสวดมนต์คล้ายๆกัน ให้มีศิริมงคลแก่ตัวเองว่างั้น ก็ถ้าท่องแค่นี้สำเร็จทุกอย่างก็ สบมทมดปกตหหจจ ก็อย่าไปติดยึดมากนัก ให้มาเรียนรู้ความหมายของสิ่งที่ท่อง ให้ปฏิบัติตามให้ได้
เทวดาจะบรรลุธรรมได้อย่างไร
_Asok Asok (อโศก อโศก) : เทวดาไม่มีกาย ไม่มีผัสสะรับรู้กระทบภายนอก แต่พ่อท่านว่าไม่มีผัสสะปฏิบัติผิดไม่มีทางบรรลุ แต่ในพระไตรปิฏกพระพุทธเจ้าแสดงธรรมมีเทวดาบรรลุมากมาย อยากให้ช่วยอธิบายว่าไม่มีผัสสะแล้วทำไมเทวดาบรรลุธรรมได้
พ่อครูว่า…อาตมาว่า ถ้าปฏิบัติแล้วไม่มีผัสสะ เป็นการปฏิบัติที่ผิด ไม่มีผัสสะภายนอกเป็นการปฏิบัติที่ผิด นี่คืออาตมาอธิบายยืนยัน ไม่มีทางบรรลุหรอกแบบนี้
คุณจะพูดถึงผัสสะ หรือคุณจะพูดถึงเทวดา อาตมาอธิบายว่าถ้าไม่มีผัสสะแล้วคุณปฏิบัติธรรมไม่มีทางบรรลุ แล้วคุณก็บอกว่าถ้าไม่มีผัสสะแล้วทำไมเทวดาบรรลุธรรมได้ ถามว่าไปไหนมาสามวา 7 ศอก แล้วมันจะรู้เรื่องกันไหมนี่ ผัสสะก็อย่างหนึ่งเทวดาก็อย่างหนึ่ง
คุณเข้าใจว่าเทวดาคืออะไร อาตมายังไม่รู้ แต่ในพระไตรปิฎก “พระพุทธเจ้าแสดงธรรมมีเทวดาบรรลุมากมาย” เอาคำนี้ก็ได้ ก็ต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านกล่าวคำว่าเทวดานี้หมายถึงอะไร
เทวดาก็คือ เทวะ คำว่า ดา คือ ภาษาบาลีเป็นคำ ตา เป็นคำนาม เอาปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นคำนาม
เทวะ แปลว่า 2 ผู้ที่รู้ความเป็น 2 โดยเฉพาะเป็นนามธรรมเป็นจิตวิญญาณ แล้วแยกเทวะนี้ได้ แยกออกมาแล้วปฏิบัติได้ว่าถ้า 2 แล้วเอาอันใดอันหนึ่งที่จริงกว่า ถูกต้องกว่าให้ได้ คนนั้นทำสำเร็จ คนนั้นได้ประโยชน์ เช่นดีกับชั่วเป็น 2 คุณรู้ได้ว่าอันไหนดีกว่า อันไหนชั่ว ดีควรจะเอาจะทำ คุณก็ทำให้ได้ ความสุขกับทุกข์แน่นอนคุณก็ต้องเอาความสุขไม่เอาความทุกข์ สูงไปกว่านั้น สุขทุกข์กับไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นศูนย์เลย หรือเป็นสุญญตา ความสุขกับความทุกข์นั้นแยกกันไม่ได้แต่คนไม่รู้ก็ไปหลงหน้าเดียว เหรียญมันมี 2 หน้าแต่ไปหลงหน้าความสุข แต่คุณก็ได้ความทุกข์ไปด้วยกัน ถึงเวลาหมดอายุของความสุขก็เป็นความทุกข์ มันไม่เที่ยง แต่ผู้ศึกษายังไม่สมบูรณ์ก็ไปหลงติดความสุขจนกระทั่งเป็นสุขนิยม แต่ก็ไม่เรียนรู้ทุกข์ เลยความทุกข์ก็ไม่หายไปเพราะไม่จัดการเหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์มีแค่ไหนก็ฆ่าให้ตาย ฆ่าเหตุแห่งทุกข์ให้ตาย ความทุกข์ก็ตายความสุขก็หมดไปด้วย คนที่มีจิตไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้ว อทุกขมสุข หรือเรียกว่าอุเบกขา “อุเบกขา”คือความบริสุทธิ์ (องค์คุณอุเบกขา 5 คือ ปริสุทธา ,ปริโยทตา ,มุทุ ,กัมมุญญา ,ปภัสสรา) บริสุทธิ์จากอวิชชา บริสุทธิ์จากกิเลส กิเลสไม่มีเพื่อน จิตสะอาด
จิตอย่างนี้เป็นจิตที่จะมีปัญญามีความฉลาดเต็ม เพราะไม่มีสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้ามัวหมอง ก็เป็นจิตที่ใสสะอาดบริสุทธิ์แล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริงได้ชัดเจน เรียกโดยพยัญชนะให้ชัดว่า ปัญญา
สรุปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสว่าเทวดาบรรลุธรรมมากมายก็คือ ผู้ที่รู้จัก เทวะ แล้วสามารถฟังคำว่า เทวะ แยกเทวะรู้ได้ เช่น แยกสุขทุกข์ แยกสุขทุกข์กับ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ถ้าคุณยังหลงความสุขก็ต้องมีความทุกข์แยกกันไม่ออก ไปด้วยกันแยกกันไม่ได้เหมือนกับเหรียญสองด้าน
คนโง่ แยกสองไม่ได้ ยึดเป็น 1 ทั้งๆที่ ทุกอย่างทำให้เป็นหนึ่งได้ และก็ทำให้เป็น 0 ได้ด้วย ผู้ที่ทำให้เป็น 1 ก็หมดคู่ หมดทุกข์หรือจะเหลือแค่สุขก็เป็น 1 คนรู้ก็ดับสุขด้วยก็เป็น 0 ก็ชนะ ผู้ที่ยังมีแต่สุข ก็สามารถ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ หมดคู่หมดเทวะหมดสอง หมด 1 เป็น 0 ทำ 0 ได้ก็หมดคู่ที่จะมาปรุงแต่งกันในตัวธาตุ เป็นจิตวิญญาณเป็นคู่ สลายความเป็นคู่ก็ไม่มีธาตุคู่ เป็นธาตุเดี่ยว เป็น 1
เป็นพีชะ เป็นชีวะระดับพืช มันไม่สุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ มันก็ไม่มีวิบาก มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์ มันก็สบายกว่า มีแต่สุข ก็จะต้องมีทุกข์ แต่สุขไม่มีทุกข์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเหลือแต่สุข คุณจะสะกด กันทุกข์ไม่ให้มาด้วยวิธีใดๆก็แล้วแต่ กดข่มหรือคุณจะใช้เฉโก ฉลาด ความทุกข์มาเมื่อไหร่ก็ ดีดออก ทุกข์มาดีดเก่ง ได้แต่สุข คุณก็ต้องดีดมันไปตลอดกาลนาน ซึ่งไม่ได้หายไป ไม่ได้ไปตัดหัวใจของสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ถ้าไปตัดหัวใจของสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์นี้แตกสลายไปเลย เหมือนกัน ทุบหัวใจของทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์เอาหัวใจไปฝากฤาษีไว้
สู่แดนธรรม…ผู้ถามมานี้เป็นสัญญาวิปลาส กำหนดรู้เทวดาไม่ถูก
พ่อครูว่า…ผัสสะก็อย่างหนึ่ง เทวดาก็อย่างหนึ่ง เรียนรู้ให้ดีอย่าเอาคนละกาย คนละสัญญามาใช้
ความเป็นสารีบุตรในปัจจุบันของพ่อครู
_ตั้ง ใจ ดี : พ่อท่านบรรยายว่าผู้ที่บรรลุอรหันต์ขึ้นไป เป็นผู้ที่ตายอย่างสุญญตนิพพาน ตายจิตสูญ แต่พ่อท่านบอกพวกเรามาตลอดว่าเป็นพระสารีบุตร ผมจึงสงสัยว่าพระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ นิพพานสูญไปแล้ว ทำไมกลับมาเกิดเป็นพ่อท่านได้อีกครับ ถามไว้หลายที พ่อท่านไม่ยอมตอบเพราะ
พ่อครูว่า…ตอบนะ อาตมาก็ตอบอยู่ตลอดเวลา มันก็เข้าใจยากเหมือนกัน เพราะคุณไปยึดมั่นถือมั่นเที่ยงแท้ในตัวตน ถ้าอาตมาเป็นพระสารีบุตร องค์ที่เกิดอยู่ต่อหน้าพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าคนนั้น อาตมาก็ตายจากความเป็นสารีบุตรไปแล้ว แล้วมาเกิดใหม่
1.ร่างกายแน่นอนดินน้ำไฟลม มาเป็นร่างโพธิรักษ์นี้ คนละตัวแน่ คนละแท่งคนละก้อนแล้ว ไม่ใช่พระสารีบุตรอันนั้นแล้ว
2 ความรู้ วิบาก ที่เป็นความรู้ธรรมะ คือผลที่ได้สะสมความรู้มา ความรู้ของอาตมาก็ไม่คงเดิม ถ้าอาตมา คุณบอกว่าอาตมาเป็นสารีบุตร แล้วก็ต้องมีความรู้เป็นสารีบุตรคงเดิม คุณดูถูกอาตมานะ เพราะอาตมาก้าวหน้ามา ตั้ง 2,500 กว่าปีมา พระสารีบุตรตายตั้งแต่โน่นแล้ว มาถึงวันนี้อาตมาก็พัฒนาเกิดมาหลายรอบแล้ว กว่าจะมาได้ร่างโพธิรักษ์ เกิดมาเป็นชาติคนหลายรอบแล้ว เสร็จแล้วคุณก็มาหาว่าอาตมายังเป็นพระสารีบุตรอยู่เท่าเดิมนั้น เป็นการดูถูกอาตมา อาตมาความรู้ก็ไม่ใช่แค่ของสารีบุตรแล้ว แล้วความรู้อย่างสารีบุตรอาตมามีไหม นี่เป็นสำคัญ
สาระปุตโต บุตรที่มีสาระของพระพุทธเจ้าอาตมามีไหม เอาอันนี้เป็นสารีบุตร มีไหม…มี อาตมาก็สารีบุตรแล้ว แล้วอธิบาย ไม่เหมือนพระสารีบุตรด้วย ในพระไตรปิฎกอาตมาก็อธิบายให้ละเอียด คุณอ่านภาษาของพระสารีบุตรในพระไตรปิฎกนั้นยากกว่าอาตมาอธิบายให้ฟังใช่ไหม ที่แจงไม่ได้แปลกใหม่แต่ขยายความตามกาละเทศะฐานะ ขณะนี้ก็จะต้องสื่อด้วยภาษาพยัญชนะอย่างนี้ เนื้อแท้สัจจะก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวอันเก่า คนจะเข้าใจสัจจะก็ต้องอาศัยองค์ประกอบของภาษาหรือท่าทาง สุ้มเสียง ประกอบให้ฟังคุณก็เข้าใจได้ อันนี้ต่างหาก พระสารีบุตรองค์นั้นอธิบายไม่ได้เหมือนโพธิรักษ์หรอก
ทำไมพระสารีบุตรตายแล้วต้องมาเกิดอีก อาตมาเป็นสารีบุตรจริงๆ อาตมาร่างกายก็ตายแล้ว กิเลสตายคือเป็นพระอรหันต์ กิเลสคืออกุศลจิตตายแล้วไม่เกิดอีก ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่มีอกุศลจิต เกิดมาก็ไม่มีอกุศลจิต ชาตินี้โพธิรักษ์ก็ไม่มีอกุศลจิตมาตั้งแต่ไหน ทำงานอยู่ทางฆาราวาสก็เป็นลิงลมอมข้าวพองเหมือนกับเขาโง่ๆบ้าง แต่ก็ไม่ได้ไปทุจริตอะไร ขนาดอาตมาโง่ๆ ไปเล่นการพนันก็ยังไม่โกงเขาเลยถูกโกงแพ้เขายับเยิน มีแต่ขาดทุน เขาชอบมาเรียกอาตมาไปเล่นเพราะอาตมาเป็นหมูสนาม อาตมารายได้ดีก็เลยมีเงินไปเล่นเขาก็ชอบ เล่นกันจังพวกอาจินต์ ปัญจพรรค์ สุรพล โทณะวณิกอะไรต่างๆพวกนี้ สะอาด ไม่ได้มาเล่น
อรหันต์กิเลสตายอย่างไม่เกิดอีก แล้วมีแกนจิตที่ไม่ลึกลับแล้วเป็นที่สุด ผู้ที่รู้ในกรอบของตนเอง พระอรหันต์ในพระโสดาบัน จึงเป็นพระอรหันต์ในพระอรหันต์ เป็น อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ จบก็เป็นมหาโพธิสัตว์ จนถึงอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
สรุปก็คือพระสารีบุตรนั้นกิเลสตายแน่นอน เพราะฉะนั้นคุณอย่าเอาบุคคลตัวตนดินน้ำไฟลมเป็นร่างกาย พระสารีบุตรที่มีดินน้ำไฟลมนั้นตายไปแล้ว นามธรรมที่ตามมาเป็นความรู้ ก็เป็นความรู้ของอาตมา เป็นแกนเป็นฐานมาจากพระสารีบุตร..ใช่
ถ้าเข้าใจไม่ใช่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา สารีปุตโต คนที่ได้สาระธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นทุกคนเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนที่ไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ให้เอาเนื้อแท้ของธรรมะ ก็เป็นสารีบุตรได้ทุกคน ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้อง ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นมา เป็นโลกุตระขึ้นมา ก็เป็นสารีบุตรได้ทุกคน นี่เราไม่ได้ยึดเป็นตัวตนเป็นตัวเราของเรานะ ที่พูดนี้ อาตมาไม่มีตัวตน อาตมาไม่ได้เอาตัวตนมาพูดเลย เป็นธรรมะล้วนๆ ไม่ได้ยึดมั่นเป็นตัวเราของเรา คุณจะเอาธรรมะที่อาตมามีอาตมาพูด คุณเอาไปปฏิบัติให้เกิดธรรมะของคุณได้ทุกคน ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เข้าใจให้ถูกแล้วปฏิบัติให้ถูก ทรงมีไว้ในตนธรรมะขึ้นมาอย่างนั้น เป็นของพระพุทธเจ้าเลยเป็นโลกุตรธรรม
คุณธรรมที่ไม่มีกิเลส กิเลสที่ดับอย่างถาวรไม่เกิดอีกเลย คุณทำให้ได้สิ นี่ต่างหากคือเข้าไปหาเนื้อหาสาระแก่นสารสาระเป็นสารีบุตร บุตรผู้รู้จักสาระของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มา ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ เรียนตามให้ถูกต้องและเอาไปปฏิบัติให้ได้ ก็ได้ตรงกันหมดนั่นแหละ
อาตมาทำให้พวกคุณได้เข้าใจ จึงตรงกัน จึงมาเป็นคนจนร่วมกันได้ มาเป็นคนที่มีเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือ มีสารณียะ ปิยกรณะ สังคหะ อวิวาทะ เอกีภาวะ หรือมีวรรณะ 9 ได้อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ได้ลาภมาโดยธรรม อย่างสุจริตไม่มีทุจริตก็เอามากินใช้ร่วมกัน ไม่ต้องยึดถือเป็นของตัวของตน
พูดไปแล้วมันน่าภาคภูมิใจ ทำได้ ไม่ใช่คนเดียวเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น จะเป็นแสนเป็นล้านอะไรก็ว่ากันไป เท่าไหร่อาตมาก็ไม่รู้ที่ทำได้ นี่สุดยอดแล้วพิสูจน์ได้ยืนยันได้ อะกาลิโก เอหิปัสสิโก ไม่จำกัดกาล ยุคของพระพุทธเจ้าก็ทำได้ ในยุคนี้ก็ทำได้ดีปกติก็ให้มายืนยันได้ เป็นของสูง โอปะนะยิโก สุดเอื้อมนะ แต่ทำได้
สู่แดนธรรม…ปัญหาข้อนี้ผู้ถามก็กำหนดสัญญาตรงกันว่าพระอรหันต์ตายแล้วไม่เกิด
พ่อครูว่า…ไม่ตรงกันที่เขายึดถือว่าอรหันต์เป็นตัวตน ตัวนั้นเที่ยง แต่อาตมาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเที่ยงหรือไม่เที่ยง แล้วก็มีแต่เจริญกับเจริญไปเรื่อยๆ ไม่ติดแป้น ไม่ติดอยู่ที่เก่า
พระอรหันต์คือ ผู้ที่ทำให้กิเลสหมดไปสูญสิ้นไป ไม่เกิดอีก จะเกิดเป็นร่างกายมนุษย์อีกกี่ชาติก็ตาม กิเลสก็ไม่มีอีกในตัวผู้นี้
ทำไมกลับมาเกิดเป็นพ่อท่าน ก็ร่างกายนี้ไม่ใช่อันเก่า ก็มาเกิดเอาร่างกายใหม่ แล้วก็ธรรมะนั้นมาพัฒนาต่อ ไม่ใช่ธรรมะอันเดิม ไม่ใช่ธรรมะเท่าเดิม แต่มีแกนเดิมเป็นแกนโลกุตระเดิม
อาตมาก็ตอบไปหลายที คุณไม่เข้าใจเองต่างหาก คนอื่นเขาก็เข้าใจดี แล้วมาทวงอาตมาว่าไม่ตอบอีก ตอบไม่ตรงคำถามของเขา ตอบไม่ตรงจากที่เขายึดถือไว้ ก็ขอยอมรับว่าอาตมาตอบไม่ตรงคำตอบ ของคุณ
กลับมาเกิดตัวนี้ไม่ใช่กิเลสมาเกิด แต่เป็นสิ่งที่เป็นองค์ประกอบของธาตุ 2 เป็นธาตุของเทวดา คือธาตุของกายของจิตมาเกิด มีกายกับจิตมาเกิดเป็นตัวร่างนี้ แต่กายกับจิตนี้มีพัฒนาการ กายก็ไม่ใช่วัตถุเก่า จิตมาเกิดก็ไม่ใช่จิตเก่า เป็นจิตที่พัฒนาขึ้นแล้ว ถ้าบอกว่ามีจิตเก่ามาเกิดเหมือนเดิมไม่มีคลี่คลายไม่มีสูงไม่มีต่ำกว่าเดิมนั้นก็ดูถูกอาตมา ยิ่งบอกว่าต่ำกว่าเก่านี้ยิ่งดูถูกอาตมา อาตมาไม่เท่าเดิมนะ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ
มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหมทำไมต้องอยากรู้
_sang si (แสง สี ) : กราบคาราวะเคารพหลวงปู่เป็นอย่างสูงครับ ผมมีคำถามถามหลวงปู่ครับ มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องมนุษย์ต่างดาวครับ จะไม่ตอบก็ได้ครับ เพราะมันอาจจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระไม่ทำให้พาพ้นทุกข์ แต่ในใจผมก็อยากรู้ สงสัยครับ กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า…ถ้าคุณอยากรู้มนุษย์ต่างดาวและคุณก็ได้รู้ว่าใครเขาอธิบายมนุษย์ต่างดาวให้คุณฟัง สมมุติว่า มันถูกต้องด้วย ใครก็ตามที่อธิบายเรื่องมนุษย์ต่างดาวให้คุณฟัง ถูกต้องตรงกับมนุษย์ในดาวอังคารดาวพฤหัส เป็นต้น เขาอธิบายให้คุณฟังถูก แล้วคุณจะไปเกี่ยวอะไรกับมนุษย์ต่างดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์อะไรอย่างนี้ คุณจะไปหาเขาหรือ หรือจะให้เขามาหาคุณ คุณจะทำงานอะไรร่วมกับเขา คุณจะเซ็นสัญญาขายกล้วยปิ้งอะไรกับเขา ควรจะทำหรือ คิดไปทำไม สมมุติว่ามีจริงๆนะ ที่นี้ก็ยังไม่รู้ได้ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง ก็เลยไม่ต้องคิดใช่มั้ย ขนาดว่ามีจริงคุณก็จะไปทำอะไรกับเขา คุณเตรียมโครงการไว้หรือยัง ไปคิดเพ้อๆพกๆทำไม
ไม่ต้องไปคิดเพ้อๆพกๆหรอก คนอยู่ในโลกเดียวกันแล้วอยู่ใกล้กันชิดกันสัมผัสกัน มีเรื่องอะไรต้องทำร่วมกันติดต่อกันให้เป็นประโยชน์แก่กันและกัน อันนี้สิ เวลาก็ไม่ค่อยพอหรอก คุณสามารถที่จะทำให้เขาก็เจริญไป คุณก็เจริญไปด้วยกันได้ไหมล่ะ อันนี้สิสำคัญ อย่าไปทำอันที่มันเพ้อฝันเพ้อพกเลอะเทอะไปเยอะแยะมากมาย เปล่าดายเปล่าๆ คิดว่าเข้าใจแล้วนะถามมาอย่างนี้ ดีนะคุณถามอันนี้มาคุณหรือใครๆเขาก็คิดอย่างนี้ อย่าแหลมมาอีก
คนที่ไปเป็นชาวกสิกรรมคนนั้นเป็นคนประเสริฐ
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · อยากให้ท่านเทศแบบไม่ต้องปีนบันไดฟังครับ ถ้าพระอโศกเทศ สนุก-ขำๆ- สาระ-คนดูจะชอบครับ / คนเป็นหนี้ มีตังค์แต่ไม่ยอมจ่าย ศาสนาสอนไหมครับ
พ่อครูว่า…อาตมาว่าอาตมาตลกไม่น้อยแล้วนะสนุกไม่น้อยแล้ว แต่จะไปตลกอย่างไร้สาระที่เขาดังกันอย่างนั้นอาตมาไม่ทำหรอกเสียเวลา อาตมาก็ตลกอย่างอาตมา พวกเราก็รื่นเริงบันเทิง คำว่าตลกหมายความว่าอย่างไรก็พอรู้ ก็ขำๆพอขนาดของอาตมา คุณพยายามยกฐานะความตลกมาระดับความตลกมาอย่างอาตมาบ้างสิ คุณหยุดความตลกแบบนั้นสิ ยกฐานะตลกขึ้นมาตามที่อาตมาพาตลก พวกเราฟังยังสนุกๆได้ ตลกอย่างอาตมานี้ เกี่ยวข้องกับสาระมากกว่า จะเป็นสาระถึงขั้นโลกุตระด้วย มาเอาอันนี้เถอะ
ศาสนาเทวนิยม ทุนนิยมสามานย์ ที่สอนเป็นหนี้มีตังค์แต่ไม่ยอมจ่าย เราชอบไปเป็นหนี้แม้จะเสียดอกก็ไปเอาต้นทุนนั้นที่ยืมเขามาเล่นนี่นั่นแหละ มาเอาไปหาผลประโยชน์ไปปันผลให้ได้มาก แล้วก็ไปใช้หนี้ดอก แล้วไม่จ่ายหนี้ดอกอีก คนนี้เป็นหนี้ คำว่าเป็นหนี้มีตังค์ไม่ยอมจ่าย ไม่จ่ายทั้งดอกและต้นทุน เดี๋ยวคุณก็ได้รับผลหรอก
สู่แดนธรรม…อันนี้พระพุทธเจ้าสอนเป็นอุปมาว่า เจ้าหนี้จะมาทวงมากๆจนคนนี้อยู่ไม่เป็นสุขเลย
พ่อครูว่า…เขาจะมาทวงจนคุณไม่อยู่สุขหรือคุณอาจจะตายได้เลย ก็เอาที่ต้นทางเลย คืออย่าให้เป็นหนี้ คุณไม่เป็นหนี้แล้วคุณจะสบาย เพราะฉะนั้นหลักที่อาตมาเรียกว่าเศรษฐกิจของอาตมา
-
ไม่เป็นหนี้
-
ตนเองสร้างสรรค์ให้พออยู่พอกินของตัวเอง เลี้ยงตัวเองรอด
-
สร้างให้มากกว่าที่ตัวเองกิน ตัวเองใช้
-
แจกจ่าย